30 มิถุนายน 2568

Perfect Corner-Perfect Storm - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ก่อนที่จะเข้าบทความนี้ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับทุกคนที่ติดตามข้อเขียนและผลงานการลงทุนของผมว่า ผมถูกมิจฉาชีพจำนวนมากแอบอ้างชื่อว่าจะให้คำแนะนำการลงทุนหรือเปิดการฝึกอบรมแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายและกระทำการอื่น ๆ อีกมากผ่านสื่อสังคมทุกรูปแบบ เมื่อเหยื่อเข้าไปติดต่อก็จะถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวผมจริงและก็จะถูกโกงจนเกิดความเสียหาย และในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็มีการเขียนบทความและการกล่าวอ้างว่าเป็นข้อเขียนและคำพูดของผมทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่จริง คนที่ทำอาจจะมีแรงจูงใจอะไรต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเมือง ที่เป็นประโยชน์กับตนเองแต่ทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม

ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนรับทราบและไม่ตกเป็นเหยื่อหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม ผมขอเรียนว่า ผมไม่มีหรือไม่เคยใช้สื่อสังคมของตนเองเพื่อติดต่อกับสาธารณชน เพราะผมไม่มีสื่อสังคมสาธารณะอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นคน “โลว์เท็ค” และไม่สามารถทำเครื่องมือดิจิทัลที่เป็นสื่อสังคมสมัยใหม่และไม่สามารถโพสข้อมูลหรือข้อความอะไรทั้งนั้น บทความและรายการสัมภาษณ์ของผมนั้น จะสื่อถึงสาธารณชนผ่านสื่ออื่น ๆ ที่เป็นสถาบันหรือหน่วยงานที่มีมาตรฐานและจรรยาบรรณสูงเท่านั้น ดังนั้น ถ้าพบข้อมูลหรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมกล่าวข้างต้น ก็ต้องสรุปว่ามันเป็น “ของปลอม” อย่างแน่นอน ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือสนใจครับ

บทความสำหรับวันนี้ของผมเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา คือเรื่องที่หุ้น KTC หรือบริษัทบัตรกรุงไทย ตกลงมาแรงมาก รวมแล้วประมาณ 30% ภายในเวลา 5 วัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทก็ได้ออกมาประกาศด้วยว่าพื้นฐานและการประกอบการของบริษัทก็ปกติทุกอย่าง ซึ่งโดยนัยก็คือ ผลประกอบการในไตรมาศ 2 ของปี 2568 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันก็น่าจะ “ปกติ”

การที่หุ้นตกลงมาแรงถึง “พื้น” ติดต่อกัน 2 วัน พร้อม ๆ กับปริมาณเสนอขายจำนวนหลายร้อยล้านหุ้น คิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท โดยที่ไม่มีผู้เสนอซื้อเลยนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุ้นถูก “Forced Sale” หรือถูกบังคับขายเนื่องจากคนที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จินจำนวนมากและมีหนี้กับโบรกเกอร์หลักพันล้านบาทขึ้นไป ไม่มีเงินมาเติมเมื่อราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดที่จะต้องถูกบังคับขายแล้ว

สำหรับผม ปรากฎการณ์หุ้น KTC นั้น เป็นกรณีของหุ้นที่ผมเรียกว่าเป็น หุ้นที่ “ถูกCorner” ที่ทำได้อย่าง “สมบูรณ์แบบ” ไม่ใช่ว่าราคาขึ้นไปแบบ “สุดโต่ง” จนเห็นได้ชัดแบบหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์หลาย ๆ ตัวที่มีค่า PE สูงเป็น 100 หรือ 50 เท่าในเวลาอันสั้น ว่าที่จริง คนส่วนใหญ่รวมถึงนักวิเคราะห์หุ้นแทบทั้งหมดต่างมองว่าหุ้น KTC มีพื้นฐานที่ดีเยี่ยมและราคาก็ “ไม่แพง” และน่าจะโตไปได้อีกมาก เหตุผลส่วนหนึ่งอาจจะมาจากราคาหุ้น KTC ที่ไม่เคยตกลงมาแรงเป็นเวลายาวนานหลายปีในขณะที่แม้แต่หุ้นที่ยอดเยี่ยมระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” หลาย ๆ ตัวต่างก็ทยอยตกลงมาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าผลประกอบการก็ยังดีหรือดีกว่า KTC ด้วยซ้ำ

แต่ภายใต้การคอร์เนอร์หุ้นที่สมบูรณ์แบบของ KTC นั้น มีจุดอ่อนที่การรองรับการซื้อและถือหุ้น KTC ด้วย “หนี้” มาร์จินและการจำนำหุ้นจำนวนมหาศาล คร่าว ๆ น่าจะประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นที่เป็น “Free Float” ทั้งหมด หนี้จำนวนนี้ถูกแช่แข็งไว้ยาวนานมาก น่าจะหลายปี เพราะสถานการณ์ตลาดและตัวหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดที่ลดลงอย่างมาก และปริมาณการซื้อขายหุ้น KTC ที่ลดลงมากยิ่งกว่า คือลดลงเหลือแค่วันละหลักไม่เกิน 100 ล้านบาทนั้น ทำให้การ “ออกของ” หรือขายหุ้น KTC จำนวนหลายพันหรือหมื่นล้านแทบเป็นไปไม่ได้ และนี่ก็คือปัญหาของการคอร์เนอร์หุ้น KTC ที่ต้อง “แตก” ลง เพราะการถูก “Force Sale” แบบมโหฬารในวันที่เลวร้ายที่สุดของหุ้น

มาดูสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้น KTC กัน
เริ่มตั้งแต่ฉากสุดท้ายก่อนที่คอร์เนอร์จะแตก ตรวจดูก็จะพบว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ชัดเจนว่าเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในคอร์เนอร์ กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดหรือเรียกว่า “เจ้าของ” ที่จะไม่ขายหุ้นเลยไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปแค่ไหนก็คือ ธนาคารกรุงไทย ถือหุ้นเกือบ 50%

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาถือหุ้นนานแล้ว และน่าจะเป็นกลุ่มที่ใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อจำนวนมาก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีอาจจะเห็นว่านี่คือ “หุ้นสุดยอด” ที่กำลังจะโตมหาศาลในราคาที่ “ไม่แพง” ก็เลยทำแบบ “All In” ซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดและยังกู้หนี้เต็มอัตราเพื่อที่จะเร่งพอร์ตให้เติบโตขึ้นแบบทวีคูณโดยอาจจะคิดว่า “ความเสี่ยงต่ำ” กลุ่มนี้น่าจะถือหุ้นอยู่ประมาณ 20%

กลุ่มที่ 3 ที่ถือหุ้นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญก็คือ กลุ่มสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะที่เป็นกองทุน ถือหุ้นรวม ๆ กันประมาณน่าจะซัก 20% ซึ่งการถือหุ้นของกลุ่มนี้ บางทีอาจจะเป็นส่วนมากด้วย เป็นคนที่ “ถูกบังคับให้ซื้อและถือลงทุน” เพราะเป็นกองทุนที่อิงดัชนี เช่น ดัชนีหุ้น SET50 หรือดัชนี MSCI Small Cap. Index เป็นต้น

รวมแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 กลุ่มข้างต้น ที่มีแนวโน้มจะไม่ขายหุ้นแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานมาก รวมกันแล้วถือหุ้นถึงเกือบ 90% เหลือหุ้นที่ถือโดยนักลงทุนรายย่อยแค่ประมาณ 10% ซึ่งอาจจะซื้อ ๆ ขาย ๆ แนว “เล่นหุ้น” ระยะสั้น ซึ่งก็ทำให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันของหุ้นลดน้อยลงเหลือไม่กี่สิบล้านบาทต่อวันทั้ง ๆ ที่ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นนั้นอยู่ในระดับแสนล้านบาทมานาน ซึ่งในทางวิชาการก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ “สภาพคล่องต่ำ”

คอร์เนอร์หุ้น KTC นั้น น่าจะเกิดขึ้นมานานหลาย ๆ ปีแล้ว จากข้อมูลผลประกอบการย้อนหลังไปยาว ๆ นั้นก็พบว่าบริษัทเคยมีปัญหาขาดทุนต่อเนื่องหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2009 จนถึงปี 2012 ก็เริ่มฟื้นตัวมีกำไรเล็กน้อย และหลังจากนั้นบริษัทก็กำไรมากขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนถึงปี 2019 บริษัทก็ทำกำไรถึง 5,500 ล้านบาท และ Market Cap. แตะ 100,000 ล้านบาท จากปี 2012 ที่มูลค่าของหุ้นอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 13 เท่าในเวลา 7 ปี

การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น คงทำให้นักลงทุน “แห่” กันเข้าไปซื้อหุ้นจนทำให้ค่า PE ของหุ้น KTC สูงถึง 18.4 เท่าในปี ก่อน “โควิด 19” ระบาด แต่ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าหุ้นกำลังถูกคอร์เนอร์แล้ว เพราะหุ้นสถาบันการเงินขนาดใหญ่เช่น หุ้นธนาคารพาณิชย์นั้น ต่างก็มักมีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า แต่หุ้น KTC และหุ้นไฟแน้นซ์ที่เน้นการปล่อยกู้ให้รายย่อยหลายแห่งที่ “โตเร็ว” กลับมีค่า PE สูงกว่ามาก “กว่าเท่าตัว” คือมีค่า PE ระดับ 20 เท่าขึ้นไป

และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่า เมื่อโควิด 19 ระบาดในปี 2020 และตลาดหุ้นตกลงมาแรง หุ้น KTC กลับปรับตัวขึ้นไป 50% จาก Market Cap. แสนล้านบาทเป็น หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท ใหญ่กว่าแบ้งค์พาณิชย์หลาย ๆ แห่ง ทั้ง ๆ ที่กำไรลดลงและต่ำกว่ากำไรของแบ้งค์ที่เปรียบเทียบกัน ค่า PE ของ KTC พุ่งขึ้นเป็น 29 เท่า คอร์เนอร์หุ้น KTC สมบูรณ์แล้ว ราคาหุ้นอาจจะสูงเกิน “พื้นฐาน” ที่ควรเป็นได้ถึง 3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเดียวกันที่ไม่ได้มีการคอร์เนอร์เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่ก็ทำธุรกิจบัตรเครดิตด้วยเช่นกัน

