07 มิถุนายน 2568

ทำไมเราชอบเปรียบเทียบเรื่องเงินกับคนอื่น?

ในปี 2018 มีการศึกษาที่น่าสนใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาฟิลาเดเฟีย พบว่าในละแวกที่มีคนถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เพื่อนบ้านรอบข้างของผู้ถูกรางวัล จะมียอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแม้ไม่ได้ถูกรางวัลไปด้วย มีการกู้หนี้ยืมสิน จนทำให้อัตราการล้มละลายในชุมชนนั้นๆ สูงขึ้น


นี่คือพฤติกรรมทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย “ความไม่พอใจ” (dissatisfaction) ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “เรายังไม่พอ” และมักนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แม้บางครั้งจะทำให้เรารู้สึกด้อย หรือไม่มีความสุขก็ตาม”

ที่ผ่านมา มีงานวิจัยทั้งด้านจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมชี้ว่า ความพึงพอใจของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความจริงของชีวิตตนเอง แต่มักขึ้นอยู่กับการเปรียบเทียบผู้อื่น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?



ทำไมเราถึงชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง?

หนึ่งในคำอธิบายคลาสสิกเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ด้านนี้มาจากทฤษฎีการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison Theory) ของลีออน เฟสทิงเกอร์ (Leon Festinger) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ผู้เสนอไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1954 ว่ามนุษย์มีแรงขับตามธรรมชาติที่จะประเมินตนเองโดยการเปรียบเทียบกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ทักษะ ความคิดเห็น หรือความสำเร็จ เรามักหันไปมองคนรอบข้างเพื่อหา “เกณฑ์มาตรฐาน” ในการประเมินตัวเองว่าอยู่ระดับไหนเมื่อเทียบกับสังคม

เราต้องการลดความไม่แน่ใจในคุณลักษณะของตน จึงใช้ผู้อื่นเป็นกระจกสะท้อนว่าเราดีหรือด้อยกว่าในแง่มุมต่างๆ อย่างไร การเปรียบเทียบนี้แบ่งได้เป็นสองรูปแบบหลัก คือ การเปรียบเทียบขึ้นบน (upward comparison) ซึ่งคือการเทียบกับคนที่เรามองว่าเหนือกว่า เพื่อกระตุ้นตนเองให้พัฒนา และ การเปรียบเทียบลงล่าง (downward comparison) คือการเทียบกับคนที่ด้อยกว่าเรา เพื่อทำให้เรารู้สึกดีขึ้นกับตัวเอง

แต่ในทางกลับกัน การเปรียบเทียบก็มีด้านมืดที่พร้อมจะทำร้ายความพึงพอใจในตนเอง หากเราเผลอเปรียบเทียบมากเกินไปหรือในบริบทที่ไม่สร้างสรรค์

นอกจากเหตุผลเชิงจิตวิทยาแล้ว ปรากฏการณ์นี้ยังอธิบายได้ผ่านมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและสังคมวิทยา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแนวคิด “แข่งฐานะให้ทัดเทียมเพื่อนบ้าน” (Keeping up with the Joneses) ซึ่งเป็นสำนวนพูดถึงการที่ผู้คนพยายามรักษาระดับฐานะและการใช้ชีวิตให้ไม่น้อยหน้าคนรอบข้าง

ชื่อสำนวนนี้มาจากการ์ตูนช่องของอเมริกาในช่วงปี 1910 ที่เล่าเรื่องของตัวละครหลัก Mr. & Mrs. McGinis ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาชนชั้นกลางที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ของอเมริกา พวกเขามักจะรู้สึกว่าต้องคอยเปรียบเทียบและแข่งขัน กับเพื่อนบ้านของพวกเขา ซึ่งก็คือ “ครอบครัว Jones”



ปัจจุบัน “Keeping up with the Joneses” กลายเป็นคำติดปากที่ใช้อธิบายพฤติกรรมการบริโภคที่เน้นการโอ้อวดฐานะของผู้คนที่ใส่ใจอย่างมากกับการเทียบสถานะทางสังคมของตนกับผู้อื่น

ย้อนกลับมาที่ผลศึกษาของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve Bank of Philadelphia) สาขาฟิลาเดเฟีย ได้ข้อสรุปว่าเมื่อคนหนึ่งดูร่ำรวยขึ้น คนอื่นๆ รอบข้างก็มักเพิ่มการบริโภคตาม แม้จะต้องก่อหนี้ก็ตาม เพียงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ว่า “เราก็ไม่แพ้กัน”

