14 กันยายน 2553

ตัน ภาสกรนที Mission ฉบับ "ไม่ตัน"

ทันทีที่อำลาอาณาจักรโออิชิ เขาสร้างความฮือฮาแบบ "ไม่ตัน" เผยโฉมธุรกิจต่อไป พร้อมรับหุ้นส่วนรุ่นใหม่ สานภารกิจสุดท้าย ก่อนเกษียณอีก 9 ปี

ชีวิตที่เดินทางมาถึงวันนี้ นับเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย สำหรับคนอย่าง ตัน ภาสกรนที หนุ่มใหญ่วัย 51 ที่ยังมีภารกิจท้าทายรออยู่เบื้องหน้า หลังพ้นจากตำแหน่งผู้บริหาร โออิชิ กรุ๊ป ที่เขาก่อร่างสร้างมากับมือ

9 กันยายน ที่ผ่านมา จึงสบโอกาสเหมาะ ตันประกาศแผนงานใหม่ชัดเจน ด้านหนึ่งคือการทำภารกิจ ในนาม บริษัท ไม่ตัน จำกัด ที่มีจุดมุ่งหมายลึกซึ้ง มากกว่าแค่ธุรกิจหรือเรื่องเงินๆ ทองๆ และอีกด้านหนึ่ง คืองานมูลนิธิตันปัน ที่ชูธงในเรื่องการศึกษาและสิ่งแวดล้อม

ตามประสานักการตลาดระดับอ๋อง ไหนๆ ออกตัวทั้งที ตัน มีสีสันหวือหวาเรียกความสนใจผู้คน ตั้งแต่การเฟ้นหาคนรุ่นใหม่มาเป็น The 9 Challengers เพื่อร่วมเป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ ในเวลาเดียวกัน วันที่ 5-7 พฤศจิกายน ศกนี้ เขาจับมือกับ โน้ส อุดม แต้พานิช เตรียมขึ้นเวทีโรงภาพยนตร์สกาล่า เพื่อทอล์คโชว์การกุศล หาเงินสร้างโรงเรียนอีกด้วย

จากบทสนทนาในวันนี้บ่งบอกชัดเจนว่า ตัน มีพลังทะยานไปข้างหน้าได้อย่างสบายๆ

มีคนถามหรือยัง จะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอะไร เมื่อวันนี้ไม่ใช่ ตัน โออิชิ แล้ว

(หัวเราะ) ปกติผมคือ นายตัน ภาสกรนที ครับ ไม่ใช่ ตัน โออิชิ ชื่อ(หลัง)นี้น่าจะมาจากสื่อมวลชน นิยมเรียกชื่อผมให้สั้นลงมากกว่า ส่วนในอนาคต สื่อมวลชนจะใส่ฉายา ใส่นามสกุลใหม่ผมอย่างไร ผมก็ไม่ทราบได้ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต และน่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ

หลังจากวันที่ 9 กันยายน คุณตั้งใจจะพักผ่อนสักกี่วัน

ไม่มีกำหนดครับ คงพาลูกเมียไปเที่ยวบ้าง แต่ก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง เพียงแต่เที่ยวนี้จะไม่เหมือนเดิม เพราะตลอดเวลา 30 กว่าปี ผมทำงาน 5 ปี จากนั้นผมทำธุรกิจอีก 25 ปี หลังจากวันที่ 9 กันยายน ผมจะไม่ถือว่าผมทำธุรกิจแล้ว แต่ผมจะทำภารกิจ

ธุรกิจกับภารกิจของคุณแตกต่างกัน ?

ธุรกิจกับภารกิจมันต่างกันนะ จากจุดเริ่มต้น ผมจบแค่ ม.3 ฐานะยากจน หน้าตาแบบนี้ ณ วันนี้ ผมถือว่ามันเกินเลยกว่าที่ผมตั้งเป้าไว้ตั้งแต่เด็กแล้ว จากการที่ผมทิ้งการเรียนเพื่อไปทำงาน เพียงเพราะผมต้องการเป็นเถ้าแก่ มีธุรกิจ มีบ้าน มีรถ มีเมียมีลูก ตอนนี้ผมมีทุกอย่าง และโชคดีกว่าที่คิดไว้มาก ผมมีครอบครัวที่ดี รู้สึกมีความสุข และพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่