ผลประกอบการของ KTC ตั้งแต่ปี 2021 จนถึงสิ้นปี 2024 ยังเติบโตขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ได้เร็วหรือสูงไปกว่าแบ้งค์คือเฉลี่ยปีละประมาณ 8-9% และมีแนวโน้มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่ก็เป็นอาการแบบเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ซึ่งเป็นผลจากปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นหลาย ๆ ตัว รวมถึงหุ้นไฟแน้นซ์ที่ถูกคอร์เนอร์มานาน “แตก” ราคาหุ้นตกลงมามาก บางครั้งแทบ “หายนะ”

หุ้น KTC เองนั้นต้องถือว่าสามารถประคองตัวไม่ให้คอร์เนอร์แตกได้นานมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่า ราคาของหุ้นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้แพงมากเหมือนหุ้นคอร์เนอร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น และอาจจะเป็นเพราะว่าคนไม่เข้าใจว่า ค่า PE จะสูงหรือไม่สูงนั้น จะต้องเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ฉากสุดท้าย คอร์เนอร์หุ้น KTC ก็แตก ผมเองคิดว่าเหตุผลใหญ่เรื่องหนึ่งก็คือ การที่ KTC ถูกถอดออกจากดัชนีอ้างอิง MSCI Global Standard Index เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้กองทุนต่างประเทศบางแห่งต้องขายหุ้นทิ้ง และจำนวนที่ขายอาจจะมากเกินกว่าที่ตลาดจะรับได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เม็ดเงินที่จะมารับหุ้น KTC ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่มีแล้ว พูดง่าย ๆ ไม่มีโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงินไหนจะให้กู้อีกแล้ว ดังนั้น หุ้นจึงถล่ม ราคาหุ้น KTC ตกลงไปจนมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า ปันผลตอบแทนก็น่าจะเกิน 5% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับหุ้นอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกัน สำหรับผมแล้ว หุ้น KTC หลุดออกจากคอร์เนอร์แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นหุ้นที่ถูกกว่าปกติ

ว่าที่จริง หุ้น KTC ก็ยังแพงกว่าหุ้นแบ้งค์ทั้งหลายโดยเฉพาะ KTB ซึ่งเป็นหุ้นแม่ที่มีค่า PE ไม่ถึง 7 เท่าและปันผลถึงกว่า 7% ต่อปี ดังนั้น ก่อนที่จะรีบเข้าไปเล่นเพราะคิดว่าหุ้นมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมาก ก็จะต้องระวังว่า หุ้นที่คอร์เนอร์แตกแล้วจะกลับสู่การคอร์เนอร์อีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย


23 มิถุนายน 2568

“โปรไฟไหม้” หุ้นไทย - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหลักทรัพย์มีโครงการ ”Jump+” ที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนแบบ “ก้าวกระโดด” โดยที่โครงการนี้จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและการให้คำแนะนำแก่บริษัทจดทะเบียนในหลาย ๆ เรื่องที่จะทำให้กิจการเติบโต มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเติบโตจากภายในและการควบรวมกิจการที่เป็นประโยชน์กับบริษัท นอกจากนั้นก็ยังช่วยให้กิจการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก ผลที่คาดหวังก็คือ มูลค่าของกิจการของบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมในโครงการ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรในช่วงเวลา 2-3 ปีของโครงการ พูดง่าย ๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็น “หุ้นขึ้น” แบบ “ก้าวกระโดด”

ผมเองเห็นด้วยทุกประการ โดยเฉพาะในยามที่หุ้นโดยรวมมีราคาตกลงอย่างต่อเนื่องทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หุ้นจำนวนมากมีผลประกอบการที่ดีใช้ได้ มีความแข็งแกร่ง มีธุรกิจที่มั่นคงมาก และที่สำคัญ จ่ายปันผลได้งดงามสูงที่สุดเป็น “ประวัติการณ์” เมื่อเทียบกับราคาหุ้น และแทบจะสูงที่สุดในโลกที่ประมาณเกือบ 5% ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด

ผมคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้ของประเทศไทยนั้น มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้คนขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นทั้ง ๆ ที่หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น มีความจำเป็นที่เราจะต้องมีมาตรการกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แบบ “เห็นผลทันที” โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวไทยที่รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นว่ายังไงเสียบริษัทก็ยังอยู่กับเราไปเรื่อย ๆ เรายังต้องใช้สินค้าหรือบริการทุกวัน เราเชื่อมั่นว่าเป็นบริษัทที่ดีและมีบรรษัทภิบาลที่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ บริษัททำกำไรได้ดีต่อเนื่องไปอีกยาวนานและสามารถที่จะจ่ายปันผลงดงามให้ผู้ถือหุ้นแทบจะตลอดไป

วิธีที่บริษัทจะทำนั้น เพื่อที่จะมีประสิทธิผล จะต้องทำแบบเดียวกับแคมเปญขายสินค้าที่มักจะออกแนว “ลด แลก แจกแถม” แต่ในกรณีนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ “ขายหุ้น” ของบริษัท ถ้าจะเปรียบเทียบในช่วงนี้ก็จะเป็นคล้าย ๆ “โปรโมชั่นไฟไหม้” ของร้านสุกี้ที่มีการลดราคาอาหารลงหนักมากระดับที่นักกิน “พลาดไม่ได้” ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดขายสุกี้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับอาหารแบบอื่น ร้านสุกี้ที่เคยดูเหงา ๆ อาจจะเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีหรือคนกินสุกี้น้อยลงก็กลับคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แคมเปญ “ขายหุ้น” ในความหมายของผมก็คือ แนะนำให้บริษัทจดทะเบียนคิดว่าอะไรจะทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของตนเองในตลาด และเก็บไว้ยาวนาน ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละบริษัทก็อาจจะมีประเด็นที่แตกต่างออกไป แน่นอนว่าการเข้าร่วมโครงการ Jump+ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะดึงดูดคนที่ชอบหุ้นเติบโตเร็วเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ทำให้หุ้นขึ้นได้ในระยะยาว หรือขึ้นได้ทันทีถ้าเริ่มเห็นว่าบริษัทสามารถขับเคลื่อนโครงการได้แน่นอน

ส่วนตัวผมเองนั้น คิดว่าในยามนี้ สิ่งที่นักลงทุนสนใจเพิ่มขึ้นมากก็คือ “เงินปันผล” แต่นี่ก็มีประเด็นว่าเงินปันผลนั้น บ่อยครั้งจ่ายแค่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี วิธีที่อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการอยากซื้อหุ้นก็คือ แคมเปญจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง หรือถ้าจะให้ “เปรี้ยง” ก็คือ จ่ายทุก 3 เดือน ครั้งละ 2% ของราคาหุ้นที่ลงทุน และคนที่จ่ายในอัตรานี้ได้ก็คือหุ้นธนาคารพานิชย์หลายแห่งที่ล่าสุดนั้นจ่ายปันผลได้ปีละ 8% จากราคาหุ้นแล้ว

แน่นอนว่านี่คือ “แคมเปญ” หรือ “โปรโมชั่น” ที่มีอายุหรือมีเวลา อาจจะแค่ปีหรือสองปีเพื่อที่จะทำให้คนซื้อหุ้น “ตัดสินใจทันที” ซึ่งถ้าคนจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ราคาหุ้นก็ควรจะวิ่งขึ้นไปได้

ถ้าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากต่างก็ออก “โปรโมชั่น” ของตนเอง ซึ่งก็ทำได้หลากหลาย แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องตรงกับความต้องการของผู้ถือหุ้นหรือคนที่จะซื้อหุ้นลงทุนที่เป็น “ลูกค้า” ตัวอย่างเช่น บริษัทออกมารับรองว่างวดหน้าและงวดต่อไปอีก 2-3 งวด จะเพิ่มอัตราส่วนปันผลที่เคยจ่ายในระดับ 50% ของกำไร เป็น 60% และ 70% ตามลำดับ หรือถ้าจะให้ “เปรี้ยง” ก็อาจจะบอกว่าจะจ่าย 100% เลย นักลงทุนก็อาจจะสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้

ผมเองเคยสนใจ และ/หรือ ลงทุนกับบริษัทที่ดีจำนวนไม่น้อย แต่บางครั้งก็ต้องถอยหรือลงทุนน้อยกว่าที่ควรเพราะเหตุที่ว่าบริษัททำอะไรบางอย่างไม่ถูกใจเช่นบริษัทชอบไปลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจอื่นที่ผมคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าบริษัทนั้นเสนอแคมเปญว่า บริษัทจะเลิกทำเรื่องแบบนี้ภายในช่วงเช่น 3 ปีข้างหน้า และบอกว่าจะนำเงินจำนวนนั้นมาซื้อหุ้นคืนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของบริษัท ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและสามารถจ่ายปันผลมากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนที่คิดแบบเดียวกับผมเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม หุ้นก็จะมีราคาหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที

เรื่องที่จะทำอะไรหรือสัญญาอะไรที่จะทำให้นักลงทุนตื่นเต้นและสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น สิ่งที่ทำหรือคำมั่นสัญญานั้นจะต้องมี “คุณค่า” ในสายตาของนักลงทุน การเปิดรับฟังความคิดเห็นหรือการติดตามคอมเม้นท์ในสื่อสังคมต่าง ๆ จะทำให้บริษัทรู้ว่าบริษัทควรจะทำอะไรหรือควรจะมีแคมเปญอะไรที่จะทำให้นักลงทุนสนใจมาซื้อหุ้นลงทุน ซึ่งจะทำให้หุ้นมีมูลค่ามากขึ้น นอกจากนั้น บริษัทก็จะใกล้ชิดกับนักลงทุนมากขึ้นและความไว้วางใจในตัวบริษัทก็จะมีมากขึ้น นี่จะเป็น “คุณค่า” ให้กับตัวหุ้นและบริษัทในทุกด้านซึ่งรวมถึงการที่นักลงทุนจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทมากขึ้นด้วยหากว่ากิจการของบริษัทนั้นขายสินค้าผู้บริโภค

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเองชอบใจบริษัทจดทะเบียนของเวียตนามที่เขาประกาศผลประกอบการ “ทุกเดือน” ผมไม่แน่ใจว่าจะมีงบบัญชีละเอียดหรือมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน แต่ที่เห็นคือมีตัวเลขยอดขายและกำไรทุกเดือนซึ่งทำให้ผมสามารถติดตามได้และรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทอย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องลุ้นถึง 3 เดือนแบบของเรา

การรู้ถึงความเป็นไปของบริษัทอย่างรวดเร็วนั้น ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้ เพราะถ้าประกาศงบออกมาไม่ดี เขาก็จะได้ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำอะไรกับหุ้น แทนที่จะต้องรอ 3 เดือนในสถานการณ์ที่หุ้นทยอยตกลงมาโดยที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่ก็จะช่วยเพิ่ม “คุณค่า” ให้กับหุ้นได้

