28 พฤษภาคม 2553

ครบรอบ 30 ปี เกมส์ pac man

ครบรอบ 30 ปี เกมส์ pac man



my high score

เกมส์ pac man ออนไลน์จากกูเกิ้ลเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 30 ปี
ลองเล่นได้ที่ http://www.google.com/pacman ครับ


27 พฤษภาคม 2553

Uncommon Profits 'ฟิลลิป ฟิชเชอร์'


Uncommon Profits 'ฟิลลิป ฟิชเชอร์'


สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) บุคคลที่เป็นนักลงทุนต้นแบบอีกคนคือ ฟิลลิป ฟิชเชอร์ (Philip A. Fisher) แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนเอกของโลกยังเคยพูดอยู่เสมอว่าวิธีการลงทุนของเขานั้น 70% มาจากเบนจามิน เกรแฮม อีก 30% มาจากฟิลลิป ฟิชเชอร์ เขาผู้นี้เป็นใคร ทำไมนักลงทุนระดับบัฟเฟตต์ ถึงได้กล่าวไว้เช่นนั้น เราลองมาดูประวัติ และแนวทางการลงทุนของเขากัน

เมื่อปี 1931 หลังจากผ่านการอบรมนักวิเคราะห์ที่ธนาคารซานฟรานซิสโก ฟิชเชอร์เริ่มอาชีพการลงทุนด้วยการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในบริษัทของเขาเอง เขาเชี่ยวชาญในการลงทุนในธุรกิจที่เขารู้จักดี ซึ่งมักเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ได้มาจากการวิจัยและพัฒนา ฟิชเชอร์เริ่มใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบนี้ก่อนการเกิดของซิลิคอน วัลเลย์ ถึง 40 ปี

ในช่วงแรกบริษัทที่เขาแนะนำให้ลูกค้าซื้อมักเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีไม่สูงนัก (Low-tech) เช่นบริษัทเคมีภัณฑ์ใหญ่ๆ หรือบริษัทผลิตเครื่องจักรอาหาร หลังจากนั้นเขาก็ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนที่เห็นถึงคุณค่าของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูง (Hi-tech) อย่างโมโตโรล่า (Motorola) หรือเท็กซัส อินสทรูเมนท์ (Texas Instruments)

ฟิชเชอร์ ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทเท็กซัส อินสทรูเม้นต์ ในปี 1956 นานมากก่อนที่บริษัทนี้จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ในปี 1970 เมื่อเริ่มแรกราคาหุ้นซื้อขายที่ 2.7 เหรียญ และหลังจากนั้นราคาก็ขึ้นไปถึง 200 เหรียญ เพิ่มขึ้น 7,400% โดยที่ไม่เคยจ่ายปันผลเลย เขาได้รับผลตอบแทนที่สูงมากจากการลงทุนในบริษัทนี้ โดยถือหุ้นไว้ไม่ได้ขายตลอดเวลากว่า 20 ปี

ขณะที่เขามีอายุได้ 90 ปี ฟิชเชอร์ยังคงทำงานในลักษณะเดิมอย่างที่เคยทำ โดยนั่งรถไฟไปทำงาน เขาเป็นคนที่ใช้เหตุผล และยึดหลักปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยจะเลือกลงทุนในบริษัทที่ได้ทำการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ โดยศึกษาจากแหล่งความรู้ต่างๆ การสัมภาษณ์ผู้บริหารและคู่แข่งของบริษัท และสิ่งนี้ทำให้เขาเข้าถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ก่อนใคร เขาเรียกวิธีการนี้ว่าการเข้าหาข้อมูลจนถึงแก่น (Scuttlebutt)

ฟิชเชอร์เขียนไว้ในหนังสือ Common Stocks and Uncommon Profits ที่ตีพิมพ์ในปี 1958 ว่านักลงทุนที่สนใจลงทุนในหุ้นบริษัทใหม่ที่มีการเติบโต (Young growth stock) ควรดำเนินการดังนี้
1. อ่านข้อมูลทุกอย่างที่หาได้ ทั้งจากวารสารและรายงานของบริษัทหลักทรัพย์
2. สนทนากับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกิจการ เช่นผู้จัดการ พนักงาน โดยเฉพาะกับผู้ป้อนวัตถุดิบ ลูกค้า คู่แข่ง
3. เยี่ยมชมสถานที่ทำงานในจุดต่างๆ ของบริษัท เช่นโรงงาน สาขา ถ้าเป็นไปได้ ไม่ควรไปแค่สำนักงานใหญ่
4. ก่อนที่จะซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ จะต้องแน่ใจว่าสามารถตอบคำถามทางด้านปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทนั้นๆ ได้ทั้งหมด เช่น บริษัทนี้มีสินค้า หรือบริการที่มีศักยภาพทางการตลาด ที่สามารถทำยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในอีกหลายๆ ปีข้างหน้าได้หรือไม่ หรือผู้บริหารของบริษัทมีแนวทางในการพัฒนาสินค้าใหม่ หรือขบวนการใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขายสินค้า ในขณะที่สินค้าชนิดเดิมก็ยังคงมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง เป็นต้น

ฟิชเชอร์ถือหุ้นเพียงสองหรือสามบริษัทและถือไว้นานมากเป็นเวลากว่าสิบปี เขามีเหตุผลเพียงสามประการที่จะตัดสินใจขายหุ้นออกไปจากพอร์ต
1. เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการวิเคราะห์หุ้นที่ซื้อมาแล้ว
2. บริษัทนั้นมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถผ่านหลักเกณฑ์ต่างๆ ได้เหมือนที่เคยเป็น
3. สามารถที่จะนำเงินลงทุนในบริษัทเดิมไปลงทุนในบริษัทอื่นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่ามากๆ และก่อนจะตัดสินใจลงไปต้องแน่ใจว่ามีเหตุผลที่หนักแน่นพอ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100510/114917/Uncommon-Profits-ฟิลลิป-ฟิชเชอร์.html


26 พฤษภาคม 2553

10 วิธีระงับใจร้อน

10 วิธีระงับใจร้อน

โลกร้อน อากาศร้อน ความร้อนในใจของคนเราก็พุ่งสูงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจะพาไปหาวิธีคลายร้อนในใจแบบง่ายๆ สำหรับใครที่กำลังมีปัญหารุ่มร้อนใจ เพราะจิตใจของคนเรานั้น

บางครั้งก็แข็งแกร่งดังหินผา บางครั้งก็อ่อนแอราวปุยนุ่น ดังนั้นเราจึงควรบริหารจิตใจของเราทุกวันให้รับสิ่งที่จะเข้ามากระทบจิตใจได้


เพราะปัญหาที่ผ่านเข้ามาในวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้าก็จะถอยห่างออกไป ลองย้อนกลับไปมองเรื่องราวที่ผ่านมา จะเห็นว่าบางเรื่องที่ตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็กลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อากาศร้อนอย่างเดียวก็พอแล้ว อย่าปล่อยให้ใจร้อนตามไปด้วยเลย


นับหนึ่งให้ถึงสิบ

เริ่มจากวิธีพื้นฐานอย่างนับเลขในใจ เวลาที่เราโกรธใครให้ลองนับหนึ่งถึงสิบ หรือจะนับถึงร้อยถึงพันก็คงไม่มีใครว่า เพราะการนับเลขจะส่งผลให้เรามีสมาธิ และยังได้มีเวลาไตร่ตรองคิดถึงสิ่งที่ผู้อื่นทำกับเรา และสิ่งที่เรากำลังคิดจะทำด้วย


ปล่อยวาง ไม่ยึดติด
ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะคนเรามีอัตตามากเกินไป หากเราลองเปลี่ยนความคิด ไม่ยึดติดกับตัวตน แล้วลองคิดว่าสุดท้ายวันหนึ่งเราก็ต้องแตกดับ และสลายไป วนเวียนเป็นวัฏจักรเช่นนี้เรื่อยไป เพราะฉะนั้นถ้าเรายอมรับกับวัฏจักรแห่งการเกิด-ดับนี้แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดๆ ก็คงเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

เข้าหูซ้ายทะลุหุขวา
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะครับ เพราะปกติแล้ว คำว่า "ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา" นั้นเขาใช้เปรียบเปรยคนที่ฟังอะไรแล้วไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่รับความคิดใหม่ๆ เข้ามา แต่ตอนนี้ผมกำลังหมายถึง ถ้าเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว การฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวานั้นนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้เราไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ใครกล่าวมา


คิดมากไปหรือเปล่า
อาการคิดมากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเครียดได้ ยิ่งอากาศร้อนๆ ยิ่งเหตุการณ์อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ร้อนรน เมื่อเกิดเรื่องก็จะยิ่งเก็บมาคิด จนไม่เป็นอันกินอันนอน ลองเปลี่ยนจากความคิดเรื่องแย่ๆ เปลี่ยนเป็นคิดเรื่องดีๆ บ้างสิครับ เพราะความคิดนั้นเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของเรา ไม่เชื่อลองทำดู คิดดี ทำดี เท่านี้พอ


ฝึกสมาธิ
การฝึกสมาธิให้ใจสงบนั้นมีหลายรูปแบบ จะนั่งสมาธิหรือเดินสมาธิก็ได้ อย่างที่ผมเคยเขียนในเล่มก่อนๆ ว่าเมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติก็เกิดปัญญา เวลาเกิดปัญหาก็จะมีทางแก้ไข


รู้เขารู้เรา
บางครั้งแค่เราลองมองใส่ใจนิสัยของคนรอบข้างบ้าง ก็สามารถที่จะทำให้เราอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เราจะต้องรู้จักระงับสติอารมณ์ของเราด้วยเพราะเมื่อเราทราบแล้วว่าเขาเป็นคนแบบนี้ หากเรารับนิสัยเขาไม่ได้ ก็ให้อยู่ห่างๆ เข้าไว้เป็นดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมีเรื่องมีราวกัน


ขอโทษ คำนี้พูดได้
หากเราทำผิด การใช้คำว่าขอโทษนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด ไม่ใช่เรื่องยากเลย ถ้าเราจะต้องเอ่ยคำขอโทษ เพราะคำๆ นี้ไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีของเราตกต่ำลงหากแต่เป็นการรู้จักยอมรับในสิ่งที่ตนเองผิดต่างหาก อีกทั้งยังจะทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายคลี่คลายลงได้อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรใช้คำขอโทษอย่างพร่ำเพรื่อเพราะจะทำให้ติดเป็นนิสัยที่ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ระมัดระวัง

ยิ้มแห่งสยาม
รอยยิ้มสร้างโลกนี้ให้สดใสได้ เหมือนดังคำที่บอกว่า "ถ้าคุณยิ้ม โลกก็จะยิ้มให้คุณ" เพียงแค่คุณไปไหนแล้วมีแต่รอยยิ้มให้คนรอบข้าง คนรอบข้างก็จะอารมณ์ดีขึ้นไปด้วย

หายใจเข้า-ออกลึกๆ
การหายใจเข้าออกลึกๆ นานๆ จะทำให้เราได้มีสติยั้งคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และทำให้ร่างกายเราได้รับการผ่อนคลายจากลมหายใจที่รับเข้าและส่งออก ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไปในช่วงเวลาที่มีอารมณ์โกรธ ลองหายใจลึกๆ เข้า - ออก อย่างช้าๆ จะช่วยให้สถานการณ์รอบข้างดีขึ้น


ไม่หนีแต่ไม่ปะทะ
หากเราไม่สามารถจะทำอะไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ แต่จะเก็บเอาไว้ก็กลัวจะกลายเป็นคนเก็บกดจะเดินหนีก็จะกลายเป็นคนไม่ยอมรับความจริง หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ คงต้องใช้สติที่รอบคอบตัดสินใจในการแก้ปัญหา รับฟังสิ่งที่ผู้อื่นว่ามา แล้วก็นำไปปรับปรุงในส่วนที่ไม่ดี หากแต่เป็นสิ่งที่เขาพูดพร่ำเพรื่อก็ไม่ต้องกังวลให้เสียเวลา เลิกคิดไปเลย ไม่จำเป็นต้องไปต่อปากต่อคำด้วย เพราะการทำเช่นนั้น ไม่ได้ส่งผลดีอะไรขึ้นมาเลย

from http://variety.teenee.com/foodforbrain/26690.html


25 พฤษภาคม 2553

บทเรียนจากกรีซ - ดร กอบศักดิ์ ภูตระกูล


บทเรียนจากกรีซ - ดร กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ในช่วง 2-3 เดือน ที่ผ่านมา สถานการณ์เศรษฐกิจของกรีซ ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และลุกลามจนกลายเป็นวิกฤต หลายคนสนใจว่า บทเรียนจากกรีซคืออะไร วันนี้อยากมาเล่าให้ฟังถึงที่มาของปัญหา และสาเหตุที่ทำให้ปัญหาลุกลามขึ้นถึงขนาดนี้

ปัญหาเกิดจากอะไร


ถ้าตอบสั้นๆ ก็ต้องบอกว่า มาจาก “การใช้จ่ายเกินตัว ใช้ชีวิตสุขสบายเกินไป เกินกำลัง เกินอัตภาพ”


คนที่ใช้จ่ายเกินตัวในกรณีนี้ ก็คือ ภาครัฐ ที่แต่ละปีจ่ายออกไปมากกว่าภาษีที่ได้มา ลงไปในโครงการประชานิยม รวมถึงให้สวัสดิการต่างๆ เอาใจประชาชน เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนขาดดุลการคลังต่อเนื่องกันหลายต่อหลายปี

ถ้าจะว่าไป รัฐบาลกรีซไม่น่าสามารถจะกู้เงินมาใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุหร่ายได้มากขนาดนี้ ปัญหาไม่ควรมาไกลถึงเพียงนี้ เมื่อหนี้ภาครัฐกรีซเริ่มเพิ่มขึ้น สูงแซงประเทศอื่นๆ นักลงทุนก็น่าจะเริ่มกังวลใจได้แล้ว และเฉลียวใจว่าถ้ากรีซยังกู้ยืมแบบนี้ ท่าทางจะไปไม่รอด ซึ่งนำไปสู่คิดดอกเบี้ยให้แพงขึ้นเรื่อยๆ หรือลดการให้กู้ยืมแต่เนิ่นๆ ท้ายสุดกรีซก็จะกู้ยืมได้ไม่มากนัก ต้องลดการใช้จ่ายลง หนี้ภาครัฐก็คงจะไม่สามารถสูงไปถึง 115% ของรายได้ประเทศ เช่นที่เกิดขึ้น

แต่กลไกดังกล่าวกลับไม่ทำงาน ส่วนหนึ่งมาจาก (1) การที่กรีซเป็นสมาชิกของกลุ่มยูโร อาศัยเครดิตของเยอรมันมาทำให้กรีซดูดีมากในสายตาของนักลงทุน และในสายตาของสถาบันจัดอันดับเครดิตของโลก ซึ่งเป็นสิ่งมาบังตาของทุกคน ยอมปล่อยเงินให้กรีซยืมต่อไปด้วยดอกเบี้ยที่ไม่แพงนัก ไม่น่าแปลกใจว่ากรีซจึงสามารถใช้เงินแบบสนุกมือ

ยิ่งไปกว่านั้น (2) รัฐบาลกรีซเอง ยังมีการตกแต่งตัวเลขการใช้จ่าย โดยไปซุกซ่อนทำธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อนกับบริษัท Goldman Sachs ตั้งแต่ปี 2001 เพื่อลดตัวเลขการขาดดุลการคลัง และหนี้ภาครัฐลง ผลักภาระออกในอนาคต

ทั้งหมดนี้ทำให้ฐานะการคลังของกรีซเปราะบางมาก เป็นประเทศที่มีหนี้ภาครัฐสูงสุดในกลุ่มยูโร ครั้นเกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว กรีซต้องใช้จ่ายเงินอีกเป็นจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สถานการณ์ด้านการคลังก็ทรุดลง ครั้นเมื่อความเป็นจริงเรื่องตัวเลขการขาดดุลการคลัง ที่ซุกซ่อนเอาไว้เปิดเผยออกมาซ้ำเติม ทั้งหมดจึงกลายเป็นชนวนนำมาซึ่งวิกฤตความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลกรีซ และปัญหาในปัจจุบัน

ที่น่าสนใจก็คือ ช่วงแรกที่กรีซเริ่มแสดงอาการของปัญหา กรีซยังพอมีเวลาที่จะปรับปรุงตนเอง โดยลดการใช้จ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อลดการขาดดุลที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลง แสดงถึงวินัยการคลังของตนเอง ซึ่งจะให้เจ้าหนี้และนักลงทุนเชื่อใจว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ อีกทั้งกรีซก็มีตัวช่วย คือ ประเทศในกลุ่มยูโรที่จะยืนมือเข้ามาหากปัญหาลุกลาม

แต่สิ่งที่น่าเสียใจก็คือ กรีซเลือกที่จะไม่ยอมรับว่าตนเองมีปัญหา ไม่ยอมแก้ไขแต่เนิ่นๆ มีปัญหาประท้วงอย่างรุนแรงเกิดขึ้นต่อเนื่องในประเทศ โดยสหภาพแรงงานกรีซไม่ยอมที่จะให้รัฐบาลลดการใช้จ่ายลง อีกทั้งประเทศในกลุ่มยูโรก็มีปัญหาทางการเมืองภายใน เตะถ่วงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือกรีซให้รวดเร็วและเพียงพอแต่เนิ่นๆ ตรงนี้ จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้วิกฤตความเชื่อมั่นลุกลาม และทำให้กรีซกลายเป็นเหยื่อของนักเก็งกำไร โดยเฉพาะการเก็งกำไรในตลาดพันธบัตรและตลาด CDS ของกรีซ และเมื่อสถาบันจัดอันดับเครดิต S&P ออกมาประกาศซ้ำเติม โดยลดอันดับของกรีซลง 3 ขั้นในครั้งเดียว พันธบัตรกรีซกลายเป็น Junk Bond ไม่เหมาะต่อการลงทุน สถานการณ์ก็ทรุดตัวลง

พอลองกลับมานั่งคิดดู เราเรียนรู้อะไรจากกรีซ (1) ต้องกันไว้ก่อน อย่าทำตัวเปราะบาง รักษาวินัยตลอดเวลา เพราะถ้าเรามีวินัย ฐานะเราไม่เปราะบาง เราก็จะไม่เป็นเหยื่อได้ง่าย (2) ทำอะไรตรงไปตรงมา เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่สร้างมาได้ยาก และตอนที่หายไป หายไปง่าย และ (3) เมื่อเกิดปัญหา ก็ให้แก้แต่เนิ่นๆ อย่ารอช้า เพราะถ้าปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยมามาก การจะแก้ก็ทำได้ยาก เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ก็เป็นเหยื่อของนักเก็งกำไรไปแล้ว อยู่ใต้กงเล็บของเขาแล้ว การจะออกหลุดออกจากตรงนั้น เป็นไปได้ยาก

ก็หวังว่าไทยและประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะใช้กรีซเป็นอุทาหรณ์และเร่งที่จะสร้างวินัยทางเศรษฐกิจของตนให้เกิดขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ขอเอาใจช่วยครับ

from http://www.kobsak.com/?p=3258


24 พฤษภาคม 2553

พ่อมดกองทุน Windsor "จอห์น เนฟฟ์"


