ในยุคสมัยที่ธุรกิจซื้อคอนโดมิเนียมเอาไว้ปล่อยเช่า เป็นธุรกิจที่ฮอตฮิตติดลมบน เรียกว่า ถ้าเป็นนักลงทุนที่มีใจให้อสังหาริมทรัพย์เป็นทุนเดิม ก็มักจะซื้อคอนโดมิเนียมบนถนนสุขุมวิทหรือติดรถไฟฟ้าเอาไว้ประดับพอร์ตกันทั้งนั้น
ยิ่งคอนโดมิเนียมได้รับความนิยมมากเท่าไหร่ ธุรกิจหนึ่งที่เริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ คือการลงทุนในอพาร์ตเมนต์ให้เช่า
แต่ก็ไม่ถึงกับถึงทางตันเสียทีเดียว สำหรับคนที่อยากลงทุนทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่า ถ้าอยากให้ไปรอด ต้องสร้างแถวไหน และทำอย่างไร รวมถึงความเสี่ยงอยู่ตรงไหนบ้าง
Fundamentals ฉบับนี้มีคำตอบ
****
ที่พักอาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์จากสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ประชากรมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น เพื่อศึกษาต่อของผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด เพื่อความสะดวกสบายและประหยัดเวลาในการเดินทางไปที่ทำงานหรือสถานศึกษา เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้เป็นสาเหตุให้ธุรกิจที่พักอาศัยให้เช่าเกิดขึ้นอย่างมากมายทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดที่เป็นจุดศูนย์รวมของแหล่งงาน เขตอุตสาหกรรม และสถานศึกษา เช่น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไปจนถึงจังหวัดใหญ่
แน่นอนว่านอกจากคอนโดมิเนียม อพาร์ตเมนต์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้พักอาศัย "ชาติชาย พยุหนาวีชัย" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ประเมินสถานการณ์ของธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในตลาดเอาไว้อย่างน่าสนใจ
ชาติชายยังบอกอีกว่า ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าในตลาดนั้นจำแนกออกเป็นระดับต่างๆ ถึง 5 ระดับ ได้แก่ ระดับพิเศษ (Deluxe) อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระดับพิเศษนี้ โดยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตธุรกิจการค้าใจกลางเมือง เช่น ถนนสุขุมวิท สาทร สีลม ลาดพร้าว ระดับสูง (First class) อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระดับนี้ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บริเวณถนนสุขุมวิท อโศก สีลม สาทร และเพชรบุรี ระดับกลาง (Middle class) อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระดับกลางส่วนใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากย่านธุรกิจการค้ามากนัก มีความสะดวกในการเดินทางเข้า-ออกอพาร์ตเมนต์ ระดับธรรมดา (Low middle class) อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระดับนี้ส่วนใหญ่อยู่บริเวณถนนพหลโยธิน รัชดา พระโขนง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากย่านธุรกิจการค้าเท่าใดนัก และระดับล่าง (Low class) อพาร์ตเมนต์ให้เช่าระดับนี้มักตั้งอยู่บริเวณเขตหัวหมาก บางกะปิ พระโขนง งามวงศ์วาน ฝั่งธนบุรี และมักตั้งอยู่ในซอย การเข้าออกจึงไม่สะดวกเท่าที่ควร
แนวโน้มตลาดอพาร์ตเมนต์ปีนี้
ชาติชายประเมินว่าสถานการณ์การแข่งขันในบางทำเลคงจะมีระดับดีกรีการแข่งขันที่สูง เนื่องจากความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่สูง โดยเฉพาะในทำเลที่ภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมยังมีทิศทางการขยายตัว เขายกข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่พบว่า การโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ประเภทอพาร์ตเมนต์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2553 ที่ผ่านมา มีจำนวนประมาณ 271 อาคาร มีจำนวนสูงขึ้นจาก 254 อาคาร ในปี 2552 ในขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าประมาณ 3,481 ล้านบาท มูลค่าซื้อขายต่ออาคารเฉลี่ยประมาณ 12.85 ล้านบาท
"โดยสรุป สถานการณ์ตลาดอพาร์ตเมนต์ในปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรง สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการเกิดใหม่ของจำนวนอพาร์ตเมนต์ที่เข้ามาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การแข่งขัน โดยเฉพาะราคาที่มีการแข่งขันที่เข้มข้น หรือการปรับลดต้นทุนการบริหารงานต่างๆ ลง"
อย่างไรก็ดี ผู้ที่สนใจที่จะลงทุนในธุรกิจอพาร์ตเมนต์ชาติชายแนะว่าควรจะทำการศึกษาตลาด เพื่อนำมาเป็นข้อมูลประกอบ การกำหนดกลยุทธ์อาจไม่จำเป็นต้องใช้ราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องหาจุดเด่นที่ผู้เช่าต้องการแต่คู่แข่งไม่มีมาใช้ในการจูงใจได้เช่นกัน นอกจากนี้ ปัจจุบันมีอพาร์ตเมนต์สร้างใหม่เกิดขึ้น ทำให้ผู้เช่ามีทางเลือก ดังนั้น การบริการที่ดี จึงเป็นสิ่งสำคัญในการจูงใจให้ลูกค้าจงรักภักดี
ทำเลที่ตั้งสำคัญสุด
นอกจากบริการที่ดีแล้ว คนจะทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ต้องนึกถึงทำเลที่ตั้งเป็นอันดับแรก เขาย้ำว่าธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าควรตั้งอยู่ในแหล่งชุมชนต่างๆ เช่นนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม
เช่น นิคมอุตสาหกรรมนวนคร นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นย่านธุรกิจการค้าใจกลางเมืองเช่น สีลม สาทร ลาดพร้าว เป็นต้น เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีบริษัท ห้างสรรพสินค้า ตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก แต่พนักงานที่ทำงานอยู่ในย่านดังกล่าว มักประสบปัญหาใช้เวลาในการเดินทางนาน ธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่าจึงเกิดขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการความสะดวกในการเดินทางไปทำงาน รวมถึงบริเวณที่สถานศึกษาตั้งอยู่นักเรียน-นักศึกษาส่วนหนึ่ง ได้เดินทางไปศึกษาต่อตามสถานศึกษาต่างๆ ซึ่งห่างไกลจากบ้านของตนเอง อพาร์ตเมนต์ จึงเกิดขึ้นเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว
"ผมว่าคนทำอพาร์ตเมนต์ง่ายๆ ก่อนทำ ต้องถามตัวเองก่อนว่าใครจะมาเช่าของเรา ถ้าตอบไม่ได้อย่าเพิ่งทำ แต่ถ้าชัดว่าตรงนั้นเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัย แบบนี้ก็ต้องมาดูอีกว่าแถวนั้นมีคู่แข่งเยอะแค่ไหน อย่าเพิ่งรีบทำ"
ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ
เขาบอกอีกว่าธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่า จะประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าทำเลดี แต่บริการไม่ดี ก็ใช่ว่าจะรอด หรือระบบรักษาความปลอดภัยดีแต่ค่าเช่าแพงเกินกว่าคู่แข่งละแวกนั้นก็อาจไม่รอดได้เช่นกัน
ดังนั้น อย่างแรกต้องมีแหล่งเงินทุนของตนเองหรือได้แหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยถูก DE Ratio (Dept-to-Equity Ratio) สัดส่วนหนี้สินที่กู้ยืมต่อเงินลงทุนเองควรเท่ากับ 1:1 ขณะเดียวกัน ควรจะมีทำเลที่ตั้งดีอยู่ในแหล่งธุรกิจ แหล่งชุมชน หรือเป็นแหล่งอพาร์ตเมนต์ให้เช่าจำนวนมาก และเดินทางได้สะดวกรวดเร็ว
นอกจากนี้ ควรมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีสำหรับผู้เช่าพักเช่น จัดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอดเวลา จัดระบบเข้า-ออกด้วยบัตรรหัสผ่าน (Key Card) เป็นต้น และมีระบบรักษาความสะอาดโดยการจัดให้มีพนักงานทำความสะอาด ดูแลรักษาความเรียบร้อยทั้งบริเวณภายในและภายนอกอพาร์ตเมนต์ รวมถึงมีระบบขจัดขยะมูลฝอยที่ถูกสุขลักษณะ
ชาติชายยังบอกว่า อัตราค่าเช่าก็ควรจะมีความเหมาะสมกับห้องพักและทำเลที่ตั้ง ผู้เช่าบางรายจะให้ความสำคัญเรื่องราคารองลงมาจากเรื่องทำเลที่ตั้ง การตั้งราคาที่เหมาะสมจึงเป็นกลยุทธ์ที่สามารถแข่งขันได้
"ยังมีอีกหลายตัวแปร เช่น ควรจะมีการปรับปรุงอาคารให้มีความใหม่อยู่เสมอเพราะนอกจากจะสร้างความสวยงามน่าพักอาศัยให้กับอพาร์ตเมนต์ให้เช่าแล้ว ยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้เช่ารายเดิมและสร้างความประทับใจแก่ผู้เช่ารายใหม่ที่กำลังมองหาอพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือหากมีการชำรุดเสียหาย ก็ควรให้บริการที่รวดเร็วแก่ผู้เช่าโดยเฉพาะการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชำรุดและเสียหายเช่น ฝักบัว หลอดไฟ ลิฟต์ เป็นต้น อีกหลายประเด็นที่มองข้ามไม่ได้คือมีอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และให้บริการกับผู้เช่าทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน มีสภาพห้องพักที่เหมาะสมไม่ว่าจะเป็นเรื่องขนาดของห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวก และการระบายอากาศที่ดีภายในห้องพัก ข้อสำคัญคือมีสภาพแวดล้อมบริเวณอพาร์ตเมนต์โดยรอบมีความร่มรื่นสวยงาม เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวนทั้งจากภายนอกและภายในอพาร์ตเมนต์ให้เช่า"
พฤติกรรมการตัดสินใจเลือกเช่า
เขายังยกพฤติกรรมการตัดสินใจเช่าอพาร์ตเมนต์ของผู้เช่า ว่ามาจากปัจจัยต่างๆ หลายอย่าง เช่นคนมักจะเลือกเช่าที่ทำเลที่ตั้งดี สะดวกต่อการเดินทาง นี่นับเป็นปัจจัยต้นๆ ที่ผู้เช่ามักใช้ตัดสินใจเลือกเช่า สังเกตว่าคนเช่ามักจะเลือกเช่าอพาร์ตเมนต์ใกล้เขตชุมชน ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษา
"สภาพแวดล้อมบริเวณที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ก็มีส่วนตัดสินใจ หากบริเวณโดยรอบที่ตั้งอพาร์ตเมนต์ให้เช่ามีความสงบเงียบ ปราศจากเสียงรบกวนแต่สะดวกต่อการจับจ่ายซื้อหาเครื่องอุปโภคบริโภค ก็จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้นเช่นกัน หรือถ้ารูปแบบอพาร์ตเมนต์ให้เช่ามีความสวยงามและทันสมัย ผู้เช่าก็มักจะเกิดความประทับใจนับตั้งแต่แรกเห็น และตัดสินใจเข้าชมภายในห้องพักต่อไป ซึ่งถ้าเขาเข้ามาดูแล้วพบความสะอาดเรียบร้อยภายในห้องพัก มีการจัดห้องพักให้น่าอยู่มีแสงสว่างที่เพียงพอ และมีอากาศที่ถ่ายเทสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพัก ผู้ประกอบการควรจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพักอาศัยไว้ให้กับลูกค้า เช่น เตียง ที่นอน โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า พัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น เป็นต้น ทั้งหมดนี้ช่วยให้ตัดสินใจเช่าได้ง่ายขึ้น "
แต่ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ชาติชายบอกว่า อัตราค่าเช่าพัก ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของอพาร์ตเมนต์ให้เช่ารวมถึงรายได้ของผู้เช่าแต่หากเป็นราคาที่เหมาะสม ผู้เช่าก็จะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน โดยพื้นฐานผู้เช่าพักอาศัยย่อมต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้เช่านำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ
ต้นทุนค่าก่อสร้าง&ออกแบบ
สำหรับผู้ที่จะทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่านั้น ต้องศึกษาเรื่องต้นทุนด้วย เพราะนอกจากจะมีต้นทุนค่าก่อสร้างแล้ว ยังมีต้นทุนค่าออกแบบด้วย ทั้งหมดนี้ต้องดูว่าเป็นอพาร์ตเมนต์ประเภทไหน ถ้าเป็นอพาร์ตเมนต์เกรด A หมายถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ กลุ่มลูกค้าที่มีรสนิยมสูง ระดับผู้บริหาร ก็จะได้อัตราค่าเช่าที่สูง เดือนหนึ่งเป็นหลักแสน กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งอำนวยความสะดวกที่ค่อนข้างดี จะเหมือนโรงแรม 5 ดาว ค่าก่อสร้างตัวอาคาร 15,000 บาทต่อตารางเมตร ค่าตกแต่งภายในรวมเฟอร์นิเจอร์ จะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาทต่อตารางเมตร ถ้ารวมแล้วก็ตกอยู่ประมาณ 20,000 บาทต่อตารางเมตร
เกรด B เป็นกลุ่มลูกค้าที่ยังมีรสนิยมดีอยู่ แต่ก็ขอให้ดูดี อาจจะได้ราคาประมาณ 4-5 หมื่นต่อเดือน ค่าก่อสร้างประมาณ 10,000 บาท ต่อตารางเมตร ค่าตกแต่งภายในประมาณ 3,000 บาทต่อตารางเมตร รวม 13,000 บาทต่อตารางเมตร
เกรด C ไม่เน้นการดีไซน์ที่หรูแต่ดูดี วัสดุใช้แล้วทนทาน เน้นลูกค้าที่มีรายได้ไม่สูงมาก หรือเป็นอพาร์ตเมนต์ที่อยู่ในโลเคชันที่ค่อนข้างดี เช่น ตามมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าก่อสร้าง 7,000 บาทต่อตารางเมตร ตกแต่งภายในไม่เกิน 1,500 บาท รวมแล้ว 8,500 บาทต่อตารางเมตร
"ในปี 53 ที่ผ่านมามีโครงการอพาร์ตเมนต์สร้างใหม่มากกว่า 200 โครงการ ซึ่งปีนี้น่าจะมีมากขึ้น แต่ผมว่าคู่แข่งที่อพาร์ตเมนต์ต้องระมัดระวังก็คือคอนโดมิเนียมปล่อยเช่า จริงๆ แล้วมีหลายปัจจัยมากที่จะทำอพาร์ตเมนต์แล้วไปรอดหรือไม่ เป็นต้นว่า ถ้าทำเลที่ตั้ง ถ้าอยู่ในแหล่งชุมชนก็มีโอกาสที่คนจะมาเช่าอพาร์ตเมนต์อาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ ทั้งนี้ทั้งนั้นการคมนาคมก็ต้องสะดวก ผมแนะว่าไม่ควรกู้แบงก์มากเกินไปจนกลายเป็นภาระ สัดส่วนที่ดีที่สุดก็คือลงทุน 1 ส่วน กู้แบงก์ 1 ส่วน ลงทุน 1 ส่วนก็คือว่าประมาณว่าเรามีที่ดินของเราเอง ค่าก่อสร้างกู้สัก 70 ลงทุนเองสัก 30 รวมๆ กันแล้วก็จะเป็นการลงทุน 1:1 อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องดูคือค่าเช่า ผมว่าต้องทำการบ้านด้วยว่าคู่แข่งที่อยู่ใกล้ๆ กับเราเขาคิดค่าเช่าเท่าไหร่ ไม่ใช่เราคิดโดดอยู่คนเดียวอาจจะไม่มีใครเช่า"
หากคุณคือคนหนึ่งที่คิดจะลงทุนทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่ยุคทองของอพาร์ตเมนต์ แต่ก็ไม่ถึงกับมืดมนหรือตีบตันเสียทีเดียว ขอแค่วางแผนรอบคอบ ก็ถือว่าเป็นการลงทุนอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะยังไงเสียแต่ละปีก็สร้างผลตอบแทนให้คุณได้ปีละประมาณ 5-7%
from http://is.gd/Lobs5E
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
28 สิงหาคม 2554
3 ยักษ์ใหญ่ท้าชน สมรภูมิ "กาแฟสด"
การเข้ามาของสตาร์บัคส์ในไทยเมื่อ 10 ปีก่อน กระตุ้นให้ธุรกิจกาแฟสดตื่นขึ้น ความหอมกรุ่นของมูลค่าตลาดกว่า 6 พันล. ทำเอา 3 ยักษ์ใหญ่อดใจไม่ไหว
ไม่เพียง "มนุษย์เงินเดือน" ที่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของกิจการ "ร้านกาแฟสด" น่ารักๆ ดีไซน์เก๋เป็นของตัวเอง ตามผลสำรวจที่พบว่าธุรกิจนี้เป็น 1 ใน 5 ธุรกิจในฝันของพวกเขา ตลาดกาแฟสดในไทยที่มีอัตราเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี โดยมีมูลค่าตลาดในปัจจุบันกว่า 6,400 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของมูลค่าตลาดรวมธุรกิจกาแฟที่ 32,000 ล้านบาท ยังกรุ่นกลิ่นหอมตลบอบอวลใจให้เหล่า "ยักษ์ใหญ่" ทุนหนา อยากลิ้มลองตลาดนี้กับเขาบ้าง
อย่างน้อยก็ 3 รายใหญ่ในวงการ ไม่นับพวกที่จดๆ จ้องๆ ที่คาดว่าจะตามมาเป็นพรวน หลังจากนี้
ได้แก่ ปตท.บริษัทพลังงานแห่งชาติของไทย - ซีพี ออลล์ -ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ของซูเปอร์ซีอีโอ ธนินท์ เจียรวนนท์ และทีซีซี กรุ๊ป ของเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจอะไรต่อมิอะไรมากมายใต้ฟ้าเมืองไทยมากมาย โดยมีธุรกิจน้ำเมาเป็นปฐม
จะว่าไปแล้ว วัฒนธรรมการบริโภคกาแฟในเมืองไทยมีประวัติยาวนาน กับตำนาน"กาแฟยกล้อ" แบบไทยสไตล์ ร้านกาแฟยังเป็นศูนย์รวมของชุมชนจนถูกเรียกขานว่าเป็น "สภากาแฟ" ทว่าอัตราเติบโตของตลาดในอดีตเป็นไปแบบเนิบๆ จนกระทั่งการเข้ามาของ "สตาร์บัคส์" (Starbucks) ในปี 2540
ที่กลายเป็นการปลุกตลาด พลิกภาพธุรกิจกาแฟสด ! ในเมืองไทยให้ตื่นขึ้นมา อย่างกระฉับกระเฉง
พริษฐ์ อนุกูลธนาการ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการเครือ อโรม่า กรุ๊ป เจ้าของแฟรนไชส์ร้านกาแฟไนน์ตี้-โฟร์ กาแฟชาวดอย และกาแฟโอเค อโรม่ายังเป็นผู้จัดจำหน่ายกาแฟให้ผู้ประกอบการรายย่อย จนถึงรายใหญ่ มีคีออสมากกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ เขายอมรับว่า การเข้ามาของสตาร์บัคส์ จุดประกายให้ธุรกิจกาแฟสดในไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก สวนทางกับการถดถอยของตลาดกาแฟสำเร็จรูป ที่เดิมเคยมีอัตราเติบโตสูงถึงปีละ 20-30%
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้นี่เองที่กระตุ้นให้อโรม่า กรุ๊ป ผู้จำหน่ายกาแฟโบราณตราสามสิงห์ 1 ใน 3 แบรนด์ที่คุ้นหูรู้จักกันดีของผู้ค้าขายกาแฟยุคก่อน และคู่แข่งอย่างตรางูเห่า และนกอินทรี ต้องผันตัวเองจากโรงคั่วกาแฟโบราณมาสู่ธุรกิจกาแฟสดคั่วบด และทำแฟรนไชส์กาแฟสดให้กับผู้ประกอบการรายย่อยอย่างครบวงจร ตั้งแต่ บริการวัตถุดิบ คั่วเมล็ดกาแฟ และจำหน่าย
เริ่มต้นด้วยแฟรนไชส์ไนน์ตี้-โฟร์ คอฟฟี่ แบรนด์พรีเมียมที่คิดขึ้นเพื่อแข่งขันกับสตาร์บัคส์ โดยเฉพาะ !
เขายังเห็นว่า การดื่มกาแฟนอกจากจะกระตุ้นให้สมองตื่นตัวและเพิ่มพลังงานแล้ว กาแฟยังเป็นเครื่องดื่มที่สะท้อน ไลฟ์สไตล์แสดงออกถึงรสนิยม เติมเต็มความสุข ร้านกาแฟคือแหล่งสังสรรค์ พักผ่อน สาเหตุที่ทำให้ร้านกาแฟขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ เกิดขึ้นมากมายตั้งแต่ริมถนนใหญ่ไปจนถึงซอยเล็กซอยน้อย
ปัจจุบันหากเปรียบเทียบส่วนแบ่งการตลาดกาแฟสด อโรม่าถือเป็นผู้นำธุรกิจนี้ในไทย เพราะเป็นทั้งผู้ผลิต ผู้ขายกาแฟและอุปกรณ์ต่อเนื่องจากกาแฟให้กับผู้ประกอบการรายย่อย และกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ครอบคลุมไปถึงโรงแรม ภัตตาคาร ซูเปอร์มาร์เก็ต ฯลฯ รวมถึงการรับจ้างผลิตกาแฟภายใต้แบรนด์ของลูกค้า
นอกจากนี้ ยังผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจกาแฟสดหลากหลายแบรนด์ ตั้งแต่การคิด วิจัย และทดลองสูตรเฉพาะให้กับลูกค้าแต่ละราย เช่น KFC, Au Pon Pain ,Pizza Hut ,Chester Grill ,UFM ,Tipco, The Mall, Siam Paragon, Kudsan,Yuri,True Coffee,Coffee World แม้กระทั่งร้านสะดวกซื้ออย่าง Jiffy และ เซเว่น-อีเลฟเว่น
กระทั่งแฟรนไชส์กาแฟสดที่มียอดขายอันดับ 2 ของเมืองไทยอย่าง Amazon ก็มีจุดเริ่มต้นมาจากการ Outsource การจัดการและวัตถุดิบบางส่วนจากอโรม่า แม้จะไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ในแวดวงกาแฟรับรู้กันเป็นอย่างดี โดยอโรม่าจะเข้ามาร่วมคิดค้นสูตร วางระบบการบริหารจัดการครบวงจร เพราะเมื่อแรกเริ่มธุรกิจ ปตท.ไม่ถนัดในธุรกิจนี้
เวลาผ่านไปกว่า 9 ปี นับจากปี 2545 ทำให้ Amazon เริ่มเรียนรู้ระบบด้วยตนเอง ขณะที่แบรนด์ติดตลาดแล้ว ทำให้ปัจจุบัน Amazon มียอดขายสูงสุดเกือบ 500 แก้วต่อวัน ขณะที่สัญญาที่ทำไว้กับอโรม่าจะหมดลงในอีก 2 ปีจากนี้ ปตท.จึงต้องเตรียมตัวบริหารจัดการธุรกิจด้วยตนเองแบบไม่มีพี่เลี้ยง
นับเป็นอีกธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ที่ดูมีอนาคตมากๆของ ปตท.เพราะมาร์จิน (กำไรต่อหน่วย) ดูดีกว่า น้ำมัน
กับเป้าหมายของกลุ่ม ปตท.ที่จะพาตัวเองไปติดอันดับ 1 ใน 100 บริษัทที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูน ในปี 2020 ไม่แน่ว่า ปตท.อาจจะใช้วิธีตัดต่อทางพันธุกรรม ด้วยการซื้อกิจการสตาร์บัคส์ในไทยหรือไม่อย่างไร เพื่อต่อยอดความยิ่งใหญ่ในธุรกิจกาแฟสด
นี่เป็นเรื่องโจ๊กที่ผู้บริหาร ปตท.พูดคุยกันแบบขำๆ แต่หลายคนอาจไม่ขำด้วย ไม่แน่ว่าเรื่องโจ๊กอาจจะเป็นจริงสักวัน !