นี่ก็เช่นเดียวกับ “โปร” อื่น ไม่ใช่เรื่องของข้อบังคับของตลาด แต่เป็นเรื่องที่บริษัททำด้วยความสมัครใจและดูแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นักลงทุนชอบซื้อ-ขายหุ้นที่ทำ “โปร”แบบนี้และเขาก็เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ข้อมูลรายเดือนที่เป็นเรื่องรายได้และกำไรของบริษัทจะต้องเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ก่อนสื่ออื่นเช่นเดียวกับรายงานงบรายไตรมาศตามปกติ และก็ต้องเป็นรายงานที่ถูกต้องแต่ไม่ต้องสอบทานแบบสมบูรณ์เหมือนรายงานที่เป็นทางการอื่น

ทั้งหมดที่เสนอมานั้น ผมเองก็ต้องออกตัวว่าคงมีคนเห็นด้วยไม่มากโดยเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงที่เรียกว่า “Establishment” หรือองค์กรที่เป็นสถาบันจัดตั้งที่เป็นทางการรวมถึงตลาดหลักทรัพย์ เพราะมันคงดู “แหวกแนว” เกินไป อาจจะเพราะว่า “หุ้นไม่ใช่สินค้า” ถ้าให้มีการทำ “โปรโมชั่น” จะกลายเป็นการ “ปั่นหุ้น” แล้วคนที่เข้ามาซื้อจะเจ็บตัวหนักแล้วใครจะรับผิดชอบ
ข้อถกเถียงของผมก็ตอบว่า เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นการ “ปั่นหุ้น” หรือไม่ เราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่บริษัทเสนอนั้น อยู่ในกรอบของกฎข้อบังคับของการเป็น “Good Governance” หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไม่อนุญาตให้ทำ

แต่ผมคิดว่าอย่างการจ่ายปันผลทุก 3 เดือนไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการเร็วขึ้นอย่างสมัครใจก็ไม่น่าจะมีปัญหา หรือแม้แต่การประกาศว่าจะมีนโยบายซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องผมก็คิดว่าเป็นผลดีต่อหลาย ๆ บริษัทที่ไม่สามารถเติบโตทางธุรกิจได้แล้วจึงตัดสินใจคืนเงินให้เจ้าของก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและแน่นอนว่าไม่ใช่การปั่นหุ้น แม้ว่าหุ้นอาจจะขึ้นทันทีที่ประกาศ

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผม ในฐานะ “ลูกค้า” ขาประจำที่ซื้อหุ้นในตลาดมานานอยากจะเห็น อยากได้ “โปรโมชั่น” หุ้น ที่จะให้ “คุณค่า” แบบชนิดที่ยอดเยี่ยมถูกใจใช่เลย โดยเฉพาะกับลูกค้าหุ้นแนว “VI” ที่ชอบถือหุ้นพื้นฐานดี ๆ และถือยาวนาน ส่วนบริษัทที่ทำ “โปร” ที่ขายหุ้นแย่ ๆ ซื้อแล้วมีแต่เสียหาย หลอกนักลงทุนด้วย “โปร” ที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของหุ้นจริง ๆ นั้น เราก็ต้องจับตาและต่อต้าน เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐและองค์กรของตลาดทุนที่จะต้องควบคุมและจัดการ



เงินล้านไม่ใช่แค่ฝัน: เริ่มต้นเก็บก่อน มีใช้ก่อน!




ใคร ๆ ก็อยากมีเงินล้านจริงไหม? โดยเฉพาะชาววัยทำงานอย่างเรา ๆ ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว การมีเงินก้อนใหญ่ไว้เป็นหลักประกันหรือต่อยอดความฝัน เป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา แต่จากศูนย์สู่ล้าน อาจจะดูยากเย็นแสนเข็ญ แต่บอกเลยว่ามัน เป็นไปได้แน่นอน!
.
วันนี้เราจะมาเผยเคล็ดลับง่าย ๆ ที่คุณเองก็ทำได้ นั่นคือ "การเริ่มออมเงินตั้งแต่อายุน้อย" ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ ยิ่งสบายเท่านั้น
.
.
.
ทำไมต้องรีบออม? มาดูกัน!
.
ลองมาดูตัวเลขที่น่าสนใจกัน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ว่าการเริ่มต้นเร็วมีข้อดีอย่างไร:
.
ถ้าคุณเริ่มออมตั้งแต่อายุ 25 ปี: 
ออมเงินเดือนละ 1,700 บาท
เพิ่มเงินออมปีละ 3% (เช่น ปีที่ 2 ออม 1,751 บาท, ปีที่ 3 ออม 1,804 บาท)
ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3%
พออายุ 50 ปี คุณจะมีเงินรวมกันถึง 1,058,813 บาท [1]
.
แต่ถ้าคุณรอช้าไปหน่อย เริ่มออมตอนอายุ 40 ปี:
ออมเงินเดือนละ 6,300 บาท (สังเกตว่าต้องออมมากกว่าเดิมเกือบ 4 เท่า!)
เพิ่มเงินออมปีละ 3% (เช่น ปีที่ 2 ออม 6,489 บาท, ปีที่ 3 ออม 6,684 บาท)
ลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 3%
พออายุ 50 ปี คุณจะมีเงินรวมกัน 1,004,375 บาท
.
เห็นความต่างไหมครับ? แม้ปลายทางจะมีเงินล้านเหมือนกัน แต่คนที่เริ่มช้ากว่า ต้องใช้เงินออมต่อเดือนมากกว่าหลายเท่าตัวกว่าจะไปถึงเป้าหมายเดียวกัน นี่แหละคือพลังของ "เวลา" และ "ดอกเบี้ยทบต้น" ที่จะช่วยให้เงินของคุณงอกเงยได้อย่างมหาศาล
.
.
.
เริ่มต้นวันนี้...เพื่ออนาคตที่ดีกว่า!
.
ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นออมเงิน แต่ถ้าคุณยังอยู่ในช่วงวัย 25-35 ปี นี่คือโอกาสทองของคุณ! อย่ารอช้า เริ่มวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้ เพื่อเป้าหมายเงินล้าน และอิสรภาพทางการเงินในอนาคต
.
คุณพร้อมจะเริ่มสร้างเงินล้านด้วยตัวเองแล้วหรือยัง?
.
.

“โปรไฟไหม้” หุ้นไทย - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหลักทรัพย์มีโครงการ ”Jump+” ที่จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนสร้างการเติบโตและสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืนแบบ “ก้าวกระโดด” โดยที่โครงการนี้จะให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีและการให้คำแนะนำแก่บริษัทจดทะเบียนในหลาย ๆ เรื่องที่จะทำให้กิจการเติบโต มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทั้งจากการเติบโตจากภายในและการควบรวมกิจการที่เป็นประโยชน์กับบริษัท นอกจากนั้นก็ยังช่วยให้กิจการสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงานที่สามารถแข่งขันได้กับทั่วโลก ผลที่คาดหวังก็คือ มูลค่าของกิจการของบริษัทที่คาดว่าจะเข้าร่วมในโครงการ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างถาวรในช่วงเวลา 2-3 ปีของโครงการ พูดง่าย ๆ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเห็น “หุ้นขึ้น” แบบ “ก้าวกระโดด”

ผมเองเห็นด้วยทุกประการ โดยเฉพาะในยามที่หุ้นโดยรวมมีราคาตกลงอย่างต่อเนื่องทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หุ้นจำนวนมากมีผลประกอบการที่ดีใช้ได้ มีความแข็งแกร่ง มีธุรกิจที่มั่นคงมาก และที่สำคัญ จ่ายปันผลได้งดงามสูงที่สุดเป็น “ประวัติการณ์” เมื่อเทียบกับราคาหุ้น และแทบจะสูงที่สุดในโลกที่ประมาณเกือบ 5% ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด

ผมคิดว่าสถานการณ์ในยามนี้ของประเทศไทยนั้น มีแต่เรื่องเลวร้ายที่ประดังเข้ามาซึ่งทำให้คนขาดความมั่นใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นทั้ง ๆ ที่หุ้นจำนวนมากมีราคาต่ำกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น มีความจำเป็นที่เราจะต้องมีมาตรการกระตุ้นความต้องการซื้อหุ้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แบบ “เห็นผลทันที” โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวไทยที่รู้จักและเข้าใจบริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นว่ายังไงเสียบริษัทก็ยังอยู่กับเราไปเรื่อย ๆ เรายังต้องใช้สินค้าหรือบริการทุกวัน เราเชื่อมั่นว่าเป็นบริษัทที่ดีและมีบรรษัทภิบาลที่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ บริษัททำกำไรได้ดีต่อเนื่องไปอีกยาวนานและสามารถที่จะจ่ายปันผลงดงามให้ผู้ถือหุ้นแทบจะตลอดไป

วิธีที่บริษัทจะทำนั้น เพื่อที่จะมีประสิทธิผล จะต้องทำแบบเดียวกับแคมเปญขายสินค้าที่มักจะออกแนว “ลด แลก แจกแถม” แต่ในกรณีนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการ “ขายหุ้น” ของบริษัท ถ้าจะเปรียบเทียบในช่วงนี้ก็จะเป็นคล้าย ๆ “โปรโมชั่นไฟไหม้” ของร้านสุกี้ที่มีการลดราคาอาหารลงหนักมากระดับที่นักกิน “พลาดไม่ได้” ซึ่งน่าจะส่งผลให้ยอดขายสุกี้โดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับอาหารแบบอื่น ร้านสุกี้ที่เคยดูเหงา ๆ อาจจะเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีหรือคนกินสุกี้น้อยลงก็กลับคึกคักขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แคมเปญ “ขายหุ้น” ในความหมายของผมก็คือ แนะนำให้บริษัทจดทะเบียนคิดว่าอะไรจะทำให้คนอยากเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของตนเองในตลาด และเก็บไว้ยาวนาน ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละบริษัทก็อาจจะมีประเด็นที่แตกต่างออกไป แน่นอนว่าการเข้าร่วมโครงการ Jump+ ก็เป็นทางหนึ่งที่จะดึงดูดคนที่ชอบหุ้นเติบโตเร็วเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ทำให้หุ้นขึ้นได้ในระยะยาว หรือขึ้นได้ทันทีถ้าเริ่มเห็นว่าบริษัทสามารถขับเคลื่อนโครงการได้แน่นอน