พ่อมดกองทุน Windsor "จอห์น เนฟฟ์"

สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า บุคคลที่เป็นนักลงทุนต้นแบบอีกคนคือ จอห์น เนฟฟ์ (John Neff)

เนฟฟ์เป็นผู้จัดการกองทุนรวมแวนการ์ด วินเซอร์ (Vanguard Windsor) เขาเน้นหนักไปในการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยลงทุนในธุรกิจที่ดี มีการเจริญเติบโตต่อเนื่อง จ่ายเงินปันผลสูง และขายเมื่อราคาเกินกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ผลงานตลอด 30 ปีที่ผ่านมา กองทุนของเขาสามารถครองอันดับสูงสุดห้าอันดับแรกมาตลอด

เนฟฟ์จบการศึกษาด้านการตลาดอุตสาหกรรม และเข้าศึกษาวิชาการเงินการธนาคารภาคค่ำในปี 1954 เขาเริ่มงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์กับ The National City Bank of Cleveland จากนั้นก็ทำงานกับ Wellington Management เขายึดหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าตามแบบของเบน เกรแฮม (Ben Graham) มาโดยตลอด

ในปี 1984 เนฟฟ์ลงทุนอย่างหนักในหุ้นฟอร์ด (FORD) ในขณะที่ทุกคนกลัวว่าบริษัทกำลังจะไปไม่รอด ขณะนั้นพีอี (P/E) ของบริษัทเท่ากับ 2.5 เท่า เขาซื้อหุ้นฟอร์ดในราคา 14 ดอลลาร์ต่อหุ้น ภายในสามปีราคาหุ้นขึ้นไปสูงถึง 50 ดอลลาร์ต่อหุ้น ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ให้กับกองทุนที่เขาบริหาร

GYP ratio (Growth & Yield: P/E) = (Earnings Growth + Dividend Yield) / (P/E ratio) เนฟฟ์แนะนำให้เทียบอัตราส่วน GYP บนหุ้นและทั้งพอร์ตของนักลงทุนเทียบกับตลาด

เนฟฟ์จะใช้หลักการง่ายๆ เพื่อเลือกลงทุน 7 ประการดังนี้
1.อัตราส่วน P/E ต่ำ
2.อัตราการเติบโตของกำไรสูงกว่า 7% ขึ้นไป
3.มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และเพิ่มขึ้นตลอด
4.ผลตอบแทนที่ได้รับจะต้องสูงกว่าอัตราส่วนพี/อี (P/E)
5.ไม่เป็นธุรกิจที่ขึ้นลงตามรอบที่กำลังจะลง โดยปราศจากการลดลงของอัตราส่วนพี/อีที่ต่ำพอจนน่าลงทุน
6. เป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในการสร้างการเติบโต
7. เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเหมาะกับการลงทุน

การลงทุนที่ดีที่สุดคือการหาหุ้นดีๆ ที่กำลังทำจุดต่ำใหม่ ดูว่าที่มันลงนั้นลงเพราะข่าวร้ายหรือไม่ หากเราเห็นว่ามันเป็นบริษัทที่ดีที่บางครั้งราคาตกลง ให้เรานำหลักการทั้ง 7 ข้อมาประเมิน ถ้าใช่ก็เป็นโอกาสในการลงทุน

เนฟฟ์แนะนำว่าอย่าไล่ซื้อหุ้นที่มีการเติบโตสูงที่หลายคนสนใจ อัตราส่วนพี/อีที่สูงขึ้นจะผลักดันให้ราคาหุ้นสูงขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกใจและเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวนักลงทุนเอง เขาบอกว่ามีเหตุผล 2 ประการในการตัดสินใจขายหุ้นคือหนึ่งพื้นฐานเริ่มเลวลงหรือสองราคาขึ้นมาสูงถึงจุดที่ต้องการแล้ว

เขาให้ความสำคัญกับอัตราส่วน GYP ในพอร์ตมากกว่า หากตลาดขึ้นสูงมากจนราคาหุ้นที่ต้องการสูงจนเกินไปก็ควรจะถือเงินสดไว้ ประมาณ 20% ของทุนทั้งหมดจนกว่าจะพบโอกาสดีอีกครั้งและโอกาสทำกำไรดีๆ มักจะเกิดหลังจากการตื่นตระหนก (Panic) ของตลาด

from http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100523/116895/พ่อมดกองทุน-Windsor-จอห์น-เนฟฟ์.html


22 พฤษภาคม 2553

ถอดกลยุทธ์ “ ไร่คุณหญิง ” สร้างชื่อกาแฟไทยมาตรฐานโลก


ถอดกลยุทธ์ “ ไร่คุณหญิง ” สร้างชื่อกาแฟไทยมาตรฐานโลก


ระยะกว่า 16 ปีในวงการกาแฟ และเป็นรายแรกของไทยที่ผ่านมาตรฐานรับรองคุณภาพจากประเทศอิตาลี จึงเป็นเครื่องการันตีความยอดเยี่ยมของกาแฟ “ไร่คุณหญิง” จาก จ.กาญจนบุรี ซึ่งหัวใจแห่งความสำเร็จ คือ การพัฒนาไม่หยุดนิ่ง มุ่งสร้างแบรนด์ผ่านการขยายไลน์ธุรกิจ และสร้างมิติใหม่ให้แก่วงการกาแฟไทยเสมอ

สุรเชษฐ์ ยุทธสุนทร เจ้าของธุรกิจกาแฟสดไร่คุณหญิง เผยว่า เดิมเคยทำไร่กาแฟอยู่ที่ จ.เพชรบูรณ์ ก่อนจะย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่ จ.กาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2537 เนื่องจากภูมิทัศน์น่าสนใจ ทั้งสภาพอากาศ อุณหภูมิ และความชื้น เหมาะสมในการปลูกกาแฟ ส่วนที่ตั้งชื่อว่า ไร่คุณหญิง มาจากชื่อเล่นลูกสาวที่ชื่อว่า “หญิง” นั่นเอง

จุดเด่นกาแฟไร่คุณหญิง เจ้าของธุรกิจระบุว่า รสชาติกลมกล่อม เข้มแต่ไม่ขม เวลาดื่ม กลิ่นจะหอมขึ้นจมูก และไม่มีผลทำให้หัวใจสั่น ซึ่งเคล็ดลับมาจากสายพันธุ์ดี ปลูกในทำเลเหมาะสม และวิธีการคั่วจากผู้เชี่ยวชาญ

ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา กาแฟคุณหญิงจะเน้นขายเฉพาะเมล็ดให้ร้านกาแฟอื่นๆ ทั่วประเทศ ชื่อเสียงจึงเป็นที่รู้กันเฉพาะในวงการกาแฟ แต่คนทั่วไปรู้จักค่อนข้างน้อย

ดังนั้น เพื่อจะเสริมรากฐานธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น สุรเชษฐ์มองที่การสร้างแบรนด์ไร่คุณหญิงให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น ซึ่งบันไดขั้นแรกที่จะก้าวไปถึงจุดหมาย คือ ต้องได้รับความเชื่อถือด้านคุณภาพ จึงตัดสินใจส่งตัวอย่างกาแฟของไร่ไปตรวจสอบคุณภาพที่สถาบันเวสปอนโซ ภายใต้การรับรองของ Dr.Lazzarini ซึ่งถือเป็นสถาบันหลักในการรับรองคุณภาพกาแฟของประเทศอิตาลี ผลปรากฏว่า ผ่านการรับรองเมื่อปี พ.ศ.2546 ถือเป็นผู้ผลิตกาแฟเจ้าแรกของประเทศไทย

“การส่งเข้าตรวจคุณภาพที่อิตาลี เป็นดาบสองคมเช่นกัน เพราะถ้าไม่ผ่านขึ้นมา ชื่อเสียงของเราก็แย่ไปเลย แต่โดยส่วนตัว ผมมั่นใจว่า คุณภาพกาแฟของเราไม่แพ้ใคร จึงตัดสินใจส่งเข้าตรวจสอบ และเมื่อผ่านการรับรอง มันเป็นเครื่องการันตีให้เรากล้าพูดได้ว่า กาแฟจากฝีมือคนไทยรายนี้ได้มาตรฐานระดับโลก” สุรเชษฐ์ ระบุ

ไม่เท่านั้น ยังต่อยอดไปสู่การขายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยมีมากกว่า170 สาขาแล้วทั่วประเทศ เมื่อรวมกับร้านกาแฟที่สั่งเฉพาะเมล็ดกาแฟ ปัจจุบัน โรงงานกาแฟไร่คุณหญิง มีลูกค้ารับวัตถุดิบถึง 395 ราย ปริมาณผลิตเมล็ดกาแฟอาราบิก้า 30-40 ตันต่อปี และโรบัสต้า 10 ตันต่อปี

นอกจากนั้น ได้เปิดร้านกาแฟของตัวเอง ที่บริเวณแก่งเสี้ยน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ทางไปน้ำตกไทรโยค และแม่น้ำแคว ซึ่งเป็นร้านขนาดใหญ่บรรยากาศเป็นแบบท้องทุ่งไร่นาเต็มรูป วัตถุประสงค์ให้ร้านนี้เป็นจุดสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยว และคอกาแฟ

ทั้งนี้ ภายในร้าน ดึงไอเดียของร้านกาแฟระดับโลก ซึ่งจะมีสินค้าที่ระลึกวางขายด้วย แต่สิ่งที่ร้านกาแฟสดไร่คุณหญิงสร้างจุดขายให้แตกต่างออกไป คือ สินค้าที่ระลึกต่างๆ จะเป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งเกิดจากกาแฟทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น สบู่กาแฟ ชุดเซรามิกทำจากกากกาแฟ เป็นต้น และล่าสุด กำลังพัฒนากาแฟขี้ชะมดเช็ด ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศบราซิล และได้รับความนิยมไปทั่วโลก ราคาซื้อขายกิโลกรัมละหลักหมื่นถึงหลักแสนบาท ส่วนในประเทศไทยยังไม่มีผู้บุกเบิกอย่างจริงจังมาก่อน

สบู่กาแฟ



ชุดเซรามิกทำจากกากกาแฟ

สุรเชษฐ์ อธิบายว่า วิธีการทำกาแฟขี้ชะมดเช็ด คือ ปล่อยให้ตัวชะมดเช็ดกินเมล็ดกาแฟ ซึ่งมันจะกินเฉพาะส่วนเนื้อ ขณะที่ส่วนเมล็ดในจะถ่ายออกมา ซึ่งเมล็ดที่ผ่านออกมาจากตัวชะมดเช็ดนั้น จะมีกลิ่นหอมพิเศษ เมื่อนำไปคั่วจะได้กาแฟรสเลิศ ซึ่งเวลานี้ ทางไร่ได้ทดลองเลี้ยงชะมดเช็ด 20 ตัว และในอนาคตจะขยายจำนวนเลี้ยง เพื่อเพิ่มผลผลิตกาแฟ หวังให้เป็นอีกจุดขายของแบรนด์

จากความพยายามสร้างแบรนด์ นับถึงปัจจุบัน ชื่อของกาแฟไร่คุณหญิงเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น และในมุมมองของสุรเชษฐ์ เชื่อว่า ตลาดกาแฟในประเทศไทย เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีโอกาสขยายไปได้อีกกว้าง ตามกระแสการดื่มกาแฟที่จะกลายเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ของคนไทย ดังนั้น ในมุมผู้ประกอบการ สิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และพัฒนาคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับของคอกาแฟ

from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000045507


“จี๊ดจ๊าด” เปิดมิติใหม่มะขามแปรรูป ไอเดียธุรกิจสุดจี๊ด!


“จี๊ดจ๊าด” เปิดมิติใหม่มะขามแปรรูป ไอเดียธุรกิจสุดจี๊ด!


บางครั้งการเริ่มต้นทำธุรกิจอะไรบางอย่าง มักจะเกิดขึ้นจากสิ่งใกล้ตัว น้อยคนนักที่จะรู้ว่า “คุณภูวเดช เลาหะมณฑลกุล” นักธุรกิจเจ้าของกิจการผลไม้แปรรูป จาก บริษัท 3 เอ็ม ฟูด โปรดัก จำกัด คือ ผู้สร้างตำนาน ต้นตำรับของมะขามเคี้ยวหนึบ รสเปรี๊ยวถึงใจ ใส่กระปุกใส ตรา “จี๊ดจ๊าด” มีโลโก้ “หนูจี๊ดชู 2 นิ้ว”
ด้านรสชาติที่ว่ากันว่าสามารถ ทำให้ตาสว่างได้เพราะความเปรี้ยวถึงแก่น อีกทั้ง เคยเป็นขวัญใจของนักศึกษาตามหอพักหลายสถาบันในยามที่ ที่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ จนทำให้เกิด กระแสมียี่ห้ออื่นทำออกมาขายกันตามท้องตลาดมากมายหลายยี่ห้อ


“การเริ่มต้นทำธุรกิจมักจะเกิดจากสิ่งใกล้ตัว”

คุณภูวเดช เลาหะมณฑลกุล ปกติเป็นคนชอบกินของจุกจิก ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่จะต้องมีของกิน อยู่ใกล้ๆ ตัว แต่ข้อแม้ของเขา คือ ต้องรับประทานง่าย และมะขาม คือ สิ่งที่พบเห็นได้ทุกส่วนในบ้านของเขา

“ที่บ้านชอบทานมะขาม แต่ทำไมไม่ทำให้กินง่ายๆ กว่านี้ เพราะมะขามเป็นฝัก ก็ต้องแกะ แล้วคนขับรถ ไม่มีทางได้ทาน เมื่อก่อน ก็เป็นมะขามฝักคลุกน้ำตาล เราก็เลยคิดว่า จะรู้ได้อย่างไรว่ามันสะอาด พี่เขยบอก เดี๋ยวจะทำมาให้ทาน แล้วก็ทำมาจริงๆ ก็อร่อยจริงๆ แต่ฟอร์มเม็ดจะไม่สวยขนาดนี้ ก็คุยเล่นๆ ว่า ถ้าทำให้เม็ดสวยกว่านี้ น่าทำขาย” คุณภูวเดช เล่าถึงจุดเริ่มต้นของแนวคิดในการทำธุรกิจ มะขามจี๊ดจ๊าด


จากความต้องการเพียงแค่ อยากทานของกินกันง่ายๆ สะอาดๆ ในหมู่ญาติสนิท กลายเป็นเรื่องสนุก ที่อยากทำขาย เพราะเขาเชื่อว่า มะขามจี๊ดจ๊าด น่าจะเป็นสินค้าแปลกใหม่ของตลาดแน่นอน

คุณภูวเดช เริ่มต้นทำการทดสอบรสชาติจากญาติสนิท คนใกล้ชิด และเมื่อได้คำตอบที่เป็นไป ในทางบวก จึงเริ่มมีความคิดที่จะนำมะขามจี๊ดจ๊าด ไปออกร้านตาม Exhibition ต่างๆ เพื่อเปิดตัวสินค้าตัวใหม่นี้

คุณภูวเดช จึงเริ่มคิดตั้งชื่อสินค้า โดยกำหนดกรอบไว้ว่า ต้องทำให้คนสามารถจดจำชื่อได้ง่าย“คิดว่าผลไม้แบบนี้ก็ต้องออกรสเปรี้ยวๆ หวานๆ เลยคิดว่า เอาชื่อลูกสาวคนเล็กชื่อ จี๊ด มาใช้เรียก เป็น จี๊ดจ๊าด ดีไหม เพราะสื่อความเป็นไทย ฟังแล้วเหมาะสมกับผลไม้เปรี้ยวๆ หวานๆ”

จี๊ดจ๊าด จึงกลายมาเป็นชื่อเรียกของมะขามจี๊ดจ๊าด ยี่ห้อ “หนูจี๊ดชู 2 นิ้ว” มีสัญลักษณ์เป็น ตัวการ์ตูนน่ารักจำง่าย


ความแปลกใหม่ของ มะขามจี๊ดจ๊าด ได้ถูกพูดถึงกันปากต่อปากในเรื่องรสชาติที่เปรี้ยวสะใจ รูปลักษณ์ที่ใส่กระปุกใส ดูน่าทาน เม็ดมะขามไม่ใหญ่ไม่เล็ก มีการเสาะแสวงหาร้านที่ขายมะขามจี๊ดจ๊าด จนกลายเป็นกระแสความต้องการที่ใครๆ ก็อยากซื้อเก็บไว้ทานที่บ้าน และที่ทำงาน

ความสำเร็จขั้นต้นทำให้ คุณภูวเดช คิดจะเจาะตลาดการขายมะขามจี๊ดจ๊าดมากขึ้น และไม่หวังจะสร้างแบรนด์โดยใช้ Agency ที่ต้องใช้เงินจำนวนสูง แต่เค้ากลับทำให้คนรู้จักโดยวิธีการเดินแจกสินค้าไปที่กลุ่มเป้าหมาย เช่นผู้ขับขี่บนท้องถนน และ ณ เวลานั้น เป็นช่วงปลายปีที่มีการรณรงค์ง่วงไม่ขับ กลุ่มเป้าหมายจึงได้รู้จัก มะขามจี๊ดจ๊าด ไปตลอดทางทั้งเดือน เมื่อแจกถึงมือกลุ่มเป้าหมายแล้ว เขาได้ตั้งเป้าว่า มะขามจี๊ดจ๊าด จะต้องหาซื้อได้ง่าย หาซื้อได้ทั่วไป


“ต้องหาซื้อง่าย หาซื้อได้ทั่วไป”

จากขวบปีแรกที่ คุณภูวเดช ทำขายเพื่อความสนุก กลายเป็นว่าต้องทำขายอย่างจริงจังในรูปแบบ ธุรกิจ และทำให้ตลาด มะขามจี๊ดจ๊าด เติบโตอย่างรวดเร็ว จนทำให้ผู้ค้ารายอื่นแห่ผลิตสินค้า มะขามจี๊ดจ๊าด ลักษณะเดียวกัน เกิดการแข่งขันสูงอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิด ผู้ซื้อเริ่มมีทางเลือกในการซื้อมะขามจี๊ดจ๊าด ยี่ห้ออื่นๆ

“หลังจากทำตลาดได้ปีกว่าเกือบสองปีตลาดก็ใช้คำว่า จี๊ดจ๊าด กัน เราก็ทำอะไรไม่ได้ เช่น มะขามหวาน รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด ประมาณนี้ เค้าจะใช้ชื่อยี่ห้อนิดเดียวแล้วเน้นคำว่า จี๊ดจ๊าด ตัวใหญ่ ข้อเสียคือ เราโดนเลียนแบบ แต่ตลาดโต แต่ข้อเสียมันเยอะกว่าข้อดีนะ”

เมื่อตลาดในประเทศเริ่มมีการแข่งขันกันมากขึ้น คุณภูวเดช เริ่มมองไปที่ตลาดต่างประเทศโดยที่ ยังไม่ได้ศึกษาข้อมูล หรือปรึกษาองค์กรภาครัฐใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแค่คิดอย่างเดียวว่า ต้องขายให้ได้ เขาพยายาม หาเงินทุน ต่างประเทศด้วยตัวเอง เพื่อนำ มะขามจี๊ดจ๊าด รวมไปถึง ผลไม้แปรรูปอื่นๆ เช่น สับปะรด มะยม ฝรั่ง ไปออก Exhibition ในประเทศต่างๆ ในเอเซีย แต่ดูเหมือนว่า จะเป็นการพายเรือหาเกาะอยู่ในมหาสมุทร