หากย้อนกลับไป ปตท.เคยทำอะไรที่เหนือความคาดหมายมาแล้วหลายเรื่อง อย่างการเสนอตัวเข้าประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ เครือข่ายค้าปลีกใหญ่อันดับ 2 ของโลกสัญชาติฝรั่งเศส ที่ต้องการขายทิ้งกิจการในอาเซียน โดย ปตท.ต้องการจะใช้คาร์ฟูร์มาต่อยอดธุรกิจค้าปลีกในไทย ก่อนจะถูกรัฐเบรกจนต้องพับโครงการไปในที่สุด
สายชล แตงแก้ว ผู้จัดการส่วนบริหารธุรกิจบริการยานยนต์ ฝ่ายธุรกิจค้าปลีกในสถานีบริการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บอกว่า ธุรกิจน้ำมันเป็นธุรกิจที่มีกำไรน้อยจึงต้องหาธุรกิจอื่นเข้ามาเสริมรายได้จากธุรกิจน้ำมัน โดยปั๊ม ปตท.ถูกวางตำแหน่งให้เป็นปั๊มเติมความสุข จึงพัฒนาให้มีร้านกาแฟ Amazon ขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจเสริม เพื่อให้ปั๊ม ปตท.เป็น Destination ของคนเดินทาง ดึงดูดให้คนเข้ามาเติมน้ำมัน
โดยปัจจุบันร้านกาแฟ Amazon มีสาขามากถึง 575 แห่ง นับว่าเป็นร้านกาแฟที่เติบโตเร็ว และแรง ทำให้ทีมผู้บริหารเตรียมแผนการพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้ Amazon กลายเป็นแฟรนไชส์ "นอกปั๊ม" เข้าไปตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า สถาบันการศึกษา และออฟฟิศสำนักงาน
นำร่องไปสู่จุดนั้นด้วยการ "เปิดศูนย์อบรมธุรกิจกาแฟ" (Café Amazon Coaching Academy) บันไดขั้นแรกของการพัฒนาบุคลากรของ Amazon ก่อนที่จะเตรียมแผนพัฒนาธุรกิจ แฟรนไชส์ร้านกาแฟ สร้างมาตรฐานกาแฟแบบฉบับ Amazon
อเนก บัวนาเมือง ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีกในสถานีบริการ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บอกว่า จากนี้เหลือเวลาอีก 2 ปีก่อนที่ ปตท.จะหมดสัญญา Outsource กับอโรม่า โดยขณะนี้ ปตท.กำลังวางแผนธุรกิจกาแฟในระยะ 5 ปี ตั้งแต่รูปแบบธุรกิจ เม็ดเงินลงทุน การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร การทำ Contact Farming กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟในโครงการหลวง และการสร้างโรงคั่วกาแฟที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 10-20 ล้านบาท
เขายังเห็นว่า ธุรกิจกาแฟยังถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพจากอัตราการดื่มกาแฟของไทยที่ยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และหลายประเทศในยุโรป นอกจากนี้ตลาดที่กำลังจะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจนี้คือ "จีน" ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มชามาสู่กาแฟจากการเข้ามาเปิดสาขาของสตาร์บัคส์ในจีน
ยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกอย่างซีพี ออลล์ ผู้ดำเนินธุรกิจร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นอีกกลุ่มทุนหนา ที่วางแผนบุกตลาดกาแฟสดในเซเว่นฯ ผ่านบริษัทรีเทลลิงค์ ประเทศไทย ที่ต่อยอดธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ประกอบอาหารและเครื่องดื่ม (รวมถึงเครื่องทำกาแฟ) มาสู่ธุรกิจจัดหาวัตถุดิบในธุรกิจกาแฟในอนาคต
โดยปัจจุบันเซเว่นฯมีสาขามากถึง 5,790 สาขา ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกในการดื่มกาแฟให้ผู้บริโภคนอกเหนือจากกาแฟทรีอินวัน และกาแฟกดจากโถ เนื่องจากกาแฟสดเป็นกระแสการบริโภคที่มาแรงในขณะนี้ เครือข่ายสาขาของเซเว่นฯ หลายพันแห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ยังกลายเป็นความได้เปรียบในการบุกตลาดกาแฟสด
อีกหนึ่งกลุ่มทุนมาแรงในธุรกิจนี้ คือ ทีซีซี กรุ๊ป ของเจ้าสัวเจริญ ที่เตรียมตัวรุกธุรกิจกาแฟสด ที่นำบริษัทเทอราโกร จำกัด หนึ่งในบริษัทในกลุ่มบริษัทพรรณธิอร เข้าไปจัดการพื้นที่เพาะปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิก้าในเมืองปากซอง ตอนใต้ของ สปป.ลาว บนพื้นที่ 15,000 ไร่ โดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนในนามบริษัทปากซอง ไฮแลนด์ โดยเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตครั้งแรกไปแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2553
โยทัย จาง ผู้อำนวยการพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัทปากซอง (ประเทศไทย) จำกัด อีกหนึ่งบริษัทในกลุ่มพรรณธิอร เล่าถึงแผนธุรกิจกาแฟของทีซีซี กรุ๊ป ให้ฟังว่า ผลผลิตกาแฟที่ไร่ในปากซองจะถูกส่งไปขายผ่านเทรดเดอร์ ที่มีเครือข่ายที่กว้างขวางในต่างประเทศ ก่อนจะกระจายไปยังร้านกาแฟร้อนใหญ่ในต่างประเทศ
"เริ่มต้นเราจะส่งออกเมล็ดกาแฟ เพราะเรายังใหม่ในตลาดกาแฟ ถือเป็นช่วงของการศึกษารสนิยมและความต้องการของผู้บริโภค เพื่อการพัฒนาปรับปรุง ก่อนจะหาโอกาสทำธุรกิจนี้ให้ครบวงจรในอนาคต" เขาเล่า
โดยจะเริ่มจากการทำแฟรนไชส์และทำแบรนด์ ไม่ต่างจากสตาร์บัคส์ ในตลาดญี่ปุ่น หรือประเทศรอบนอก ก่อนจะเข้ามาทำตลาดในไทย เมื่อภาษีนำเข้ากาแฟของอาฟตา (เขตการค้าเสรีอาเซียน) ปรับลดลงอย่างมีผลบังคับใช้ได้จริง คาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 3-4 ปีจากนี้ กลายเป็นอีกเหตุผลที่บริษัทฯไม่ส่งออกเมล็ดกาแฟจาก สปป.ลาว มาขายในไทยตอนนี้ เพราะเมื่อกำแพงภาษีนำเข้าสูง ทำให้ราคาขายเมล็ดกาแฟในไทยมีราคาตาม
ขณะที่พฤติกรรมการบริโภคกาแฟของคนไทย ที่นิยมดื่มกาแฟเย็น เติมแต่งรสชาติด้วยนม และน้ำตาล กลบกลิ่นที่แท้จริงของกาแฟ ทำให้กาแฟคุณภาพดีไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการทำตลาดในไทย
โยทัย ยังมองว่า ตลาดโลกยังมีความต้องการกาแฟในปริมาณสูง เห็นได้จากในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ความต้องการบริโภคจะพอๆ กับผลผลิต โดยปัจจุบันผลผลิตกาแฟทั่วโลกอยู่ที่ 7 ล้านตันต่อปี ขณะที่ความต้องการเพิ่มขึ้นทุกปี นอกจากนี้ทั่วโลกยังปลูกกาแฟได้เพียง 22 ประเทศ ที่อยู่ใกล้บริเวณเส้นศูนย์สูตร
"ตลาดกาแฟเหมือนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ แม้จะเป็นผู้เล่นใหม่ที่มีคู่แข่งและเจ้าตลาดอยู่แล้วอย่างสตาร์บัคส์ แต่ธุรกิจนี้ไม่มีทางเดินชนกัน เพราะยังมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะตลาดแฟรนไชส์ ที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป มีความพิเศษเฉพาะตัวแต่ละแบรนด์"
เมื่อกลุ่มทุนรายใหญ่ เริ่มเข้ามาบุกตลาดกาแฟสด ถามว่า ผู้ประกอบการรายย่อยที่เข้าไปจับจองพื้นที่ในธุรกิจนี้ก่อนแล้วจะอยู่อย่างไร รูปรอยจะเหมือนร้านค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) ที่ถูกค้าปลีกขนาดใหญ่กลืนตลาดหรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่น่าคิด แต่อย่าลืมว่าธุรกิจกาแฟเป็นธุรกิจที่ขายไลฟสไตล์ ขายคาแรคเตอร์ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างของร้านกาแฟแต่ละร้าน
ความอยู่รอดจึงอาจไม่จำกัดด้วยขนาดของธุรกิจ อีกต่อไป
พริษฐ์ ยังทัศนะในเรื่องนี้ว่า การเข้ามาของรายใหญ่ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจกาแฟรายกลาง รายเล็ก เพราะรายใหญ่จะได้เปรียบเรื่องเงินทุน แต่เขาเชื่อว่ารายใหญ่จะมีความได้เปรียบไม่มากนัก เพราะธุรกิจนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทุนเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องอาศัยฝีมือ ทำเล และอีกหลายๆ อย่าง
สำหรับอโรม่าได้วางกลยุทธ์ จะขยับไปให้น้ำหนักในการซัพพลายวัตถุดิบ ขายเครื่องทำกาแฟให้กับร้านกาแฟ ทำแบรนด์ให้กับร้านกาแฟ ในลักษณะพันธมิตรธุรกิจ ตามความต้องการของลูกค้า ไปพร้อมกับแฟรนไชส์ร้านกาแฟ
โดยจะวางตัวเองเป็นศูนย์กลางการสั่งซื้อเครื่องชงกาแฟ เมล็ดกาแฟ
พริษฐ์ ยังเห็นโอกาสของการผลิตบุคลากร (บาริสต้า) ป้อนให้กับธุรกิจกาแฟสดที่มีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้เกิดการแย่งชิงบุคลากรในอนาคต ด้วยการจัดตั้ง สถาบันสอนพัฒนาธุรกิจกาแฟ ส่งเสริมให้คนมีความรู้ความเข้าใจวิธีทำกาแฟ พัฒนาคนเข้าสู่ธุรกิจนี้รองรับจำนวนร้านกาแฟที่เพิ่มมากขึ้น
"ยิ่งถ้าคนส่วนใหญ่สามารถใช้เครื่องทำกาแฟเป็น ไม่เฉพาะเจ้าของหรือบาริสต้าในร้านกาแฟ ก็จะทำให้ตลาดขายเครื่องทำกาแฟเติบโตขึ้นอีกมหาศาล" เขาทิ้งท้าย
from http://is.gd/1b99NL
21 สิงหาคม 2554
Facebook เลือกให้ฮาร์ดดิสก์หมุนช้าลงบางครั้ง เพื่อประหยัดพลังงานในศูนย์ข้อมูล
นี่เป็นเทคนิคทางวิศวกรรมอีกอย่างหนึ่งที่วิศวกรของ Facebook เปิดเผยผ่านโครงการ Open Compute เปิดเผยรายละเอียดศูนย์ข้อมูลประสิทธิภาพสูง
บริษัทที่มีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Facebook ย่อมต้องมีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาล ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นจำนวนมหาศาลตามมาด้วย
เทคนิคหนึ่งที่ Facebook เลือกใช้คือ "ปรับลด" ความเร็วในการหมุนของฮาร์ดดิสก์ให้ช้าลงในช่วงที่โหลดไม่หนัก โดยลดจาก 7200 RPM มาเหลือ 3600 RPM จะช่วยประหยัดไฟประมาณ 3-5 วัตต์ต่อฮาร์ดดิสก์หนึ่งตัว ถ้าคูณจำนวนดิสก์ทั้งหมดจะเห็นว่าลดลงไปได้มากโข
Facebook คิดเทคนิคนี้ขึ้นมาเนื่องจากข้อจำกัดในการหมุนของฮาร์ดดิสก์ ที่การออกตัวจากสถานะหยุดหมุน (sleep) จะต้องใช้เวลาพอสมควร (อาจจะนานถึง 30 วินาที) ซึ่งถือเป็นเวลาที่นานเกินไป ดังนั้นเซิร์ฟเวอร์จึงออกแบบมาให้ฮาร์ดดิสก์หมุนอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการเขียน-อ่านข้อมูล ซึ่งก็มีปัญหาเรื่องพลังงานตามมาอีก
ดังนั้นทางออกของ Facebook ก็คือทางสายกลาง ไม่ต้องให้ดิสก์หยุดหมุน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหมุนเต็มสปีดตลอด เพราะช่วงที่ไม่ต้องการโหลดข้อมูลเยอะๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังงานขนาดนั้น
รายละเอียดดูได้จาก Open Compute
from http://www.blognone.com/news/25806/facebook-เลือกให้ฮาร์ดดิสก์หมุนช้าลงบางครั้ง-เพื่อประหยัดพลังงานในศูนย์ข้อมูล
บริษัทที่มีศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Facebook ย่อมต้องมีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมหาศาล ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นจำนวนมหาศาลตามมาด้วย
เทคนิคหนึ่งที่ Facebook เลือกใช้คือ "ปรับลด" ความเร็วในการหมุนของฮาร์ดดิสก์ให้ช้าลงในช่วงที่โหลดไม่หนัก โดยลดจาก 7200 RPM มาเหลือ 3600 RPM จะช่วยประหยัดไฟประมาณ 3-5 วัตต์ต่อฮาร์ดดิสก์หนึ่งตัว ถ้าคูณจำนวนดิสก์ทั้งหมดจะเห็นว่าลดลงไปได้มากโข
Facebook คิดเทคนิคนี้ขึ้นมาเนื่องจากข้อจำกัดในการหมุนของฮาร์ดดิสก์ ที่การออกตัวจากสถานะหยุดหมุน (sleep) จะต้องใช้เวลาพอสมควร (อาจจะนานถึง 30 วินาที) ซึ่งถือเป็นเวลาที่นานเกินไป ดังนั้นเซิร์ฟเวอร์จึงออกแบบมาให้ฮาร์ดดิสก์หมุนอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการเขียน-อ่านข้อมูล ซึ่งก็มีปัญหาเรื่องพลังงานตามมาอีก
ดังนั้นทางออกของ Facebook ก็คือทางสายกลาง ไม่ต้องให้ดิสก์หยุดหมุน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหมุนเต็มสปีดตลอด เพราะช่วงที่ไม่ต้องการโหลดข้อมูลเยอะๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเปลืองพลังงานขนาดนั้น
รายละเอียดดูได้จาก Open Compute
from http://www.blognone.com/news/25806/facebook-เลือกให้ฮาร์ดดิสก์หมุนช้าลงบางครั้ง-เพื่อประหยัดพลังงานในศูนย์ข้อมูล
รู้ไว้ใช่ว่า...."ประกันสังคม กรณีชราภาพ"
11 สิงหาคม 2554
น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ แม่ค้า 5 บาท
ยุคสมัยนี้ เดินไปทางไหน หันไปร้านใด ก็มักจะเจอป้ายขอปรับขึ้นราคาสินค้า และอาหารอยู่จนชินตา โดยเจ้าของร้านมักจะอ้างว่า เพราะของมันแพงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้สามารถประคับประคองร้านให้อยู่ต่อไปได้
แต่ ทว่า ในอีกมุมหนึ่งของสังคม ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหาบเร่ค้าขายกับข้าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ไข่ไก่ยังราคาเพียงฟองละห้าสิบสตางค์ และแม้วันนี้ราคาไข่ไก่จะพุ่งเกือบฟองละ 5 บาท แต่แกก็ยังคงยืดหยัดขายกับข้าวทุกอย่างในราคา 5 บาทเหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน
ในเวลาใกล้บ่ายสองของทุกวัน สายตาหลายคู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 จะเฝ้ามองหา ป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์ หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" เพื่ออุดหนุนกับข้าวอร่อย ๆ ของแก ที่ทุกวันหาบหน้าของแกจะเต็มไปด้วยมะละกอ ข้าวเหนียว และครก ขณะที่หาบหลังเต็มไปด้วยกับข้าวและขนมหวานใส่ถุงพลาสติกกองสูงเป็นภูเขา