ดังนั้น ถามว่าถ้าผมต้องกลับไปทำธุรกิจอีก ผมคิดว่าไม่ได้ต้องการรวยนะ พอแล้ว ชีวิตผมต้องการมีส่วนอื่นบ้าง ไม่ใช่มีแต่ธุรกิจ และเงินๆๆๆ เท่านั้น ผมคิดจะเลิกด้วยซ้ำไป แต่ก่อนเลิก ผมคิดจะทำภารกิจอย่างหนึ่ง ตอนนี้ผมอายุ 51 ผมอยากใช้เวลาอีก 9 ปีก่อนที่ผมอายุ 60 ทำสิ่งนี้

สิ่งที่ผมอยากทำ มาจากการที่ผมได้รับน้ำใจ การสนับสนุน และความช่วยเหลือตลอดมา จากส่วนต่างๆ ทั้งสื่อมวลชน หุ้นส่วน เพื่อนๆ จนถึงลูกน้องคนแรกๆ นับมาถึงตอนนี้ 5 พันกว่าคนแล้ว พวกเขาเป็นฝ่ายให้ผมเป็นส่วนใหญ่ มาถึงจุดนี้ ผมพอแล้ว ผมอยากจะเป็นผู้ให้บ้าง หลังจากเคยเป็นผู้รับ อย่างที่รู้กัน ผมเป็นผู้รับ ผมรู้คุณค่าของการให้ ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมา ผมไม่เคยเป็นผู้ให้ ผมเคย แต่อาจจะน้อยกว่าที่ผมเคยได้รับ ในคราวนี้ผมจะเป็นผู้ให้บ้าง คือให้แก่ หุ้นส่วน ลูกน้อง และคนรุ่นใหม่

ภารกิจที่ว่า มีลักษณะอย่างไร

ภารกิจที่ผมจะทำ ไม่เชิงการกุศล ยังเป็นธุรกิจ แต่เป็นธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเอากำไรเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ไม่เอากำไรเลย ต้องพออยู่ได้ เพื่อจะไม่ให้เป็นภาระของหุ้นส่วน โดยคนที่ผมอยากดูแล ก็มีหุ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ที่เคยช่วยเหลือ ลูกน้องเก่าแก่บางคนที่ เติบโตมาด้วยกัน และส่วนที่ 3 มาจากความบังเอิญที่ผมได้รับเกียรติให้เป็นแรงบันดาลใจของวัยรุ่นหลายๆ คน พวกเขาอยากเจริญรอยตามผม ผมจึงถือโอกาสทำหน้าที่นี้ ส่งมอบให้คนรุ่นใหม่ ผมอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้สังคม โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ อยากให้เขาเห็นว่า เราต้องรู้จักให้และรับ

นั่นจึงเป็นที่มาของบริษัท ไม่ตัน จำกัด ?

ครับ ผมตั้งบริษัท มีทุนจดทะเบียน 500 ล้าน ออฟฟิซอยู่ตึกชาญอิสระ 2 โดยตั้งใจจะรับสมัครพนักงานรุ่นแรก อายุตั้งแต่ 25 ถึง 35 ที่มีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจ ผ่านทางเฟซบุ๊คของผม (www.facebook.com/tanmaitan) โดยมีความเชื่อว่า เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม คนที่มีแนวคิดแบบนี้ ชื่นชมแนวทางนี้ และอยากทำงานกับผม ผมจะเปิดรับสมัครในเฟซบุ๊ค จากนั้น ภายใน 1 เดือน ทีมงานเอเยนซีจะคัดเหลือ 99 คน ใน 99 คนนี้ จะมาทำกิจกรรมร่วมกับผม จากนั้นผมจะคัดเหลือ 9 คน เป็น The 9 Challengers คนกลุ่มนี้ไม่ต้องมีทุน มีเงิน แต่มีไอเดีย มีใจ มีความคิด มีความมุ่งมั่น มีความเชื่อว่าทำธุรกิจแล้วต้องดูแลสังคมด้วย