“ฝันให้ไกล...ไปให้ถึง”

“มันต้องมีวิธีการ ไปอย่างไรถึงจะไปให้ถึง อย่างน้อย เราอยากจะขายให้ได้ทั่วเอเซีย ไม่ได้ฝันว่าเรา จะกระโดดไปไกลข้ามฝั่งโน้น เอาแค่เอเซียก็พอแล้ว สิ่งที่เราพยายาม ก็พยายามกันไป เริ่มไปทีละจุด ลองผิดลองถูก”

ฝันให้ไกล... ไปให้ถึง ดูเหมือนจะตรงกับแนวคิดของ คุณภูวเดช ที่มีความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจ อาหารแปรรูปในต่างประเทศ จนกระทั่งได้มาพบกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ซึ่งรับเป็นที่ปรึกษาในการหาช่องทางการตลาดในต่างประเทศ รวมไปถึงการอบรมสัมมนา เพื่อให้ภูวเดชเข้าใจ แนวทางในการทำธุรกิจรอบด้าน และให้ทุนจำนวนครึ่งหนึ่งสนับสนุนในการไปออกงานตาม Exhibition ยัง ต่างประเทศ

from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064332


21 พฤษภาคม 2553

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่

เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า 'ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป...''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี ให้ตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมเข้าม.1 คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อโดยไม่อ่านหนังสือเลย
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า 'แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องมายุ่งกะหนู(ผม)หรอก'
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้องโดยไม่สนใจ
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้คุณได้เรียนเพิ่ม เพื่อหวังให้คุณเก่งและมีความรู้ คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองกับเพื่อนตั้งแต่ค่ำยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญจากคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการใช้โทรศัพท์ตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า 'แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย'
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า 'หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่'
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการไปกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณโดยไม่กอดแม่ที่ท่านอยากกอดคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปีแม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า'มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร'
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า 'แม่จะมายุ่งอะไรกะหนู(ผม)อีกเนี่ย'
เมื่อคุณอายุ 25 ปี (สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'อายคนอื่นเขาน่า แม่'
(สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า'หนูอยากไปอยู่ต่าง-ประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดยไม่มีแม่'
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า 'สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่'
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า 'ตอนนี้ไม่ว่างเลย'
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า 'มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ'
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่'แม่'
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ'แม่'ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก"แม่"ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็"รัก"ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ"รูป"ของแม่เท่านั้น

from fwd mail


20 พฤษภาคม 2553

โลกแห่งการลงทุนใน The Loser’s Game

โลกแห่งการลงทุนใน The Loser’s Game

ในอดีต Money Game อาจจะเคยเป็น Winner’s Game แต่เมื่อเริ่มมีข้อมูลมากขึ้น มีนักลงทุนเข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันมีสูงขึ้น ทำให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องของมืออาชีพ มีการซื้อขายกันมากขึ้น และผู้ที่จะเอาชนะตลาดได้น่าจะเป็นผู้ที่สร้างความผิดพลาดน้อยที่สุด

นักลงทุนที่สนใจการลงทุนในตลาดหุ้นระยะนี้คงเป็นที่ทราบกันแล้ว ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเรานั้นค่อนข้างที่จะไม่แน่นอน เนื่องจากปัจจัยต่างที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมืองในประเทศที่ยังหาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้ รวมไปถึงปัจจัยภายนอกประเทศ ที่ทำให้นักลงทุนต่างเกิดความวิตกกังวลต่อปัญหาหนี้สินของกรีซและปัญหาในเรื่องค่าเงินที่มีท่าทีว่าจะลุกลามมากขึ้นในขณะนี้ ส่งผลให้นักลงทุนมีการไถ่ถอนเงินลงทุนออกไปจากตลาดหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นสิ่งที่จะตามมาเมื่อมีขายหุ้นออกไปนั้นคือ ตลาดหุ้นมีความผันผวนกันถ้วนหน้า

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงจะทำให้นักลงทุนเกิดคำถามขึ้นในใจว่า....ในเมื่อตลาดหุ้นผันผวนอย่างนี้ แล้วจะลงทุนในอะไรดี? แล้วจะลงทุนในตลาดหุ้นต่อไปได้หรือไม่....โดยเมื่อหลายวันก่อนได้มีโอกาสอ่านบทความ The Loser’s Game ที่เขียนขึ้นโดย Charles D. Ellis ซึ่งบทความนี้เขียนขึ้นเมื่อปี 1975 บทความนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบทความสำคัญที่สามารถสร้างแรงจูงใจในการก่อกำเนิดการลงทุนในกองทุนดัชนีหรือ Index Fund ในยุคสมัยนั้น โดยได้เมื่ออ่านแล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ในการลงทุน จึงขออนุญาตนำมาเล่าเพื่อแบ่งปันกันความรู้กันในวันนี้

โดยบทความดังกล่าวได้เปรียบเทียบการลงทุนกับการแข่งขันไว้อย่างน่าสนใจ จึงอยากยกตัวอย่างขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้นักลงทุนหรือผู้อ่านนั้นได้เห็นภาพตาม อย่างเช่น ในการเล่นกีฬาเทนนิส เรามักจะพบว่าผู้ชนะในเกมเทนนิสระดับมืออาชีพมักจะเป็นผู้ที่ทำคะแนนจากลูก Winner ได้มากกว่าผู้แพ้ เรียกว่า ผลของการแข่งขันโดยส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยผู้ชนะ แต่ถ้ามองในภาพว่าเราแข่งเทนนิสกับเพื่อน ๆ ลักษณะการแพ้ชนะอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นผู้ที่ทำผิดพลาดน้อยกว่ากลายเป็นผู้ชนะ สิ่งนี้เองกลายเป็นว่าผู้แพ้เป็นผู้กำหนดผลการแข่งขัน
ขณะเดียวกัน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกีฬามวยอาจจะเป็นตัวอย่างที่ดีเช่นเดียวกันในการกำหนดกลยุทธ์ว่าควรจะเล่นใน Winner’s Game หรือ Loser’s Game โดยช่วงยกแรก ๆ อาจจะเดินหน้าลุยเพื่อหมายว่าจะน๊อคคู่ต่อสู้ให้ได้ แต่พอยกหลัง ๆ เมื่อเรารู้สึกว่าคะแนนยกที่ผ่าน ๆ มาของเรานำแล้วก็อาจจะเลือกชกโดยเซฟตัวเอง ไม่ต้องเดินหน้าลุยมากนัก ไม่ให้โดนต่อยจนต้องล้มลงไปนับ ก็น่าจะรักษาแต้มจนชนะคะแนนได้ จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นว่าผู้เล่นอาจจะใช้ กลยุทธ์ของ Winner’s Game ในช่วงยกแรก ๆ และเลือกใช้กลยุทธ์สร้างความผิดพลาดให้น้อยแบบ Loser’s Game ในช่วงยกหลัง ๆ

ด้านกีฬาฟุตบอลก็เป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่เราสามารถนำมาเปรียบเทียบได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าทีมใหญ่ที่แข่งในสนามเหย้าของตัวเองต้องมาเจอกับคู่แข่งที่เป็นทีมที่อ่อนกว่า ลักษณะเกมมักจะเป็นรูปแบบที่เน้นการบุกเพื่อทำประตูเป็นหลัก นั้นคือผลแพ้ชนะขึ้นอยู่กับว่าทีมบุกจะทำประตูได้หรือไม่

โดยรูปแบบดังกล่าวอาจจะกล่าวได้ว่าเกมฟุตบอลในกรณีข้างต้นนั้นเป็น Winner’s Game แต่อย่างไรก็ตาม ในโลกของฟุตบอลนั้นไม่มีอะไรที่แน่นอน หลาย ๆ ครั้งเรากับพบว่าทีมที่โหมบุกหนักทั้งเกมกลับกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยทั้งเกมนั้นอาจจะเกิดจากความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงแค่ 1-2 ครั้ง และนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในที่สุดเมื่อจบเกมส์การเเข่งขัน

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นหลาย ๆ ครั้งอาจจะวิเคราะห์ได้ว่าทีมที่อ่อนกว่านั้นมักจะเล่นฟุตบอลแบบเน้นเกมรับโดยเน้นให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด แล้วอาจจะหาจังหวะสวนกลับ (Counter Attack) เพื่อพลิกเกม รูปแบบเกมดังกล่าวเป็นลักษณะของ Loser’s Game คือไม่พยายามทำอะไรที่เสี่ยงต่อการผิดพลาดอันนำไปสู่การพ่ายแพ้ได้

ในโลกของการลงทุน Charles D. Ellisนั้นเชื่อว่าในอดีต Money Game อาจจะเคยเป็น Winner’s Game แต่เมื่อเริ่มมีข้อมูลมากขึ้น มีนักลงทุนเข้ามาในตลาดมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันมีสูงขึ้น ทำให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องของมืออาชีพ มีการซื้อขายกันมากขึ้น เหตุการณ์ส่งผลให้ต้นทุนในการบริหารจัดการสูงขึ้นจน Money Game ไม่ใช่ Winner’s Game อีกต่อไป และผู้ที่จะเอาชนะตลาดได้นั้นน่าจะเป็นผู้ที่สร้างความผิดพลาดน้อยที่สุดคิดดังกล่าวนั้นเราเชื่อว่ามีประโยชน์แก่นักลงทุนอย่างมหาศาลถ้าเรารู้จักปรับใช้ โดยเราต้องประเมินด้วยตัวเองว่าเรากำลังแข่งในฐานะอะไร และเราควรจะใช้กลยุทธ์ไหนมาต่อสู้ อย่างเช่น ถ้าเรารู้สึกว่าเราเป็นฝ่ายได้เปรียบโดยอาจจะมีข้อมูลที่ดีกว่าเราอาจจะเลือกกลยุทธ์ของ Winner’s Game แต่ถ้าเรารู้สึกว่าเราอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การเลือกกลยุทธ์ที่หลีกเลี่ยงความผิดพลาดน่าจะเป็นผลดีกว่า (Loser’s Game)

ในชีวิตของการลงทุนเชื่อว่าหลาย ๆ ครั้งนักลงทุนมักจะได้รับข้อมูลที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งอาจจะเกิดจากการความสามารถในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลหรือข่าวสารที่ไม่เหมือนกัน จนส่งผลถึงการตัดสินใจการลงทุน ดังนั้นหลาย ๆ ครั้งผมเชื่อว่า Money Game น่าจะถูกเปรียบได้กับ Loser’s Game เป็นส่วนใหญ่

ดังนั้นการลงทุนโดยคำนึงถึงความผิดพลาดให้น้อยที่สุดน่าจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่นักลงทุนน่าจะนำเอามาปรับใช้กัน ปัจจุบันนักลงทุนไม่จำเป็นต้องบริหารจัดการพอร์ตของตัวเองโดยเลือกซื้อขายหุ้นที่ละตัวอีกต่อไป เมื่อเรามีสินค้าประเภท ETF ที่ซื้อขายหุ้นเป็นตะกร้า อย่างเช่น TDEX (ทีเด็กซ์) หรือ TFTSE (ทีฟุตซี่) โดยการลงทุนใน ETF ดังกล่าวนั้น เหมือนกับการสร้าง Ready made Portfolioซึ่งจะเคลื่อนไหวไปตามภาวะตลาด

การที่เราซื้อ TDEX (ทีเด็กซ์) หรือ TFTSE (ทีฟุตซี่) นั้น จะทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงในเรื่องของการเลือกหุ้นรายตัว(Single Stock Risk) และการบริหารความเสี่ยง (Management Risk) ลงไปได้ นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่าจะเลือกหุ้นผิดตัว หรือซื้อขายหุ้นผิดพลาด การลดความผิดพลาดดังกล่าวนั้นจะช่วยให้นักลงทุนมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเลือกลงทุนในกลยุทธ์ดังกล่าวนั้นเป็นการเลือกที่จะสร้างความผิดพลาดจากการเลือกหุ้นรายตัวให้น้อยที่สุด เปรียบได้กับ Loser’s Game ที่เน้นผลแพ้ชนะจากการสร้างข้อผิดพลาดให้น้อยเอาไว้ก่อน โดยการลงทุนใน ETF นั้นอาจจะไม่ได้หวือหวาเหมือนกับการลงทุนในหุ้นรายตัวที่จะมี Story ให้พูดคุยกันเกือบทุกวัน หลาย ๆ ครั้งได้กำไรกันต่อวัน 5-10% แต่ความเสี่ยงที่มากขึ้นตามมาจาก Single Stock Risk ก็เป็นสิ่งที่ต้องระวังเช่นเดียวกัน

โดยการลงทุนใน TDEX หรือ TFTSE เป็นการลงทุนโดยอิงผลตอบแทนจากดัชนี ที่ส่วนใหญ่การเคลื่อนไหวของดัชนีต่อวันมักจะไม่มากนักโดยอาจจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของ 1-3% เป็นหลัก แม้ว่าการลงทุนใน ETF อาจจะไม่ได้ดูหวือหวา แต่การลงทุนดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าผลตอบแทนของพอร์ตโฟลิโอของตัวเองจะเป็นไปในแนวทางเดียวกับดัชนีที่อ้างอิง และช่วยลดความเสียหายจากการเลือกหุ้นผิดตัว (Stock Selection error) ได้อีกด้วย

ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกที่จะรักษาความผิดพลาดให้น้อยที่สุดแบบ Loser’s Game อาจจะไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนนักลงทุนประเภท Day Trader ที่เน้นซื้อขายหุ้นรายตัวอย่างรวดเร็ว แต่อย่างน้อยก็เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเน้นผลตอบแทนตามดัชนีตลาดฯ

เราจึงเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าการรู้จักตัวเองก่อนเริ่มลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และเราควรจะประเมินว่าตลาดหุ้นที่เรากำลังลงไปแข่งขันนั้นเป็น Winner’s Game หรือ Loser’s Game เปรียบได้กับฟุตบอลที่หลาย ๆ ครั้งการเล่นเกมรับก็ประสบความสำเร็จได้เช่นกัน เรายังจำทีมชาติกรีซในศึกยูโร 2004 ที่ประเทศโปรตุเกสเป็นเจ้าภาพได้ดี เมื่อทีมเล็ก ๆ อย่างทีมชาติกรีซใช้กลยุทธ์เกมรับที่มีประสิทธิภาพสามารถคว้าแชมป์โดยโค่นเจ้าภาพอย่างโปรตุเกสไปได้ หรือแม้แต่การแข่งขันเทนนิสระดับมืออาชีพในปัจจุบันก็อาจจไม่ได้เป็น Winner’s Game เสมอไปเมื่อหลาย ๆ ครั้ง เราอาจจะเห็นผู้ชนะได้คะแนนจากลูก Winner น้อยกว่าผู้แพ้เสียอีก ในเรื่องการลงทุนก็เช่นกันนักลงทุนรายย่อยเองก็ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้เหมาะกับสิ่งที่เรากำลังจะลงไปแข่งเช่นกันเราเชื่อว่านักลงทุนรายย่อยสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ถ้าเรารู้ว่าเรากำลังจะลงแข่งในสนาม Winner’s Game หรือ Loser’s Game...

ที่มา: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.)วรรณ จำกัด

from http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9530000068824


18 พฤษภาคม 2553

เปิดบัญชีมาร์จิ้นเล่นหุ้น

เปิดบัญชีมาร์จิ้นเล่นหุ้น

อะไรเอ่ยคือมาร์จิน (Margin)
มาร์จิ้น (Margin) คือ การซื้อหลักทรัพย์ด้วยเงินกู้ แต่เงินกู้ที่ทางโบรกเกอร์จะจัดสรรให้นั้น โดยทั่วไปที่สำคัญๆ

จะมีอยู่ 2 แบบ คือ Initial Margin และ Minimum Margin หรือ Maintenance

Marginเรามาทบทวนกันก่อนดีกว่าว่าบัญชีมาร์จิ้นคืออะไร ???

บัญชีมาร์จิ้น คือ การที่บริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์ให้สินเชื่อกับลูกค้าเพื่อลงทุนซื้อหลักทรัพย์

โดยลูกค้าสามารถซื้อหลักทรัพย์ โดยจ่ายเป็นเงินสดบางส่วน และบางส่วนกู้จากโบรกเกอร์ เพราะฉะนั้น

มาร์จิ้น (Margin) คือ การซื้อหลักทรัพย์ด้วยเงินกู้ แต่เงินกู้ที่ทางโบรกเกอร์จะจัดสรรให้นั้น โดยทั่วไปที่สำคัญๆ

จะมีอยู่ 2แบบคือ

1. Initial Margin คือ สัดส่วนเงินลงทุนครั้งแรกที่นักลงทุนต้องนำเงินสดมาวางเป็นหลักประกัน

โดยต้องวางไว้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าจำนวนที่เป็น Initial Margin ตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด

(คือมูลค่าหลักทรัพย์ที่ซื้อ x อัตรา Initial Margin) เงินจำนวนนี้จะลงไว้ในบัญชี Credit Balance ของลูกค้านั้น

เมื่อลูกค้าสั่งซื้อหลักทรัพย์ โบรกเกอร์จะหักเงินค่าหลักทรัพย์ออกจากยอดเงินดังกล่าว

และถ้าลูกค้าซื้อหลักทรัพย์เป็นมูลค่าเกินจำนวนเงินที่วางไว้ โบรกเกอร์จะให้กู้ยืมเงินส่วนที่ขาดอยู่นั้น

ส่วนความสามารถที่ลูกค้าจะซื้อหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Purchasing Power

ในตอนเริ่มแรกนี้จะมากหรือน้อยจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ลูกค้านำมาวางเป็นประกัน

แต่ทั้งนี้ลูกค้าจะซื้อหลักทรัพย์โดยรวมเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากโบรกเกอร์ไม่ได้

ขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ เช่น ถ้ากำหนด Initial Margin ไว้ที่ 50% นั่นหมายความว่า

เราต้องนำเงินมาลงทุนครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะกู้จากโบรกเกอร์ สมมติ

เราลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดมูลค่า 100 บาท เราต้องจ่ายเงินสด 50 บาทส่วนที่เหลืออีก 50 บาท

กู้จากโบรกเกอร์ โดยเราจะเสียดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์จากยอดเงินที่กู้ ตามอัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้

และเราจะต้องมอบหลักทรัพย์ที่ซื้อให้กับโบรกเกอร์ไว้เป็นหลักประกันด้วย

นอกจากนี้ Initial Margin อาจปรับขึ้นลงได้ ตามสภาวะการณ์ของตลาด ถ้าตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น

Initial Margin มักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เพื่อลดความร้อนแรงของตลาด หรือพูดง่ายๆ คือ ให้คนซื้อ

มีเงินซื้อน้อยลง เป็นการชะลอการซื้อขาย

เพราะเหมือนเป็นการบังคับให้นักลงทุนต้องจ่ายเงินสดซื้อหลักทรัพย์ด้วยตนเองมากขึ้น นั่นหมายถึง