"ของทุกอย่างป้าแกขาย 5 บาท ที่ขายสิบบาทก็มีอย่างเดียว คือปลาหมึกเท่านั้น แกขายของแกอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยขึ้นราคาสักที" ลูกชายเจ้าของบ้านที่ป้าหาบใช้เป็นพื้นที่ขายของพูดถึงป้า
จุด เริ่มต้นของแม่ค้า 5 บาท ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยปี พ.ศ.2520 ที่ป้าหาบเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร และตัดสินใจจะขายส้มตำครกละ 5 บาท ให้คนงานในซอยซึ่งมีรายได้น้อยได้ทานกันอย่างอิ่มท้อง จนหลายสิบปีผ่านไป แกก็มีเงินเก็บไปปลูกบ้านที่ร้อยเอ็ดได้หนึ่งหลัง ทั้ง ๆ ที่ขายส้มตำในราคาเพียงครกละ 5 บาท และไม่เคยขยับราคาเลยสักครั้ง แม้ข้าวของจะแพงขึ้น แพงขึ้น เกือบเท่าตัว
"ขายราคานี้เพราะมันขายง่าย คนซื้อก็จ่ายง่าย ทุนฉันแต่ละวันก็พันกว่าบาท ก็พอมีกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้เรามันไม่มีหนี้สิน ก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปโขกเอากำไรกับเขามากเกินไป" ป้าหาบ บอกถึงเหตุผลที่ขายกับข้าวเพียง 5 บาท
ป้าหาบ หรือ ป้าแดง ยังบอกอีกด้วยว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าหาบของแกมีมากหน้าหลายตา ทั้งขาประจำ ขาจร โดยเฉพาะช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ.2540 หาบของแกยิ่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ซึ่งถ้าตอนนั้นแกปรับขึ้นราคาก็คงมีกำไรอู่ฟู่ไปแล้ว แต่แกไม่เคยคิดจะขึ้นราคาเลยสักที
"เคยยุให้แกขึ้นราคา แกก็งอนนะ บอกว่าขึ้นแล้วสงสารพวกโรงงาน ป้าแกมองถึงคนล่าง ๆ ที่ซื้อของแกกิน" ลูกค้าประจำ ซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนวัดสุวรรณาราม แอบกระซิบเรื่องของป้าอย่างชื่นชม
หลาย คนสงสัยว่า แกขายกับข้าวในราคาเพียง 5 บาทมาได้อย่างไรตั้งนานกว่า 3 ทศวรรษ แล้วจะมีกำไรหรือ ป้าหาบยิ้มแล้วบอกว่า ตัวแกเองก็จำไม่ได้หรอกว่า ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไร เพราะแกคิดเพียงว่า แม้ แกจะขายข้าวในราคา 5 บาท แต่ตัวแกเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร อยากทานอะไรก็ได้ทาน ไม่เคยลำบาก และไม่ทำให้เป็นหนี้ใคร เพราะฉะนั้นก็ยังขาย 5 บาทได้อยู่
นอกจากป้าหาบจะใจดีขายกับข้าวทุกอย่างในราคาถุงละ 5 บาทแล้ว บ่อยครั้งที่จะเห็นแม่ค้าวัยชราคนนี้ หยิบยื่นกับข้าวให้ลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเงินได้ทานกันฟรี ๆ แถมยังให้เสียเยอะจนผู้รับเองยังตกใจ
"นึก ถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ" ป้าหาบ บอก
ความใจดีของป้าหาบ อาจจะเป็นเพราะในสมัยสาว ๆ แกเคยลำบากมาก่อน ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำนา ทำไร่ เป็นแม่บ้าน สุดท้ายมาจบที่แม่ค้าขายส้มตำ และเก็บหอมรอมริบเรื่อยมาจนพอมีเงินเก็บ แต่แกก็ยังเข้าใจหัวอกของคนยากไร้เป็นอย่างดี
"ของอย่างนี้นะหนู คนไม่เคยลำบากมาก่อนไม่มีทางเข้าใจหรอก บางทีแค่ยี่สิบบาท เราเห็นว่าน้อยนิด เขาก็หาไม่ได้นะ หรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ไกล ๆ มาซื้อของป้า ป้าก็ยิ่งไม่เอาเงินเขาเลย กลัวเขาจะไม่มีค่ารถกลับบ้าน" ป้าหาบ เล่าด้วยความเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน
เคล็ด ลับที่ทำให้ป้าหาบสามารถคงราคา 5 บาทมาได้กว่า 30 ปี ก็ไม่ยากอะไร เพราะป้าหาบแกจะพยายามทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด และซื้อวัตถุดิบจากเจ้าประจำทำให้ได้มาในราคาไม่แพงมาก ซึ่งแกก็จะตื่นแต่เช้ามืดมาทำกับข้าวเป็นหม้อ ๆ แล้วหาบของหนัก ๆ ออกมาขายช่วงบ่าย ๆ เป็นประจำเกือบทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ป้าหาบยังบอกอีกด้วยว่า แกสนุกกับสิ่งที่แกทำ เพราะได้คุยกับคนมากหน้าหลายตา และหากแกหยุดขายไปหนึ่งวันหรือสองวัน วันรุ่งขึ้นจะมีลูกค้ามาตัดพ้อเลยทีเดียว
"ถ้าเขาไม่มี เราก็ให้เขากินได้ เวลาเราไม่มี ก็คงจะมีคนยื่นมาให้เรากินบ้าง เหมือนว่าเราทำบุญ ยิ่งกว่าใส่บาตรอีกนะ การให้คนเขาได้กิน ใส่บาตรบางทีพระมีของกินเยอะ ๆ พระท่านก็ไม่ฉันอันนั้นอันนี้ แต่คนที่ไม่มีจะกิน ให้เขาไปเขาก็กินหมด และอิ่มด้วย ยิ่งบางคนให้ไป เขาไม่ลืมเลย ไปเจอกันอยู่กลางทาง เขาเห็นป้าแล้วบอกดีใจจังเลย นึกถึงที่ป้าให้ของกิน เขาบอกว่าไม่เคยลืมเรา ขนาด 9 ปี 10 ปี มาเจอกันวันนี้ ยังมีคนมาทักป้าเลย" ป้าหาบ เล่าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง
ป้า หาบยังบอกด้วยว่า ชีวิตของแกพอมีพอกิน เงินเก็บก็พอมี หนี้สินไม่มี ลูกเต้าก็โตได้งานทำกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ชีวิตของแกก็ไม่ได้ลำบากอะไร เช่นนั้นแล้ว เมื่อแกพร้อม ก็สามารถทำอะไรอย่างที่แกอยากจะทำได้ด้วยความสบายใจซึ่งสิ่งนั้นก็คือ "การให้" นั่นเอง
เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแล้วมีความสุขขึ้นมาถนัด ตา
from pantip.com
แต่ ทว่า ในอีกมุมหนึ่งของสังคม ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหาบเร่ค้าขายกับข้าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ไข่ไก่ยังราคาเพียงฟองละห้าสิบสตางค์ และแม้วันนี้ราคาไข่ไก่จะพุ่งเกือบฟองละ 5 บาท แต่แกก็ยังคงยืดหยัดขายกับข้าวทุกอย่างในราคา 5 บาทเหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน
ในเวลาใกล้บ่ายสองของทุกวัน สายตาหลายคู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 จะเฝ้ามองหา ป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์ หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" เพื่ออุดหนุนกับข้าวอร่อย ๆ ของแก ที่ทุกวันหาบหน้าของแกจะเต็มไปด้วยมะละกอ ข้าวเหนียว และครก ขณะที่หาบหลังเต็มไปด้วยกับข้าวและขนมหวานใส่ถุงพลาสติกกองสูงเป็นภูเขา
"ของทุกอย่างป้าแกขาย 5 บาท ที่ขายสิบบาทก็มีอย่างเดียว คือปลาหมึกเท่านั้น แกขายของแกอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยขึ้นราคาสักที" ลูกชายเจ้าของบ้านที่ป้าหาบใช้เป็นพื้นที่ขายของพูดถึงป้า
จุด เริ่มต้นของแม่ค้า 5 บาท ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยปี พ.ศ.2520 ที่ป้าหาบเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาอยู่กรุงเทพมหานคร และตัดสินใจจะขายส้มตำครกละ 5 บาท ให้คนงานในซอยซึ่งมีรายได้น้อยได้ทานกันอย่างอิ่มท้อง จนหลายสิบปีผ่านไป แกก็มีเงินเก็บไปปลูกบ้านที่ร้อยเอ็ดได้หนึ่งหลัง ทั้ง ๆ ที่ขายส้มตำในราคาเพียงครกละ 5 บาท และไม่เคยขยับราคาเลยสักครั้ง แม้ข้าวของจะแพงขึ้น แพงขึ้น เกือบเท่าตัว
"ขายราคานี้เพราะมันขายง่าย คนซื้อก็จ่ายง่าย ทุนฉันแต่ละวันก็พันกว่าบาท ก็พอมีกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้เรามันไม่มีหนี้สิน ก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปโขกเอากำไรกับเขามากเกินไป" ป้าหาบ บอกถึงเหตุผลที่ขายกับข้าวเพียง 5 บาท
ป้าหาบ หรือ ป้าแดง ยังบอกอีกด้วยว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าหาบของแกมีมากหน้าหลายตา ทั้งขาประจำ ขาจร โดยเฉพาะช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ.2540 หาบของแกยิ่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ซึ่งถ้าตอนนั้นแกปรับขึ้นราคาก็คงมีกำไรอู่ฟู่ไปแล้ว แต่แกไม่เคยคิดจะขึ้นราคาเลยสักที
"เคยยุให้แกขึ้นราคา แกก็งอนนะ บอกว่าขึ้นแล้วสงสารพวกโรงงาน ป้าแกมองถึงคนล่าง ๆ ที่ซื้อของแกกิน" ลูกค้าประจำ ซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนวัดสุวรรณาราม แอบกระซิบเรื่องของป้าอย่างชื่นชม
หลาย คนสงสัยว่า แกขายกับข้าวในราคาเพียง 5 บาทมาได้อย่างไรตั้งนานกว่า 3 ทศวรรษ แล้วจะมีกำไรหรือ ป้าหาบยิ้มแล้วบอกว่า ตัวแกเองก็จำไม่ได้หรอกว่า ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไร เพราะแกคิดเพียงว่า แม้ แกจะขายข้าวในราคา 5 บาท แต่ตัวแกเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร อยากทานอะไรก็ได้ทาน ไม่เคยลำบาก และไม่ทำให้เป็นหนี้ใคร เพราะฉะนั้นก็ยังขาย 5 บาทได้อยู่
นอกจากป้าหาบจะใจดีขายกับข้าวทุกอย่างในราคาถุงละ 5 บาทแล้ว บ่อยครั้งที่จะเห็นแม่ค้าวัยชราคนนี้ หยิบยื่นกับข้าวให้ลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเงินได้ทานกันฟรี ๆ แถมยังให้เสียเยอะจนผู้รับเองยังตกใจ
"นึก ถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ" ป้าหาบ บอก
ความใจดีของป้าหาบ อาจจะเป็นเพราะในสมัยสาว ๆ แกเคยลำบากมาก่อน ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำนา ทำไร่ เป็นแม่บ้าน สุดท้ายมาจบที่แม่ค้าขายส้มตำ และเก็บหอมรอมริบเรื่อยมาจนพอมีเงินเก็บ แต่แกก็ยังเข้าใจหัวอกของคนยากไร้เป็นอย่างดี
"ของอย่างนี้นะหนู คนไม่เคยลำบากมาก่อนไม่มีทางเข้าใจหรอก บางทีแค่ยี่สิบบาท เราเห็นว่าน้อยนิด เขาก็หาไม่ได้นะ หรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ไกล ๆ มาซื้อของป้า ป้าก็ยิ่งไม่เอาเงินเขาเลย กลัวเขาจะไม่มีค่ารถกลับบ้าน" ป้าหาบ เล่าด้วยความเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน
เคล็ด ลับที่ทำให้ป้าหาบสามารถคงราคา 5 บาทมาได้กว่า 30 ปี ก็ไม่ยากอะไร เพราะป้าหาบแกจะพยายามทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด และซื้อวัตถุดิบจากเจ้าประจำทำให้ได้มาในราคาไม่แพงมาก ซึ่งแกก็จะตื่นแต่เช้ามืดมาทำกับข้าวเป็นหม้อ ๆ แล้วหาบของหนัก ๆ ออกมาขายช่วงบ่าย ๆ เป็นประจำเกือบทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ป้าหาบยังบอกอีกด้วยว่า แกสนุกกับสิ่งที่แกทำ เพราะได้คุยกับคนมากหน้าหลายตา และหากแกหยุดขายไปหนึ่งวันหรือสองวัน วันรุ่งขึ้นจะมีลูกค้ามาตัดพ้อเลยทีเดียว
"ถ้าเขาไม่มี เราก็ให้เขากินได้ เวลาเราไม่มี ก็คงจะมีคนยื่นมาให้เรากินบ้าง เหมือนว่าเราทำบุญ ยิ่งกว่าใส่บาตรอีกนะ การให้คนเขาได้กิน ใส่บาตรบางทีพระมีของกินเยอะ ๆ พระท่านก็ไม่ฉันอันนั้นอันนี้ แต่คนที่ไม่มีจะกิน ให้เขาไปเขาก็กินหมด และอิ่มด้วย ยิ่งบางคนให้ไป เขาไม่ลืมเลย ไปเจอกันอยู่กลางทาง เขาเห็นป้าแล้วบอกดีใจจังเลย นึกถึงที่ป้าให้ของกิน เขาบอกว่าไม่เคยลืมเรา ขนาด 9 ปี 10 ปี มาเจอกันวันนี้ ยังมีคนมาทักป้าเลย" ป้าหาบ เล่าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง
ป้า หาบยังบอกด้วยว่า ชีวิตของแกพอมีพอกิน เงินเก็บก็พอมี หนี้สินไม่มี ลูกเต้าก็โตได้งานทำกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ชีวิตของแกก็ไม่ได้ลำบากอะไร เช่นนั้นแล้ว เมื่อแกพร้อม ก็สามารถทำอะไรอย่างที่แกอยากจะทำได้ด้วยความสบายใจซึ่งสิ่งนั้นก็คือ "การให้" นั่นเอง
เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแล้วมีความสุขขึ้นมาถนัด ตา
from pantip.com
09 สิงหาคม 2554
คนสำคัญที่สุดในชีวิต... คือใคร
จอห์น ดอนเน นักเขียนชาว อังกฤษกล่าวไว้ว่า "ไม่มีมนุษย์หน้าไหน อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว"
"ชีวิตคุณจะได้สักกี่น้ำ ขึ้นอยู่กับความเอ็นดูที่คุณมีต่อผู้อ่อนเยาว์
ขึ้นกับน้ำจิตที่เผื่อแผ่แด่ผู้สูงอายุ
ขึ้นกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ทุกข์ร้อน
รวมถึงใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอและแข็งแรง
เพราะชีวิตในวันหนึ่งของคุณ
จักต้องกลายเป็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด"
จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์
ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า "ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับผู้คนได้อย่างไร" ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น "พ่อแม่พี่น้อง" เรา "เพื่อน" เรา เมื่อใดที่มีคำว่า "เรา" เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
from teenee.com
"ชีวิตคุณจะได้สักกี่น้ำ ขึ้นอยู่กับความเอ็นดูที่คุณมีต่อผู้อ่อนเยาว์
ขึ้นกับน้ำจิตที่เผื่อแผ่แด่ผู้สูงอายุ
ขึ้นกับความเห็นอกเห็นใจต่อผู้ทุกข์ร้อน
รวมถึงใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอและแข็งแรง
เพราะชีวิตในวันหนึ่งของคุณ
จักต้องกลายเป็นบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด"
จอร์จ วอชิงตัน คาร์เวอร์
