31 กรกฎาคม 2554

"18 โมเดลลงทุน" เลือกให้ถูกจริตและความเสี่ยง

 หากคุณอยากระจายการลงทุน แต่ไม่รู้จะกระจายยังไง ลองดู 18 โมเดลลงทุนที่ Fundamenatals นำเสนอ ลองดูซิว่าแบบไหนที่ถูกจริตและความเสี่ยง

จะมีวิธีการลงทุนอย่างง่ายๆ แบบไหนดีที่ทำให้กินได้นอนหลับ ทั้งที่ไม่ต้องเป็นนักลงทุนระดับเทพ ก็ลงทุนได้อย่างมั่นใจ

Fundamentals ฉบับนี้ ไม่ได้มาฟันธงว่าปีนี้ควรลงทุนในอะไรถึงจะเวิร์คที่สุด แต่เรากำลังจะมาพูดกันถึง วิธีการลงทุนบนความเป็นจริง ซึ่งเป็นแนวคิดการลงทุนที่เปิดสำหรับคนกลางๆ ทั่วไป (Average Investor) ที่ไม่จำเป็นต้องเป็นคนในวงการเงิน หรือไม่จำเป็นต้องเป็นคนวงใน หรือไม่จำเป็นต้องพึ่งปากกาเซียนที่ไหน

เป็นแนวคิดการลงทุนที่ใกล้เคียงชีวิตจริง บนพื้นฐานว่าเราไม่ได้ “เป็นคนโชคดีที่สุด” ที่เลือกการลงทุนได้สิ่งที่ดีที่สุดทุกครั้ง เพราะเราไม่ได้พยายามจะเป็นซูเปอร์แมน ที่รู้ล่วงหน้าเสมอว่าตลาดไหน ทรัพย์สินประเภทใด จะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในปีนี้ ปีหน้า และปีต่อๆ ไป หรือบอกได้ก่อนเสมอว่าตลาดใดจะขึ้น
เพาะสัจจะธรรมในโลกการลงทุนที่ทุกคนสัมผัสได้คือ ไม่มีอะไรแน่นอน หรือไม่มีการลงทุนใดที่เป็นแชมป์ได้ตลอด

ปี 2010 กลุ่มการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดจากการลงทุนกลุ่มที่เราเอามาเปรียบเทียบกัน คือ ตลาดหุ้นไทย 40.60% รองลงมาคือ ทองคำ 29.52% อสังหาริมทรัพย์และหุ้นต่างประเทศ เป็นอันดับถัดๆ มา แต่ถ้าดูปี 2009 หมวดที่ได้อันดับ 1-2-3 ก็จะต่างไปปี 2010 ปีก่อนหน้านั้น ก็ต่างกันออกไปอีก
สรุป ก็คือ การลงทุนแต่ละหมวด แต่ละประเภทผลัดกันดี ไม่ดี ขึ้นลง ในแต่ละช่วงเวลา แต่ถ้าถามทุกคน ก็คงอยากลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนอยู่บนๆ ทุกๆ ปี คงไม่มีใครอยากลงทุนในหมวดล่างๆ แต่เพราะไม่มีใครจะรู้ว่าในอนาคต หมวดไหนจะให้ผลตอบแทนมากที่สุด หมวดไหนน้อยที่สุด


"กระจายลงทุน" สูงสุดคืนสู่สามัญ

"บุญชัย เกียรติธนาวิทย์" กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาตบอกว่าหลักการลงทุนโดยผสมสินทรัพย์ทุกประเภท หรือง่ายๆ ก็คือ ลงทุนหลายๆ ประเภท มากบ้างน้อยบ้าง เราก็จะได้ พอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย และผลตอบแทนไม่ต่ำสุดแน่นอน วิธีการนี้ก็คือ “การกระจายการลงทุน” หรือ Asset Allocation