ยอดเงินกู้ที่โบรกเกอร์จะให้เราลดลงนั่นเอง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าตลาดหลักทรัพย์ซบเซา

ไม่ค่อยมีการซื้อขาย Initial margin ก็มักจะปรับตัวลงด้วย เพื่อกระตุ้นให้คนซื้อมากขึ้น

เพราะเราสามารถซื้อหลักทรัพย์ได้โดยกู้จากโบรกเกอร์ได้มากขึ้นนั่นเอง

2. Minimum Margin หรือ Maintenance Margin คือ

การรักษาอัตราส่วนขั้นต่ำที่ผู้ลงทุนจะต้องรักษาอัตราดังกล่าวให้ได้หลังจากวันที่ซื้อ ถ้าราคาหลักทรัพย์ลดลง

และมีผลทำให้มูลค่าหุ้นที่เก็บไว้เป็นหลักประกันกับโบรกเกอร์ต่ำกว่าอัตราส่วนขั้นต่ำนี้

เราจะต้องนำเงินมาเพิ่ม เพื่อลดยอดเงินกู้ให้ต่ำลง เพื่อให้ได้อัตรามาร์จิ้นตามที่กำหนด ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าเราซื้อหุ้น 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 10 บาท รวมเป็นเงินต้องจ่ายทั้งสิ้น 1,000 บาท แล้วโบรกเกอร์ให้มี Initial

Margin 50% นั่นหมายความว่า เราต้องออกเอง 500 บาท และกู้ได้ 500 บาท มาลงทุน

และถ้าวันใดราคาหุ้นที่ซื้อมาลดลงจากหุ้นละ 10 บาท เหลือเพียง 6 บาท ในขณะที่มีการกำหนด Minimum

margin ไว้ที่ 25% เราก็ลองมาคำนวณดูว่า เราจะต้องนำเงินมาเพิ่มให้กับโบรกเกอร์หรือไม่

โดยจะมีสูตรที่สามารถใช้คำนวณได้ดังนี้

Margin =มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน -มูลค่าเงินสดที่นำมาลงทุน

มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน

จะได้ผลออกมาดังนี้

Margin = 600 - 500

600

= 16.67%

จะเห็นว่าเมื่อราคาหุ้นลดลงเป็น 6 บาทต่อหุ้น ทำให้ Minimum margin ลดลงเหลือ 16.67%

เราจะต้องนำเงินเข้ามาเพิ่มในบัญชีจนสามารถรักษาระดับ Minimum margin ให้ได้ตามอัตราที่กำหนดไว้

ตรงนี้ก็คงมีคนสงสัยว่าแล้วราคาหุ้นจะสามารถลดลงได้เท่าไร ถึงจะรักษาระดับ Minimum Margin หรือ

Maintenance margin

ไว้ได้ 25% ซึ่งสามารถคำนวณได้ง่ายๆ จากสูตรเดิม คือ ให้ฝั่ง Margin เท่ากับ 25% แล้วก็แทนค่าลงไป

จะได้ดังนี้

Margin =มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน -มูลค่าเงินสดที่นำมาลงทุน

มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน

25% =มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน - 500

มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน

มูลค่าหุ้นที่เป็นหลักประกัน = 666.67บาท

ราคาหุ้นที่เป็นหลักประกัน = 666.67 /100 = 6.67บาท

นั่นคือ ราคาหุ้นห้ามต่ำกว่า 6.67 บาท ถ้าต่ำกว่า เราจะต้องนำเงินใส่เข้ามาในบัญชี ให้มูลค่าอยู่ในระดับของ

Maintenance Marginเพราะไม่เช่นนั้นเราอาจถูกบังคับขายได้ (Force sales)

จะเห็นได้ว่าการลงทุนด้วยระบบมาร์จินเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนที่ต้องระวัง อยู่ที่วงเงินกู้ที่ใช้ลงทุน

ซึ่งมันสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงตลอดเวลา

และอาจรวดเร็วรุนแรงตามสภาพการณ์ของตลาดหลักทรัพย์และของตัวหุ้นที่เราลงทุนอยู่ด้วยระบบมาร์จิน

ดังนั้น หากใครคิดที่จะลงทุนด้วยระบบมาร์จินนี้ ก็ควรที่จะศึกษาการลงทุนด้วยระบบมาร์จินอย่างละเอียด

ถึงกฎระเบียบที่มีมากมาย เพราะการลงทุนในลักษณะนี้ อาจก่อให้เกิดความเสียหายกับนักลงทุนได้ง่ายกว่า

การลงทุนด้วยระบบเงินสด ในกรณีที่หลักทรัพย์ที่เราถือนั้น มีราคาตลาดที่ลดต่ำลงมามาก

from http://www.payom.netfirms.com/finance14.html


คนตายไม่ได้พูด โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

คนตายไม่ได้พูด โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ข่าวสารข้อมูลนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะหรือสร้างความสำเร็จในชีวิตและการแข่งขันในปัจจุบันในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุน ดังนั้น ผู้รู้หรือกูรูในด้านการลงทุนจึงมักจะบอกให้เราเปิดหูเปิดตารับข่าวสารให้มากที่สุด ซึ่งรวมถึง ภาวะการเงิน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัท ความเคลื่อนไหวของคู่แข่งที่จะมีผลต่อพื้นฐานของกิจการ ความเคลื่อนไหวของ “ขาใหญ่” ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศที่จะมีผลต่อราคาหุ้นที่ขึ้นลงนาทีต่อนาที นอกจากนั้นแล้วก็ยังต้องจับตาดูสินทรัพย์การลงทุนกลุ่มต่าง ๆ ที่กำลังปรับตัวขึ้นกันอย่างหวือหวาตั้งแต่ราคาทอง น้ำมัน ตราสารอนุพันธ์ กองทุน FIF ที่ลงทุนในต่างประเทศ คนเชื่อกันว่า ผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าและสามารถปรับตัวได้เร็วกว่าจะเป็นผู้ชนะ

แต่ข้อเตือนใจของผมก็คือ เราต้องรู้ว่าข่าวสารที่เราได้รับนั้น บ่อยครั้งมันไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด ว่าที่จริง ข่าวสารที่เราได้รับส่วนใหญ่สะท้อนภาพที่แท้จริงเพียงด้านเดียวและเป็นภาพที่เล็กมาก นั่นคือ มันสะท้อนมุมมองของผู้ชนะ ผู้ที่ประสบความสำเร็จหรือเคยประสบความสำเร็จที่มีอยู่จำนวนน้อย และมันไม่ได้สะท้อนมุมมองของคนที่พ่ายแพ้หรือล้มเหลวในการลงทุนซึ่งมีจำนวนมากกว่ามาก ดังนั้น เวลาเราได้รับข่าวสาร เราจะต้อง “กรอง” และพินิจพิจารณาอย่างระมัดระวังว่า ข่าวสารนั้นอาจจะมีความ “ลำเอียง” มากน้อยแค่ไหน เราต้องรู้ว่า คนที่บอกข่าวสารนั้น เป็นคนที่ “รอด” จากมหันตรายและกลายเป็น “ฮีโร่” คนเดียว ส่วนคนอื่นอีก 9 คน “ตาย” หมด และไม่มีโอกาสมาพูดเล่าเหตุการณ์นั้นหรือเปล่า และถ้าเป็นเช่นนั้น เราควรจะเชื่อข้อมูลที่ได้รับฟังแค่ไหน

ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าจะมีคนได้กำไรจากทองเพราะราคาทองขึ้นไปมาก ข้อมูลที่ออกมาก็คือ ทองเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ความเสี่ยงก็ต่ำเพราะทองสามารถรักษาคุณค่าไว้ได้เสมอ ที่สำคัญก็คือ ทองนั้นไม่มีการหลอกลวงหรือเก๊เหมือนตราสารการเงินเช่นหุ้นที่ราคาอาจถูกปั่นขึ้นไปสูงมาก หรือพื้นฐานของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงจนทำให้มูลค่าสูญหายได้มาก แต่ทองอย่างไรก็ยังเป็นทองและมันให้ความรู้สึกที่ดีเสมอเวลาเรามองดูมัน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ คนที่เคยลงทุนถือทองมานานอาจจะเป็นสิบ ๆ ปี และไม่เคยได้ผลตอบแทนที่ดีเลยก่อนหน้านี้ ไม่เคยได้มีโอกาสพูดเลยว่า การถือทองเป็นการลงทุนที่แย่แค่ไหน ดังนั้น ก่อนที่เราจะลงทุนในทองคำเพราะมีคน ๆ หนึ่งบอกว่าดี เราควรจะคิดว่า ยังอาจจะมีคนอีก 9 คนที่เคยขาดทุนหรือไม่ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนในทองคำเพียงแต่ว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้พูดหรือไม่มีโอกาสพูด

ในเรื่องของหุ้นเองนั้น เราคงได้ยินเกี่ยวกับเทคนิคในการลงทุนมากมายที่สามารถทำกำไรได้รวดเร็วและมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เทคนิคเหล่านั้น แน่นอน ถูกบอกเล่าโดยคนที่ประสบความสำเร็จหรือคนเชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จจากการใช้วิธีการลงทุนแบบนั้น แต่สิ่งที่เราอาจจะลืมไปก็คือ เทคนิคนั้นอาจจะไม่สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาอื่นหรือกับหุ้นตัวอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นเทคนิคที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาและอาจจะใช้ไม่ได้กับหุ้นทุกตัว ดังนั้น คนที่ใช้หรือเคยใช้เทคนิคนั้นจำนวนมากอาจจะไม่ประสบความสำเร็จและกลายเป็น “ผู้แพ้” ที่ไม่เคยมีโอกาสพูดว่าเทคนิคนั้นเป็นเทคนิคที่ใช้ไม่ได้

หลักทรัพย์ชนิดใหม่ ๆ ที่ออกกันมา จำนวนมากเป็นตราสารอนุพันธ์ที่มีราคาผันผวนมากหรือมีการได้เสียสูงมากเนื่องจากมีการใช้มาร์จินหรือการกู้ยืมมาลงทุนจำนวนมาก การลงทุนในตราสารดังกล่าวอาจจะทำให้คนบางคนกำไรมหาศาลอย่างรวดเร็ว คน ๆ นั้นอาจจะมีโอกาสและได้พูดในที่ต่าง ๆ ทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าจะทำกำไรได้รวดเร็วและมากก็ควรจะลงทุนในตราสารเหล่านั้น ในขณะที่ผู้แพ้หรือคนที่ขาดทุนมหาศาลที่มีจำนวนมากกว่ากลับไม่มีโอกาสหรือไม่อยากจะพูดถึง

แม้แต่ในแวดวงของ Value Investor เองก็ไม่พ้นจาก “ความลำเอียง” ที่ว่า ข่าวสารส่วนใหญ่นั้น มักจะสะท้อนแต่เสียงของ “ผู้ชนะ” นั่นก็คือ คนที่ใช้หลักการ Value Investment อ ย่างถูกต้องจะได้ผลตอบแทนอย่างมหาศาลเฉลี่ยปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เหตุผลก็คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงจะเป็นคนที่ได้พูดหรืออยากพูด ในขณะที่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะไม่มีโอกาสหรือไม่อยากพูดถึงความล้มเหลวของตน ดังนั้น ภาพที่ออกมาก็คือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า คุณสามารถคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวปีละ 20-30% ได้ไม่ยาก และถ้าเชี่ยวชาญอาจจะได้ถึง 30-40% ในขณะที่ข้อเท็จจริงก็คือ Value Investment นั้น โดยเฉลี่ยผมคิดว่าจะทำได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นหรือผลตอบแทนของตลาดปีละไม่น่าจะเกิน 5% สำหรับคนที่ค่อนข้างจะเก่งมาก

อันตรายของการที่เราไม่แยกแยะว่าข้อมูลที่เราได้รับอาจจะเป็นเสียงของผู้ชนะหรือคนที่ “รอดตาย” ก็คือ เราอาจจะเข้าใจผิดและตัดสินใจที่จะเชื่อตามข้อมูลนั้นทั้ง ๆ ที่มันอาจเป็นข้อมูลที่มีโอกาสที่จะเป็นจริงหรือเกิดขึ้นน้อยในขณะที่โอกาสที่จะเกิดผลลัพธ์ตรงกันข้ามมีมากกว่า ผลก็คือ แทนที่เราจะได้กำไร เรากลับขาดทุน ตัวอย่างเช่น ถ้าเราได้รับฟังข้อมูลว่าทองเป็นการลงทุนที่ดี แต่ถ้าเราลงทุนตอนนั้น เราอาจจะขาดทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุน FIF ที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่นเดียวกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย และเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผู้ชนะหรือผู้ที่อยู่รอดเท่านั้นที่มีโอกาสพูด และผู้แพ้หรือ “คนตาย” ไม่ได้พูด วิธีที่จะกรองข้อมูลได้ถูกต้องก็คือ เราต้องดูจากสถิติที่เป็นตัวเลขที่รวมข้อมูลทั้งผู้แพ้และผู้ชนะหรือทุกคนและดูเป็นระยะเวลายาวนาน โดยการทำเช่นนี้ เราก็จะไม่ถูกหลอกโดยข้อมูลด้านเดียวของผู้ชนะที่เกิดขึ้นตลอดเวลาน

from http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26516&postdays=0&postorder=asc&start=0


17 พฤษภาคม 2553

กฎลงทุน 10 ประการของ "Sir John Templeton"

กฎลงทุน 10 ประการของ "Sir John Templeton"



สำหรับนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) บุคคลที่เป็นนักลงทุนต้นแบบอีกคนคือ เซอร์จอห์น เทมป์เพลตัน (Sir John Templeton)

เซอร์จอห์นเกิดในครอบครัวที่ยากจน แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดและมุมานะทำให้เขาได้รับทุนการศึกษาและเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเยลได้สำเร็จ เขาเริ่มงานครั้งแรกกับบริษัทหลักทรัพย์ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สองได้ไม่นาน การลงทุนครั้งแรกของเราเริ่มต้นจากเงินที่ยืมเจ้านายจำนวน 10,000 ดอลลาร์ เขาสามารถลงทุนให้เกิดเงินงอกเงยทั้งสิ้น 40,000 เหรียญภายในเวลา 4 ปี โดยเขานำเงินจำนวนนั้นไปซื้อหุ้นจำนวน 104 บริษัทระหว่างที่สงครามกำลังขยายตัวอย่างรุนแรง และขายหุ้นเหล่านั้นออกไปหลังจากสงครามสิ้นสุด

หลังจากทำงานได้ไม่นานเขาตัดสินใจเปิดบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนของเขาเอง และเริ่มต้นก่อตั้งกองทุนชื่อว่ากองทุนเทมป์เพลตัน โกรท (Templeton Growth) กองทุนนี้สามารถสร้างผลดำเนินการได้ในระดับที่สูงติดอันดับตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี เลยทีเดียว ความสำเร็จนี้เกิดจากการที่เขาสามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนก่อนใคร เช่นโอกาสลงทุนในญี่ปุ่นช่วงยุค 1960 และการบูมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในแคนาดาช่วงปี 1970 จากปี 1954 ถึงปี 2000 กองทุนของเขาสามารถสร้างผลตอบแทนได้โดยเฉลี่ย 15% ต่อปี เมื่ออายุได้ 56 ปี เขาได้ขายกิจการกองทุนนี้ไปและปัจจุบันมาร์ค โมเบียสได้ทำหน้าที่ผู้บริการกองทุนแห่งนี้

จากการใช้แนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าทำให้เขาลงทุนในหุ้นจำนวนมากหลายบริษัท โดยเขามองว่าผลตอบแทนจากหุ้นเพียงบริษัทเดียวไม่สำคัญเท่าผลตอบแทนโดยรวมของทั้งพอร์ตลงทุน อาจเป็นได้ว่าความสำเร็จที่สำคัญของเขาเกิดจากการลงทุนในหุ้นจำนวนมากในตลาดหุ้นญี่ปุ่นช่วงปี 1962 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่โตเร็วมากในยุคนั้นจนถึงปี 1990

เขาได้สรุปหลักการลงทุนของเขาเป็นหลักปฏิบัติ 10 ประการซึ่งผู้บริหารรุ่นหลังยังคงใช้เป็นหลักการในการลงทุนและการเลือกพิจารณาหุ้นในกองทุนเทมป์เพลตันจนทุกวันนี้

1) ลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่แท้จริง วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนระยะยาว คือการสร้างผลตอบแทนหลังหักภาษีให้สูงที่สุด

2) เปิดใจให้กว้างตลอดเวลา เขาไม่เคยใช้หลักการลงทุนใดอย่างถาวร แต่มักปรับวิธีการลงทุนให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับสถานการณ์ และเปิดใจให้กว้างเพื่อรับแนวความคิดใหม่ๆ อยู่เสมอ

3) ไม่ตามคนหมู่มาก หากซื้อหุ้นตามคนหมู่มาก เราก็มักจะได้รับผลตอบแทนแบบเดียวกันกับคนเหล่านั้น การซื้อหุ้นควรทำเมื่อคนส่วนใหญ่เกิดความกลัว และขายเมื่อคนส่วนใหญ่กำลังฮึกเหิม การจะทำอย่างนี้ได้ต้องอาศัยความอดทนที่ยิ่งใหญ่ แต่รางวัลที่ได้รับก็มักจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน

4) ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ตลาดที่ซบเซามักเป็นแค่ชั่วคราว หลังจากนั้นจะเป็นตลาดขาขึ้น

5) หลีกเลี่ยงหุ้นที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะนักลงทุนเหล่านั้นอาจกำลังเลือกหุ้นที่ผิด

6) เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง

7) ซื้อหุ้นในช่วงที่ตลาดปกคลุมไปด้วยข่าวร้าย ช่วงเวลาที่ตลาดปกคลุมไปด้วยข่าวร้ายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซื้อ และช่วงที่ตลาดปกคลุมไปด้วยข่าวดีเป็นช่วงที่ควรขายที่สุด

8) มองหาคุณค่าและราคาที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่านั้น ในตลาดหุ้นนั้นการที่จะซื้อหุ้นได้ในราคาที่ถูกมากๆ ต้องตอนที่นักลงทุนส่วนใหญ่ขายหุ้นออกมา

9) มองหาโอกาสทั่วโลก ถ้าเราสามารถหาโอกาสการลงทุนได้ทั่วโลก เราจะพบว่ามีหุ้นที่ถูกมากกว่าการลงทุนในประเทศเดียว

10) ไม่มีใครรู้ไปซะทุกเรื่องและผู้ที่สามารถตอบได้ทุกเรื่องเขาอาจจะไม่เข้าใจคำถามก็ได้

from http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/viboon/20100516/115440/กฎลงทุน-10-ประการ-Sir-John-Templeton.html


16 พฤษภาคม 2553

“เดนตาเมท” ยาสีฟันสมุนไพรไทย ฝีมือวิศวกรหนุ่ม


“เดนตาเมท” ยาสีฟันสมุนไพรไทย ฝีมือวิศวกรหนุ่ม


“เดนตาเมท” ยาสีฟันสมุนไพรไทย ฝีมือวิศกรหนุ่ม แนวความคิดที่ว่า “ยาสีฟันเป็นสินค้า อุปโภคที่มีเสน่ห์ที่สุด” คือ จุดเริ่มต้น “ยาสีฟันสมุนไพร เดนตาเมท” ของ บริษัท โนวัส อินเตอร์เทรด จำกัด จากการบุกเบิกของ “คุณประพันธ์พงษ์ นทกุล” ชายหนุ่มไฟแรงที่หันหลัง ให้งานทางด้านวิศวกรรมเพื่อที่อยากจะมีธุรกิจ เป็นของตัวเอง