ในอาชีพการทำงานที่เกี่ยวข้องกับผู้คน ผมได้มีโอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประเภท กลุ่มแรกประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว และสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง กลุ่มที่สอง มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุขภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเกินธรรมดา การทำงานและสัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่มีความสามารถในการทำงานและมีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก แต่ยิ่งทำยิ่งไม่ประสบความสำเร็จ สาเหตุสำคัญ คือ ทัศนคติและมุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเองและโลกนี้ เท่านั้นเองจริงๆ!
บุคคลที่ไม่สามารถให้ความรัก ความเมตตา ให้ความชื่นชมในตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจเข้าออก อวัยวะน้อยใหญ่ รวมทั้งเซลล์ทั้งหลายในร่างกาย บุคคลนั้นจะไม่สามารถหยิบยื่นความรัก และให้ความชื่นชมต่อคนรอบข้างได้เป็นอันขาด การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี คือ การรู้จักรักและเมตตาตนเอง รู้จักใส่ใจ ทะนุถนอมและดูแลอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและจิตใจด้วยความอ่อนโยน ละมุนละม่อม
ให้หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา ทั้งหายใจเข้า หายใจออก ให้รู้สึกขอบคุณที่เรายังมีลมหายใจ เป็นลมหายใจที่ทำให้เรายังคงสภาพเป็นมนุษย์ สามารถประกอบกรรมดี ทั้งกาย วาจา ใจ ได้ต่อไป
จากมุมมองที่รัก เมตตา และชื่นชมตัวเองได้อย่างจริงใจแล้ว เราจึงสามารถรัก เมตตา และชื่นชมคนรอบข้างได้อย่างจริงใจ จุดนี้จะทำให้เราเริ่มประสบความสำเร็จมากขึ้นในทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป
การใช้ชีวิตของคนเราจำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่เมื่อใดที่เราได้พบปะเจอะเจอผู้คน คนเหล่านั้นผู้ซึ่งอยู่เฉพาะหน้าเรา ในรัศมี 1-5 เมตร คนเหล่านั้นคือ บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเป็นคนกวาดถนน พนักงานทำความสะอาด เด็กปั๊ม เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ตำรวจจราจร หรือใครก็ตาม
เราเคยได้ส่งรอยยิ้ม ได้ทักทาย ได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับคนเหล่านี้ที่ได้ผ่านพานพบในชีวิตประจำวันบ้างรึเปล่า ลองทำดูสิครับ แล้วจะพบว่า ชีวิตนี้ช่างมีความหมายมากมายกว่าที่เราเคยรู้จัก
ธีโอดอร์ รูสต์เวลต์ อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า "ส่วนผสมสำคัญเพียงหนึ่งเดียวในสูตรแห่งความสำเร็จของชีวิต คือ การรู้ว่าจะทำตัวกลมกลืนกับผู้คนได้อย่างไร" ตรงนี้เป็นมุมมองของฝรั่งที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาทักษะเรื่องคน
แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าหลายเท่า พระพุทธองค์ทรงสอนให้เรามีความเมตตาโดยเสมอภาคกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งแยก ไม่มีอคติ ไม่มีญาติพี่น้องพวกพ้อง เพราะเรามักจะให้ความสำคัญและความเมตตากับคนที่เป็น "พ่อแม่พี่น้อง" เรา "เพื่อน" เรา เมื่อใดที่มีคำว่า "เรา" เข้ามากำกับ ความเมตตาจะมากขึ้นมาโดยธรรมชาติ เท่ากับการปล่อยให้ใจติดสินบน ไม่เป็นธรรม ไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม
ลองฝึกดูสิครับ ฝึกให้ใจมีความเป็นธรรม ให้ความสำคัญและความเมตตาต่อบุคคลที่อยู่ข้างหน้าเราในขณะนี้ ให้ตระหนักรู้ว่า เขาคือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา หากทำได้เช่นนี้ นอกจากเราจะได้เดินตามรอยบาทพระศาสดาแล้ว เรายังจะเป็นผู้ที่มีความสุข ประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและที่ทำงาน
เลิกปล่อยใจให้ติดสินบน ตกจากทำนองคลองธรรม โดยการเลือกที่รักมักที่ชังกันได้แล้วครับ!
from teenee.com
06 สิงหาคม 2554
เรื่องราวคนขายเต้าหู้ คือพ่อฉันผู้เป็นใบ้
เรื่องจริงที่เปี่ยมด้วยความเป็นมนุษย์ เกิดขึ้นในจีนแผ่นดินใหญ่
ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก
เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว
“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า"
เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้
ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเอง
ไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี
อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้ น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก
เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน
พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก
ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก
ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้
ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้ และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด
ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย
ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้
มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน
เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง
เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา
น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม)
ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้
ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง
ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า
ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว
ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ
มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน
น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน
เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา
ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด
ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี
ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว
แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ซึ่งดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน
ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น
ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม
ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก
ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน
รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อคนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979
พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992
ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบาน
ขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือฉันอย่างพิถีพิถัน
ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง
ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก
เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ
เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี
ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้
หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ
บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน
ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน
นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้
พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ
เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็ม พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉัน ขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก
พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก
เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ปี 1996 ฉันเรียนจบ ได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม.
เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง
เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม
ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง………
มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู
ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก
พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย
รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด
ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่
พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ
ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล
พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ
แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น
และเปรยกับพี่ ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า
เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า
ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง
พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก
โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย
น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่
หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่
ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้
ทันใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง
จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า
พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ
นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน
เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ
ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้
ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่ 4 พันหยวน
หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ
พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น
หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่
เห็นหมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น
พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา
หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้
แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด
พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง
หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก
พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป
ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน
พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใคร ๆ เห็นแล้วต้องร้องไห้
หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
พ่อตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก
หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว
ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน
ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน
ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู
พ่อไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปาก หลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง
พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ
จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้
ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ
ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา
พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉัน
กล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน
เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สด ๆ รอลูกอยู่”
เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน
ทำเต้าหู้ร้อน ๆ ถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม
แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้
พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น
พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่
ระหว่างนั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา
พ่อได้รับความสนับสนุนเพียงพอ ที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย
ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย
ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้ บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอ ทว่าชัดเจนดังนี้
คุณจัง 20 หยวน คุณลี่ 100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน ...