ทำไมถึงปล่อยให้การคัดเลือก 99 คน เป็นหน้าที่ของเอเยนซี

ตอนแรกอาจจะมีคนสมัครเยอะ ออฟฟิซผมยังไม่มีคนด้วย เลยเอาเอเยนซีมาช่วยคัด จากนั้น 99 คนอาจจะไปเที่ยว ไปร้องเพลง ใช้ชีวิต พูดคุยกัน โดย 9 คนสุดท้าย นอกจากจะได้เป็นพนักงานแล้ว ยังจะได้เป็นหุ้นส่วนด้วย โดยมีเงื่อนไขในระยะเวลาทำงาน หลักการง่ายๆ คือกำไรของบริษัทนี้ ไม่ว่าจะไปลงทุน อะไรก็ตาม ผมจะกันเงิน 50 เปอร์เซนต์ เข้า "มูลนิธิตันปัน" โดยจะทำเรื่องการศึกษากับสิ่งแวดล้อม

เหตุผลที่เลือกทำ 2 ด้านนี้เป็นหลัก ?

จริงๆ เรื่องให้ทำมีมากมาย เพียงแต่ 2 ด้านนี้ ผมกำลังสนใจ และเห็นว่าพอจะช่วยได้ ผมเห็นว่าการศึกษาสำคัญที่สุด สำหรับอนาคต ในการแข่งขัน ในการเลี้ยงดูครอบครัว และไม่เป็นภาระคนอื่น ซึ่งไม่ใช่เงิน เพราะเงินยังใช้หมด แต่ถ้ามีการศึกษา เราก็ไม่ต้องเป็นภาระคนอื่น

ส่วนเรื่องสิ่งแวดล้อม ผมมองว่าตั้งแต่สมัยเด็ก เราพบว่าอากาศร้อนขึ้นทุกที ไหนจะภัยธรรมชาติ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง โดยมีปัจจัยมาจากมนุษย์เรา เรามีส่วนในการทำลายธรรมชาติจนเกินความพอดีไปมากแล้ว เราจะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ หากเราไม่ดูแลสิ่งแวดล้อม วันหนึ่งสิ่งแวดล้อมก็กลับมาเอาคืนกับเรา หรือรุ่นลูกรุ่นหลานเรา

ทั้ง 2 อย่างนี้ ผมคงไม่ได้ทำให้มันดีขึ้นเท่าไหร่หรอก แต่ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร อย่างน้อย ผมอยากกระตุ้นให้คนอื่นๆ มาช่วยกันทำ ถ้าเราทำกันทุกๆ คน ก็จะเกิดประโยชน์ขึ้นบ้าง

คนที่ติดตามคุณมา ต่างรับรู้ถึง "การรู้จักพอ" และ "การไม่ยึดติด" คุณสมบัตินี้อยู่ในตัวคุณได้อย่างไร

มันเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ผมเกิดมาในครอบครัวยากจน แล้วผมก็อยู่ในธุรกิจที่มันเป็นตัวตนของเรา บางอย่างเราก็ไม่รู้ว่า เราชอบรึเปล่า อย่าง 40 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยปลูกต้นไม้ แต่ปรากฏว่า 10 ปีมานี้ ผมปลูกแต่ต้นไม้ ผมซื้อต้นไม้เยอะมาก ตอนนี้ผมเริ่มรู้จักการเพาะขึ้นเองแล้ว แล้วเรารู้สึกผูกพัน อยู่กับมันได้ทั้งวัน ไม่รู้สึกเบื่อ

บางคนฐานะดี จะต้องกินข้าวที่โรงแรม กินเฉพาะภัตตาคารเท่านั้น ผมไม่ได้บอกว่าผมกินไม่ได้ แต่ผมชอบกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางมากกว่า ผมอยากกินความอร่อย ผมไม่อยากกินที่ราคา เฟอร์นิเจอร์ หรือความเป็นโรงแรม 5 ดาว

แต่นั่นผมก็ยังไม่รู้จักพอนะครับ (หัวเราะ) แต่ไม่ใช่เงิน ผมยังชอบความท้าทาย ยังชอบคิดอะไรแปลกๆ สนุกๆ

คุณผ่านการทำธุรกิจอสังหาทรัพย์ อาหารและเครื่องดื่ม หลายคนกำลังสงสัยว่าคุณจะทำธุรกิจบันเทิงเป็นลำดับต่อไป ?