“ยาสีฟันเป็นสินค้าอุปโภคที่มีเสน่ห์ที่สุด”

ในความเห็นของคุณประพันธ์พงษ์มองว่า ตลาดยาสีฟันมีช่องว่างในการตลาดมาก มีคู่แข่งรายใหญ่ใช้โรงงานมาตรฐานผลิตทีละจำนวนมากๆ ขณะที่รายเล็กจะมีลักษณะเป็น OTOP

ถ้าเทียบกับสินค้าอุปโภคอย่างอื่น เช่น สบู่ แชมพู ซึ่งมีจำนวนผู้ประกอบการมากมายนับไม่ถ้วน ช่องว่างทางการตลาดมีน้อยมาก “ยาสีฟันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องสัมผัสกับลิ้น ต้องเอาเข้าปาก ซึ่งมันสร้าง Loyalty ได้มากกว่า คือ การสัมผัสมันไม่ใช่ภายนอก มันเหมือนกับต้องเข้าปาก เพราะฉะนั้นผู้ใช้จะรับรู้ ได้ดีกว่าสบู่หรือแชมพู เห็นผลได้ดีกว่า เลยคิดว่าตัวยาสีฟันน่าสนใจก็เลยตั้งโจทย์ไว้ว่าเป็นยาสีฟัน” เห็นได้ชัดว่าเขา มีความลึกซึ้งกับธุรกิจและกำลังหลงเสน่ห์

ความโชคดีของคุณประพันธ์พงษ์ที่มีคุณพ่ออยู่ในวงการ Consumer product มากว่าสามสิบปีทำให้ได้รับการช่วยเหลือในเรื่องของการพัฒนาสินค้า โดยใช้ทีมนักวิจัย ซึ่งเป็นเครือข่ายของคุณพ่อมาช่วยในการวิจัยพัฒนาสูตรนานเกือบ 2 ปี จึงออกมาเป็นยาสีฟันในแบบที่ คุณประพันธ์พงษ์ต้องการความฝันในการมีธุรกิจเป็นของตัวเองเริ่มใกล้ความจริง

จุดเด่นของ "เดนตาเมท" เป็นยาสีฟันสูตรผสมสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ผลิตจากสารสกัดเข้มข้นพิเศษสมุนไพรธรรมชาติรวม 5 ชนิด ผ่านกรรมวิธีการผลิตตามมาตรฐาน GMP, HALAL ซึ่งล้วนแต่มีคุณประโยชน์ต่อช่องปากทั้งสิ้น ได้แก่ กานพลู ช่วยระงับเชื้อแบคทีเรียตามธรรมชาติและมีส่วนช่วยบำร ุงรักษารากฟัน, ใบฝรั่ง ช่วยลดกลิ่นปาก และลดการอักเสบของเหงือก, ว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงเนื้อเยื่อในช่องปาก และรักษาแผลในช่องปาก, การบูร ช่วยบำรุงเส้นประสาทรากฟัน, พิมเสน ช่วยเพิ่มความสดชื่นและลดการอักเสบของเหงือก และเกลือบริสุทธิ์โซเดียมคลอไรด์ ช่วยบำรุงรักษาเหงือก อีกทั้งสารทำความสะอาดฟันใช้ไมโครซิลิก้า สารทำความสะอาดฟันที่โมเลกุลเล็กระดับไมครอน (1/1,000,000 เมตร) และกลมมน ทำความสะอาดฟันและขจัดคราบต่างๆบนผิวฟันได้ดี โดยไม่ทำลายเคลือบฟัน

ประการสำคัญคือ ยาสีฟันไม่มีส่วนผสมของแป้งและน้ำตาล เพื่อเพิ่มปริมาณและแต่งรสชาติ ซึ่งแป้งและน้ำตาลในยาสีฟันจะเป็นแหล่งสะสมและเป็นแห ล่งอาหารชั้นดีของเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหลักข องกลิ่นปากและฟันผุ จึงทำให้ใช้ยาสีฟันครั้งละ เพียงเท่าเม็ดพริกไทย เท่านั้น

แม้จะมีพื้นฐานในครอบครัวคนจีนที่ทำการค้ามาก่อน แต่หนุ่มวิศวะอย่างเขาก็ดูจะห่างไกลจากทักษะด้านการค้าขายอย่างมาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไกลต้นของครอบครัว แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค ใหญ่ของการทำธุรกิจ เพราะเขามีความกล้า มุ่งมั่น ตั้งใจสูง ลุยแหลกกับทุกสิ่งที่ขวางหน้า

“การทำธุรกิจตั้งแต่ อายุยังน้อยมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง คือ1. กำลังทางด้านร่างกาย มันสมอง กล้าลุย มีความพร้อม และ 2. ภาระยังไม่เยอะ ยังไม่มีภาระอะไร เพราะฉะนั้นยังทุ่มเทให้กับการทำงานได้”

เอาเข้าจริง คุณประพันธ์พงษ์ก็ไม่ใช่ว่าจะด้อยทักษะทางด้านการค้าขาย ย้อนกลับไปเมื่อสมัย ที่เขาเรียนจบวิศวะ เขาร่วมกับเพื่อนเปิดโรงเรียนกวดวิชาสอนพิเศษด้วยเงินเก็บทั้งหมดที่มีมา

“ผมมีทักษะส่วนตัว คือ สอนพิเศษได้ ได้เงินเก็บประมาณหลักแสนบาท ตอนอยู่ปี 4 พอเรา จบออกมาความรับผิดชอบเรายังน้อย เรามีเวลาเยอะ เลยคิดว่าเราเปิดโรงเรียนสอนพิเศษดีกว่าคือ ผมอยากลอง”

“พอเริ่มทำ...วิธีคิดการทำงานของเราก็เปลี่ยน”

ความอยากรู้ อยากลองดู เป็นประตูให้คุณประพันธ์พงษ์เข้าไปเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ด้วยตัว ของเขาเอง “พอทำค่าใช้จ่ายมาแล้วรู้เลย แต่ก่อนขอเงินพ่อแม่อย่างไรก็ต้องมีข้าวกิน พอทำงานรู้เลยว่า เปลี่ยนทันที”

คุณประพันธ์พงษ์ทำโรงเรียนกวดวิชามา 3 ปีประสบความสำเร็จ ประสบการณ์ชีวิตแบบนี้สอนเขา ด้วยตัวเอง ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของผู้ประกอบการเองว่า เป็นอย่างไรหลังจากที่เพียงเคยเห็นแค่ ครอบครัวทำ “อันนี้สำคัญ พอเริ่มทำวิธีคิดของการทำงานเราก็เปลี่ยน พอเรามาทำตรงนี้เหมือนเรามีฐาน ของเราอาจจะลงทุนไม่เยอะเป็นแค่หลักแสน นี่ก็เป็นทักษะอีกอันที่ผู้ประกอบการทุกคนต้องมีไม่อย่างนั้น จะประสบความสำเร็จยาก”

เมื่อมีประสบการณ์เป็นทุน ไฟกำลังแรง คุณประพันธ์พงษ์ จึงมุ่งมั่นทำธุรกิจที่เขาหลงเสน่ห์อย่างเต็มที่ ลาออกจากงานประจำ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทุ่มเทให้กับการฟูมฟักยาสีฟัน ที่เปรียบเสมือนลูกคนแรกของเขา

คุณประพันธ์พงษ์เข้าร่วมโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมชื่อว่าโครงการ NEC ซึ่งทำให้ มีรายชื่ออยู่ในข้อมูลขององค์กรภาครัฐ เพื่อการเชื่อมต่อกับองค์กรส่งเสริมอุตสากรรมทั้งของรัฐและเอกชนอื่นๆ และทำให้ได้รับคำแนะนำให้มาพบกับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)

“ทุกอย่างก้าวกระโดด จากเบสิกทุกอย่างเป็นศูนย์ พอเข้าปุ๊ปเราเริ่มรู้แล้วว่าทุกอย่างเป็น อย่างไรบ้าง พอเราเข้าโครงการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจของ สสว. ก็พลิกเลย เป็นก้าวกระโดดเลย”

คุณประพันธ์พงษ์ได้รับความรู้ทางวิชาการ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน จากวิทยากรที่เป็นทั้งอาจารย์ และนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมากมาย ซึ่งได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งทางทฤษฎี และปฏิบัติได้เครือข่ายของกลุ่มอาจารย์ซึ่งมีประสบการณ์จริงในการขยายช่องทาง จนทำให้เขาเกิด และค้นพบว่าสิ่งที่เขาขาดมาตลอดในการทำธุรกิจ คือ การโฟกัสสินค้า

“ไม่โฟกัสก็จะไม่สำเร็จสักตัว เราจึงเลือกโฟกัสตัวเดียว คือ ทำมา 3 ปีแต่เราทำแค่ตัวเดียว”

คุณประพันธ์พงษ์ คิดว่าสินค้าของบริษัท SMEs ไปคิดขายถูกไม่ได้เพราะไม่สามารถต้านทานการประชาสัมพันธ์ เขาจึงกำหนดให้สินค้าของเขา เน้นคุณภาพ มีราคาสูง ขายให้กลุ่มลูกค้าเฉพาะ “ที่ราคาสูงแต่คุณภาพ ต้องได้ด้วย ไม่ใช่สูงโดย ไม่มีเหตุผลไม่ได้เพราะพวกนี้มันเป็นกลไกลอยู่แล้ว

การวางกลยุทธ์ในการขายยาสีฟันของเขา คือ การทุ่มทรัพยากรทุกอย่างลงไปที่สินค้าตัวเดียว และเขาใช้เวลา 6 เดือน เพื่อขึ้นเป็น Best seller ในหมวดสินค้าของใช้ในโกลด์เด้นเพลสซึ่งนั่นทำให้ สามารถยืนยันได้ว่าถ้าสินค้าไม่ดีจริงขายไม่ได้ เขาเชื่อว่าประสิทธิภาพการทำการตลาดแบบปากต่อปาก

“การเป็นหัวสุนัข...ดีกว่าการไปเป็นหางมังกร”

จะทำให้สินค้าถูกพูดถึงมากขึ้นโดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต “ต่อไปที่เราจะเข้า คือ Tops supermarket เพราะ เรามี Reference ที่ดี การเป็นหัวสุนัขดีกว่าเป็นหางมังกร เพราะเรามีทางเลือกไม่มากนักเราจะต้อง ไปเป็นอันดับหนึ่งในกลุ่มเล็กๆ ดีกว่าไปเป็นลิ่วล้อ”

คุณประพันธ์พงษ์ ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในการเป็นผู้บริหารที่มีอายุเพียง 31 ปี “วันนี้การที่เราทำอะไรก็แล้วแต่ เราเก่งแค่อย่างเดียวดีกว่า คล่องตัวกว่าเราสามารถควบคุมคุณภาพ ควบคุมต้นทุนได้ดีกว่า”

ทุกวันนี้ใครๆ ก็โหนกระแส กระแสไหนแรงคนก็แห่ไปทำธุรกิจนั้นจนแน่นล้นไม่มีที่ว่างสำหรับ อะไรที่แตกต่างเพราะใครๆ ก็อยากรวยแต่วันนี้ขุมทรัพย์จะเกิดขึ้นจากการค้นพบช่องว่างในทางธุรกิจ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะเจอก่อนกัน

from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064358


15 พฤษภาคม 2553

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน


พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ นักขายตรงหมื่นล้าน


สุกรี แมนชัยนิมิต
Positioning Magazine พฤศจิกายน 2550

กิฟฟารีน ภายใต้การบริหารของ พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ด้วยแนวคิด และวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ จนวันนี้แบรนด์ กิฟฟารีน สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่ม Mass สร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10 เท่าในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา กลายเป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทยที่มาแรง สามารถชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่างน่าจับตามอง ชื่อของ พ.ญ.นลินี จึงกลายเป็นแบรนด์ของผู้หญิงเก่ง ที่ไม่มีนักธุรกิจคนไหนที่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอ

ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่วันหนึ่งต้องหย่าร้าง และเลี้ยงลูกเพียงลำพัง อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ผู้หญิงคนนั้นหมดหวัง แต่สำหรับ พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ตรงกันข้าม จุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งนั้นทำให้พลังของ พ.ญ นลินี ล้นเหลือกว่าที่หลายคนคิด

เข้าถึงใจลูกค้า

พ.ญนลินี รู้ว่าคุณสมบัติความเป็นแพทย์ และประสบการณ์จากการเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไป และผิวหนัง บวกกับประสบการณ์ธุรกิจขายตรงในแบรนด์ สุพรีเดอร์ม เมื่อครั้งยังไม่ได้หย่าจากสามี เพียงพอที่จะเป็นพื้นฐานให้ หมอนลินี หรือ หมอต้อย รู้ความต้องการลูกค้ากลุ่มนี้อยู่บ้าง แต่เพราะไม่เคยรับผิดชอบหรือทำธุรกิจด้วยตัวเอง เส้นทางนักธุรกิจของพ.ญ.นลินี จึงดูเหมือนว่าจะเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้ยิ่งต้องค้นหาความรู้ทั้งจากตำรา และการเข้าชั้นเรียนเพื่อเสริมความรู้ด้านธุรกิจให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

แม้ในช่วงแรกจะมีเสียงคัดค้านจากคนรอบข้างอยู่บ้าง เพราะภาวะเศรษฐกิจไทยที่เริ่มถดถอยก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นการยากที่แบรนด์ใหม่จะแจ้งเกิดในตลาด แต่เสียงความมุ่งมั่นของพ.ญ.นลินีดังกว่า

ทุกคนต้องการ ความสวยงาม และ ความมั่นคง ของชีวิต คือคำตอบที่เข้าถึงความรู้สึกคนทุกคนมากที่สุด จากจุดนี้จึงต่อยอดให้ กิฟฟารีน แบรนด์ขายตรงที่ พ.ญ.นลินี สร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2538 ยืนได้อย่างแข็งแรง โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจไทยในปี 2540 พังครืนจากค่าเงินบาทลอยตัว และคนว่างงานกันมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขายตรงเป็นทางออกของบางคนในช่วงนั้น

หาจุดต่างแจ้งเกิด

ด้วยความที่กิฟฟารีนเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ขณะที่มีสินค้าแบบเดียวกันเป็นแบรนด์จากต่างประเทศทำตลาดอยู่มาก สนามที่พ.ญ.นลินีต้องลงแข่งขันจึงไม่ธรรมดา โจทย์ที่ต้องหาคำตอบ คือการหาจุดต่าง

การใช้จุดต่าง (Differentiation) ในการวาง Positioning ของสินค้า เป็นสูตรที่หลายๆ สินค้าและบริการนำมาใช้เสมอ กิฟฟารีน ก็เช่นกันที่ต้องหาจุดต่าง และเนื่องจากเป็นธุรกิจขายตรง จุดต่างจึงต้องมีใน 2 ส่วน คือผลิตภัณฑ์ที่เสนอต่อลูกค้า และระบบบริหารเครือข่าย

พ.ญ.นลินีบอกว่า ความเป็นหมอสอนไว้ว่า ไม่ให้เชื่ออะไรที่ไม่มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อต้องเริ่มต้นบอกกับลูกค้า กิฟฟารีนเลือกวิธีชี้แจงส่วนผสมและวัตถุดิบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ให้ความรู้แก่ผู้ใช้ ทำให้ไม่มีข้อโต้แย้งได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่น

ส่วนความต่างที่ให้กับสมาชิกเครือข่าย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขยายจำนวนมาสมาชิกที่ถือเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า คือ นอกจากให้ส่วนแบ่งในเปอร์เซ็นต์ที่สูงแล้ว ยังให้ความรู้สึกแก่สมาชิกว่าเป็นเสมือนผู้ถือหุ้นบริษัทที่สามารถรับรู้รายจ่าย รายได้ของบริษัทอีกด้วย

สูตรบริหาร

หากถามถึงหลักการทำงานแล้ว พ.ญ.นลินีบอกว่ามี 2 หลักใหญ่ หลักการแรกคือความระมัดระวัง เมื่อมีข้อผิดพลาด ให้เร่งหาสาเหตุโดยเร็วที่สุด เพื่อแก้ปัญหาให้ถูกจุด

เมื่อเราไม่ได้มีพื้นฐานทางธุรกิจมาก่อน เวลาทำก็ต้องบริหารจัดการงานด้วยความระมัดระวัง เพราะเราไม่มีประสบการณ์ เราเริ่มกิจการจากกิจการเล็กๆ เริ่มต้นจากศูนย์ จึงต้องค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เติบโต เรียนรู้ปัญหา ข้อผิดพลาด เรียกได้ว่าเติบโตจากการเรียนผิดเรียนถูก ข้อบกพร่อง Trial and Error และต้องตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เมื่อมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นต้องรีบแก้ไข หาสาเหตุให้เร็วที่สุด

หลักการที่สองพ.ญ.นลินีใช้หลักจิตวิทยา ในการบริหารบุคลากร และเครือข่ายของกิฟฟารีน ด้วยหลักการคิดที่ว่าทำให้คนที่ทำงานด้วยมีความสุข เห็นใจซึ่งกันและกัน คิดถึงใจคนที่มาอยู่ด้วยกัน ให้เขาเติบโต และมีความเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน เติบโตไปด้วยกัน ไม่ Centralize ที่ตัวเอง ต้องรู้ว่าคนทำงานกับเรา เขาต้องการอะไรและรับฟังความคิดเห็นของเขา

ส่วนจะมีบ้างหรือไม่สำหรับพ.ญ.นลินีที่เกิดความรู้สึกท้อแท้ คำตอบโดยอัตโนมัติจากพ.ญ.นลินี คือไม่เคยท้อ ปัญหาที่เข้ามาถือเป็นความท้าทาย อุปสรรคที่เข้ามาต้องรีบคิดหาสาเหตุและแก้ไขให้ได้ ส่วนกำลังใจที่สำคัญคือมาจากครอบครัว และความที่ต้องรับผิดชอบต่อคนจำนวนมาก

สวยปิ๊งเสริมแบรนด์

เมื่อเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามและสุขภาพ พ.ญ.นลินีบอกว่าการวาง Positioning ตัวเองเพื่อให้สะท้อนแบรนด์สินค้าเป็นสิ่งจำเป็น

บุคลิกเราเป็นแบรนด์เหมือนกัน ธุรกิจเราต่างจากธุรกิจค้าปลีก Consumer Product ทั่วไป เราต้องแสดงความเป็นธุรกิจขายตรง และเครือข่าย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตัวเราเป็นจะบ่งบอกถึงสินค้าของเรา เมื่อเราเป็นธุรกิจขายตรงให้ความจริงใจกับสมาชิกและลูกค้า เพราะฉะนั้นเวลาพูดกับใครต้องชัดเจน ตัวเองก็เป็นคน Clear อยู่แล้ว และที่สำคัญต้องใช้ Prodcut ของตัวเอง