ในที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ ในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง หลังจากครึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง
เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา
ผมขาวโพลนของเขา เปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น
ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี
หัวโกนจนเกลี้ยงของฉัน เริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว
พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา
การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ
เวลาผ่านไปครึ่งปี
ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้
พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป
แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ
ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ
ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยอง ๆ กับพื้น
เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้
ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น
สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง
เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน
โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉย ๆ
ฉันจึงเช่าเพิงเล็ก ๆ ใกล้บ้านให้พ่อ ทำเป็นโรงเต้าหู้
เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอม ก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน
ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ
แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี
ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง
เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำ จองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย
จนตัวฉันเอง ก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน
ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก
เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ
แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า
อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง
อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก
ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา
ขอให้เราปรนนิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที เพราะหลังจากท่านสิ้นบุญแล้วจะเหลือแต่ความรำลึก
ขอให้เราปฏิบัติต่อคู่ชีวิตด้วยความจริงใจ เพราะหลังจากจากกันแล้วจะไม่มีโอกาสจูงมือกันเดินเที่ยว
ขอให้เราทะนุถนอมการเจริญเติบโตของบุตร เพราะเมื่อถึงเวลาอันควรจะไม่มีโอกาสได้โอบกอดลูก ๆ อีก
ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส
from pantip.com
ตอนเหนือของมณฑลเหลียวหนิง ประเทศจีน มีเมืองขนาดกลาง ชื่อว่า เทือกเหล็ก
เกือบทุกเช้าตรู่หรือพลบค่ำ บนท้องถนนกรรมกร จะเห็นผู้เฒ่าเข็นรถขายเต้าหู้เคลื่อนไปอย่างช้าๆ
ลำโพงที่ต่อกับแบตเตอรี่บนรถ กระจายเสียงใสของหญิงสาว
“เต้าหู้มาแล้วจ้า เต้าหู้อ่อนสูตรโบราณ เต้าหู้อร่อยจ้า"
เสียงนี่เป็นของฉัน คนขายคือพ่อฉัน พ่อฉันเป็นใบ้
ตราบถึงวันนี้อายุกว่ายี่สิบแล้ว ฉันจึงใจกล้าพอที่จะบันทึกเสียงตัวเอง
ไว้บนรถขายเต้าหู้ของพ่อ แทนกริ่งทองเหลืองที่พ่อเขย่ามาหลายสิบปี
อายุแค่ 2-3 ขวบ ฉันก็รู้จักว่ามีพ่อเป็นใบ้ น่าอัปยศเพียงใด ดังนั้นฉันจึงเกลียดชังพ่อแต่เล็ก
เมื่อฉันเห็นเด็กบางคนถูกแม่สั่งให้มาซื้อเต้าหู้ กลับหยิบเต้าหู้ไปโดยไม่จ่ายเงิน
พ่อโก่งคอยาวแต่ไม่อาจตะเบ็งเสียงออกมา ฉันไม่อาจทำเหมือนพี่ชายที่ไล่ตามไปต่อยเด็ก
ได้แต่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ปริปาก
ฉันไม่ชังเด็กคนนั้น แต่กลับชังพ่อที่เป็นใบ้
ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่พี่ชายช่วยหวีผมให้ และเจ็บจนต้องสูดปากซี๊ด
ฉันก็แข็งใจไม่ยอมให้พ่อถักผมเปีย
ตอนที่แม่เสียไม่ได้เก็บรูปถ่ายบานใหญ่ไว้
มีเพียงรูปขาวดำขนาด 2 นิ้วที่ถ่ายร่วมกับสาวเพื่อนบ้านก่อนแต่งงาน
เมื่อพ่อถูกฉันเมินเฉย ก็มักจะหันกระจกเงากลับมาดูรูปแม่อีกด้านหนึ่ง
เพ่งจนนานพอแล้ว ค่อยจากไปทำงานอย่างซึมเซา
น่าโมโหที่สุดคือเด็กคนอื่นเรียกฉันว่า อีใบ้สาม (ฉันเป็นลูกคนเล็กอยู่อันดับสาม)
ฉันจะวิ่งกลับบ้านเมื่อด่าสู้พวกเด็กไม่ได้
ต่อหน้าพ่อที่กำลังโม่เต้าหู้อยู่ ฉันเขียนวงกลมบนพื้น แล้วถ่มน้ำลายที่ตรงกลาง
ถึงแม้ฉันไม่เข้าใจว่าที่ตนทำนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ทำเช่นนี้เมื่อถูกเด็กด่าว่า
ฉันคิดว่า นี่คงเป็นการแสดงคำด่าคนใบ้ที่ร้ายกาจที่สุดแล้ว
ครั้งแรกที่ฉันด่าพ่อด้วยวิธีนี้ ทำให้พ่อต้องหยุดงานในมือ
มองดูฉันอย่างงุนงง น้ำตาไหลนองหน้าอยู่นาน
น้อยครั้งที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อขดตัวในโรงเต้าหู้ร้องไห้ตลอดทั้งคืน
เป็นการสะอึกสะอื้นที่ไม่ส่งเสียงดัง เพราะเห็นพ่อหลั่งน้ำตา
ฉันจึงดูเหมือนหาทางออกให้กับความน้อยใจของฉันได้ในที่สุด
ดังนั้น ต่อจากนั้นเป็นต้นมา ฉันมักจะไปด่าพ่อต่อหน้าต่อตาแล้วเดินหนี
ปล่อยให้พ่องงเป็นไก่ตาแตก ทว่าพ่อไม่หลั่งน้ำตาอีกแล้ว
แต่จะขดตัวที่ผอมเซียวให้ลีบเล็กลง พิงกับคานโม่ หรือจานโม่ ซึ่งดูน่าเกลียดยิ่งในสายตาฉัน
ฉันต้องเรียนหนังสือให้ดี เพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ้นจากหมู่บ้านเล็กที่ใครๆก็รู้ว่าพ่อฉันเป็นใบ้
นี่เป็นความปรารถนาใหญ่ยิ่งของฉันในขณะนั้น
ฉันไม่รู้ว่าพี่ชายสองคนมีเหย้าเรือนได้อย่างไร
ไม่รู้ว่าโรงเต้าหู้นั้นพ่อเปลี่ยนคานโม่ใหม่อีกกี่ด้าม
ไม่รู้ว่ากริ่งทองเหลืองลั่นจนริมขอบสึก
ผ่านไปแล้วกี่ฤดูกาลกี่ตำบลหมู่บ้าน
รู้เพียงว่าฉันปฏิบัติต่อคนอย่างเคืองแค้น เรียนหนังสืออย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุดฉันก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
เสื้อม่อฮ่อมกรมท่าซึ่งอาโกวตัดเย็บให้ตั้งแต่ปี 1979
พ่อเพิ่งเอามาใส่เป็นครั้งแรกในต้นฤดูใบไม้ร่วงปี 1992
ท่ามกลางแสงตะเกียงในยามค่ำ พ่อหน้าตาชื่นบาน
ขณะยัดธนบัตรกำใหญ่ ซึ่งยังติดกลิ่นคาวเต้าหู้ไว้ที่ฝ่ามือฉันอย่างพิถีพิถัน
ปากก็เอะอะเออออไม่หยุดยั้ง
ฉันมองดูความดีใจและภาคภูมิของพ่อโดยวางตัวไม่ถูก
เหม่อมองพ่อเที่ยวแจ้งให้ญาติโยมเพื่อนบ้านทราบด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มพอใจ
เมื่อฉันเห็นพ่อพาคุณอาและพี่ ๆ มาช่วยลากหมูตัวที่พ่อบรรจงขุนมา 2 ปีจนอ้วนพี
ลงมือชำแหละเพื่อเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน เป็นการฉลองที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้
หัวใจแข็งดุจท่อนไม้ของฉันไม่รู้ถูกอะไรสะกิดเข้า จนฉันร้องไห้โฮ
บนโต๊ะอาหาร ฉันคีบหมูหลายชิ้นให้พ่อต่อหน้าคนหลายๆคน
ฉันน้ำตานองหน้า เรียกพ่อให้กินเนื้อหมู พ่อไม่ได้ยินหรอก แต่เข้าใจความหมายของฉัน
นัยน์ตาพ่อฉายประกายที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดวดเหล้าเกาเหลียงที่ตวงซื้อมา พร้อมกับกินชิ้นหมูที่ลูกสาวคีบให้
พ่อคงเมาแล้ว หน้าแดงก่ำ หลังยืดตรง ส่งภาษามืออย่างองอาจ
เป็นความจริงที่ว่า ผ่านมา 18 ปีเต็ม พ่อเพิ่งเคยเห็นรูปริมฝีปากฉัน ขณะเรียกพ่อเป็นครั้งแรก
พ่อโม่เต้าหู้ด้วยความยากลำบาก
เอาธนบัตรที่คลุกด้วยกลิ่นไอเต้าหู้ส่งเสียให้ฉันเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ปี 1996 ฉันเรียนจบ ได้รับบรรจุงานที่เทือกเหล็กห่างจากบ้านเกิด 40 กม.
เมื่อจัดที่พักเรียบร้อย ฉันเดินทางไปรับพ่อผู้ใช้ชีวิตคนเดียวมาอยู่ในเมือง
เพื่อรับความสุขที่ลูกสาวมอบให้แม้จะช้านานก็ตาม
ทว่าระหว่างทางนั่งแท็กซี่กลับหมู่บ้าน เกิดอุบัติเหตุขึ้น
เรื่องราวต่างๆหลังจากอุบัติเหตุ ฉันทราบจากพี่สะใภ้ เล่าให้ฟัง………
มีคนเดินทางจำได้ว่าผู้ประสบเหตุคือลูกสาวคนเล็กของเฒ่าถู
ดังนั้น พี่ใหญ่พี่รอง สะใภ้ใหญ่สะใภ้รองต่างมาถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
ทุกคนได้แต่ร้องไห้เมื่อเห็นฉันสลบคาที่ ทำอะไรไม่ถูก
พ่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นคนสุดท้าย
รีบช้อนร่างฉันขึ้นมาและโบกรถใหญ่ข้างทางให้หยุด
ผู้คนในเหตุการณ์ต่างเห็นว่าฉันไม่รอดแน่
พ่อใช้ขายันร่างฉันไว้ แล้วใช้มือล้วงธนบัตรปึกใหญ่ออกจากกระเป๋าเสื้อ
ยัดใส่มือคนขับรถ พร้อมกับขีดเขียนรูปกากบาทถี่ๆ ขอร้องให้พาส่งโรงพยาบาล
พี่สะใภ้เล่าว่า พ่อแต่ไหนแต่ไรร่างกายอ่อนแอ
แต่ขณะนั้นสำแดงพลังความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ
หลังจากพยาบาลเบื้องต้นแล้ว หมอให้ย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่น
และเปรยกับพี่ ๆ ว่า รักษาต่อไปก็ป่วยการเปล่า
เพราะขณะนั้น ความดันโลหิตฉันเกือบวัดไม่ได้ หัวกระบาลถูกชนน่วมเป็นลูกน้ำเต้า
ชุดสวมศพที่พี่ใหญ่ซื้อมาโดยเห็นว่าหมดหวังแล้วถูกพ่อฉีกทิ้ง
พ่อชี้ที่ตาตัวเอง ชูหัวแม่มือ จ่อที่ขมับตัวเอง จากนั้นชูสองนิ้วชี้ที่ตัวฉัน แล้วชูหัวแม่มืออีก
โบกมือแล้วหลับตา นั่นหมายความว่า พวกคุณอย่าร้องไห้ พ่อยังไม่ร้องเลย
น้องสาวคุณไม่ตายหรอก เธออายุเพียง 20 กว่า ยังไหวแน่ เราช่วยชีวิตเธอได้แน่
หมอยังคงยืนยันว่าหมดทาง ให้พี่ใหญ่บอกกับพ่อว่า แม่หนูไม่รอดแน่
ถึงจะรักษาก็ต้องใช้เงินมหาศาล และยังไม่แน่ว่าจะรักษาได้
ทันใดนั้นพ่อคุกเข่าลง แล้วลุกขึ้นทันที ชี้มายังฉันพร้อมกับชูแขนสูง
จากนั้นก็ทำท่าเพาะปลูก เลี้ยงหมู ถางหญ้า โม่เต้าหู้ แล้วปลิ้นกระเป๋าเสื้อซึ่งภายในว่างเปล่า
พร้อมกับชูมือสองข้างกลับฝ่ามือไปมาสองรอบ
นั่นหมายความว่า ขอร้องคุณหมอเถิด ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน
เธอมีอนาคตดี เป็นคนเก่ง คุณหมอต้องช่วยเธอ
ผมจะหาเงินมาเสียค่ารักษา ผมเลี้ยงหมู ทำนา ทำเต้าหู้ได้
ผมมีเงิน ตอนนี้ก็มีอยู่ 4 พันหยวน
หมอจับมือพ่อพร้อมกับสั่นหัว นัยว่า แค่ 4 พันหยวนยังขาดอีกเยอะ
พ่อไม่รีรอ ชี้ไปยังพี่ๆและพี่สะใภ้ กำมือแน่น
หมายความว่า ผมยังมีคนเหล่านี้ช่วยกันพยายาม เราทำได้แน่
เห็นหมอยังทำเฉย พ่อชี้ที่หลังคา ก้มหัวใช้เท้ากระทืบพื้น
พนมมือสองข้างไว้ด้านขวาของศีรษะ แล้วหลับตา
หมายความว่า ผมมีบ้านขายได้ ผมนอนบนพื้นดินก็ได้
แม้จะหมดเนื้อหมดตัว ผมก็ขอให้ลูกสาวอยู่รอด
พ่อชี้ไปยังหน้าอกคุณหมอ แล้ววางมือลง
หมายความว่า ขอให้คุณหมอไว้ใจ เราไม่เบี้ยวค่ารักษาหรอก เรื่องเงินเราจะหาทางออก
พี่ใหญ่แปลภาษามือของพ่อให้หมอฟังพลางร้องไห้ไป
ไม่ทันแปลจบ หมอซึ่งเห็นเรื่องเกิดแก่เจ็บตายจนชินชา บัดนี้ก็อดกลั้นน้ำตาไม่อยู่เช่นกัน
พ่อใช้ท่ามือที่รวดเร็ว สื่อความแม่นยำ ใคร ๆ เห็นแล้วต้องร้องไห้
หมอบอกอีกว่า ทำศัลยกรรมก็ไม่รับรองว่าจะช่วยชีวิตได้ เกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไร
พ่อตบกระเป๋าเสื้อตัวเอง แล้วลูบที่หน้าอก
หมายความว่า ขอให้หมอช่วยเต็มที่ แม้จะไม่ไหว ก็จะจ่ายเงินให้ครบ โดยไม่บ่นโทษแม้แต่คำเดียว
ความรักอันยิ่งใหญ่ของพ่อ ไม่เพียงแต่ค้ำจุนชีวิตฉัน
ยังค้ำจุนกำลังใจและความแน่วแน่ให้หมอในการช่วยชีวิตฉัน
ฉันถูกนำเข้าห้องผ่าตัด พ่อรออยู่นอกห้องเดินไปมาอย่างลุกลี้ลุกลนตามระเบียงจนรองเท้าสึกเป็นรู
พ่อไม่หลั่งน้ำตาแม้แต่หยดเดียว
แต่กลับเป็นแผลพุพองเต็มปาก หลังจากเฝ้ารออยู่นอกห้องสิบกว่าชั่วโมง
พ่อทำท่าอธิษฐานขอพรจากพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ
จนฟ้าดินปรานี ให้ฉันรอดมาได้
ฉันสลบเหมือดตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ไม่ตอบสนองต่อความรักจากพ่อ
ทุกคนหมดกำลังใจในตัวฉันซึ่งกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา
มีเพียงพ่อคนเดียวที่ยืนหยัดเฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้รอฉันฟื้นขึ้นมา
พ่อใช้มืออันหยาบกร้านบรรจงนวดให้ฉัน
กล่องเสียงพิการของพ่อได้แต่เปล่งลมเออออเรียกฉัน
เหมือนกับพูดว่า “ลูกหยูน ตื่นเถิด ลูกหยูน พ่อทำน้ำเต้าหู้สด ๆ รอลูกอยู่”
เพื่อเอาใจหมอและพยาบาล พ่อจะอาศัยเวลาที่พี่มาเฝ้าไข้แทน
ทำเต้าหู้ร้อน ๆ ถาดใหญ่ มาแจกแก่เจ้าหน้าที่พยาบาลเกือบทุกคนในแผนกศัลยกรรม
แม้โรงพยาบาลตั้งระเบียบไม่ให้รับของจากคนไข้ แต่ด้วยคำขอร้องที่บริสุทธิ์จริงใจเช่นนี้
พวกเขาก็รับไว้อย่างเงียบๆ แค่นี้พ่อก็พอใจและมีความมั่นใจยิ่งขึ้น
พ่อใช้ภาษามือสื่อความว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้ใจบุญ เชื่อว่าต้องรักษาลูกสาวผมได้แน่
ระหว่างนั้น เพื่อระดมค่ารักษา พ่อเดินสายไปทุกหมู่บ้านที่เคยไปขายเต้าหู้
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตตลอดชีวิตที่ผ่านมา
พ่อได้รับความสนับสนุนเพียงพอ ที่จะช่วยลูกสาวรอดพ้นจากเส้นตาย
ชาวบ้านต่างออกเงินช่วยเหลือ พ่อก็ไม่ปล่อยปละละเลย
ใช้ดินสอจดบัญชีเต้าหู้ บันทึกรายละเอียดด้วยลายมือหงิกงอ ทว่าชัดเจนดังนี้
คุณจัง 20 หยวน คุณลี่ 100 หยวน อาซ้อหวัง 65 หยวน ...