"สูงสุดคืนสู่สามัญ คือ ไม่ต้องเก็ง ว่าลงทุนในอะไรจะดีที่สุดปีนี้ แต่ ผสมหลายๆ ประเภท แต่อย่าเพิ่งเข้าใจว่า การกระจายการลงทุน คือ การแบ่งลงทุนในสินทรัพย์หลายๆ ประเภท เช่น ซื้อหุ้นไทยกลุ่มธนาคาร แล้วไปซื้อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มบริการ กลุ่มโรงแรม ก็ถือว่ากระจายการลงทุนแล้ว หรือซื้อหุ้นไทย แล้วไปซื้อหุ้นนอก ซื้อหุ้น ยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น หรือ BRIC อย่างที่กำลังฮิตกันในปัจจุบัน ถือว่ากระจายการลงทุนแล้ว คงจำกันได้ดี เมื่อปี 2008 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หุ้นไทยทั้งกระดาน จะพื้นฐานดีขนาดไหน กลุ่มไหน ก็ลงทุกตัว ถ้าเรากระจายกลุ่มการลงทุนดังข้างต้น เราก็คงไม่รอดพ้นความเสียหายใช่ไหม อย่างนี้หรือที่บอก กระจายการลงทุนแล้วดี หรือในปีนั้นอีกเช่นกัน หุ้นไทยก็ตก หุ้นนอกก็ตก สรุปเวลาหุ้นประเทศหนึ่งได้รับผลกระทบ ก็อาจพาลไปกระทบหุ้นของประเทศอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะในช่วงผิดปกติอย่างรุนแรง เช่น เกิดวิกฤติเศรษฐกิจที่กระทบหลายภูมิภาคในโลกเป็นลูกโซ่ "

ดังนั้น การกระจายการลงทุนที่ดี จึงไม่ควรไปลงทุนกระจุกอยู่ในสินทรัพย์ที่เมื่อดีก็ดีไปพร้อมๆ กัน หรือแย่ก็แย่ไปพร้อมๆ กัน เพราะต่อให้กระจายหลายๆ กลุ่ม หลายๆ ประเทศ เวลาแย่ ก็แย่เหมือนกันๆ
การกระจายการลงทุน ต้องกระจายไปหาสินทรัพย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กัน ตรงกันข้ามกันก็ยิ่งดี เวลาสินทรัพย์หนึ่งไม่ดี เช่น A อีกตัวหนึ่ง ดี เช่น B ถ้าเรามีสองสินทรัพย์นี้ ในพอร์ตการลงทุนของเรา ผลตอบแทนสุทธิจากการหักกลบทั้งสองสินทรัพย์ เราก็จะได้ผลตอบแทนที่ไม่แย่นัก

"การผสมการลงทุนต้องเลือกลงทุนคละกัน เพื่อให้เวลาสินทรัพย์หนึ่งไม่ดี แต่ยังมีสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งดี คอยดึงไว้ไม่ให้ทั้งพอร์ตของคุณเสียหายไปทั้งหมด"

เมื่อเร็วๆ บลจ.ธนชาต ได้เปิดตัว Asset Allocation Model ของ บลจ.ธนชาต อย่างเป็นทางการ เนื้อหาสาระและพอร์ตที่แนะนำ น่าจะเป็นการตอบโจทย์ของทุกท่านได้ว่า ผสมอะไร อย่างไร และผสมแล้วน่าจะดี
บลจ.ธนชาต ได้สรุปไว้ว่า หลักทั่วไป เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น การลงทุนอาจแบ่งเป็นหลายประเภทของสินทรัพย์ (asset classes) ถ้าแบ่งแบบกว้าง ก็มี 6 ประเภท เรียงจากทรัพย์สินความเสี่ยงน้อย ไปหากมาก ได้แก่

1.หมวดใกล้เคียงเงินสด หรือพวกที่ซื้อขายได้ทุกวัน ลงทุนในตราสารหนี้อายุสั้นๆ เช่น กองทุนตลาดเงิน