คงไม่ถึงขนาดนั้น ผมไม่น่าจะทำได้ดี เพราะผมเป็นคนไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไปเที่ยวน้อยมาก ตอนนี้ชอบสิ่งแวดล้อม ดังนั้น บันเทิงไม่ใช่ตัวตนของผม อาจจะนานๆ ไปเที่ยวได้ แต่ทำทุกวัน ผมทำไม่ได้

เช่นเดียวกันกับเรื่องเล่นการเมือง นั่นไม่ใช่ตัวผม มันไม่ใช่นิสัย เราไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ต่างคนก็ต่างทำหน้าที่

ตอนนี้ธุรกิจที่ผมอยากทำ ก็เป็นแนวทางเดียวกันกับที่เคยทำมา แล้วผมได้มุมมองมาจากเฟซบุ๊คของผมเหมือนกัน มีคอนเมนต์ของแฟนคลับบอกว่า คุณตันทำแต่เรื่องญี่ปุ่นเป็นหลัก ธุรกิจต่อไปคงเป็นเรื่องญี่ปุ่นอีก ผมทำ "ราเมน แชมเปียน" โดยเอาจากที่ชนะการประกวดในญี่ปุ่นมาลงที่ทองหล่อ ซอย 10 เป็นธุรกิจแรก แต่ธุรกิจต่อไป ผมจะทำด้านเกษตร เกี่ยวกับสินค้าโอท็อป หรือการแปรรูปสินค้าเกษตร จะเป็นสมุนไพร ผลไม้ อาหาร พวกเอสเอ็มอีที่มีโปรดักท์ดีๆ

หากธุรกิจนั้นขายดีอยู่แล้ว ไม่มีปัญหา ผมคงไม่ไปถือหุ้น แต่ถ้าเกิดมีโอท็อปดีๆ ที่ทำตลาดไม่ได้ บางส่วนที่เขาขาด ผมจะเข้าไปหุ้นกับเขา อันนี้ ขอบอกก่อนว่าผมไม่มีนโยบายเทคโอเวอร์ธุรกิจ อย่าเอาธุรกิจมาขายผมนะ ผมไม่ซื้อเด็ดขาด ผมจะเข้าไปถือหุ้น สูงสุดไม่เกิน 50 เปอร์เซนต์ ส่วนธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว ไม่ต้องมาชวนผม ผมต้องการเข้าไปเติมเต็มส่วนที่คุณขาดเท่านั้น

คุณติดตามแวดวงโอท็อปมาพอสมควร จนเห็นทั้งด้านดีและด้านตกต่ำ ?

โอ ! โดยรวมแล้วไม่ดี แต่เราต้องยอมรับว่า โอท็อปเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศ เพราะถ้าโอท็อปไปได้ดี ธุรกิจชุมชนเล็กๆ ทั่วประเทศจะสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ ที่น่าเสียดายก็คือ ผมพบว่าบางรายได้รับรางวัลโอท็อป 5 ดาวติดต่อกันหลายปี สุดท้ายชีวิตแย่กว่าเดิม คือก่อนได้ 5 ดาว เขาพออยู่ได้ แต่พอมาได้ 5 ดาว เขาแย่กว่าเดิม เพราะบางทีได้รับการส่งเสริม ทำให้โตขึ้น มีเครื่องจักร กลายเป็นโรงงานขึ้นมาแทน คราวนี้เกินตัว บริหารไม่ได้ ทำไม่เป็น จากที่เคยมีรายได้พอเพียง กลายเป็นภาระ ผมว่าบางธุรกิจ ผมเข้าไปแก้ไขในส่วนนี้ได้ ซึ่งผมก็ทำส่วนของผมเล็กๆ น้อยๆ ไป แต่หน้าที่หลัก งานนี้เป็นงานของรัฐบาล

ประสบการณ์ทำงานของคุณ ด้านหนึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงโลกอุดมคติของคนรุ่นใหม่ ยุคเจน-วาย ที่เรียนจบมาแล้ว ไม่เลือกจะทำงานประจำ ?