จะเห็นได้ว่า ทั้งจากมุมมองทางจิตวิทยาของเฟสทิงเกอร์และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมของนักวิจัยยุคใหม่ ต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า มนุษย์มีแนวโน้มจะเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นโดยอัตโนมัติ ไม่เพื่อประเมินตนเองก็เพื่อรักษาหน้าในสังคม การเปรียบเทียบนี้เปรียบเสมือนเหรียญสองด้าน ด้านหนึ่งอาจกระตุ้นการแข่งขันที่สร้างสรรค์ แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็อาจกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ฉุดรั้งความสุขและก่อปัญหาปวดหัวในชีวิตตามมา

แล้วผลของการเปรียบเทียบกับคนรอบข้าง ส่งผลต่อเราในแง่มุมใดบ้าง?



ความสุขและความพึงพอใจในชีวิต (Subjective Well-being):

งานวิจัยโดยนักเศรษฐศาสตร์ Erzo Luttmer ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Quarterly Journal of Economics พบว่า ในกลุ่มคนที่มีรายได้เท่ากัน คนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านซึ่งมีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าจะรายงานระดับความสุขต่ำกว่าคนที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้านรายได้น้อย ทั้งๆ ที่รายได้ตัวเองไม่ต่างกันเลย

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “เงินเดือนเราสูงหรือต่ำ” อาจไม่สำคัญเท่า “เงินเดือนเราเมื่อเทียบกับคนรอบข้าง” ผลการศึกษานี้ตอกย้ำว่าการมีเพื่อนบ้านหรือเพื่อนร่วมงานที่ร่ำรวยกว่าอาจทำให้เราพึงพอใจในชีวิตของตัวเองน้อยลง เพราะเรารู้สึกว่าตนเองกำลังตามหลังคนอื่นอยู่เสมอ

การเปรียบเทียบยังส่งผลต่อมุมมองต่อความสำเร็จของตัวเอง เรามักลดทอนคุณค่าความสำเร็จที่เรามีเมื่อเห็นว่าคนอื่นก้าวหน้าไปไกลกว่า เช่น คนวัยทำงานที่ซื้อบ้านหลังแรกได้สำเร็จ อาจเคยภูมิใจแต่พอเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันซื้อบ้านได้ใหญ่กว่าหรือมีหลายหลัง ก็อาจกลับมารู้สึกว่าของตน “ยังไม่พอ” สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับหลักจิตวิทยาที่เรียกว่า “การปรับตัวเชิงเปรียบเทียบ” (relative standards adaptation) คือเมื่อเราไปถึงเป้าหมายหนึ่งได้ เราจะตั้งมาตรฐานใหม่ที่สูงขึ้นโดยเทียบกับคนที่อยู่ระดับถัดไป ความพึงพอใจที่ควรจะเกิดขึ้นจึงอยู่ได้ไม่นานและถูกแทนที่ด้วยความต้องการใหม่ไม่รู้จบ

ที่น่าสนใจคือ ในบางกรณีการเปลี่ยนกรอบอ้างอิง (reference point) เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลมากต่อความรู้สึก ตัวอย่างชัดเจนมาจากสนามกีฬา: มีการศึกษาพบว่าที่โอลิมปิก ผู้ที่ได้เหรียญทองแดง (ที่ 3) มักจะมีสีหน้ามีความสุขมากกว่าผู้ได้เหรียญเงิน (ที่ 2) ทั้งที่เหรียญเงินมีอันดับสูงกว่าเหรียญทองแดงด้วยซ้ำ

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยไอโอวา (2021) วิเคราะห์ภาพนักกีฬาในพิธีรับเหรียญแล้วพบว่า เหรียญทองแดงยิ้มแย้มจริงใจมากกว่าเหรียญเงินอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลเพราะนักกีฬาที่ได้ที่ 3 มักเปรียบเทียบตนเองกับผู้ที่ได้ที่ 4 (ซึ่งไม่ได้เหรียญอะไรเลย) จึงรู้สึกโชคดีและพอใจกับการมีเหรียญติดมือ แต่ผู้ที่ได้ที่ 2 กลับเปรียบเทียบกับผู้ชนะเลิศที่ได้เหรียญทอง จึงอดคิดไม่ได้ว่า “เกือบจะได้ที่ 1 อยู่แล้วเชียว” ทำให้รู้สึกผิดหวังที่พลาดเป้าหมายสูงสุดไป กรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าการเลือกมุมมองในการเปรียบเทียบ (“เทียบกับใคร”) สามารถพลิกความรู้สึกจากทุกข์เป็นสุขได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงสถานการณ์จริงเลย