ส่วนตัวผมเองนั้น คิดว่าในยามนี้ สิ่งที่นักลงทุนสนใจเพิ่มขึ้นมากก็คือ “เงินปันผล” แต่นี่ก็มีประเด็นว่าเงินปันผลนั้น บ่อยครั้งจ่ายแค่ครั้งเดียวตอนสิ้นปี วิธีที่อาจจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความต้องการอยากซื้อหุ้นก็คือ แคมเปญจ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง หรือถ้าจะให้ “เปรี้ยง” ก็คือ จ่ายทุก 3 เดือน ครั้งละ 2% ของราคาหุ้นที่ลงทุน และคนที่จ่ายในอัตรานี้ได้ก็คือหุ้นธนาคารพานิชย์หลายแห่งที่ล่าสุดนั้นจ่ายปันผลได้ปีละ 8% จากราคาหุ้นแล้ว

แน่นอนว่านี่คือ “แคมเปญ” หรือ “โปรโมชั่น” ที่มีอายุหรือมีเวลา อาจจะแค่ปีหรือสองปีเพื่อที่จะทำให้คนซื้อหุ้น “ตัดสินใจทันที” ซึ่งถ้าคนจำนวนมากเข้ามาซื้อหุ้นลงทุน ราคาหุ้นก็ควรจะวิ่งขึ้นไปได้

ถ้าบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากต่างก็ออก “โปรโมชั่น” ของตนเอง ซึ่งก็ทำได้หลากหลาย แต่ที่สำคัญก็คือ ต้องตรงกับความต้องการของผู้ถือหุ้นหรือคนที่จะซื้อหุ้นลงทุนที่เป็น “ลูกค้า” ตัวอย่างเช่น บริษัทออกมารับรองว่างวดหน้าและงวดต่อไปอีก 2-3 งวด จะเพิ่มอัตราส่วนปันผลที่เคยจ่ายในระดับ 50% ของกำไร เป็น 60% และ 70% ตามลำดับ หรือถ้าจะให้ “เปรี้ยง” ก็อาจจะบอกว่าจะจ่าย 100% เลย นักลงทุนก็อาจจะสนใจเข้ามาลงทุนในหุ้นและทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไปได้

ผมเองเคยสนใจ และ/หรือ ลงทุนกับบริษัทที่ดีจำนวนไม่น้อย แต่บางครั้งก็ต้องถอยหรือลงทุนน้อยกว่าที่ควรเพราะเหตุที่ว่าบริษัททำอะไรบางอย่างไม่ถูกใจเช่นบริษัทชอบไปลงทุนในบริษัทหรือธุรกิจอื่นที่ผมคิดว่าไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้าบริษัทนั้นเสนอแคมเปญว่า บริษัทจะเลิกทำเรื่องแบบนี้ภายในช่วงเช่น 3 ปีข้างหน้า และบอกว่าจะนำเงินจำนวนนั้นมาซื้อหุ้นคืนคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของบริษัท ซึ่งจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นและสามารถจ่ายปันผลมากขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ นี่ก็จะเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้คนที่คิดแบบเดียวกับผมเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม หุ้นก็จะมีราคาหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที

เรื่องที่จะทำอะไรหรือสัญญาอะไรที่จะทำให้นักลงทุนตื่นเต้นและสนใจเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทนั้น สิ่งที่ทำหรือคำมั่นสัญญานั้นจะต้องมี “คุณค่า” ในสายตาของนักลงทุน การเปิดรับฟังความคิดเห็นหรือการติดตามคอมเม้นท์ในสื่อสังคมต่าง ๆ จะทำให้บริษัทรู้ว่าบริษัทควรจะทำอะไรหรือควรจะมีแคมเปญอะไรที่จะทำให้นักลงทุนสนใจมาซื้อหุ้นลงทุน ซึ่งจะทำให้หุ้นมีมูลค่ามากขึ้น นอกจากนั้น บริษัทก็จะใกล้ชิดกับนักลงทุนมากขึ้นและความไว้วางใจในตัวบริษัทก็จะมีมากขึ้น นี่จะเป็น “คุณค่า” ให้กับตัวหุ้นและบริษัทในทุกด้านซึ่งรวมถึงการที่นักลงทุนจะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทมากขึ้นด้วยหากว่ากิจการของบริษัทนั้นขายสินค้าผู้บริโภค

พูดถึงเรื่องนี้ ผมเองชอบใจบริษัทจดทะเบียนของเวียตนามที่เขาประกาศผลประกอบการ “ทุกเดือน” ผมไม่แน่ใจว่าจะมีงบบัญชีละเอียดหรือมาตรฐานมากน้อยแค่ไหน แต่ที่เห็นคือมีตัวเลขยอดขายและกำไรทุกเดือนซึ่งทำให้ผมสามารถติดตามได้และรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทอย่างรวดเร็วแทนที่จะต้องลุ้นถึง 3 เดือนแบบของเรา

การรู้ถึงความเป็นไปของบริษัทอย่างรวดเร็วนั้น ช่วยลดความเสี่ยงของนักลงทุนได้ เพราะถ้าประกาศงบออกมาไม่ดี เขาก็จะได้ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะทำอะไรกับหุ้น แทนที่จะต้องรอ 3 เดือนในสถานการณ์ที่หุ้นทยอยตกลงมาโดยที่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนี่ก็จะช่วยเพิ่ม “คุณค่า” ให้กับหุ้นได้

นี่ก็เช่นเดียวกับ “โปร” อื่น ไม่ใช่เรื่องของข้อบังคับของตลาด แต่เป็นเรื่องที่บริษัททำด้วยความสมัครใจและดูแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน นักลงทุนชอบซื้อ-ขายหุ้นที่ทำ “โปร”แบบนี้และเขาก็เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือ ข้อมูลรายเดือนที่เป็นเรื่องรายได้และกำไรของบริษัทจะต้องเปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์ก่อนสื่ออื่นเช่นเดียวกับรายงานงบรายไตรมาศตามปกติ และก็ต้องเป็นรายงานที่ถูกต้องแต่ไม่ต้องสอบทานแบบสมบูรณ์เหมือนรายงานที่เป็นทางการอื่น

ทั้งหมดที่เสนอมานั้น ผมเองก็ต้องออกตัวว่าคงมีคนเห็นด้วยไม่มากโดยเฉพาะคนที่อยู่ในแวดวงที่เรียกว่า “Establishment” หรือองค์กรที่เป็นสถาบันจัดตั้งที่เป็นทางการรวมถึงตลาดหลักทรัพย์ เพราะมันคงดู “แหวกแนว” เกินไป อาจจะเพราะว่า “หุ้นไม่ใช่สินค้า” ถ้าให้มีการทำ “โปรโมชั่น” จะกลายเป็นการ “ปั่นหุ้น” แล้วคนที่เข้ามาซื้อจะเจ็บตัวหนักแล้วใครจะรับผิดชอบ
ข้อถกเถียงของผมก็ตอบว่า เราก็ต้องดูว่าสิ่งที่บริษัททำนั้นจะเป็นการ “ปั่นหุ้น” หรือไม่ เราต้องมั่นใจว่าสิ่งที่บริษัทเสนอนั้น อยู่ในกรอบของกฎข้อบังคับของการเป็น “Good Governance” หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไม่อนุญาตให้ทำ

แต่ผมคิดว่าอย่างการจ่ายปันผลทุก 3 เดือนไม่น่าจะมีปัญหา เช่นเดียวกับการเปิดเผยข้อมูลผลประกอบการเร็วขึ้นอย่างสมัครใจก็ไม่น่าจะมีปัญหา หรือแม้แต่การประกาศว่าจะมีนโยบายซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องผมก็คิดว่าเป็นผลดีต่อหลาย ๆ บริษัทที่ไม่สามารถเติบโตทางธุรกิจได้แล้วจึงตัดสินใจคืนเงินให้เจ้าของก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและแน่นอนว่าไม่ใช่การปั่นหุ้น แม้ว่าหุ้นอาจจะขึ้นทันทีที่ประกาศ

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไร นี่คือสิ่งที่ผม ในฐานะ “ลูกค้า” ขาประจำที่ซื้อหุ้นในตลาดมานานอยากจะเห็น อยากได้ “โปรโมชั่น” หุ้น ที่จะให้ “คุณค่า” แบบชนิดที่ยอดเยี่ยมถูกใจใช่เลย โดยเฉพาะกับลูกค้าหุ้นแนว “VI” ที่ชอบถือหุ้นพื้นฐานดี ๆ และถือยาวนาน ส่วนบริษัทที่ทำ “โปร” ที่ขายหุ้นแย่ ๆ ซื้อแล้วมีแต่เสียหาย หลอกนักลงทุนด้วย “โปร” ที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่าของหุ้นจริง ๆ นั้น เราก็ต้องจับตาและต่อต้าน เช่นเดียวกับหน่วยงานรัฐและองค์กรของตลาดทุนที่จะต้องควบคุมและจัดการ




21 มิถุนายน 2568

[กรุงเทพประกันชีวิต][BLA][Bangkoklife] อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล

อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล ของบริษัทกรุงเทพประกันชีวิต จำกัน มหาชน [BLA][Bangkoklife] 




หมายเหตุ

* อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน คำนวณจากผลรวมของดอกเบี้ยรับ เงินปันผลรับ และกำไร/ขาดทุน จากการจำหน่ายเงินลงทุน หารด้วยสินทรัพย์ลงทุนเฉลี่ยของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผลในรอบปี

* อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนนี้มิใช่อัตราเดียวกับเงินปันผลสำหรับแบบประกันชนิดมีเงินปันผล บริษัทจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้ผู้เอาประกันภัยตามวันครบรอบปีกรมธรรม์หรือเมื่อครบกำหนดสัญญา แล้วแต่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยเงินปันผลจะขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากการลงทุนของสินทรัพย์ของกลุ่มผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผลที่แสดงนี้หลังหักด้วยต้นทุนทั้งหมดของ กรมธรรม์ประกันภัย ซึ่งบริษัทจะจัดสรรในอัตราร้อยละ 80 ให้แก่ผู้เอาประกันภัย

* อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันอัตราผลตอบแทนในอนาคต ผู้เอาประกันภัยควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำประกัน ทั้งนี้ เงินปันผลเป็นผลประโยชน์ที่ไม่รับรอง และขึ้นอยู่กับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวซึ่งอาจสูงหรือต่ำกว่าตัวเลขในอดีตที่เปิดเผยนี้

* อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ประกาศข้างต้นเป็นผลตอบแทนจากการดำเนินงานตามระยะเวลาลงทุนในแต่ละปี อัตราดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการคำนวณเพื่อกำหนดอัตราเงินปันผลสำหรับกรมธรรม์ที่มีส่วนร่วมรับเงินปันผล ในปีถัดจากปีที่ลงทุน โดยบริษัทจะ คำนวณเงินปันผลตามวันครบรอบปีกรมธรรม์ของแต่ละกรมธรรม์