โอ้ ! ใช่เลย คนรุ่นใหม่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่บางครั้งเขาต้องการจุดเริ่มต้น ต้องการโอกาส ต้องการเวที อาจจะรวมทั้งทุนด้วย แต่ผมไม่อยากเน้นทุน เพราะไม่อยากให้เอาเงินมาลงทุน แต่คุณต้องมีไอเดียอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าให้ผมไปลงทุนให้คุณ ผมไม่มีศักยภาพขนาดนั้น

นี่แหละครับ ผมถึงมาทำมูลนิธิที่เน้นเรื่องการศึกษา เพราะผมเชื่อว่าการศึกษาที่ดีพร้อมจะช่วย ในการทำธุรกิจถึงจุดหนึ่งคุณจะเจอทางตัน ขายน้ำพริก ระดับหมู่บ้านไปได้สวย แต่พอทำเป็นอุตสาหกรรมแล้วเจ๊ง เพราะขาดหลายอย่าง ขาดทั้งการสร้างมูลค่า แพ็กเก็จจิ้ง มากมาย มันก็น็อค ทั้งที่โปรดักท์ดีมากๆ

ที่ผ่านมา คุณพูดถึงวิกฤติเสมอ ?

ไม่ใช่ผมชอบนะ เพียงแต่เราต้องยอมรับว่าวิกฤติเดี๋ยวนี้ มันมาถี่ขึ้น สมัยก่อน 10 ปีมีครั้ง เดี๋ยวนี้มีทุกๆ 6 เดือน มันมีตลอด เลยกลายเป็นว่า ผมไม่เดินหนี อย่าหาว่าผมชอบ เดี่ยวจะหาว่าผมคุยว่าผมเก่ง

ในทางกลับกัน ผมถือว่านั่นคือโอกาส เพราะบางคนกลัว บางคนหนี ผมเดินใส่เลย จะได้ดีตอนวิกฤติ อยู่ที่ความเชื่อ บางคนบอกว่าอย่าเปลืองตัวทำอะไรในช่วงนั้น ผมไม่ได้บอกว่าวิกฤติดีนะ เพราะในวิกฤติก็มีคนเสียหายเยอะ แต่สำหรับคนกล้า คนขยัน นี่คือโอกาสทอง ขณะที่คนสบายอยู่แล้ว เขาอาจไม่อยากทำ เพราะในช่วงวิกฤติคุณต้องทำงานเพิ่มขึ้นหลายเท่า

เหมือนคุณซื้อหุ้น ช่วงขาขึ้นมันก็กำไร แต่คนค้าหุ้นช่วงขาลง ต้องเก่งจริงๆ ถึงจะมีกำไร

แล้ววิกฤติของประเทศ มีทางออกหรือไม่

แหม ผมไม่ได้มีความรู้เรื่องการเมืองนะ ผมไม่น่าจะมีคำแนะนำในเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อโดยคิดจากตัวเอง จริงๆ ต่างชาติมองเราค่อนข้างบวก และเราก็โชคดีมาก เขาติดอยู่อย่างเดียวว่า การเมืองเราไม่นิ่ง ผมถึงอยากถามทุกคนว่า เรารักประเทศไทยรึเปล่า เราอยากทำให้ประเทศดีขึ้นมั้ย มันถึงเวลาที่เราจะให้อภัย และเริ่มต้นใหม่ อย่าเอาเรื่องแพ้ชนะมาเป็นประเด็น

ทุกวันนี้คุณยังรับงานบรรยายอยู่เสมอๆ ?

เดือนที่แล้วมี 14 ครั้ง ผมไม่ถึงกับผลิตสื่อการสอน ผมไปแต่ตัว ไม่เคยมีวิดีโอพรีเซนเตชั่นเลย ผมไม่ใช่มืออาชีพ ผมแค่ไปเล่าประสบการณ์ให้ฟัง แล้วแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผมเองก็ได้รับความรู้จากการไปบรรยายด้วยเหมือนกัน

ถามจริงๆ เมื่อมีคนยกย่องว่าคุณเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ รู้สึกเบื่อมั้ย

ผมก็เป็นคนธรรมดา ขี้ก็เหม็นเหมือนกัน เพียงแต่ผมทำงานมา แล้ววันนี้ ผมเหลือ 9 ปีก่อนเกษียณ ผมก็อยากทำประโยชน์บ้าง คำชมเป็นสิ่งที่ดี แต่ทุกอย่างมากไปก็ไม่ดี อย่าคิดว่าผมดีขนาดนั้น ผมก็แค่คนธรรมดา แค่พยายามทำดีเฉยๆ