ในที่สุดฉันฟื้นขึ้นมาจนได้ ในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง หลังจากครึ่งเดือนผ่านไป
ฉันเห็นผู้เฒ่าผอมเซียวจนเสียรูป อ้าปากกว้าง
เปล่งเสียงเออออดังลั่นด้วย ความดีใจที่ได้เห็นฉันตื่นขึ้นมา
ผมขาวโพลนของเขา เปียกชุ่มด้วยเหงื่อในฉับพลันเนื่องจากความตื่นเต้น
ครึ่งเดือนก่อนพ่อยังมีผมดำเต็มศีรษะ ครึ่งเดือนผ่านไป พ่อแก่ไปตั้ง 20 ปี
หัวโกนจนเกลี้ยงของฉัน เริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นแล้ว
พ่อลูบไล้หัวฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมตตา
การลูบไล้เช่นนี้ ในอดีตถือเป็นความสุขเกินตัวสำหรับพ่อ
เวลาผ่านไปครึ่งปี
ผมฉันยาวพอที่จะถักเปียได้ ฉันจูงมือพ่อขอร้องช่วยหวีผมให้
พ่อกลับออกอาการเปิ่นเก้อ พ่อหวีทีละกระจุก หมดไปค่อนวันก็ยังไม่อาจหาทรงที่ถูกใจพ่อ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อหันมาอยู่หน้าฉัน ทำท่าอุ้มฉันโยนออกไป
แล้วงอนิ้วมือเหมือนท่านับเงิน อ้อ พ่อคิดจะเอาตัวฉันไปขายเหมือนขายเต้าหู้ละสิ
ฉันแสร้งปิดหน้าร้องไห้ จนพ่อดีใจหัวเราะ
ฉันแอบดูพ่อผ่านช่องนิ้วมือ เห็นพ่อหัวเราะจนขดตัวยอง ๆ กับพื้น
เกมนี้เราเล่นจนกระทั่งฉันลุกขึ้นยืนและเดินได้
ทุกวันนี้ มีเพียงอาการปวดหัวเป็นครั้งคราวเท่านั้น
สุขภาพโดยทั่วไปฉันดูแข็งแรงดี พ่อจึงพึงพอใจยิ่ง
เราช่วยกันชำระหนี้สินจนหมด แล้วพ่อก็ย้ายเข้าเมืองอยู่กับฉัน
โดยที่พ่อขยันทำงานมาตลอด ทนไม่ได้กับชีวิตอยู่เฉย ๆ
ฉันจึงเช่าเพิงเล็ก ๆ ใกล้บ้านให้พ่อ ทำเป็นโรงเต้าหู้
เต้าหู้ที่พ่อทำ รสชาตินุ่มหอม ก้อนใหญ่ดี เป็นที่นิยมของชาวบ้าน
ฉันติดตั้งชุดลำโพงกับแบตเตอรี่บนรถเข็นเต้าหู้ให้พ่อ
แม้ว่าพ่อไม่ได้ยินเสียงกังวานของฉัน แต่ท่านย่อมทราบดี
ทุกครั้งที่พ่อกดปุ่มเสียง ท่านจะอกผายไหล่ผึ่ง รู้สึกถึงความสุขและพอเพียง
เรื่องราวในอดีตที่ฉันเหยียดหยามพ่อ ท่านมิได้จดจำ จองเวรไว้เลยแม้แต่น้อย
จนตัวฉันเอง ก็ใจไม่ถึงพอที่จะสารภาพผิดต่อท่าน
ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเราเปี่ยมล้นด้วยสังคีตแห่งความรัก
เราสดับฟัง สาธยาย สัมผัส และสะเทือนใจ
แต่แล้ว พ่อผู้ใบ้ของฉันกลับสอนให้ฉันเข้าใจว่า
อันที่จริงแล้ว สังคีตอันยิ่งใหญ่ที่สุดคือปลอดเสียง
อันเป็นพลังที่ไม่พึงสงสัย ทำให้ฉันตีความความรักให้สูงขึ้นไปอีก
ขอให้เราปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เพราะชีวิตเราได้มาไม่ง่าย มีโอกาสพบกันถือเป็นบุญวาสนา
ขอให้เราปรนนิบัติต่อพ่อแม่ด้วยความกตัญญูกตเวที เพราะหลังจากท่านสิ้นบุญแล้วจะเหลือแต่ความรำลึก
ขอให้เราปฏิบัติต่อคู่ชีวิตด้วยความจริงใจ เพราะหลังจากจากกันแล้วจะไม่มีโอกาสจูงมือกันเดินเที่ยว
ขอให้เราทะนุถนอมการเจริญเติบโตของบุตร เพราะเมื่อถึงเวลาอันควรจะไม่มีโอกาสได้โอบกอดลูก ๆ อีก
ขอให้เราทุ่มเทและให้อย่างเต็มที่ ขอบคุณและอุทิศโดยไม่เห็นแก่ตัว ต่อการพบปะในบุญวาสนาทุกโอกาส
from pantip.com
คำคมการลงทุน
“คนเราไม่มีใครล้มเหลว มีแต่ล้มเลิกต่างหาก”
“There are no failures, only people who have given up.”
Anonymous
from efinancethai.com
“There are no failures, only people who have given up.”
Anonymous
from efinancethai.com
คนฉลาดย่อมไม่กลืนกินอารมณ์ชั่ว
ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา ส่วนความดีที่เราทำก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา ให้คิดเหมือนมะม่วงที่เป็นหนอน คนฉลาดเขาก็เลือกกินแต่ตรงเนื้อที่ดีๆ คนที่จิตยังไม่สูงเต็มที่ เมื่อใครเขาด่าว่า อะไรก็มักเก็บไปคิด คนเราโดยมากสำคัญตนว่าเป็นคนฉลาด แต่ชอบกลืนกินอารมณ์ที่ชั่ว อารมณ์ชั่วเปรียบเหมือนกับเศษอาหารที่เขาคายออกแล้ว ถ้าเป็นคนอดอยากยากจนจริงๆ จำเป็นจะต้องขอเขากิน ก็ควรกลืนกินแต่อารมณ์ที่ดี เปรียบเหมือนอาหารที่ไม่เป็นเศษของใคร แต่ถึงกระนั้นก็ยังอยู่ในลักษณะที่ยากจน นี่เป็นลักษณะของคนโง่ ไม่ใช่คนฉลาด เพราะความดีอยู่กับตัวเองแท้ๆ แต่ไพล่ไปเก็บเอาความชั่วที่คนอื่นเขามา เช่นนี้ก็ย่อมเป็นการผิดทาง ที่ถูกนั้น...ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา ต้องคิดว่านั่นเป็นสมบัติของเขา ไม่ใช่ของเรา ส่วนความดีที่เราทำก็ย่อมอยู่ที่ตัวเรา ให้คิดเหมือนมะมวงที่เป็นหนอน คนฉลาดเขาก็เลือกกินแต่ตรงเนื้อที่ดีๆ ส่วนที่เน่าที่เสียก็ปล่อยให้บุ้งให้หนอนมันกินของมันไปเพราะเป็นวิสัยของมัน ส่วนเราก็อย่าไปอยู่จำพวกบุ้งหนอนด้วย
อย่างนี้เรียกว่า ผู้นั้นเป็น “มนุสโส” คือ มีใจสูงขึ้น เหมือนกับเราอยู่บนศาลาก็ย่อมพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน เช่น แมว สุนัข ที่จะมารบกวน มันจะกระโดดขึ้นมาตะครุบเราก็ไม่ได้ ถ้าเราอยู่บนพื้นดินเราก็จะต้องถูกแดดบ้าง ฝนบ้าง และอันตรายต่างๆ ก็มารบกวนได้คือ ยังปนเปกับคนพาลบ้าง บัณฑิตบ้าง ฉันใดก็ดี
การประพฤตปฏิบัติธรรมของนักปราชญ์ ท่านจงตองรู้จักเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดี ท่านไม่ยอมเก็บของเสียมาบริโภค เพราะของเสียนั้นเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ก็เกิดพิษเน่าบูดให้โทษแก่ร่างกาย ส่วนของดีเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ไม่มีโทษ มีแต่จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเดียว
จาก พระอาจารย์ลี ธมมธโร
from efinancethai.com
อย่างนี้เรียกว่า ผู้นั้นเป็น “มนุสโส” คือ มีใจสูงขึ้น เหมือนกับเราอยู่บนศาลาก็ย่อมพ้นจากสัตว์เดรัจฉาน เช่น แมว สุนัข ที่จะมารบกวน มันจะกระโดดขึ้นมาตะครุบเราก็ไม่ได้ ถ้าเราอยู่บนพื้นดินเราก็จะต้องถูกแดดบ้าง ฝนบ้าง และอันตรายต่างๆ ก็มารบกวนได้คือ ยังปนเปกับคนพาลบ้าง บัณฑิตบ้าง ฉันใดก็ดี
การประพฤตปฏิบัติธรรมของนักปราชญ์ ท่านจงตองรู้จักเลือกเฟ้นแต่สิ่งที่ดี ท่านไม่ยอมเก็บของเสียมาบริโภค เพราะของเสียนั้นเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ก็เกิดพิษเน่าบูดให้โทษแก่ร่างกาย ส่วนของดีเมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว ไม่มีโทษ มีแต่จะเกิดประโยชน์แก่ร่างกายอย่างเดียว
จาก พระอาจารย์ลี ธมมธโร
from efinancethai.com
03 สิงหาคม 2554
กระแสเงินสดอิสระ (free cash flow)
ทั้งในโลกธุรกิจ และการลงทุน สิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าลูกค้าคือ กระแสเงินสด ยิ่งสำหรับธุรกิจที่ดำเนินอยู่ได้ด้วยเงินเชื่อด้วยแล้ว ใครมีเงินสดดี คนนั้นก็เนื้อหอม หุ้นเองบริษัทไหนมี cash flow ดีก็แปลว่าบริษัทนั้น มีสุขภาพการเงินที่ดี (มีความสามารถในการจ่ายหนี้ได้ดี มีเงินเหลือมาปรับปรุงกิจการได้ และก็สามารถจ่ายปันผลได้ดีด้วย)
สภาพของกระแสเงินสด อาจบอกได้จาก กระแสเงินสดอิสระ
"กระแสเงินสดอิสระ" (free cash flow) คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เหลืออยู่ หลังจากหักรายจ่ายจากการลงทุน แล้ว
กิจการที่ดีนั้น ประวัติย้อยหลังของกระแสเงินสด ควรจะคงที่ หรือ โตขึ้น
การสะดุดของกระแสเงินสดอิสระ อาจบอกความไม่ปกติของภาวะการบริหารงานภายในของกิจการได้
free cash flow = cash flow from operation - capital expenditure
โดย
(1) กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (cash flow from operation) คือ เงินสดที่ได้จากกิจกรรมของธุรกิจ โดยทั่วไปแล้วคือ รายได้ที่เหลืออยู่หลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดออกแล้ว
(2) รายจ่ายลงทุน (capital expenditure หรือย่อๆว่า CAPEX) คือ เงินที่ธุรกิจใช้ในการซื้อหรือปรับปรุงทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ โรงงาน เครื่องมือ เครื่องจักร ซึ่งทรัพย์สินเหล่านี้ถูกซื้อ หรือปรับปรุง เพื่อรักษาหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานกิจการ
รายจ่ายนี้จะรวมทุกอย่าง ตั้งแต่ ซ่อมหลังคา จนถึงสร้างโรงงานใหม่
ซึ่งในทางบัญชีแล้ว รายจ่ายนี้อาจจะถูกกระจายออกไปเป็นรายจ่ายแต่ละปีตลอดอายุของทรัพย์สิน หรือ อาจถูกคำนวณทั้งหมดครั้งเดียวสำหรับปีที่ลงทุนไป
ซึ่งเรื่องของ รายจ่ายลงทุน ก็เป็นอีกเรื่องที่ธุรกิจอาจจัดการบัญชีเพื่อให้ได้ตัวเลขที่ต่ำ และทำให้กิจการดูดีขึ้นได้ ดังนั้นแม้กระแสเงินสดอิสระจะช่วยบอกสุขภาพทางการเงินของธุรกิจได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง
=== ตัวอย่าง ===
PTT
ปี 2010: ข้อมูลจาก http://ptt.listedcompany.com/misc/financials/fy10_en.pdf
หรือภาษาไทย: ข้อมูลนักลงทุน > งบการเงิน
(1) เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน (งบกระแสเงินสด หน้า 11)
หรือ Net cash provided by operating activities (Statements of Cash Flows, on pp. 11) = 152,783,304,419 B
(2) รายจ่ายฝ่ายทุน (งบการเงินรวม หน้า 136)
หรือ Total capital expenditure (Consolidated financial statements, on pp. 115) = 107,973.22 MB
ดังนั้น FCF = 152,783 MB - 107,973 MB = 44,810 MB
ปี 2009: http://ptt.listedcompany.com/misc/financials/fy09_th.pdf
(1) เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน = 95,649,479,739 B
(2) รายจ่ายฝ่ายทุน = 130,053.83 MB
ปี 2008: http://ptt.listedcompany.com/misc/financials/fy08_th.pdf
(1) เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน = 126,060,356,907 B
(2) รายจ่ายฝ่ายทุน = 109,605.69 MB
ปี 2007: http://ptt.listedcompany.com/misc/financials/fy07_th.pdf
(1) เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน = 110,143,159,005 B
(2) รายจ่ายฝ่ายทุน = 99,095.54 MB
ปี 2006: http://ptt.listedcompany.com/misc/financials/fy07_th.pdf
(1) เงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน = 104,470,804,405 B
(2) รายจ่ายฝ่ายทุน = 94,023.35 MB
ดังนั้น FCF ของ PTT จากปี 2006 ถึง 2011 เป็นดังนี้
ตัวแปร ปี | 2010 | 2009 | 2008 | 2007 | 2006 | |
Cash from operating | 152,783 | 95,649 | 126,060 | 110,143 | 104,471 | ล้านบาท |