20 มิถุนายน 2568

S&P 500 Index Fund: การลงทุนเรียบง่ายที่เอาชนะมือโปรได้ในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาการลงทุนระยะยาวที่ไม่ต้องคาดเดาตลาด ไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว และยังมีโอกาสได้ผลตอบแทนเหนือกว่าผู้จัดการกองทุนมืออาชีพส่วนใหญ่ — คุณมาถูกทางแล้ว

ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ S&P 500 Index Fund หรือกองทุนดัชนีที่ลงทุนตามดัชนี S&P 500



ทำความรู้จักกับ S&P 500

S&P 500 คือดัชนีตลาดหุ้นที่รวม หุ้นของบริษัทใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ พลังงาน และสินค้าอุปโภคบริโภค
  • ก่อตั้งในปี 1957 โดยบริษัท Standard & Poor’s
  • ใช้ การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (market cap weighting)
  • ถูกใช้เป็นมาตรฐานเปรียบเทียบ (benchmark) ของกองทุนและนักลงทุนทั่วโลก



10 หุ้นที่ใหญ่ที่สุดในดัชนี (กลางปี 2025)

หุ้นที่มีน้ำหนักมากสุดใน S&P 500 ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเทคโนโลยี ได้แก่:
  • Apple (AAPL)
  • Microsoft (MSFT)
  • NVIDIA (NVDA)
  • Amazon (AMZN)
  • Meta (META)
  • Alphabet (GOOGL)
  • Alphabet (GOOG)
  • Berkshire Hathaway (BRK.B)
  • Eli Lilly (LLY)
  • Tesla (TSLA)
หุ้นเหล่านี้รวมกันเกิน 30% ของน้ำหนักดัชนี



ผลตอบแทน S&P 500 ในระยะยาว

หนึ่งในเหตุผลที่นักลงทุนทั่วโลกชื่นชอบ S&P 500 ก็คือ "ผลตอบแทนระยะยาวที่มั่นคง"
  • ตั้งแต่ก่อตั้ง (1957–2024): เฉลี่ย 10.4% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 10 ปี: 12.0% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 20 ปี: 9.8% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 30 ปี: 10.2% ต่อปี
  • ย้อนหลัง 50 ปี: 10.8% ต่อปี
(รวมเงินปันผลแล้ว | คิดแบบทบต้นต่อปี: CAGR)



แล้วถ้าเทียบกับกองทุน Active ล่ะ?

ผลจาก SPIVA (S&P Indices Versus Active) รายงานว่า:
  • มากกว่า 85% ของกองทุน Active ในสหรัฐฯ ไม่สามารถชนะดัชนี S&P 500 ได้ในช่วง 10 ปีหลัง
  • ยิ่งถือยาว กองทุน Active ยิ่งแพ้ดัชนี

เหตุผล? เพราะกองทุน Active มีต้นทุนสูง (ค่าบริหาร ค่าธรรมเนียมซื้อขาย) และต้องตัดสินใจที่ผิดพลาดได้มากกว่า



ข้อดีและข้อเสียของ S&P 500 Index Fund
✅ ข้อดี
  • ค่าธรรมเนียมต่ำ: มี ETF ที่คิดค่าใช้จ่ายแค่ 0.03% ต่อปี
  • กระจายความเสี่ยงอัตโนมัติ: ลงทุนในบริษัท 500 แห่ง
  • ประวัติผลตอบแทนมั่นคง: ไม่ต้องเก่งกว่าตลาด ก็มั่งคั่งได้
  • โปร่งใส: ดูรายชื่อหุ้นในดัชนีได้ตลอดเวลา

❌ ข้อเสีย

  • ไม่สามารถชนะตลาด: ได้แค่ตามตลาด
  • อิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ: หากเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ก็อาจกระทบผลตอบแทน
  • มีความผันผวน: โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ


คนไทยลงทุนใน S&P 500 ได้อย่างไร?
1. ผ่านกองทุนรวมในไทย (Feeder Funds)
ลงทุนง่ายผ่านแอปธนาคารหรือโบรกเกอร์ เช่น:
  • SCBS&P500
  • TMBUS500
  • ONE-US500

2. ผ่าน ETF สหรัฐโดยตรง
เหมาะกับคนที่เปิดบัญชีโบรกเกอร์ต่างประเทศ เช่น:
  • VOO (Vanguard)
  • IVV (iShares)
  • SPY (SPDR)
บัญชีที่รองรับ: Interactive Brokers, Schwab, eToro ฯลฯ



สรุป: Simple but Powerful
S&P 500 Index Fund คือการลงทุนที่เรียบง่ายที่สุด แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ “ชนะตลาด” ได้ในระยะยาว ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำ และพลังของการทบต้น นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett เองยังแนะนำให้คนทั่วไปลงทุนในกองทุน S&P500

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มลงทุนตรงไหน... นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด



Prompt ChatGPT ที่อ้างอิง
เขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนดัชนี S&P500 โดยประกอบไปด้วยหัวข้อต่อไปนี้
- แนะนำดัชนี S&P500
- หุ้น 10 ตัวแรกที่อยู่ในดัชนี S&P500 ประกอบไปด้วย หุ้นอะไรบ้าง
- ผลตอบแทนย้อนหลังต่อปี ตั้งแต่ก่อตั้งดัชนี และ 10 20 30 50 ปีย้อนหลัง
- ผลการดำเนินงาน เทียบกับ active funds ตั้งแต่ก่อตั้งดัชนี
- ข้อดี ข้อเสีย
- คนไทย สามารถลงทุนในกองทุนดัชนี S&P500 ได้จากช่องทางไหนบ้าง

16 มิถุนายน 2568

เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในเดือนสิงหาคมปี 2531 อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย “อย่างแท้จริง” คือพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารกับประเทศกัมพูชาและส่งเสริมการทำธุรกิจร่วมกันกับประเทศในกลุ่มอินโดจีน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านที่มักมีเหตุกระทบกระทั่งและรบกันที่เขตชายแดนมาตลอด

พลเอกชาติชายดำรงตำแหน่งนายกประมาณ 2 ปีครึ่ง และเศรษฐกิจในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2531 เติบโตเกิน 10% ต่อปี ถึง 3 ปีติดต่อกัน กลายเป็นประเทศที่เติบโต “สูงที่สุดในโลก”

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสะท้อนการเติบโตของ GDP และการเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองของประเทศไทย โดยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากประมาณ 450 จุดในช่วงที่มีการประกาศนโยบายเป็นกว่า 1,700 จุด ในช่วงปี 2537 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 เท่าในเวลา 5 ปีครึ่งเท่ากับผลตอบแทนทบต้นประมาณ 28% ต่อปี และกลายเป็น “ยุคทอง”ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย ที่ร้อนแรงเกินไปจนต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540

เวลาผ่านมา 37 ปีแล้ว ขณะนี้ทุกอย่างในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถดถอยลงโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ—และความคิดหรือนโยบายเกี่ยวกับการเมืองการค้าและความสัมพันธ์กับนานาชาติรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และดูเหมือนว่าเราไม่ได้มีความคิดที่จะแก้ไขให้สงบลง คนหลายกลุ่มเรียกร้องให้ไทย “รบ”

ถ้าจะเปรียบไปก็คล้าย ๆ กับว่าเรากำลัง “เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ” ในยามที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นกำลังถดถอยลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

บางทีผมก็คิดว่าโลกนี้ก็มี “วัฏจักร” ของตัวเอง ช่วงที่พลเอก ชาติชายประกาศนโยบายของประเทศไทยนั้น โลกเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สงบสุขขึ้น สงครามกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ประเทศหลัก ๆ ส่วนใหญ่กำลังเปิดประเทศทำการค้าขายกันอย่างกว้างขวาง อุดมการทางการเมืองเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความคิด “ชาตินิยม” หรือ “สังคมนิยม” ที่พูดว่าเป็น “ซ้าย” หรือ “ขวา” เริ่ม “ตกยุค” มีแต่การพัฒนาการทางเศรษฐกิจให้เติบโตโดยอาศัยระบบทุนนิยมและการเปิดประเทศค้าขายกันอย่างเสรีทั่วโลกเท่านั้นที่เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับมวลมนุษยชาติ

แต่แล้ว “วัฏจักร” แห่งความรุ่งเรือง ก็เริ่มเปลี่ยนไป ย้อนหลังไปหลายปี โลกก็เริ่มมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่สงครามยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งดำเนินต่อมาถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีแล้วที่ยังหาจุดจบไม่ได้ ต่อมาก็เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และล่าสุดก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เพิ่งโจมตีทางอากาศต่อกันเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร

นอกจากสงครามจริง ๆ แบบใช้อาวุธห้ำหั่นกันแล้ว โลกยังเริ่มเห็น “สงครามยุคใหม่” ที่รัฐชาติต่อสู้กันด้วยการค้าและการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยี เพราะการบอกว่าใครหรือชาติไหนจะเป็นผู้ชนะและมีอำนาจในโลกยุคใหม่นั้น ระดับของความสามารถทางเศรษฐกิจหรือ GDP และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือสิ่งที่จะตัดสิน และนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันคือ “สงครามการค้า” ที่อาศัยการตั้งหรือกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้ประเทศได้เปรียบในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่จะทำให้ได้ชัยชนะและเป็นมหาอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต

สงครามการค้าระหว่างประเทศนั้น สุดท้ายก็ต้องสะท้อนไปยังเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ว่าที่จริง ช่วงที่ “เริ่มประกาศสงคราม” โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ของอเมริกาก็ตกลงมาอย่างแรง ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า สงครามนั้น มีแต่จะทำลายล้าง เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจรุนแรง โอกาสที่ทำสงครามแล้วชนะและทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยใน “โลกยุคใหม่” พูดง่าย ๆ สงครามในโลกยุคใหม่นั้น มีแต่ผู้เสียหายทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ ไม่เหมือนในอดีตที่ผู้ชนะมักจะร่ำรวยจากการได้ครอบครองทรัพยากรและความมั่งคั่งจากผู้แพ้

อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ หลังจากการประกาศสงครามการค้า ดัชนีหุ้นของอเมริกาเริ่มจะปรับตัวกลับขึ้นมาบ้าง หุ้นหลัก ๆ บางตัวกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมก่อนที่จะตก แต่หลายตัวก็ยังแย่อยู่มาก อาทิเช่นหุ้นอย่างเทสลาที่ประสบกับการตกต่ำลงของยอดขายและกำไรที่เป็นผลส่วนหนึ่งจากเรื่องของสงครามการค้า