จึงเป็นภาพที่พบเห็นเสมอสำหรับ พ.ญ.นลินี เมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชนมักสวยปิ๊ง และเนี้ยบ แม้ชุดที่คุ้นตาที่สุดคือในชุดสูททำงานสุดเท่ แต่จริงๆ แล้วพ.ญ.นลินีบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนง่ายๆ ไม่ชอบแต่งตัว บางครั้งก็ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เพียงแต่การแต่งกายในช่วงทำงาน หรือออกงานต่างๆ ก็ต้องให้เหมาะสม ถูกกาลเทศะ

ที่สำคัญคือ ไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดว่าต้องใส่ชุดของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง สำหรับชุดที่สวมใส่ประจำเช่น Flynow และ G2000 ซึ่งความลงตัวตลอดเวลานั้น ทั้งหมดเป็นฝีมือเลือก และแต่งด้วยตัวเองของพ.ญ.นลินี โดยไม่จำเป็นต้องมีดีไซเนอร์มาช่วยจัดให้แต่อย่างใด

ส่งพลังลุยปี2008

ปี 2007 สำหรับกิฟฟารีนแล้วทั้งจากยอดขายที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากยิ่งขึ้น และที่สำคัญพ.ญ.นลินีได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 3 ของนักธุรกิจไทย จากทั้งหมด 15 คนทั่วโลกที่ได้รับรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลก ปี 2007 (Leading Women Enterpreneurs of the World 2007) ซึ่งพ.ญ.นลินีบอกว่าถือเป็นช่วงสำคัญของจังหวะชีวิตในปีนี้

จากจุดนี้ พ.ญ.นลินีบอกว่าผลงานในปี 2007 สะท้อนให้เห็นความก้าวหน้าของธุรกิจกิฟฟารีน ในด้านความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นวัดจากผลประกอบการ เพราะรางวัลนักธุรกิจสตรีดีเด่นโลกซึ่งพิจารณาจากผลประกอบการของธุรกิจที่ทำอยู่ด้วย ส่วนที่สอง มองว่าคนไทยเริ่มเข้าใจแบรนด์ และมองธุรกิจกิฟฟารีนเป็นมิตรมากขึ้น

ผลที่งอกงามสำหรับพ.ญ.นลินีในปี 2007 มาจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นปีที่ให้ความสำคัญกับกลยุทธ์สร้างให้ลูกค้ายอมรับนับถือแบรนด์กิฟฟารีนให้มากที่สุด ซึ่งนอกจากพ.ญ.นลินีจะบริหารธุรกิจด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นครีเอทีฟดูแลหนังโฆษณาด้วยตัวเองตั้งแต่ปี 2006

แม้ กิฟฟารีน จะไม่ได้ทำธุรกิจแบบเดียวกับแบรนด์ มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์ ของอังกฤษ ที่พ.ญ.นลินีเลือกเป็นแบรนด์ที่ชื่นชอบ ด้วยเหตุผลว่าเพราะมี Products ทุกอย่าง ลูกค้าที่เข้าไปซื้อของที่นี่จะซื้อด้วยความมั่นใจ เป็นแบรนด์ของคนทั่วโลก ที่น่าสนใจเพราะสามารถทำสำเร็จในการจับตลาด Mass ได้หมด

แต่การเข้าถึง Mass คือเป้าหมายเดียวกัน โดยเฉพาะปี 2008 ที่พ.ญ.นลินีวางแผนให้กิฟฟารีนมีผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนองตอบลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม B ถึง C+ และให้ผู้ที่มาร่วมธุรกิจมีโอกาสเติบโตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือให้แบรนด์กิฟฟารีนแข็งแรง เป็นที่ประทับใจของลูกค้าจำนวนมากเหมือนกัน


Profile

แบรนด์ : กิฟฟารีน
ลักษณะธุรกิจ : ระบบธุรกิจขายตรง MLM (Multi Level Marketing)
รายได้ :
ปี 2549 - 3,400 ล้านบาท
ปี 2550 - คาด 3,900 ล้านบาท
รวม 11 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจ สร้างยอดขายรวม 23,000 ล้านบาท
งบการตลาด : ปี 2550 มูลค่า 60-80 ล้านบาท


Name : แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์
Age : 48 ปี
Education :
มัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย
มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
แพทย์ศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(วุฒิบัตรผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวชวิทยา)
Career Highlights :
2538-ปัจจุบัน ประธานกรรมการ บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด
ประธานกรรมการ โรงเรียนศิลปะศาสตร์การแต่งหน้า กิฟฟารีน

from http://www.siamsouth.com/smf/index.php/topic,2652.0.html


จากเด็กสลัมสู่นักธุรกิจพันล้าน ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ เจ้าของกาแฟลดน้ำหนักเนเจอร์กิฟ


จากเด็กสลัมสู่นักธุรกิจพันล้าน ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ เจ้าของกาแฟลดน้ำหนักเนเจอร์กิฟ


ในยุคสมัยที่ผู้คนในสังคม เริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะท่านสุภาพสตรีทั้งหลายที่หันมาใส่ใจเรื่อง น้ำหนักตัว จนทำให้ธุรกิจและผลิตภัณฑ์ ลดความอ้วน นั้นได้รับความนิยมอย่างสูงไม่ว่าจะเป็น คลินิกลดความอ้วน เครื่องออกกำลังลดหน้าท้อง เสื้อผ้าช่วยลดความอ้วน รวมไปถึงอาหารประเภทเครื่องดื่มยอดนิยมอย่าง ชา-กาแฟ ด้วย



ช่วงหลายปีที่ผ่านมา เชื่อแน่ได้ว่าท่านผู้อ่านจำนวนไม่น้อยคงเคยได้ยินชื่อ กาแฟเพื่อสุขภาพ เนเจอร์กิฟ มาบ้างจากสปอตโฆษณาทางโทรทัศน์ และสื่อโฆษณาหลากหลายแขนง ทว่า คงมีไม่กี่คนที่ทราบว่า ผู้ก่อตั้งและเจ้าของธุรกิจกาแฟลดความอ้วนนี้แท้จริงแล้วในอดีตเป็นเพียงเด็กสลัมจนๆ คนหนึ่ง ซึ่งต้องวิ่งขายไอศกรีม ขายเรียงเบอร์ ต้องทนนอนเบียดกัน 8 คนในห้องเช่าขนาดแค่ 3 คูณ 4 เมตร ......

ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ ผู้จัดการใหญ่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เนเจอร์กิฟ 711 เปิดใจเล่าถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กกับ ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า ผมอยู่สลัมตั้งแต่จำความได้ เราเช่าบ้านของแม่ค้าขายผักอยู่ที่ตลาดปีระกา ใกล้กับวัดตึก พื้นที่ที่เราเช่าอยู่เนี่ยเป็นพื้นที่หน้าห้องน้ำของบ้านแม่ค้า เนื้อที่กว้างประมาณสองเมตรครึ่ง ลึกสองเมตร เวลานอนเลยเบียดกันมาก อยู่ที่นี่ประมาณ 2 ปีก็ย้ายไปอยู่ที่สลัมซอยสามยอด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน พื้นที่ก็กว้างขึ้นมาหน่อยเป็น 3 คูณ 4 เมตร ตอนนั้นเราก็มีน้องเพิ่มขึ้น และมีหลานมาอยู่ด้วย ก็รวมเป็น 8 คน เวลานอนจะมีเตียง 1 เตียง นอนกัน 3 คน ส่วนคนที่นอนบนพื้นก็ต้องเอาขาสอดไปไว้ใต้เตียง บ้านเราคับแคบนะแต่ก็อบอุ่นดี (ยิ้ม)

แม้โชคชะตาจะทำให้ชายผู้นี้เกิดมาในสลัมซอยสามยอด แต่ด้วยความอดทน หัวใจที่รักดี และความเป็นพี่ชายคนโตของครอบครัวเขาจึงต้องดิ้นรนช่วยเหลือพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆ ถึง 5 คน กับหลานอีก 1 คนตั้งแต่ยังเล็ก

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ผมจะตื่นตั้งแต่ตี 4 ครึ่ง ไปรับขนมจากปากคลองตลาดมาขายในตลาดแถวๆบ้านจนถึงช่วงสายๆ พอขายหมดก็ไปรับไอศกรีมแท่งมาขาย หิ้วถังไอศกรีมเดินขายไปเรื่อยๆ หนักหลายกิโลฯ เหมือนกัน บ่ายๆก็หมดแล้ว เสร็จแล้วก็กลับมาทำการบ้าน ส่วนวันที่ล็อตเตอรี่ออกผมก็ไปรับเรียงเบอร์จากโรงพิมพ์แถวเฉลิมกรุงมาขาย ก็วิ่งจากเฉลิมกรุงถึงหัวลำโพง คือสมัยนั้นถ้าเลยหัวลำโพงไปมันจะมืดมากเราก็ไม่กล้าไป ก็กลับมาที่วังบูรพาซึ่งสมัยนั้นมีโรงหนังอยู่ 3 โรง คือ โรงหนังแกรนด์ คิงและควีน เพื่อรอหนังรอบดึกเลิก ผมจะขายคนที่มาดูหนังจนเรียงเบอร์หมดถึงกลับบ้าน ทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัย"

ข้อดีอย่างหนึ่งของความยากจนก็คือสิ่งนี้เป็นเหมือนแรงขับที่ทำให้กฤษฎามีความอดทนและมานะพยายามมากกว่าเพื่อนๆวัยเดียวกัน เด็กโรงเรียนวัดสระเกศอย่างเขาจึงสามารถสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทั้งๆที่ไม่มีโอกาสได้เรียนกวดวิชาเหมือนเพื่อนๆ ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานหารายได้ช่วยครอบครัว

ตอนเอ็นทรานซ์ติดคณะวิศวะฯ จุฬาฯ นี่พ่อกับแม่ดีใจมาก เพราะผมไม่ได้เรียนกวดวิชาเหมือนเพื่อนๆ เขาหรอกเพราะเราไม่มีเงิน บางทีเพื่อนเขาบอกว่าวิชานี้มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมหิดลมาสอนนะ อาจารย์คนนี้สอนเก่ง ผมก็จะแอบไปเรียนโดยที่ไม่ได้จ่ายเงิน ก็จะไปนั่งหลังๆ ห้อง อาจารย์ก็ไม่ได้สังเกต (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้ไปเรียนทุกชั่วโมงนะเพราะเราไม่ได้จ่ายตังค์ สมัยที่เรียนจุฬาฯ ก็จะกินข้าวแกงที่ขายริมรั้ว ส่วนน้ำก็ขึ้นไปกดน้ำก๊อกบนตึกกิน ดร.กฤษฎา เล่าถึงชีวิตต้องสู้ในวัยเด็ก

เจ้าของบริษัทที่ไม่มีแม้แต่เก้าอี้นั่งทำงาน

หลังจากที่เรียนจบปริญญาตรีกฤษฎาได้เข้าทำงานที่การไฟฟ้าฯ อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะลาออกไปทำงานบริษัทเอกชน ด้วยความต้องการเก็บเงินสร้างฐานะ จนกระทั่งมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งเขาจึงตัดสินใจออกมาเปิดบริษัทนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์ด้านวิศวกรรมของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม บริษัทของกฤษฎานั้นออกจะแปลกว่าบริษัทอื่นๆ ตรงที่ทั้งบริษัทมีเขาเป็นพนักงานเพียงคนเดียว และพื้นที่ซึ่งเขาใช้เป็นที่ทำงานนั้นก็อยู่ภายในบริษัทของเพื่อนชาวไต้หวัน อีกทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่เขานั่งทำงานก็ล้วนแต่หยิบยืมมาจากเพื่อนคนดังกล่าวอีกเช่นกัน

ต้องบอกว่าผมโชคดีนะ มีแต่คนช่วยเหลือ บริษัทของผมเป็นบริษัทนำเข้าสินค้าด้านวิศวกรรม เช่น วาล์วต่างๆ วาล์วลม วาล์วน้ำมัน ตู้ไฟฟ้า แต่ว่าตอนนั้นผมมีเงินแค่ 50,000 บาท ไม่มีปัญญาจ้างพนักงาน ก็ทำอยู่คนเดียว จะเช่าตึกทำออฟฟิศเราก็ไม่มีเงิน ผมก็ไปขอใช้พื้นที่ในบริษัทของเพื่อนชาวไต้หวันเป็นที่ทำงาน แล้วก็ขอยืมโต๊ะเขามาตัวหนึ่ง (หัวเราะ) มานั่งทำงาน ก็ต้องขอบคุณเขาจนถึงทุกวันนี้เพราะเพื่อนคนนี้ช่วยเหลือผมเยอะมาก ผมไม่มีเงินเขาก็เปิดแอลซีให้ พอของมาถึงท่าเรือเราก็ไม่มีเงินไปเสียภาษีนำเข้าอีก ศุลกากรเขาก็กำหนดว่าสินค้าต้องอยู่ที่ท่าเรือไม่เกิน 90 วัน ถ้าเกิน 90 วันเขาจะริบเป็นของหลวง ก็เลยคุยกับเพื่อนชาวไต้วันอีกว่าจะขอยืมเงินมาเป็นค่าภาษี (หัวเราะ) ถ้าขายได้จะเอาเงินมาคืน เขาก็ให้ พอขายของได้ผมก็คืนเงินให้เขาแล้วก็แบ่งกำไรให้เขา 10%

ตอนหลังผมก็ขอคู่ค้าในต่างประเทศว่าไม่ต้องเปิดแอลซีได้ไหม ส่งสินค้าให้ผมก่อน ภายใน 90 วันขายของได้แล้วผมจะโอนเงินไปให้ เขาก็ให้นะ ทั้งอเมริกา ทั้งอังกฤษ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ากันเลยนะ แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่งผมหาเงินไม่ทันผมก็เขียนจดหมายไปบอกเขาว่าผมหาเงินไม่ทันตามกำหนด ขอยืดเวลาออกไปอีก 60 วันนะ แต่จะให้ดอกเบี้ยเขาด้วย ช่วงนั้นก็ยังขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีเงินจ้างพนักงาน ต้องทำเองทุกอย่าง ตอนหลังพอยอดขายเพิ่มขึ้น ก็เลยย้ายบริษัทมาอยู่ที่บ้านที่บางยี่เรือ แล้วก็จ้างพนักงาน 2 คน ทั้งๆ ที่พนักงานแค่ 2 คน บางเดือนยังไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนเลย คุณแม่ต้องไปยืมเงินแม่ค้าขายปาท่องโก๋ในตลาด หรือบางทีก็ยืมเงินร้านขายยามาให้ ต่อมาผมก็หันมาผลิตเครื่องฟอกอากาศยี่ห้อแอร์โรคลีน ปรากฏว่าขายดีมาก มียอดขายเป็นอันดับหนึ่งในตลาด

พอปี 2538-2539 เงินเหลือเยอะเลยไปซื้อที่ดินที่ลพบุรีประมาณ 500 กว่าไร่ มาพัฒนาเพื่อจัดสรรขาย แต่พอปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ ลูกค้าที่มาจองซื้อที่ของโครงการไว้ก็ไม่มีเงินมาจ่าย ตอนนั้นโครงการเรายังไม่เสร็จ ผมก็มานั่งคิดว่าขุดทะเลสาบไว้ถ้าฝนตกลงมาก็จะเสียหาย เราก็เลยต้องทำต่อ โดยการโละสต็อกเครื่องฟอกอากาศทั้งหมด ได้เงินมาหลายล้านก็เอามาถมกับที่แปลงนี้ ทำให้เราเป็นหนี้ธนาคารถึง 50 ล้านบาท ขณะที่ไม่มีใครจ่ายเงินค่าที่เลย และก็ไม่มีธุรกิจอื่นๆแล้ว ดร.กฤษฎา เล่าถึงประสบการณ์ในการทำธุรกิจที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด

ปลดหนี้ 50 ล้านใน 2 ปี

ถึงแม้จะหมดเนื้อหมดตัวจากการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งยังต้องเป็นหนี้เป็นสินหลายสิบล้านบาทแต่ ดร.กฤษฎาก็หาได้ท้อถอย เนื่องเพราะมีภรรยาและลูกๆทั้ง 3 คนคอยเคียงข้างเป็นกำลังใจ เขาจึงเริ่มต้นใหม่ด้วยการทำธุรกิจขายตรง ผลิตและจำหน่ายอาหารเสริมจากสาหร่ายสไปรูลิน่า ภายใต้แบรนด์เนเจอร์กิฟ ในปี 2545 ซึ่งนับว่าโชคชะตาก็ยังไม่ใจร้ายกับเขาเกินไปนัก เพราะแม้ธุรกิจขายตรงในครั้งนั้นจะไม่ประสบความสำเร็จแต่ก็กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาหันมาผลิตกาแฟลดน้ำหนัก ซึ่งใช้ชื่อผลิตภัณฑ์เหมือนกันคือ เนเจอร์กิฟ ที่กำลังขายดิบขายดีอยู่ในขณะนี้ และจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ ดร.กฤษฎาสามารถใช้หนี้จำนวน 50 ล้านบาทได้หมดภายใน 2 ปี หลังจากที่เริ่มผลิตกาแฟเนเจอร์กิฟออกจำหน่ายในปี 2547 อีกทั้งยังสามารถสร้างโรงงานใหม่ เป็นแห่งที่ 3 ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปีกว่าเท่านั้น

ในช่วงที่ทำธุรกิจขายตรง สมาชิกหลายคนก็บอกว่าอาหารเสริมมันขายยาก น่าจะขายพวกสินค้าอุปโภคบริโภค อย่างพวก กาแฟ สบู่ ยาสีฟัน ผมก็อยากทำแต่ไม่มีเงินทุน เลยลองหาข้อมูลดู ปรากฏว่าผลิตกาแฟใช้เงินน้อยที่สุด ประกอบกับก่อนหน้านั้นผมมีความคิดว่าอยากผลิตอาหารที่ช่วยในเรื่องสุขภาพของผู้บริโภคที่มีปัญหาในเรื่องโรคอ้วน เบาหวาน ความดัน ก็เลยมาลงตัวที่กาแฟสูตรลดน้ำหนัก โดยเริ่มขายครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม 2547 พอดีตอนนั้นมีงานเกษตรแฟร์ ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เราก็ไปออกร้าน แล้วมีนักข่าวไปทำข่าวลงหนังสือพิมพ์เนื่องจากเขาเห็นว่ามันแปลกเพราะเนเจอร์กิฟเป็นกาแฟสูตรควบคุมน้ำหนักเจ้าแรกของไทย คนก็เลยเริ่มรู้จักสินค้าของเรา จากนั้นก็ขายดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยตั้งโรงงานขึ้นมา