สุขภาพจิตและความมั่นคงทางอารมณ์:

ในยุคโซเชียลมีเดีย เรามีโอกาสสูงมากที่จะเผชิญกับการเปรียบเทียบขึ้นบนอย่างต่อเนื่อง (upward social comparison) เพราะทุกคนมักแชร์เฉพาะช่วงเวลาดีๆ ของตนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้ผู้รับสารอย่างเรารู้สึกว่าคนอื่น “เหนือ” กว่าเราทุกด้าน

การเปรียบเทียบชีวิตตนเองกับ “ไฮไลต์” ชีวิตคนอื่นบนโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องสามารถบั่นทอนสุขภาพจิต ก่อให้เกิดความรู้สึกต่ำต้อยและวิตกกังวลในตัวเอง



พฤติกรรมทางการเงินและหนี้สิน:

ผลพวงอีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันของการเปรียบเทียบทางสังคมคือผลกระทบต่อการเงินส่วนบุคคล หลายคนเมื่อตกอยู่ในกระแส “แข่งชีวิต” กับคนรอบข้างแล้ว ก็อาจตัดสินใจทางการเงินอย่างไม่สมเหตุสมผลเพียงเพื่อให้ตนเอง “ไม่ตกต่ำกว่า” คนอื่น

การเปรียบเทียบยังอาจผลักดันให้คนตัดสินใจลงทุนหรือทำธุรกิจด้วยความเสี่ยงที่เกินควร โดยขาดการวางแผนรอบคอบ เพราะความอยากประสบความสำเร็จให้ทัดเทียมผู้อื่นอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นเพื่อนร่วมรุ่นร่ำรวยจากการลงทุนหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซีในระยะสั้น บางคนอาจตัดสินใจกระโจนลงตลาดโดยไม่ศึกษาพื้นฐานอย่างเพียงพอ นำไปสู่การขาดทุนครั้งใหญ่ได้ง่ายดาย หรือบางคนอาจเร่งกู้เงินมาลงทุนเปิดธุรกิจเพื่อไม่ให้น้อยหน้าเพื่อน แต่ขาดประสบการณ์และทุนสำรองรองรับความเสี่ยง สุดท้ายธุรกิจไปไม่รอดก็กลายเป็นหนี้พอกพูนขึ้นมาอีก

การเปรียบเทียบกับคนรอบข้างอย่างไม่ระมัดระวังสามารถส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่ทำให้เรารู้สึกไม่มีความสุขกับชีวิตที่ตนมี ลดทอนความภาคภูมิใจในตัวเอง ก่อให้เกิดความเครียดและปัญหาสุขภาพจิต เรื่อยไปจนถึงกระทบพฤติกรรมการใช้เงินที่นำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการเงินและหนี้สิน เราอาจคิดว่าการพยายาม “ตามให้ทัน” คนอื่นจะทำให้เรามีความสุขหรือได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่หลักฐานต่างๆ ชี้ตรงกันว่าในระยะยาว การเปรียบเทียบดังกล่าวกลับทำให้เราทุกข์และอาจยิ่งล้าหลังทางการเงินมากขึ้น ด้วยซ้ำ

ดังนั้น การเปรียบเทียบทางสังคมเป็นดาบสองคมที่มนุษย์ทุกคนล้วนเผชิญ ในด้านหนึ่งมันกระตุ้นให้เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง แต่ในอีกด้านหนึ่ง หากปล่อยให้มันครอบงำ ความรู้สึก “ไม่พอ” เมื่อเทียบกับคนอื่นจะกลายเป็นหลุมดำที่ดูดกลืนความสุขของเรา และนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตและการเงินได้



เราจำเป็นต้องฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันกลไกนี้ รู้ว่าเมื่อไรที่การเปรียบเทียบกำลังทำร้ายเรา และใช้กลยุทธ์ต่างๆ ทั้งการปรับมุมมอง ความคิด และการจัดระเบียบสิ่งแวดล้อมรอบตัว เพื่อดึงตนเองออกจากกับดักดังกล่าว การกำหนดนิยามความสำเร็จในแบบของเราเอง เปลี่ยนไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่เหมาะสม การมีสังคมที่สนับสนุน รวมถึงการวางระบบการเงินที่มีวินัย ล้วนเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขในแบบฉบับของตัวเองโดยไม่ต้องวิ่งแข่งกับเงาของใคร เมื่อเราหยุดเปรียบเทียบ เราจะค้นพบว่าความสุขสงบและความมั่งคั่งที่แท้จริงในชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอมรับในเส้นทางของตัวเอง และรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เรามีอย่างแท้จริง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)