เราคงต้องดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเมื่อสงครามการค้าดำเนินต่อไปยาวนานพอและเริ่มเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของคู่สงครามแต่ละฝ่าย

มองในภาพที่เล็กลงมาในระดับอุตสาหกรรมและตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราก็เริ่มเห็น “สงคราม” ที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย เริ่มตั้งแต่ “สงครามรถไฟฟ้า” ที่มีการประกาศลดราคาขายลงแบบ “บ้าคลั่ง” คืออาจจะต่ำกว่าต้นทุนโดยเฉพาะในรถจากจีน ซึ่งมองดูแล้ว การลดราคาแบบนั้นก็จะต้องโดนคู่แข่งประกาศลดราคาตามเพื่อรักษาตลาด สุดท้าย ทุกคนก็เสียหายกันหมดโดยไม่มีใครชนะ และสุดท้ายก็จะมีบริษัทหรือยี่ห้อที่ต้อง “เจ๊ง” เพราะอ่อนแอกว่า

ในประเทศไทยเองนั้น เราก็มี “สงครามส่งด่วน” ซึ่งก็เป็นสงครามระหว่างผู้ให้บริการส่งพัสดุหรือสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงมาก และแทบทุกบริษัทต่างก็พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเพื่อที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการ “ลดราคาค่าส่งอย่างบ้าระห่ำ” ผลก็คือ ทุกคนเจ็บหนัก ขาดทุนกันมากมายและบางรายก็ “เจ๊ง” ไปเลย

ในภาพยนตร์ซีรี่ที่กำลังดังมากในเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “สงครามส่งด่วน” นั้น อาจจะเห็นว่ามี “ผู้ชนะ” ที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป แต่ในชีวิตจริงผมคิดว่าทุกคนต่างก็เจ็บ “ปางตาย” และอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดแต่ว่า สงครามนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ทุกคนเจ็บและยากลำบาก ซึ่งในที่สุดก็มักจะสะท้อนลงมาที่หุ้น

เช่นเดียวกัน สงครามล่าสุดอีกกรณีหนึ่งที่ประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือสิ่งที่สื่อพาดหัวกันว่าเป็น “สงครามสุกี้” ซึ่งก็เป็นการประกาศลดราคาอาหารโดยการทำโปรโมชั่นขายสุกี้แบบบุฟเฟ่ที่ราคาต่ำมากของหลายบริษัท ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารแบบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ปรับลดราคาต่างก็เหนื่อยกันไปหมด เพราะขายอาหารได้น้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อาหารภัตตาคารนั้น เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ขายสุกี้ก็ถูกกระทบไปด้วย และหลายร้านก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องทำโปรโมชั่น สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นสงครามอาหารภัตตาคาร ที่อาจจะทำให้บริษัทที่อ่อนแอต้อง “เจ๊ง” และออกจากตลาดไป

ข้อสรุปของผมโดยรวมก็คือ ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะของความปั่นป่วน โลกมุ่งเข้าสู่การสู้รบแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือเป็นหายนะทั้งฝ่ายที่แพ้หรือชนะ มีโอกาสน้อยมากที่ผู้ชนะจะ “กินรวบ” หรือได้ประโยชน์จากสงคราม ในขณะที่ผู้แพ้นั้นมักจะเจ็บหนัก บางทีถึงตาย ดังนั้น หากมองในสายตาของนักลงทุนแล้ว การลงทุนในสถานการณ์ของสงครามจึงเป็นความเสี่ยงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรเป็นและมีโอกาสเสียหายหนัก ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงหรือรอ





09 มิถุนายน 2568

เซียนหุ้นยังต้องร้องขอชีวิต - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วงเร็ว ๆ นี้ต้องบอกว่า “ยากลำบากที่สุดในชีวิต” ตั้งแต่ผมเริ่มลงทุนมาหลังปี 2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติซับไพร์ม ไม่ใช่เพราะว่าหุ้นตกลงมามาก เพราะช่วงที่หุ้นตกลงมาในอดีตนั้นแรงและเร็วกว่าการตกของหุ้นในช่วงนี้มาก แต่เป็นเพราะว่าการตกของหุ้นในช่วงหลัง ๆ นี้ มักจะเป็นการตกลงมาอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่องยาวนาน และไม่ค่อยมีจังหวะที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงแบบที่มักจะเกิดขึ้นในอดีต นอกจากนั้น ปริมาณการซื้อขายก็ค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ ถ้ามองแบบนักเทคนิคก็อาจจะบอกว่า คนที่เล่นหุ้นหรือลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากคงจะขายหุ้นและทยอยออกจากตลาดไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ คนก็อาจจะขายไม่ได้เพราะ “ติดหุ้น” ที่ซื้อที่ต้นทุนสูงกว่าปัจจุบันมาก

การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าแม้แต่ “เซียนหุ้น” ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีหรือเอาชนะตลาดหุ้นที่ก็แย่มากอยู่แล้วได้ แม้แต่คนที่ใช้หลักการแบบ “VI” และเลือกหุ้นลงทุนโดยไม่สนใจสภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ก็อาจจะพบว่าการคาดการณ์หรือประเมินคุณค่าของธุรกิจผิดพลาดเพราะ “ธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป” หรือบางทีก็ประเมินไม่ผิด แต่ราคาและผลตอบแทนของหุ้นก็ไม่ตอบสนองอย่างที่ควรเป็น คำว่า “ในระยะยาวราคาหุ้นจะสะท้อนพื้นฐานเสมอ” นั้น อาจจะยังจริงอยู่ แต่ในระยะยาว จอห์น เมย์นาร์ด เคน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อก้องโลกบอกว่า “ทุกคนต้องตายหมด” –ก่อนที่หุ้นจะสะท้อนพื้นฐาน!

ลองมาดูย้อนหลังไปซัก 4-5 ปี ว่า “เซียนหุ้น” ชอบเล่นหุ้นตัวไหนกันบ้าง เพราะอะไร และเดี๋ยวนี้ราคาหุ้นวิ่งไปอยู่ที่ไหน

หุ้นกลุ่มแรกที่น่าจะมีส่วนทำให้เซียน VI หลาย ๆ คนรวยกันไปเลยในยุคหลังปี 2008 ที่เกิดวิกฤติซับไพร์ม ดัชนีหุ้นตกลงไปเหลือแค่ 400 จุด และนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่มีฐานะดี หลายคนเป็นนักธุรกิจหรือมีครอบครัวที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ต่างก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเม็ดเงินจำนวนมากและมีส่วนในการขับเคลื่อนราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วและตามความเข้าใจของพวกเขาก็คือ จะกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” และที่จริงในช่วงเวลาหนึ่ง หุ้นเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นซุปเปอร์สต็อกได้จริง เพราะส่วนใหญ่แล้ว Market Cap. ของมันสูงแตะ “แสนล้านบาท”

หุ้นตัวแรกก็คือ หุ้นเครื่องดื่มเพิ่มพลังงานที่กำลังเติบโตเร็วและเป็นหนึ่งในผู้นำในตลาดไทย และกำลังพยายามไปสู่ระดับโลก โดยที่นักลงทุนเชื่อว่าบริษัทมีความสามารถสูงและสามารถตีตลาดเพื่อนบ้านได้แล้ว ผลก็คือ มูลค่าหุ้นวิ่งขึ้นเป็นจรวดเกินกว่า 1 แสนล้านบาททั้ง ๆ ที่เป็น “ธุรกิจขนาดระดับกลาง ๆ” ในอุตสาหกรรมที่ “อิ่มตัว”

เวลาผ่านไปหลายปี การเติบโตของรายได้และกำไรเติบโตน้อย การเปิดตลาดต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ประเทศที่ก้าวหน้ากว่าไทยซึ่งรวมถึงจีนในวันนี้คงไม่ชอบสินค้าผู้บริโภคของไทย ในตลาดไทยเอง คนหนุ่มสาวที่มีน้อยลงยิ่งไม่เอื้อให้กับการบริโภคสินค้านี้ Market Cap. ของหุ้นลดลงเรื่อย ๆ เหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงสูงสุด และตั้งแต่ต้นปีหุ้นตกลงมาเกือบ 30%

หุ้นตัวที่สอง อยู่ในอุตสาหกรรมการเงินที่ซื้อหนี้เสียมาเก็บหนี้ต่อ ต้นทุนในการซื้อหนี้ต่ำมาก บางทีแค่ 5% ของมูลหนี้ ดังนั้น ถ้าเก็บได้ดีแค่ 10% ต่อปี ก็กำไร 100% แล้ว มูลหนี้ที่ซื้อมามีเป็นแสนล้านบาท กำไรปีหนึ่งก็เป็นพันล้านบาทแล้วและแนวโน้มก็เพิ่มขึ้นทุกปีอย่างรวดเร็ว บริษัทเก็บหนี้ “เก่งมาก” พอร์ตหนี้เป็นแสนล้านบาท ต้นทุนนิดเดียว ไม่มีอะไรมาขวางไม่ให้โตไปเรื่อย ๆ ยิ่งเศรษฐกิจแย่หนี้เสียมากบริษัทก็ยิ่งซื้อหนี้เสียได้มาก นี่คือสิ่งที่นักลงทุนเชื่อและซื้อหุ้นจน Market Cap. สูงเป็นแสนล้านบาท

รายได้รวมหลายปีต่อมาเติบโตช้า ๆ กำไรรวมก็เติบโตช้า ๆ เศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้คนไม่มาจ่ายหนี้ที่เสียไปแล้วตั้งนาน สุดท้ายคนก็อาจจะคิดว่าเดี๋ยวรัฐบาลก็ช่วยล้างเครดิตที่เสียไปนานแล้วให้กลับมาดีได้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้กู้เงินยากอยู่แล้ว

ราคาหุ้นไหลลงมาเรื่อย ๆ ทั้งที่กำไรก็ไม่ได้หายไปเพียงแต่ไม่ค่อยโต และอนาคตก็ดูไม่สดใส Market Cap. ตกลงมาเกือบ 90% จากจุดสูงสุด เฉพาะจากต้นปีนี้หุ้นตกลงมาแล้วเกือบ 50% จากซุปเปอร์สต็อก กลายเป็นบริษัทระดับกลางค่อนไปทางเล็ก หุ้นมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า คล้าย ๆ กับสถาบันการเงินระดับท็อปเกรดอื่น ๆ จากที่เคยมีค่า PE เกือบ 100 เท่า