บางคนเรียกคุณเป็นนักธุรกิจบ้าง เป็นนักการตลาดระดับเซียนบ้าง คุณนิยามตัวเองเป็นอะไร

(นิ่งคิด) นึกไม่ออกเหมือนกัน ผมก็เป็น ... คนจนคนหนึ่งที่วันหนึ่งแล้วฐานะดีขึ้น ก็อยากให้คนอื่นมองในแบบที่ผมเห็น ผมว่าชีวิตคนเรา ที่ผมไปสัมผัสทุกวัน ต่างบอกว่า เหนื่อยแล้ว ท้อแล้ว เบื่อแล้ว ผมอยากบอกว่า ผมก็เคยเป็นเหมือนคุณ บางทีอาจจะมากกว่าด้วย ผมเคยผิดพลาด แต่ผมแก้ไข ผมล้มแล้วหลายๆ ครั้ง ในที่สุด ผมก็ลุกขึ้นมาได้

อย่างวันนี้ ผมตัดสินใจลาออกจากโออิชิ ผมตัดสินใจทำกระปุกออมสินให้พนักงาน เพื่อบอกให้ทุกคนรู้ว่า การออมเป็นการฝึกจิตใจ ให้มุ่งมั่นตั้งใจจนบรรลุเป้าหมาย ห้ามหยุดกลางคัน เพราะนั่นหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ ดังนั้น สิ่งสำคัญอยู่ที่การทำอย่างสม่ำเสมอ

ในทางตรงกันข้ามกับการออม คุณใช้จ่ายเยอะมั้ย เคยบอกว่าไม่ชอบช็อปปิ้ง แต่ชอบดูต้นไม้

ผมใช้จ่ายไม่เยอะหรอก ถ้าผมไม่เล่นการพนัน หรือไปสะสมของแอนติค ถ้ากินวันหนึ่ง สมมติใช้วันละ 1,000 ปีหนึ่ง ก็ไม่กี่บาท อย่างผม กางเกง 3 ตัว 1,000 ผมก็ใส่ได้ ผมจะใส่ตัวละ 5,000 ก็ไม่ได้ทำให้ผมจนลง หรือติดขัดเรื่องค่าใช้จ่าย

โดยรวม ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับมูลค่า ไม่ว่าจะกินหรือเสื้อผ้า ผมไม่ได้สนใจแบรนด์ แพงก็ใส่ได้ ถูกก็ใส่ได้ ของแพงก็กินได้ ของถูกก็กินได้ ผมไม่ติดเรื่องเงินแล้ว

แน่นอน หากผมต้องการอะไรสักอย่าง ผมก็คงอยากได้ที่หนึ่ง พระบูชาหรือเพชร น้ำต้องสวย อะไรอย่างนี้ รถต้องอย่างนั้น บ้านต้องมีนั่นมีนี่ หากเป็นเช่นนั้น มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ

คุณเชื่อมั้ยว่า ผมไม่เคยมีรถสปอร์ต เราไม่ได้สนใจ ผมใช้รถ แค่ใช้งาน และเน้นความปลอดภัยเป็นหลัก ไม่ใช่ผมกลัวตายนะ ลูกผมยังเล็กอยู่ ผมยังมีลูกน้อง มีคนต้องดูแล

มีอะไรที่คุณอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ

ในแง่ธุรกิจทำหมดแล้ว ผมไม่เคยคิดจะทำเยอะขนาดนี้ เพียงแต่ภารกิจที่ผมอยากทำ ผมได้รับมาจากคนอื่นที่ส่งเสริมสนับสนุน ผมไม่ทำก็ถือว่าน่าเสียดาย ใน เมื่อผมพอจะเป็นผู้นำเล็กๆ ให้แก่เด็กๆ คนรุ่นใหม่ หากผมนำไปในทางดี แล้วมีคนทำตามผม

เหมือนอย่างกรณีของคุณวันชัย จิราธิวัฒน์ ซึ่งเป็นแบบอย่างแก่ผมในเรื่องความประหยัด ขนาดที่บ้าน โทรศัพท์ยังเป็นรุ่นเก่า เวลาคุยก็ต้องยืนอยู่ตรงนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี น่าเลียนแบบอย่างยิ่ง เห็นคุณค่าของ ไม่ใช่รุ่นใหม่มา แล้วโยนรุ่นเก่าทิ้ง

การมีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ในบริษัท ไม่ตัน น่าจะทำให้ชีวิตคุณสนุกขึ้นอีกเยอะ ?