คือตอนที่เริ่มผลิตครั้งแรกเรายังไม่มีเงิน ก็ใช้พื้นที่ในบ้านส่วนที่เคยใช้เป็นโรงรถเป็นที่ผลิต เพราะเรากะจะผลิตแค่เดือนละ 3 หมื่นซองเท่านั้น แต่ปรากฏว่ายอดขายเพิ่มขึ้นมากจนเราต้องหาสถานที่ผลิตใหม่ ก็ไปเช่าบ้านหลังหนึ่งใกล้ๆ กับบ้านที่เราอยู่เพื่อใช้เป็นที่ผลิตกาแฟ ทำอยู่ 7-8 เดือน ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่หยุด ประมาณเดือน มิถุนายน 2548 เราเลยตั้งโรงงานขึ้นมา ลงทุนไป 18 ล้านบาท เนเจอร์กิฟก็โตขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2550 จำเป็นต้องสร้างโรงงานแห่งใหม่ ซึ่งก็คือโรงงานปัจจุบัน ใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท และในปีนี้ (2552) เราก็จะเปิดโรงงานใหม่อีกแห่งหนึ่ง ใช้เงินลงทุนประมาณ 500 ล้านบาท อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตอนนี้ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ส่วนตัวแทนจำหน่ายที่รับสินค้าเราไปขายนั้นปัจจุบันก็มีอยู่ประมาณ 5,000-6,000 จุดทั่วประเทศ ซึ่งจากการที่ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องทำให้ผมสามารถใช้หนี้ซึ่งมีอยู่ 50 กว่าล้านได้หมดภายใน 2 ปี คือเริ่มผลิตกาแฟเนเจอร์กิฟในปี 2457 พอปี 2548 เราก็ใช้หนี้หมด ขณะที่การก่อสร้างโรงงานใหม่นั้นก็ใช้เงินสดทั้งหมด ปัจจุบันเราจึงไม่มีหนี้ เจ้าของบริษัทเนเจอร์กิฟ กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

ทั้งนี้ในปัจจุบันเนเจอร์กิฟได้ขยายไลน์การผลิตสินค้าออกไปมากขึ้น โดยมีทั้งกาแฟและเครื่องดื่มสูตรควบคุมน้ำหนักรสชาติต่างๆ และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งนอกจากตลาดภายในประเทศแล้ว ผลิตภัณฑ์เนเจอร์กิฟก็ยังมีการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศด้วย ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย อินเดีย ออสเตรเลีย ดูไบ ตุรกี นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสหรัฐอเมริกา



ดร.กฤษฎา กับโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งก่อสร้างด้วยวงเงิน 200 ล้านบาท

อุปสรรค คือส่วนหนึ่งของ ความสำเร็จ

ดร.กฤษฎา บอกว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ก็คือความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค อีกทั้งยังเชื่อว่าการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง และช่วยให้เขาสามารถผ่านพ้นอุปสรรคนานัปการในชีวิตไปได้

ผมคิดว่าการทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค แต่ถ้าเจออุปสรรคแล้วเราคิดว่าอุปสรรคเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จเราก็มีกำลังใจที่จะเดินต่อไปได้ อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่งธนาคารโทรมาทวงเงิน คือตอนนั้นผมไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยเขาหลายเดือนแล้ว ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังเริ่มผลิตกาแฟ ผมก็บอกว่ารอนิดหนึ่งนะ กำลังทำกาแฟอยู่ เจ้าหน้าที่ธนาคารก็บอกว่าเห็นด็อกเตอร์ทำมาตั้งหลายอย่าง ไม่เห็นสำเร็จสักอย่าง ... ผมก็เลยบอกเขาไปว่า คุณรู้จักมิสเตอร์ฮอนด้าไหม มิสเตอร์ฮอนด้าเขาบอกว่ารถยนต์ฮอนด้าที่คุณเห็นเขาผลิตออกมาขายน่ะมันแค่ 5% ที่เขาทำมาทั้งหมด คือคุณเห็นแค่สิ่งที่เขาทำแล้วประสบความสำเร็จซึ่งมันมีเพียง 5% เท่านั้น ส่วนอีก 95% ซึ่งคุณไม่เห็นน่ะมันคือส่วนที่เขาทำแล้วล้มเหลว เจ้าหน้าที่ธนาคารเขาก็เลยเงียบไป เพราะฉะนั้นถ้าคุณทำอะไรแล้วมันล้มตลอดก็อย่าเพิ่งท้อ เราต้องรู้ว่าเราล้มได้ถึง 95 ครั้งนะ ขอแค่ชนะ 5 ครั้งก็พอแล้ว (ยิ้ม)



เปิดตัวเนเจอร์กิฟครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ตอนผมขายเครื่องฟอกอากาศ ผมอยู่ตึกแถวจนสามารถเก็บเงินซื้อบ้านทาวน์เฮาส์ได้ แล้วก็มาซื้อบ้านเดี่ยวซึ่งมีสนามหญ้าด้วย 2 หลัง ซื้อที่ได้หลายร้อยไร่ มีรถวอลโว่ รถบีเอ็มซีรีย์ 7 พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจไอเอ็มเอฟผมก็ล้มละลาย โรงงานถูกยึด บริษัทก็ถูกยึด รถบีเอ็มก็ต้องขาย หมดทุกอย่ง ผมต้องนั่งรถเมล์ไปทำงาน แต่ผมก็มองว่ามีได้ก็หมดได้เป็นเรื่องธรรมดาของโลก อีกอย่างที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิตเนี่ยก็เพราะผมปฏิบัติตามคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า คือทำทาน รักษาศีล แล้วก็เจริญภาวนาคือสวดมนต์และนั่งสมาธิ ผมทำธุรกิจไปด้วย ทำบุญไปด้วย เราทำครบทั้งทาน ศีล ภาวนา เวลามีปัญหา จากหนักมันก็เบาลง

ด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้ผู้ชายคนนี้จึงไม่เคยหยุดนิ่งในเรื่องของการศึกษา และไม่มีคำว่าแก่เกินเรียน

ผมเรียนไปเรื่อยๆ เป็นคนชอบเรียน ทำธุรกิจไปด้วยเรียนไปด้วย ปริญญาบางใบได้มาตอนแต่งงานและมีลูกแล้วก็มี ผมเรียนปริญญาโท เอ็มบีเอ ที่ธรรมศาสตร์ เรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอเมริกันโคสต์ไลน์ (American Coastline University) สหรัฐอเมริกา แต่เรียนทางไปรษณีย์นะ แล้วก็ได้อบรมหลักสูตรธุรกิจที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (สหรัฐอเมริกา) คือเขาเชิญไปเรียนโดยคัดจากนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ผมเป็นนักธุรกิจไทยรุ่นแรกที่ได้รับคัดเลือก ตอนนั้นไปอบรมพร้อมกับคุณประชา มาลีนนท์ (อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3) รวมๆ แล้วทั้งปริญญาและประกาศนียบัตร ประมาณ 10 กว่าใบได้ คืออุปนิสัยผมเป็นคนใฝ่รู้ อย่างเราเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรม พอไปทำธุรกิจต้องติดต่อค้าขายกับต่างประเทศผมก็จะไปเรียนหลักสูตรเกี่ยวกับการเขียนจดหมายทางธุรกิจ เรียนการพูดภาษาอังกฤษ เรียนการเงิน การตลาด ก็หาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด คือผมเป็นคนไม่ชอบเที่ยว พอเลิกงานก็ไม่รู้จะทำอะไรเลยไปเรียนหนังสือ ดร.กฤษฎา กล่าว

มีเงินพันล้าน แต่ใช้เดือนละ 6 พัน

แม้ปัจจุบัน ดร.กฤษฎาจะประสบความสำเร็จอย่างสูงในธุรกิจและกลายเป็นเศรษฐีพันล้าน แต่เขาก็หาได้ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยหรูหรา ... ตรงกันข้ามเขากลับยังคงใช้ชีวิตสมถะ กินง่ายอยู่ง่ายไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ยังล้มลุกคลุกคลานในช่วงที่เริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ๆ

ดร.กฤษฎาบอกว่า เขาเลือกใช้จ่ายเฉพาะในสิ่งที่จำเป็น ซึ่งรวมๆแล้วในแต่ละเดือนนั้นเขาจะใช้เงินไม่เกิน 6,000 บาท เพราะเขามองว่าคงเป็นการดีกว่าหากเงินที่เขาหามาด้วยความยากลำบากนั้นจะถูกนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อพุทธศาสนา หรือใช้ในการส่งเสริมคุณธรรมและการศึกษาให้แก่เด็กๆที่ด้อยโอกาส

ทุกวันนี้ผมใช้เงินแค่เดือนละ 6,000 บาท อาหารเช้าของผมคือถั่วต้ม น่าจะประมาณ 3-5 บาท คือผมเอาถั่วแดง ถั่วเขียว ลูกเดือย ถุงละแค่ 10 กว่าบาท มาต้มใส่น้ำตาล ต้มเสร็จแล้วก็แช่ช่องแข็งไว้ เช้าก็เอาออกมากิน ถั่วนี่คุณค่าทางอาหารสูงด้วย ประหยัดด้วย มื้อกลางวันก็เป็นอาหารตามสั่งจากร้านแถวๆ ออฟฟิศ บางทีขับรถไปเจอเพิงก๋วยเตี๋ยวข้างทางผมก็แวะกินได้ ผมกินอะไรง่ายๆ ตกเย็นก็กินข้าวที่บ้านกับครอบครัว แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว คือผมมองว่าเงินทองของเราถ้าได้นำไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์มันน่าจะคุ้มค่ากว่าเอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไร้สาระ อย่างที่บริษัทก็จะมีการแจกทุนการศึกษาให้แก่เด็กที่เรียนดี มีความประพฤติดี แต่ฐานะยากจน แจกมาต่อเนื่องทุกปี ซึ่งปีนี้เราก็แจกให้ 100 ทุน ทุนละ 12,500 บาท

หรืออย่างรีสอร์ทที่ลพบุรีเก็บเอาไว้ก็ไม่ได้ทำอะไร ผมก็เลยถวายวัดไปเพื่อใช้สร้างสถานปฏิบัติธรรม นอกจากนั้นเราก็สร้างธรรมสภาขึ้นมา ซึ่งตรงนี้จุคนได้หลายพันคน ทางวัดเขาก็ใช้เป็นที่อบรมธรรมะสำหรับเยาวชนและประชาชน ใช้เป็นที่ประชุมสงฆ์ เป็นที่จัดบวชเณร แล้วผมก็ส่งเงินไปช่วยเป็นค่าน้ำค่าไฟ ค่าคนงาน ทุกเดือน เมื่อปีที่แล้วก็มีการจัดตักบาตรที่ศูนย์ลพบุรี 2 ครั้ง ครั้งแรกเดือนกุมภาพันธ์ นิมนต์พระมา 1,700 รูป ครั้งที่ 2 เมื่อเดือนธันวาคม 2551 มีพระมารับบาตร 10,000 รูป ปลายปีนี้ก็จะจัดอีก คือเราอยากให้คนหันกลับมาทำบุญใส่บาตรกันเยอะๆ เหมือนเมื่อก่อนนี้ ผมจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ผมอยู่ในสลัม เราเดินไปแถวถนนเจริญกรุงจะเห็นพระเดินรับบาตรมาเป็นแถว ชาวบ้านเขาก็ใส่บาตรกัน ส่วนเรายังเป็นเด็กจนๆ เราก็ได้แต่ยกมือไหว้ แต่วันนี้เรามีโอกาสทำได้มากกว่าแค่ยกมือไหว้พระ (ยิ้ม) ผมคิดว่าถ้าคนมีศีลมีธรรมเหมือนเมื่อก่อนบ้านเมืองเราก็สงบสุข

ดร.กฤษฎายังบอกด้วยว่า ความยากลำบากที่เขาพบเจอมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้นเป็นเหมือนเบ้าหลอมให้เขารู้จักมานะ อดทน จนประสบความสำเร็จได้ถึงทุกวันนี้ ดังนั้นเขาจึงปลูกฝังให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนซึ่งจะต้องเข้ามาสืบสานธุรกิจของเขาต่อไปในอนาคตได้เรียนรู้ที่จะทำงานโดยไม่หวั่นต่อความยากลำบาก

ผมกับภรรยาจะไม่เลี้ยงลูกแบบคุณหนู ไม่สอนให้เขาฟุ้งเฟ้อ ลูกทุกคนจะช่วยกันทำงานหมด เราสอนเขาว่าอย่าอายถ้างานที่เราทำเป็นอาชีพสุจริต ลูกชายคนโตผมเขาเรียนจบปริญญาตรี ที่เอแบค ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จบออกมาก็หางานทำไม่ได้ เขาก็ไปสมัครเป็นเซลส์เดินขายไส้กรอก ได้วันละ 100 บาท วันไหนขายไม่ได้ตามเป้าก็ไม่ได้เงิน ตอนเราเริ่มทำกาแฟเนเจอร์กิฟใหม่ๆ เรายังไม่มีเงินจ้างคนงาน ทุกคนในบ้านก็ต้องช่วยกันทำทุกอย่าง ตั้งแต่ผลิตกาแฟอยู่ในโรงรถ กลางคืนก็ให้ลูกชาย 2 คนไปซื้อน้ำตาลจากห้างแมคโคร ช่วยกันเข็นมา กลางวันเขาก็ต้องไปส่งกาแฟ ขับรถกระบะไปเอง แบกเองทุกอย่าง ตอนนี้ลูกทั้ง 3 คนเรียนจบหมดแล้ว ก็เข้ามาช่วยงานในบริษัท คือผมมองว่าเราไม่ได้อยู่กับเขาไปตลอด ไม่ได้อุ้มชูเขาทั้งชีวิต ดังนั้นถ้าให้เขาได้เจอกับความลำบากตั้งแต่วันนี้ ต่อไปวันข้างหน้าเจอปัญหาอะไรเขาก็รับได้หมด ดร.กฤษฎา พูดถึงสิ่งที่เขาคาดหวังจากทายาททั้ง 3 ที่จะมาสืบสานกิจการเนเจอร์กิฟต่อไปในอนาคต

from http://www.siamsouth.com/smf/index.php/topic,8449.0.html


06 พฤษภาคม 2553

เมื่อขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา


เมื่อขงเบ้งสอนเล่าปี่เกี่ยวกับเทคนิคการบริหารเวลา

ทุกวันทุกคนบนโลกใบนี้มีเวลาเท่าเทียมกันคือ 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี มองจากแง่มุมของเศรษฐศาสตร์ เวลาของทุกคนมีคุณค่าไม่เท่ากัน การบริหารเวลาของแต่ละคนจึงหมายถึงความแตกต่างระหว่างความสำเร็จกับความพ่ายแพ้

ค่าของเวลาเกี่ยวข้องกับสมรรถภาพซึ่งในแง่ธุรกิจคือต้นทุน ฉะนั้นสถาบันศึกษาทุกแห่งที่สอนวิชาการบริหารธุรกิจจึงมีหลักสูตรเกี่ยวกับการบริหารเวลา

ครั้งหนึ่งใน "สามก๊ก" เล่าปี่ขอขงเบ้งให้แนะนำวิธีสร้างตนให้เป็นมหาเศรษฐีแห่งดินแดน ขงเบ้งว่างานใหญ่เช่นนี้ต้องวางแผนและรู้จักบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เล่าปี่กล่าวว่า “ ข้าฯ เห็นด้วยในหลักการแต่ทว่าข้าฯมีงานมากมายที่ต้องทำทุกวันจนเวียนเกล้าเวียนศีรษะ ไม่เคยมีเวลาพอที่จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่างได้เลย “

ขงเบ้งบอกลูกน้องให้ไปเตรียมก้อนหิน ก้อนกรวด ก้อนทราย และน้ำจำนวนหนึ่งพร้อมถังเหล็กใหญ่หนึ่งใบ

เล่าปี่ถามด้วยความแปลกใจ “ ท่านเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้เพื่ออะไร ”

ขงเบ้งยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับตอบด้วยคำถามว่า “ ท่านบริหารเวลาด้วยวิธีใด ”

เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯเคยคิดว่าข้าฯมีเทคนิคที่ดีอยู่แล้วคือใช้วิธีมอบหมาย ข้าฯมีผู้ช่วยอยู่รอบด้านตั้งแต่กวนอู เตียวหุย เจ้าหยุน ฯลฯ ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ด้านต่างๆ แต่งานทั้งหลายก็ยังพันกันอีนุงตุงนัง ไม่สามารถปรับให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลดีขึ้นได้ เดิมข้าฯคิดว่าข้าฯ คือ แมลงวันไม่มีหัวอยู่ตัวเดียว แต่หลังการใช้ระบบมอบหมายงานกลับกลายเป็นว่า ปัจจุบันมีแมลงวันหัวขาดเป็นฝูง”

ขงเบ้งฟังแล้วจึงเริ่มอธิบายว่า “ เทคนิคการบริหารเวลาสามารถแบ่งเป็นสูง กลาง และต่ำ สามขั้น ขั้นต่ำเน้นการใช้เศษกระดาษบันทึก ขั้นกลางเน้นการใช้แผนดำเนินงาน และตารางโปรแกรมประจำวันซึ่งสะท้อนความสำคัญของการวางแผน ส่วนขั้นสูงเน้นการจัดการโดยแบ่งแยกประเภทของหน้าที่การงานตามดีกรีความสำคัญของงาน เพื่อพิจารณาลำดับความเร่งด่วนในการจัดการงานดังกล่าว ทั้งสามขั้นต่างมีเรื่องการมอบหมายงานเกี่ยวข้องอยู่ด้วยตามความต้องการของปริมาณและลักษณะเฉพาะของงานแต่ละชิ้น ”

เล่าปี่สารภาพว่า “ หากพิจารณาตามการแบ่งขั้นของเทคนิคการบริหารเวลาแล้ว ข้าฯ ยอมรับว่าวิธีของข้าฯอยู่ที่ขั้นต่ำ เพราะใช้แค่สลิปบันทึก”

ขงเบ้งชี้ไปที่ถังเหล็กกับกองวัสดุที่ผู้ช่วยได้เตรียมไว้มุมห้องพร้อมกล่าวว่า “ คำตอบของการบริหารขั้นสูงอยู่ในถังเหล็กใบใหญ่นี่แหละ! ความจุของถังใบนี้ เปรียบเสมือนขีดความสามารถของคนคนหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง ก้อนกรวดเปรียบได้กับงานที่สำคัญและเร่งด่วน ก้อนหินคือภาระที่สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน เม็ดทรายเปรียบได้กับภาระที่เร่งด่วนแต่ไม่สำคัญ และน้ำคือหน้าที่ที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน ”

ขงเบ้งอธิบายพลางวาดผังประกอบคำอธิบายดังตารางประกอบด้านล่างนี้



“ ปกติท่านเน้นงานประเภทใด ” ขงเบ้งถาม

“ ก็ต้องเป็นประเภท ก.” เล่าปี่ตอบอย่างไม่ลังเล

“ แล้วงานประเภท ข. ล่ะ ” ขงเบ้งถามต่อไป

เล่าปี่ตอบว่า “ ข้าฯ ตระหนักถึงความสำคัญของงานประเภท ข. แต่ไม่มีเวลาพอที่จะสนใจมัน”

“ เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ” ขงเบ้งถามพลางใส่กรวดลงไปในถังเหล็กจนเต็มแล้วพยายาม

ใส่ก้อนหินตามซึ่งใส่ไม่ได้ เล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “

“ และหากเปลี่ยนวิธีบรรจุใหม่ล่ะ ” ขงเบ้งถามต่อพลางใส่ก้อนหินทีละก้อนเข้าไปในถังก่อนจนใส่ไม่ได้แล้วจึงถามเล่าปี่อีกว่า “ ตอนนี้ถังเหล็กเต็มแล้วจะใส่ลงไปอีกไม่ได้ใช่ไหม?” ซึ่งเล่าปี่ตอบว่า “ ใช่ “

“ จริงหรือ ? ” ขงเบ้งถามแล้วหยิบก้อนกรวดใส่เข้าไปข้างบนถังแล้วเขย่าให้ก้อนกรวดตกลงไปในถังจนหมด “ บัดนี้ถังเหล็กใบนี้ใส่อะไรลงไปอีกได้หรือไม่? ” ขงเบ้งพูดพลางเทเม็ดทรายลงไปจนหมด “ แล้วทีนี้ล่ะ ใส่อะไรลงไปอีกได้ไหม? ” ขงเบ้งถามต่อ แต่ก่อนที่เล่าปี่มีโอกาสตอบ ขงเบ้งก็ตักน้ำที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในถังเหล็กอีกจนหมด “ ตอนนี้ท่านเข้าใจความหมายของการทดลองนี้หรือยัง ? ” เล่าปี่ตอบว่า “ เข้าใจแล้ว นี่คือสิ่งที่ท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เกี่ยวกับการจัดการแบบแยกประเภทและเลือกการจัดการก่อนหลังใช่ไหม ? ”

ขงเบ้งตอบว่า “ ใช่แล้ว การทดลองชี้ให้เห็นว่าหากถังเหล็กตั้งแต่แรกก็เติมเต็มด้วยก้อนกรวด ทราย และน้ำ ก็คงไม่มีโอกาสใส่ก้อนหินลงไปได้ แต่ถ้าใส่ก้อนหินลงไปก่อน ในถังยังมีเนื้อที่ที่จะใส่สิ่งอื่นๆเข้าไปได้อีก ดังนั้น การบริหารเวลาที่ได้ผลต้องดูว่า อะไรคือก้อนหิน อะไรคือก้อนกรวด เม็ดทรายและน้ำ และไม่ว่าจะเป็นประการใดก็ต้องใส่ก้อนหินลงไปในถังเป็นอันดับแรก ”

เล่าปี่ยังถามว่า “ แล้วการวิเคราะห์แยกแยะเรื่องต่างๆออกเป็นสี่หมวดนี้มีผลอย่างไร ”

ขงเบ้งตอบว่า “ บุคคลจำพวกที่ว้าวุ่นอยู่กับเรื่องราวประเภทก้อนกรวดย่อมมีความรู้สึกถูกเวลากดดันและวนเวียนอยู่ในแดนวิกฤตจนอ่อนล้า พวกที่เน้นเรื่องประเภทเม็ดทรายจะขาดพลังสร้างสรรค์ ชอบฟังคำพูดเพราะหู คบคนแบบผิวเผิน พวกที่นิยมเรื่องราวประเภทน้ำมักบกพร่องเรื่องสำนึกรับผิดชอบแม้กระทั่งเรื่องสารทุกข์สุกดิบของตนเอง ”

เล่าปี่ถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่ว่าถ้าเน้นก้อนหินมากเกินไปจะมองข้ามก้อนกรวด เพราะก้อนกรวดมากับความเร่งด่วน ? “

“ ท่านทราบไหมว่าก้อนกรวดมาจากไหน? ก็มาจากก้อนหินที่แตกสลายไง ” ขงเบ้งตอบ “ คนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องประเภทก้อนหินจะมีก้อนกรวดน้อย คนที่เน้นก้อนกรวดก็จะมีก้อนกรวดเยอะตลอด “ ขงเบ้งสอนต่อไปว่า “ คนที่อิงเรื่องประเภทก้อนหินเป็นคนมีประสิทธิภาพ เพราะเขาจะเก่งในการวิเคราะห์สถานการณ์ เวลาและสิ่งแวดล้อม สามารถจับประเด็นหลักของปัญหา สามารถจัดการกับเรื่องเร่งด่วนและควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกินกว่าเหตุ กล้าฟันธงและใช้มาตรการป้องปราม บุคคลจำพวกนี้จะมีวิสัยทัศน์ มีอุดมการณ์ เคารพ ระเบียบ สามารถควบคุมตัวเอง ดำเนินชีวิตอย่างมีวินัย และสามารถทำงานชิ้นใหญ่ได้ ”

เล่าปี่ชื่นชอบทฤษฎี “ วัตถุในถัง “ ของขงเบ้งเป็นอย่างมากพร้อมกับสารภาพว่า “ มาวันนี้ข้าฯเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการต่อสู้ของข้าฯทำไมจึงยังลุ่มๆดอนๆ เพราะแม้ว่าข้ามีขุนพลเก่งๆเช่นกวนอูและเตียวหุย แต่พวกเขาจะก้าวหน้าได้อย่างไรตราบใดที่คนที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างพวกเขาจมปลักอยู่กับเรื่องจิ๊บจ๊อย กับทำงานลักษณะ“ เก็บเม็ดงาแต่ทิ้งแตงโม “ (เจี่ยนเลอจือหมา ติวเลอซีกวา) ขืนดำเนินตามวิธีนี้ต่อไป ความพยายามของข้าฯที่จะเป็นอภิมหาเศรษฐีนัมเบอร์วันในแผ่นดินก็คงเป็นได้แค่ความฝัน ! ”

from http://www.pattanakit.net/index.php?lay=show&ac=article&Id=538767023&Ntype=121


05 พฤษภาคม 2553

หยิบคำพระ สอนนักลงทุน โดย ท่าน ว วชิรเมธี ภาค 1


หยิบคำพระ สอนนักลงทุน โดย ท่าน ว วชิรเมธี ภาค 1

ถ้ากล่าวถึงพระนักคิดนักสอนอันเป็นที่รู้จักกว้างขวางในยุคนี้ชื่อหนึ่งที่ใครต่างนึกถึงคือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี) ผู้เจริญแล้วทั้งในทางธรรมและทางโลก การคิด หรือนำคำสอนต่างๆ มาเผยแผ่ในมุมมองใหม่ๆ ด้วยคำสอนบทเดิมๆ ที่หลายต่อหลายคนมองว่าน่าเบื่อ ให้ได้กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ไม่ยากที่จะเข้าใจ วันนี้จึงใคร่ขอประทานอนุญาตินำคำสอนในชุด สอนวานิชให้เป็นเศรษฐีเพื่อให้สอดคล้องกับเราทั้งหลายผู้ชื่นชอบในการลงทุน

เศรษฐีในทัศนทางพุทธ
อันคำว่า “เศรษฐี” นั้นความหมายจริงๆ หมายถึงการเป็นผู้ประเสริฐ ทุกวันนี้เรากำลังเข้าใจผิดกับคำว่า “วาณิช” อันแปลว่าผู้มีทรัพย์มาก แต่ทั้งนี้หากแม้ว่า การเป็นผู้ที่มีทรัพย์มากแต่มิได้ทำการสิ่งใดอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมก็จะเป็นได้แต่เพียงมหาวาณิชเท่านั้น ผู้ที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็น “เศรษฐี” ที่แท้จริงนั้นต้องมีการแบ่งปันแก่ผู้อื่น แก่สังคม ต้องรู้จักเปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันทรัพย์สินเงินทอง ทรัพยากร หรือการแบ่งปันโอกาสให้กระจายไปในวงกว้าง ซึ่งถ้าวาณิชกลายเป็นเศรษฐี ก็จะช่วยให้สังคมได้ประโยชน์อย่างมาก

ธรรมกับการลงทุน
ธรรมกับการลงทุนเป็นเรื่องที่ควบคู่ไปด้วยกัน เนื่องจากในการลงทุนต้องใช้ทั้งสติและปัญญาพร้อมทั้งการมีวินัยในตัวเองจึงจะประสบความสำเร็จ ด้านธุรกิจก็ต้องดำเนินงานด้วยหลักธรรมาภิบาล และสร้างเครือข่ายคนดีที่ไว้ใจได้ในการลงทุนหากมุ่งแต่กำไรสูงสุด แล้วสังคมอยู่ไม่ได้ เราซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในสังคมก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนต้องมีมิติของสังคมที่มากกว่าCSR เป็นปรัชญาในการดำเนินชีวิต เพราะเมื่อเราได้จากสังคม ก็ควรให้แก่สังคมกลับด้วย เรียกว่ามีจิตสำนึกสาธารณะ ภายใต้ 3 แนวคิด คือ 1. เปลี่ยนตนเองจากวาณิชให้เป็นเศรษฐี คือรู้จักเปลี่ยนเงินให้เป็นประโยชน์สาธารณะ 2. เปลี่ยนเงินเป็นบุญ เปลี่ยนทุนเป็นธรรมและ 3. ต้องรู้จักฝากชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ในโลก ให้เพื่อนมนุษย์ระลึกถึงคุณความดีสมชีวิตา

การลงทุนหรือทำสิ่งใดนั้น ต้องรู้จักสถานภาพทางเงินของตนคือรู้จักพอเพียง ถ้าเป็นคนรวย แล้วทำตัวจนเกินไป เช่นใส่เสื้อผ้าม่อฮ่อมเอาปลาทูมาห้อยก็ผิดหลัก เราควรใช้เงินให้เหมาะสมกับสถานะการเงินที่เรามีอยู่ ไม่ควรใช้เงินมากหรือน้อยจนเกินไป รู้จักประหยัดพอเพียง คนจนก็ใช้เงินอย่างเหมาะสมกับเงินที่เรามีอยู่ รู้จักทางสายกลาง คือ ไม่เบียดเบียนตนเอง และ เบียดเบียนผู้อื่น หัวใจเศรษฐีมี 4 ข้อคือ อุ อา กะ สะ
อุ หมายถึง การขยันทำมาหาเลี้ยงชีพอา หมายถึง รักษาทรัพย์ที่มีอยู่กะ หมายถึง คบกัลยาณมิตรสะ หมายถึง การอยู่อย่างพอเพียงพระพุทธองค์ทรง สอนว่าเก็บเงินก้อนหนึ่งไว้เป็นเงินคงคลังหาเงินได้แล้ว ต้องให้ญาติพี่น้องใช้เงินต่อเงิน ทำธุรกิจ เสียภาษีให้รัฐ บำรุงสมณะชีพราหมณ์ ทำบุญให้กับญาติพี่น้องที่
ล่วงลับไปแล้ว การลงทุนต้องมีความเข้าใจ กำไรต้องไม่ตีโพยพาย ขาดทุนก็ต้องรู้เท่าทันรู้จักเข้าใจโลกธรรม อย่าให้โลภมันมากระทบเรา (ต่อภาค 2)

from http://www.efinancethai.com/investor_station/filepdf/INV060510.pdf


03 พฤษภาคม 2553

ชวนคิดชวนทำ : 12 วิธิ ฝึกคิดบวก


ชวนคิดชวนทำ : 12 วิธิ ฝึกคิดบวก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หมกมุ่นและจมปลักอยู่กับความคิดเกี่ยวกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วละก็ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีกับตัวคุณ เพราะเมื่อความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นนิสัย เพราะมีคนจำนวนมากที่ติดนิสัยคิดในแง่ลบเสมอๆ

การคิดในแง่ลบส่งผลให้คนคิดเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข เพราะไม่ว่าจะมองไปทางใดก็มีแต่เรื่องน่าทุกข์ใจทั้งนั้น และเมื่อเกิดปัญหาก็รู้สึกท้อแท้ ไม่อยากแก้ไข เพราะคิดว่า “แก้ไปก็เท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมาเลย” แล้วก็มานั่งเป็นทุกข์ เดือดร้อน ที่สุดความเครียดก็จะเข้ามาเยือน มีหลายคนที่ฆ่าตัวตาย เพราะคิดว่า “อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ แก้ปัญหาไม่ได้สู้ตายๆ ไปซะดีกว่า จะได้หมดเรื่องหมดราว” และนี่คือความคิดที่อันตรายอย่างยิ่ง

ลองถามตัวเองดูว่า มีสักกี่ครั้งที่ให้กำลังใจตัวเอง จริงๆ แล้ว ตัวเองนี่แหละที่เป็นนักวิจารณ์ที่แย่ที่สุด เพราะมักประเมินค่าตนเองต่ำกว่าความเป็นจริงอยู่เสมอ

ในทางกลับกัน ความคิดในแง่บวกจะช่วยให้สมองแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด มองชีวิตและโลกอย่างมีความหวัง มีกำลังใจ และเป็นสุขใจ แม้ยามเกิดปัญหา ใจอันโปร่งเบาสบายก็มีกำลังมีเรี่ยวแรงที่จะแก้ไขอุปสรรคทั้งหลายให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ส่งผลให้ผู้ที่คิดบวกประสบความสุขความสำเร็จในชีวิต มากกว่าผู้ที่ชอบคิดในแง่ลบ

วิธีการฝึกคิดบวกนั้นไม่ยาก ลองดู 12 ขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้

1. ให้มองไปข้างหน้า อย่ามองย้อนหลัง ทุกคนเคยทำผิดมาแล้วทั้งนั้น แต่ต้องไม่จมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาด เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไป จงวางเป้าหมายเล็กๆที่เป็นไปได้ และพยายามทำให้สำเร็จ

2. รู้จักให้อภัยตัวเองและผู้อื่น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นผลพวงมาจากการกระทำของตนเองทั้งสิ้น ในบางครั้งบางคราว เราต่างตัดสินใจผิดพลาด แต่เมื่อรู้สำนึกแล้ว ก็ต้องปล่อยให้มันผ่านไป เรียกว่าเป็นการให้อภัย และต้องให้อภัยตัวเองเมื่อทำผิดพลาด เพื่อที่จะเดินหน้าต่อไป รวมทั้งใช้ความผิดพลาดจากอดีตเป็นบทเรียน เพื่อก้าวย่างที่ดีกว่าในอนาคต

3. ถ้าแก้วมีน้ำแค่ครึ่งเดียว จงเติมให้เต็มแก้ว การมองว่า มีน้ำเหลืออยู่ครึ่งแก้ว หรือน้ำหายไปครึ่งแก้วนั้น ถูกทั้ง 2 อย่าง อยู่ที่ว่าผู้มองเป็นคนมองโลกในแง่ดีหรือร้าย และไม่ผิดอะไรที่คุณจะเติมน้ำให้เต็มแก้ว

4. มองหาบุคคลต้นแบบ ทุกคนควรมีบุคคลต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจ คนคนนั้นอาจเป็นผู้ที่เอาชนะอุปสรรคใหญ่ๆได้สำเร็จ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในที่สุด หรือเป็นผู้ที่ทำงานหนักและสัมฤทธิ์ผล จงเอาคนนั้นเป็นแรงบันดาลใจในการดำเนินชีวิต

5. พาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงของคนที่ประสบความสำเร็จและมองโลกในแง่ดี มันเป็นเรื่องมหัศจรรยู์ที่พลังอำนาจของคนอื่น สามารถส่งผลกระทบต่อพลังในตัวเราได้ คนที่คิดในด้านบวกจะช่วยกระตุ้นและเป็นแรงบันดาลใจให้เราเชื่อมั่นในตัวเองว่า เราสามารถทำสิ่งที่มุ่งมั่นไว้ให้สำเร็จได้ จำไว้ว่า..จงอยู่ให้ห่างคนที่คิดแต่แง่ร้าย ซึ่งจะขัดขวางการเดินหน้าของคุณ ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

6. เห็นคุณค่าสิ่งดีๆในชีวิต เมื่อเราพอใจกับทุกเรื่องดีๆที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม มันจะช่วยให้เราขจัดความคิดในด้านลบออกไป การโฟกัสแต่สิ่งดีๆเหล่านี้ จะทำให้อุปสรรคที่เราเผชิญอยู่ กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราจัดการได้ง่ายขึ้น

7. รู้จักบริหารเวลาอย่างชาญฉลาด อย่าเสียเวลากับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณตั้งเป้าไว้ในชีวิต ข้อสำคัญคือ มุ่งทำในเรื่องที่ทำให้ชีวิตของคุณเป็นไปดังที่หวังไว้ ซึ่งจะส่งผลให้คุณมีทัศนคติที่ดี

8. จินตนาการว่ามีสิ่งดีๆเกิดขึ้น แปลกแต่จริงที่ว่า คนส่วนมากมักชอบวาดภาพเรื่องเลวร้ายกำลังเกิดขึ้น โดยมักจะพูดว่า “ถ้ามันเกิดขึ้น...” จงฝึกนึกถึงเรื่องดีๆกำลังเกิดขึ้น มองเห็นภาพงานที่กำลังทำเดินไปด้วยดี (ไม่ว่าจะเป็นงานที่บ้านหรือที่ทำงาน) และได้รับคำชมจากคนรอบข้างว่า“เยี่ยมมาก” เพราะนั่นจะเป็นกำลังใจให้คุณคิดบวกต่อไป

9. ความผิดพลาดมีไว้ให้เรียนรู้ มิใช่แส้ที่เอาไว้เฆี่ยนตี ทุกคนล้วนเคยทำผิดทั้งนั้น และถึงแม้ว่าได้พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังทำพลาด ขอให้จำไว้ว่า ยังมีโอกาสให้เริ่มต้นใหม่ ความผิดพลาดต่างๆที่ผ่านมาถือเป็นบทเรียน เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข สิ่งที่จะทำต่อไปในอนาคต

10. อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ถ้ารอบๆตัวเต็มไปด้วยข้าวของวางระเกะระกะ กระจัดกระจายไปทั่วห้อง ลองหาเวลาจัดเก็บ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งจะช่วยให้คุณเปลี่ยนมุมมอง ความคิดได้มาก ใครจะมองโลกในแง่ดีได้ ถ้าต้องอยู่ท่าม กลางสภาพสกปรกรกรุงรังตลอดเวลา จริงมั้ย เพราะสภาพแวดล้อมที่ดี จะช่วยสร้างและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดทัศนคติด้านบวก

11. รับข้อมูลข่าวสารที่ดี หมั่นอ่านบทความที่สร้างแรงจูงใจ หรือฟังธรรมะที่กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว และเกิดปัญญา ซึ่งจะช่วยให้มองโลกและชีวิตได้อย่างเข้าใจ มีความหวัง และความสุข

12. ให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง และบอกตัวเอง ซ้ำๆ เพราะคำมั่นสัญญาดีๆมีผลต่อกระบวนการคิดของตัวเอง เช่น ถ้าคุณมีอาการซึมเศร้าเป็นประจำ คำมั่นสัญญาของคุณก็คือ “ฉันมีความสุข ฉันควบคุมตัวเองได้” บอกตัวเองเช่นนี้หลายๆครั้งในแต่ละวัน แล้วคุณจะรู้สึกถึงพลังความคิดด้านบวกที่เกิดขึ้น
.....

มนุษย์เราสามารถสร้างนิสัยคิดบวกได้พอๆ กับนิสัยคิดลบ แต่นิสัยคิดลบเกิดได้ง่ายกว่า เพราะต่างทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ฉะนั้น ลองทำตามวิธีข้างต้น เพื่อสร้างนิสัยคิดในด้านดี และขจัดความคิดด้านร้ายให้หมดไป

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย ประกายรุ้ง)

from http://manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9530000046006


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)