ยังมีหุ้นแนว “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มีอาการหรือลักษณะแบบเดียวกับหุ้น 2 ตัวดังกล่าวอีกหลายตัวที่ “เซียน” เข้าไปเล่นเพราะเห็นว่าเป็นหุ้นโตเร็ว และผู้บริหารมีความสามารถสูงมาก สามารถที่จะเพิ่มรายได้และกำไรต่อเนื่องยาวนานในธุรกิจที่อุตสาหกรรม “อิ่มตัว” โดยสตอรี่ก็คือ บริษัทมีผู้บริหารที่เก่งมาก สามารถแข่งขันเอาชนะคู่แข่งและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลซึ่งทำให้ Market Cap. ในช่วงพีกสูงถึงแสนล้านบาท ทั้ง ๆ ที่เป็นบริษัท “ระดับกลาง ๆ”

และก็เช่นเดียวกัน ถึงวันนี้ หุ้นแสนล้านที่เคยเป็นขวัญใจเซียนหุ้น ก็ตกลงมา อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 50% จากจุดสูงสุด โดยที่ช่วงหนักที่สุดช่วงหนึ่งก็คือปีนี้ที่หุ้นตกลงมาไม่ต่ำกว่า 25% ในเวลาแค่ 5-6 เดือน ทั้ง ๆ ที่หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติจากช่วงที่เป็นหุ้นแสนล้านบาท

หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กไม่เกิน 10,000 ล้านบาทที่ช่วงหนึ่งในช่วงที่ “เซียนหุ้น” เข้าไปลงทุนมีสถานะเป็นหุ้นระดับกลาง คือ Market Cap. ระดับเช่น 20,000 ล้านบาทขึ้นไป นี่มักจะเป็นกลุ่มหุ้นที่อิงกับผู้บริโภค เช่น หุ้นขนมขบเคี้ยว หุ้นขนมหวานและเครื่องดื่ม หุ้นเกี่ยวกับความสวยงามทั้งหลายตั้งแต่เครื่องสำอาง ถึงคลินิกเสริมความงามและโรงพยาบาลศัลยกรรมความงามและสปา นอกจากนั้นก็ยังมีร้านอาหารและซ๊อส เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนที่เป็นเซียนแล้ว หุ้นกลุ่มนี้มีความสามารถในการแข่งขัน เพราะมียี่ห้อที่อาจจะเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับต้น ๆ ในกลุ่มธุรกิจของตนเอง สินค้าผู้บริโภคนั้น คนมักจะติดหรือคุ้นชินกับผลิตภัณฑ์ที่เคยกินเคยใช้อยู่ ดังนั้น อย่างน้อยลูกค้าก็ไม่หนีไปไหนง่าย ๆ

จริงอยู่ สินค้าจำนวนมากมีตลาดอยู่ในประเทศ ดังนั้น อุตสาหกรรมโดยรวมก็มักจะไม่ค่อยโตแล้ว แต่สินค้าหลายบริษัทก็มีตลาดใหญ่ในต่างประเทศด้วย และสตอรี่ก็คือ บริษัทจะโตขึ้นอีกมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับจีน หุ้นบางตัวก็ขายไปทั่วโลกรวมถึงยุโรปโดยเน้นไปทางด้านรสชาติแบบไทยเช่น ซอสเผ็ด หรือน้ำหวานผสมเนื้อผลไม้เช่น มะพร้าว เป็นต้น

หุ้นที่เคยโดดเด่นตัวหนึ่งขายขนมขบเคี้ยวเป็นผู้นำตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศบางส่วนโดยเฉพาะที่เป็นคนจีน ดังนั้น สตอรี่ก็คือ บริษัทจะสามารถขยายธุรกิจและเป็น “Global Brand” คือเป็นสินค้าที่จะขายไปทั่วโลก กำไรหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับภารกิจของบริษัท ราคาหุ้นวิ่งขึ้นและทำให้กลายเป็นบริษัทระดับกลาง อย่างไรก็ตาม ค่า PE ของหุ้นสูงลิ่วกว่า 100 เท่า ความคาดหวังของนักลงทุนก็คือ บริษัทจะ “ยึดครองตลาดจีน” ที่มีคนกว่าพันล้านคนที่ “ชอบ” สินค้าของบริษัท

ในช่วงหลายปีต่อมา กำไรของบริษัทยังเพิ่มขึ้นเร็วพอสมควร แต่ราคาหุ้นก็เริ่มทยอยลดลง สตอรี่เรื่องจีนถอยลงไปมาก ตลาดจีนมีปัญหา “ทางเทคนิค” หลายอย่าง ความฝันเรื่องจีนค่อย ๆ หมดไป อาจจะพร้อม ๆ กับการที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มไม่ค่อยสนใจซื้อสินค้าของบริษัทเวลามาเที่ยวไทยแล้ว ยิ่งเมื่อขึ้นปี 2568 ยอดขายและกำไรของบริษัทตกฮวบ ราคาหุ้นดิ่งเหลือไม่ถึงครึ่งของช่วงพีก และต่ำกว่าตอนสิ้นปีที่แล้วถึงกว่า 30% และทำให้ค่า PE ของหุ้นเหลือเพียงในระดับ 10 เท่าบวกลบ

และทั้งหมดนั้นก็คล้าย ๆ กับหุ้นของกินที่โดดเด่นทั้งหลายที่เหล่าเซียนเข้าไปเล่นด้วยสตอรี่ของการเติบโตโดยเฉพาะจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งก็ช่วยขับดันราคาหุ้นขึ้นไปสูงมากในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงหลังจากนั้นก็คือ ตลาดของสินค้าผู้บริโภคของไทยนั้น มักจะไม่มีความยั่งยืนที่จะเติบโตไปได้มาก และบ่อยครั้งก็จะถดถอยลงเนื่องจากความนิยมลดลง สินค้าไทยนั้น ที่สำเร็จส่วนใหญ่อาจจะเป็นแค่ “แฟชั่น” ในต่างประเทศ

หุ้นตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงทำเกี่ยวกับการศัลยกรรมเสริมความงามซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่น่าจะกำลังเติบโตในประเทศในช่วงเร็ว ๆ นี้และบริษัทเป็น “ผู้นำ” และก็กำลังพยายามขยายธุรกิจทั้งโดยตนเองและควบรวมกิจการบริษัทอื่น Market Cap. ของหุ้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นบริษัทระดับกลางที่มีมูลค่าระดับ 15,000-20,000 ล้านบาทในเวลาอันรวดเร็ว

ยอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นโดดเด่นตามคาดจนถึงสิ้นปีที่แล้ว แต่งบไตรมาศ 1 ของปีนี้กลับลดลงแรงมาก คุณภาพของธุรกิจและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมนี้คงเริ่มส่งผลให้เห็นว่านี่คือธุรกิจที่ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่ยั่งยืน สงครามราคาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะในกลุ่ม “ตลาดมวลชน” ผลก็คือ ราคาหุ้นร่วงมารุนแรงถึง 70% ในเวลาแค่ 5-6 เดือน และถ้านับจากพีก หุ้นตกลงมาแล้วเกือบ 80% ค่า PE ของหุ้นเหลือต่ำกว่า 10 เท่าจากที่เคยสูงถึงประมาณ 50 เท่า

บทสรุปของผมก็คือ หุ้นที่เซียนเข้าไปลงทุนนั้น พวกเขาเข้าไปด้วยการวิเคราะห์ในแบบของ VI โดยเฉพาะในแง่ของคุณภาพของตัวกิจการ แต่ด้วยการมองโลกในแง่ดีเกินไป อาจจะเพราะอยู่ในช่วงที่ตลาดของผลิตภัณฑ์และตลาดหุ้นที่ดี ทำให้พวกเขาให้คุณค่ากับหุ้นมากเกินไป และอาจจะมองหรือประเมินกิจการสั้นเกินไป ซึ่งนั่นทำให้เกิดความผิดพลาดในแง่ที่ว่า ประเมินหุ้นธรรมดาหรือหุ้นที่ดีพอใช้เป็นหุ้นซุปเปอร์สต็อก

และนั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมหุ้นที่เซียนซื้อหรือถืออยู่นั้น ราคาลงมาต่อเนื่อง ลงหนักมากทั้ง ๆ ที่การดำเนินธุรกิจก็ยังปกติเหมือนเดิม แต่ราคาหุ้นตกลงมา 50-80% จากจุดสูงสุด และค่า PE เหลือต่ำกว่า 10 เท่า แล้วก็ยังไม่มีคนซื้อ




07 มิถุนายน 2568

ทำไมเราชอบเปรียบเทียบเรื่องเงินกับคนอื่น?

ในปี 2018 มีการศึกษาที่น่าสนใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาฟิลาเดเฟีย พบว่าในละแวกที่มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เพื่อนบ้านรอบข้างของผู้ถูกรางวัล จะมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแม้ไม่ได้ถูกรางวัลไปด้วย มีการกู้หนี้ยืมสิน จนทำให้อัตราการล้มละลายในชุมชนนั้นๆ สูงขึ้น


นี่คือพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ความไม่พอใจ” (dissatisfaction) ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “เรายังไม่พอ” และมักนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แม้บางครั้งจะทำให้เรารู้สึกด้อย หรือไม่มีความสุขก็ตาม”

ที่ผ่านมา มีงานวิจัยทั้งด้านจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชี้ว่า ความพึงพอใจของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงของชีวิตตนเอง แต่มักขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบผู้อื่น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?



ทำไมเราถึงชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง?