ครับ เราต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่เก่งกว่า เราสามารถเติมในส่วนที่เขาขาด และเราก็ได้เรียนรู้จากเขา คุณรุ่นใหม่เข้าใจตลาด เข้าใจผู้บริโภคมากกว่าเรา ขณะที่คนรุ่นผมเริ่มใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีแล้ว

ทุกวันนี้ คุณใช้เวลาตอนไหน หาความรู้หรือแรงบันดาลใจ

ทุกเวลาที่เราไปไหนมาไหน ผมเป็นคนที่มองเห็น ทุกคนเห็น ซึ่งมีทั้งดีและไม่ดี เพียงแต่ว่าอะไรที่ดี ผมจะไปต่อเลย ใครดี คุยแล้วรู้สึกว่าได้ประโยชน์ สอนเรา เราได้ความรู้ เราก็จะพยายามไปหา ในทางกลับกัน หาอะไรที่ไม่ดี เราก็พยายามหลีกเลี่ยง

กับทอล์คโชว์การกุศล ที่จะทำกับโน้ส อุดม แต้พานิช เดือนพฤศจิกายนนี้ ?

ไม่มีอะไร ส่วนตัวผมไม่สนิทกับโน้สนะ เพียงแต่เขาเป็นเพื่อนกับลูกสาวผม แล้วบังเอิญเจอกันที่เชียงใหม่ บ้านเขาติดกับที่ดินผม ก็เคยมาช่วยงานผม ผมยอมรับว่า เขามีความสามารถเฉพาะตัวที่หาคนมาเทียบเท่าได้ยาก อย่างผม เวลาบรรยาย ก็แค่เอาเรื่องในสมองมาพูด เรื่องที่ผ่านมา หรือปัญหาต่างๆ มาเล่าให้ฟัง เมื่อโน้สมาเห็นเทปที่ผมเคยบรรยาย พอดีผมอยากทำโรงเรียนอยู่แล้วที่อำเภอบ่อทอง จริงๆ ผมทำเองก็ได้ 50-60 ล้าน แต่ผมอยากให้คนอื่นมีส่วนร่วมด้วย ทั้งท้องถิ่น และคนอื่นๆ ผมไม่อยากให้คิดว่าเป็นโรงเรียนของผม แต่เป็นของทุกๆ คน โน้สเลยนึกสนุกว่า อาจจะมาช่วยโปรดิวซ์ ช่วยผมคิด ทำทอล์คโชว์ขายบัตร

แต่อย่ามาคาดหวังนะ ว่าดูคุณตัน แล้วจะสนุกเหมือนโน้ส (หัวเราะ) ถือว่ามาช่วยกันทำงานกุศล เพราะงานนี้จะไม่หักค่าใช้จ่ายเลย

สุดท้าย คุณเชื่อในพรหมลิขิตหรือไม่

ครึ่งหนึ่ง ฟ้าลิขิตมาเรียบร้อยแล้ว เราไม่มีสิทธิเลือกเกิด ว่าอยากจะเกิดในครอบครัวนี้ ประเทศนี้ จึงควรพอใจที่คุณเกิดมา อีกครึ่งหนึ่ง คือตัวคุณเอง เราพยายาม เราตั้งใจ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะได้มันทันที บางครั้งต้องใช้เวลา จึงต้องมีความมุ่งมั่น อาจจะ 5 ปี 10 ปี แต่ผมทำมาแล้ว 30 ปี ในที่สุด เรา " อาจจะ" ได้ ขอใช้คำว่า "อาจจะ" เพราะคงไม่มีใครโชคดีทุกคน.

from
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/lifestyle/20100914/352776/ตัน-ภาสกรนที-Mission-ฉบับ-ไม่ตัน.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)