Capex | 107,973 | 130,054 | 109,606 | 99,096 | 94,023 | ล้านบาท |
FCF | 44,810 | -34,405 | 16,454 | 11,047 | 10,448 | ล้านบาท |
จากข้างต้นจะเห็นว่าปี 2009 ที่ FCF ของ ปตท สะดุด ทีนี้ก็ต้องไปดูรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น
from http://is.gd/tcUvGm
รายจ่ายฝ่ายทุน (Capital Expenditure)
ปัญหาในการพิจารณาว่ารายจ่ายใดเป็นรายจ่ายในการดำเนินงานที่จะตัดจ่ายในปีที่เกิดรายจ่ายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีทีเกิดรายจ่ายนั้นเลย กับรายจ่ายใดเป็นรายจ่ายฝ่ายทุนที่ต้องตั้งเป็นทรัพย์สิน ยังคงเป็นหัวข้อให้ขบคิดเสมอ แม้รายการหลักๆ ที่ชัดเจนแล้วจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาดังกล่าวก็ตาม แต่รายการรายจ่ายบางรายการอาจเป็นปัญหา เช่น รายจ่ายค่าซ่อมแซม บำรุงรักษา รวมทั้งประเด็นดอกเบี้ยจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สิน จำนวนแค่ไหนที่ต้องนำมารวมเป็นต้นทุนทรัพย์สิน จำนวนแค่ไหนที่สามารถตัดเป็นรายจ่ายในรอบระยะเยเวลาบัญชีที่เกิดรายจ่ายได้ เป็นต้น จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา – วิสัชนา ดังนี้
ปุจฉา รายจ่ายฝ่ายทุนหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนแตกต่างจากรายจ่ายในการดำเนินงานอย่างไร
วิสัชนา ประเภทรายจ่ายทั้งสองดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทั้งในทางบัญชีและภาษีอากร ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับรายจ่ายทั้งสองประเภทได้ดังนี้
1. รายจ่ายฝ่ายทุนหรืออันมีลักษณะเป็นการลงทุน (Capital Expenditure) หมายถึง รายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการหรือเพื่อการหารายได้ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็น
(1) ทรัพย์สินถาวรที่มีรูปร่าง เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น
(2) ทรัพย์สินถาวรที่ไม่มีรูปร่าง เช่น ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิการเช่า ค่าสัมปทาน ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิทั้งปวง เป็นต้น
2. รายจ่ายในการดำเนินกิจการ หมายถึง รายจ่ายในการดำเนินธุรกิจอันก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อจ่ายรายจ่ายดังกล่าว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆ หากแต่ใช่สิ้นเปลืองหมดไป เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าเครื่องเขียนแบบพิมพ์ เป็นต้น หรือแม้ได้กรรมสิทธิ์มาเป็นทรัพย์สินก็จะมีอายุการใช้งานไม่เกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (12 เดือน) เช่น ไม้กวาด กระดาษชำระ น้ำยาทำความสะอาด เป็นต้น
ปุจฉา รายจ่ายฝ่ายทุนหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนมีคุณสมบัติอย่างไร
วิสัชนา คุณสมบัติของรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน มีดังนี้
1. เป็นรายจ่ายที่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใดๆ (Ownership Principle) ในทรัพย์สินแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ตาม รวมทั้งสิทธิอื่นๆ อาทิ สิทธิการเช่า สิทธิการใช้งานในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในทางกฎหมายภาษีอากรเรียกว่า “เป็นรายจ่ายที่ก่อให้เกิดทุนรอน” แก่กิจการ รวมทั้งรายจ่ายในการต่อเติม ค่าเปลี่ยนแปลงสภาพของทรัพย์สิน รายจ่ายในการขยายออก และรายจ่ายในการทำให้ทรัพย์สินดีขึ้นกว่าวันที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมา
2. เป็นทรัพย์สินหรือแม้เป็นรายจ่ายที่จะไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือสิทธิใดๆ แต่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ตามหลักประโยชน์ใช้สอย (Benefit Principle) ซึ่งตามหลักการบัญชีกำหนดให้นำมาบันทึกบัญชีเป็นทรัพย์สิน และตัดค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา อันตรงกันกับข้อกำหนดทางภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรที่ห้ามมิให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินงาน ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ยอมให้นำมาหักเป็นรายจ่ายในรูปของค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527
3. เป็นรายจ่ายที่มีนัยสำคัญ (Material Principle) กล่าวคือ เป็นรายจ่ายที่มีจำนวนเงินมากเพียงพอที่จะรับรู้เป็นทรัพย์สินของกิจการ เช่น จำนวนเงินที่จะรับรู้เป็นทรัพย์สินต้องมีจำนวนตั้งแต่เท่านั้นเท่านี้ อาทิ ไม่น้อยกว่า 2,000 บาท หรือ 10,000 บาท แล้วแต่กรณี ซึ่งเงื่อนไขหรือคุณสมบัติในประการนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับในทางภาษีอากร
from http://is.gd/RZpKPj
ปุจฉา รายจ่ายฝ่ายทุนหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนแตกต่างจากรายจ่ายในการดำเนินงานอย่างไร
วิสัชนา ประเภทรายจ่ายทั้งสองดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทั้งในทางบัญชีและภาษีอากร ซึ่งอาจกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับรายจ่ายทั้งสองประเภทได้ดังนี้
1. รายจ่ายฝ่ายทุนหรืออันมีลักษณะเป็นการลงทุน (Capital Expenditure) หมายถึง รายจ่ายเพื่อการได้มาซึ่งทรัพย์สินที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการหรือเพื่อการหารายได้ ซึ่งอาจแบ่งย่อยเป็น
(1) ทรัพย์สินถาวรที่มีรูปร่าง เช่น ที่ดิน อาคาร เครื่องจักร เครื่องใช้สำนักงาน เป็นต้น
(2) ทรัพย์สินถาวรที่ไม่มีรูปร่าง เช่น ค่าลิขสิทธิ์ สิทธิการเช่า ค่าสัมปทาน ต้นทุนเพื่อการได้มาซึ่งสิทธิทั้งปวง เป็นต้น
2. รายจ่ายในการดำเนินกิจการ หมายถึง รายจ่ายในการดำเนินธุรกิจอันก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อจ่ายรายจ่ายดังกล่าว บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆ หากแต่ใช่สิ้นเปลืองหมดไป เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าโทรศัพท์ ค่าเครื่องเขียนแบบพิมพ์ เป็นต้น หรือแม้ได้กรรมสิทธิ์มาเป็นทรัพย์สินก็จะมีอายุการใช้งานไม่เกินหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (12 เดือน) เช่น ไม้กวาด กระดาษชำระ น้ำยาทำความสะอาด เป็นต้น
ปุจฉา รายจ่ายฝ่ายทุนหรือรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนมีคุณสมบัติอย่างไร
วิสัชนา คุณสมบัติของรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุน มีดังนี้
1. เป็นรายจ่ายที่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใดๆ (Ownership Principle) ในทรัพย์สินแก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินที่มีรูปร่างหรือไม่มีรูปร่างก็ตาม รวมทั้งสิทธิอื่นๆ อาทิ สิทธิการเช่า สิทธิการใช้งานในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในทางกฎหมายภาษีอากรเรียกว่า “เป็นรายจ่ายที่ก่อให้เกิดทุนรอน” แก่กิจการ รวมทั้งรายจ่ายในการต่อเติม ค่าเปลี่ยนแปลงสภาพของทรัพย์สิน รายจ่ายในการขยายออก และรายจ่ายในการทำให้ทรัพย์สินดีขึ้นกว่าวันที่ได้รับทรัพย์สินนั้นมา
2. เป็นทรัพย์สินหรือแม้เป็นรายจ่ายที่จะไม่ก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือสิทธิใดๆ แต่มีอายุการใช้งานเกินกว่าหนึ่งรอบระยะเวลาบัญชี ตามหลักประโยชน์ใช้สอย (Benefit Principle) ซึ่งตามหลักการบัญชีกำหนดให้นำมาบันทึกบัญชีเป็นทรัพย์สิน และตัดค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา อันตรงกันกับข้อกำหนดทางภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรที่ห้ามมิให้นำมาถือเป็นรายจ่ายในการดำเนินงาน ตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่งประมวลรัษฎากร แต่ยอมให้นำมาหักเป็นรายจ่ายในรูปของค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดในมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527
3. เป็นรายจ่ายที่มีนัยสำคัญ (Material Principle) กล่าวคือ เป็นรายจ่ายที่มีจำนวนเงินมากเพียงพอที่จะรับรู้เป็นทรัพย์สินของกิจการ เช่น จำนวนเงินที่จะรับรู้เป็นทรัพย์สินต้องมีจำนวนตั้งแต่เท่านั้นเท่านี้ อาทิ ไม่น้อยกว่า 2,000 บาท หรือ 10,000 บาท แล้วแต่กรณี ซึ่งเงื่อนไขหรือคุณสมบัติในประการนี้ ไม่เป็นที่ยอมรับในทางภาษีอากร
from http://is.gd/RZpKPj
02 สิงหาคม 2554
คำคมการลงทุน
“โอกาสมีอยู่ทุกที่ ถ้าเรารู้จักแสวงหา”
Anonymous
from efinancethai.com
Anonymous
from efinancethai.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
CJ Group เป็นน้องใหม่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ค่อนข้างน่ากลัว โดยจุดเด่นหลักๆ ของ CJ Group คือ Location เยี่ยม คือไปเปิดทำเลติดหรือใกล้ๆ กับ 7-...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link ประกันออมทรัพย์ ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก 1. สามารถลดหย่อน...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
โครงการ ช้างทองเฮอริเทจพาร์ค จังหวัด เชียงใหม่ รีวิว: Link Facebook: Link Google Map: Link
-
ประกันชีวิตแบบบำนาญ ซัมซุงแฮปปี้บำนาญ55 A100/10 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) ซื้อ Online ได้ที่ URL: https://digital.samsunglife.co.th/digital-insu...
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
https://www.youtube.com/watch?v=728hIrzcXqw ที่มา https://www.facebook.com/ZipmexThailand https://www.youtube.com/@Zipmex/videos LINE กลุ...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) “To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” ในการประดิษฐ์คิดค้น คุณจะ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
*คนที่อายุครบ 55 ปี ต้องไปแจ้งรับสิทธิ์ที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน ภายใน 1 ปี ไม่งั้นถือว่าสละสิทธิ์ ที่มา SSO https://www.kwilife.com...