หนึ่งในคำอธิบายคลาสสิกเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ด้านนี้มาจากทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) ของลีออน เฟสทิงเกอร์ (Leon Festinger) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เสนอไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ว่ามนุษย์มีแรงขับตามธรรมชาติที่จะประเมินตนเองโดยการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ทักษะ ความคิดเห็น หรือความสำเร็จ เรามักหันไปมองคนรอบข้างเพื่อหา “เกณฑ์มาตรฐาน” ในการประเมินตัวเองว่าอยู่ระดับไหนเมื่อเทียบกับสังคม

เราต้องการลดความไม่แน่ใจในคุณลักษณะของตน จึงใช้ผู้อื่นเป็นกระจกสะท้อนว่าเราดีหรือด้อยกว่าในแง่มุมต่างๆ อย่างไร การเปรียบเทียบนี้แบ่งได้เป็นสองรูปแบบหลัก คือ การเปรียบเทียบขึ้นบน (upward comparison) ซึ่งคือการเทียบกับคนที่เรามองว่าเหนือกว่า เพื่อกระตุ้นตนเองให้พัฒนา และ การเปรียบเทียบลงล่าง (downward comparison) คือการเทียบกับคนที่ด้อยกว่าเรา เพื่อทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง

แต่ในทางกลับกัน การเปรียบเทียบก็มีด้านมืดที่พร้อมจะทำร้ายความพึงพอใจในตนเอง หากเราเผลอเปรียบเทียบมากเกินไปหรือในบริบทที่ไม่สร้างสรรค์

นอกจากเหตุผลเชิงจิตวิทยาแล้ว ปรากฏการณ์นี้ยังอธิบายได้ผ่านมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและสังคมวิทยา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแนวคิด “แข่งฐานะให้ทัดเทียมเพื่อนบ้าน” (Keeping up with the Joneses) ซึ่งเป็นสำนวนพูดถึงการที่ผู้คนพยายามรักษาระดับฐานะและการใช้ชีวิตให้ไม่น้อยหน้าคนรอบข้าง

ชื่อสำนวนนี้มาจากการ์ตูนช่องของอเมริกาในช่วงปี 1910 ที่เล่าเรื่องของตัวละครหลัก Mr. & Mrs. McGinis ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ของอเมริกา พวกเขามักจะรู้สึกว่าต้องคอยเปรียบเทียบและแข่งขัน กับเพื่อนบ้านของพวกเขา ซึ่งก็คือ “ครอบครัว Jones”



ปัจจุบัน “Keeping up with the Joneses” กลายเป็นคำติดปากที่ใช้อธิบายพฤติกรรมการบริโภคที่เน้นการโอ้อวดฐานะของผู้คนที่ใส่ใจอย่างมากกับการเทียบสถานะทางสังคมของตนกับผู้อื่น

ย้อนกลับมาที่ผลศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve Bank of Philadelphia) สาขาฟิลาเดเฟีย ได้ข้อสรุปว่าเมื่อคนหนึ่งดูร่ำรวยขึ้น คนอื่นๆ รอบข้างก็มักเพิ่มการบริโภคตาม แม้จะต้องก่อหนี้ก็ตาม เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ว่า “เราก็ไม่แพ้กัน”

จะเห็นได้ว่า ทั้งจากมุมมองทางจิตวิทยาของเฟสทิงเกอร์และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมของนักวิจัยยุคใหม่ ต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ไม่เพื่อประเมินตนเองก็เพื่อรักษาหน้าในสังคม การเปรียบเทียบนี้เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งอาจกระตุ้นการแข่งขันที่สร้างสรรค์ แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็อาจกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ฉุดรั้งความสุขและก่อปัญหาปวดหัวในชีวิตตามมา

แล้วผลของการเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง ส่งผลต่อเราในแง่มุมใดบ้าง?



ความสุขและความพึงพอใจในชีวิต (Subjective Well-being):

งานวิจัยโดยนักเศรษฐศาสตร์ Erzo Luttmer ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Quarterly Journal of Economics พบว่า ในกลุ่มคนที่มีรายได้เท่ากัน คนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านซึ่งมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าจะรายงานระดับความสุขต่ำกว่าคนที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านรายได้น้อย ทั้งๆ ที่รายได้ตัวเองไม่ต่างกันเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เงินเดือนเราสูงหรือต่ำ” อาจไม่สำคัญเท่า “เงินเดือนเราเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง” ผลการศึกษานี้ตอกย้ำว่าการมีเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงานที่ร่ำรวยกว่าอาจทำให้เราพึงพอใจในชีวิตของตัวเองน้อยลง เพราะเรารู้สึกว่าตนเองกำลังตามหลังคนอื่นอยู่เสมอ

การเปรียบเทียบยังส่งผลต่อมุมมองต่อความสำเร็จของตัวเอง เรามักลดทอนคุณค่าความสำเร็จที่เรามีเมื่อเห็นว่าคนอื่นก้าวหน้าไปไกลกว่า เช่น คนวัยทำงานที่ซื้อบ้านหลังแรกได้สำเร็จ อาจเคยภูมิใจแต่พอเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันซื้อบ้านได้ใหญ่กว่าหรือมีหลายหลัง ก็อาจกลับมารู้สึกว่าของตน “ยังไม่พอ” สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การปรับตัวเชิงเปรียบเทียบ” (relative standards adaptation) คือเมื่อเราไปถึงเป้าหมายหนึ่งได้ เราจะตั้งมาตรฐานใหม่ที่สูงขึ้นโดยเทียบกับคนที่อยู่ระดับถัดไป ความพึงพอใจที่ควรจะเกิดขึ้นจึงอยู่ได้ไม่นานและถูกแทนที่ด้วยความต้องการใหม่ไม่รู้จบ

ที่น่าสนใจคือ ในบางกรณีการเปลี่ยนกรอบอ้างอิง (reference point) เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลมากต่อความรู้สึก ตัวอย่างชัดเจนมาจากสนามกีฬา: มีการศึกษาพบว่าที่โอลิมปิก ผู้ที่ได้เหรียญทองแดง (ที่ 3) มักจะมีสีหน้ามีความสุขมากกว่าผู้ได้เหรียญเงิน (ที่ 2) ทั้งที่เหรียญเงินมีอันดับสูงกว่าเหรียญทองแดงด้วยซ้ำ

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยไอโอวา (2021) วิเคราะห์ภาพนักกีฬาในพิธีรับเหรียญแล้วพบว่า เหรียญทองแดงยิ้มแย้มจริงใจมากกว่าเหรียญเงินอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลเพราะนักกีฬาที่ได้ที่ 3 มักเปรียบเทียบตนเองกับผู้ที่ได้ที่ 4 (ซึ่งไม่ได้เหรียญอะไรเลย) จึงรู้สึกโชคดีและพอใจกับการมีเหรียญติดมือ แต่ผู้ที่ได้ที่ 2 กลับเปรียบเทียบกับผู้ชนะเลิศที่ได้เหรียญทอง จึงอดคิดไม่ได้ว่า “เกือบจะได้ที่ 1 อยู่แล้วเชียว” ทำให้รู้สึกผิดหวังที่พลาดเป้าหมายสูงสุดไป กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการเลือกมุมมองในการเปรียบเทียบ (“เทียบกับใคร”) สามารถพลิกความรู้สึกจากทุกข์เป็นสุขได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จริงเลย



สุขภาพจิตและความมั่นคงทางอารมณ์:

ในยุคโซเชียลมีเดีย เรามีโอกาสสูงมากที่จะเผชิญกับการเปรียบเทียบขึ้นบนอย่างต่อเนื่อง (upward social comparison) เพราะทุกคนมักแชร์เฉพาะช่วงเวลาดีๆ ของตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ผู้รับสารอย่างเรารู้สึกว่าคนอื่น “เหนือ” กว่าเราทุกด้าน

การเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับ “ไฮไลต์” ชีวิตคนอื่นบนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องสามารถบั่นทอนสุขภาพจิต ก่อให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยและวิตกกังวลในตัวเอง



พฤติกรรมทางการเงินและหนี้สิน:

ผลพวงอีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันของการเปรียบเทียบทางสังคมคือผลกระทบต่อการเงินส่วนบุคคล หลายคนเมื่อตกอยู่ในกระแส “แข่งชีวิต” กับคนรอบข้างแล้ว ก็อาจตัดสินใจทางการเงินอย่างไม่สมเหตุสมผลเพียงเพื่อให้ตนเอง “ไม่ตกต่ำกว่า” คนอื่น

การเปรียบเทียบยังอาจผลักดันให้คนตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกิจด้วยความเสี่ยงที่เกินควร โดยขาดการวางแผนรอบคอบ เพราะความอยากประสบความสำเร็จให้ทัดเทียมผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นเพื่อนร่วมรุ่นร่ำรวยจากการลงทุนหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซีในระยะสั้น บางคนอาจตัดสินใจกระโจนลงตลาดโดยไม่ศึกษาพื้นฐานอย่างเพียงพอ นำไปสู่การขาดทุนครั้งใหญ่ได้ง่ายดาย หรือบางคนอาจเร่งกู้เงินมาลงทุนเปิดธุรกิจเพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อน แต่ขาดประสบการณ์และทุนสำรองรองรับความเสี่ยง สุดท้ายธุรกิจไปไม่รอดก็กลายเป็นหนี้พอกพูนขึ้นมาอีก

การเปรียบเทียบกับคนรอบข้างอย่างไม่ระมัดระวังสามารถส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตที่ตนมี ลดทอนความภาคภูมิใจในตัวเอง ก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต เรื่อยไปจนถึงกระทบพฤติกรรมการใช้เงินที่นำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเงินและหนี้สิน เราอาจคิดว่าการพยายาม “ตามให้ทัน” คนอื่นจะทำให้เรามีความสุขหรือได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่หลักฐานต่างๆ ชี้ตรงกันว่าในระยะยาว การเปรียบเทียบดังกล่าวกลับทำให้เราทุกข์และอาจยิ่งล้าหลังทางการเงินมากขึ้น ด้วยซ้ำ

ดังนั้น การเปรียบเทียบทางสังคมเป็นดาบสองคมที่มนุษย์ทุกคนล้วนเผชิญ ในด้านหนึ่งมันกระตุ้นให้เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากปล่อยให้มันครอบงำ ความรู้สึก “ไม่พอ” เมื่อเทียบกับคนอื่นจะกลายเป็นหลุมดำที่ดูดกลืนความสุขของเรา และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและการเงินได้



เราจำเป็นต้องฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันกลไกนี้ รู้ว่าเมื่อไรที่การเปรียบเทียบกำลังทำร้ายเรา และใช้กลยุทธ์ต่างๆ ทั้งการปรับมุมมอง ความคิด และการจัดระเบียบสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อดึงตนเองออกจากกับดักดังกล่าว การกำหนดนิยามความสำเร็จในแบบของเราเอง เปลี่ยนไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่เหมาะสม การมีสังคมที่สนับสนุน รวมถึงการวางระบบการเงินที่มีวินัย ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในแบบฉบับของตัวเองโดยไม่ต้องวิ่งแข่งกับเงาของใคร เมื่อเราหยุดเปรียบเทียบ เราจะค้นพบว่าความสุขสงบและความมั่งคั่งที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอมรับในเส้นทางของตัวเอง และรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีอย่างแท้จริง



01 มิถุนายน 2568

พยากรณ์ซากุระ ญี่ปุ่น 2025 (Cherry Blossom Forecast Japan 2025)

 

Note: ช่วงเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่ละปี ต้องตรวจสอบข้อมูลพยากรณ์ล่าสุดที่เว็บ https://livejapan.com/en/article-a0001033/


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)