2.ตราสารหนี้ในประเทศ 3.ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4.หุ้นในประเทศ 5.หุ้นต่างประเทศ 6.การลงทุนทางเลือก เช่น ทองคำ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ
บลจ.ธนชาต ได้ทดสอบจากข้อมูลในช่วงเวลาประมาณ 3 ปี (ธ.ค. 2007 ถึง พ.ค. 2011) และสรุปเป็นข้อเสนอในการผสมการลงทุน 3 ซีรีส์ แต่ละซีรีส์มีการผสมการลงทุนที่ต่างกัน 6 แบบ ไล่ตั้งแต่มีระดับความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึงสูงที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระจายความเสี่ยงโดยรวม และมีหลักการที่ว่า การผสมการลงทุนในทุนในทรัพย์สินหลายๆ ประเภท ที่เคลื่อนไหวขึ้นลงไม่ไปทางเดียวกันพร้อมกันนัก หรือ ไม่ขึ้นแรงลงแรงพร้อมๆ กัน จะช่วยพยุงให้การลงทุนโดยรวมทั้งหมดแกว่งตัวน้อยลง หรือช่วยกระจายและลดความเสี่ยงของการลงทุนทั้งหมดนั่นเอง

สำรวจความเสี่ยงก่อนผสม

ทั้งนี้ แผนกลยุทธ์ลงทุน วิธีการผสมการลงทุน 3 ซีรีส์ ที่ว่านี้ คือ ซีรีส์ที่ 1 ลงทุนในประเทศไทยอย่างเดียว ซีรีส์ที่ 2 ลงทุนในประเทศไทย + ทองคำ ซีรีส์ที่ 3 ลงทุนในประเทศไทย + ลงทุนในต่างประเทศ + ทองคำ

เหตุผลที่ว่า ทำไมต้องแบ่งเป็น 3 ซีรีส์ ก็เนื่องจาก ผู้ลงทุนมีหลายลักษณะ บางท่านบางกลุ่ม ก็ชอบลงทุนเฉพาะในบ้านเราไม่อยากไปไหน ไม่ชอบลงทุนต่างบ้านต่างเมือง ไม่ชอบทองคำ ขณะที่บางท่าน มองทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ น่ามีไว้บ้างในพอร์ตการลงทุน บางท่านกลับมองต่างมุมว่า การลงทุนในประเทศ เสี่ยงกว่าต่างประเทศ ชอบที่จะกระจายการลงทุนไปประเทศอื่นๆ ด้วย เพื่อไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในเมืองไทยที่ตลาดยังเล็ก หลากหลายมุมมองของผู้ลงทุน เลยเป็นที่มาของการจัดพอร์ต 3 รูปแบบ ให้เลือกลงทุนได้ตามรสนิยม

อย่างไรก็ตาม พอร์ตที่ บลจ.ธนชาต นำเสนอได้แบ่งผู้ลงทุนออกเป็น 6 กลุ่ม โดยประเมินจากแบบประเมินที่ผู้ลงทุนต้องกรอกตามแบบประเมินความเสี่ยงที่ต้องตอบเวลาซื้อกองทุนรวมในปัจจุบัน ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด

ก่อนอื่นให้ข้อมูลก่อนว่า เมื่อผู้ลงทุนทำแบบสอบถามผู้ลงทุน ซึ่งหาทำได้ตามธนาคารที่จำหน่ายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม หรือ บลจ. ทุกแห่ง สรุปคะแนนออกมา ผู้ลงทุน จะมีคะแนน ตกอยู่ได้ ใน 5 ประเภท แต่ธนชาตเพิ่ม กลุ่มคะแนนต่ำพิเศษ มา คือ 10-12 ดังนี้

1.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนน 10-12 (ความเสี่ยงต่ำมาก)

2.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนน 13-14 (ความเสี่ยงต่ำ)

3.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนน 15-21 (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ)

4.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนน 22-29 (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)

5.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนน 30-36 (ความเสี่ยงสูง)

6.ผู้ลงทุนกลุ่มคะแนนตั้งแค่ 37 ขึ้นไป (ความเสี่ยงสูงมาก)

หากจะวิเคราะห์ผู้ลงทุนทั้ง 6 ประเภท ก็ต้องบอกว่ากลุ่มแรก ที่เรียกว่ากลุ่มเสี่ยงต่ำ หรือไม่กล้าเสี่ยงก็ว่าได้ กลุ่มนี้ ถ้าจะเรียกง่ายๆ คือ หนักไม่เอา เบาไม่สู้ ขอแค่นี้แหละ เซฟๆ กลุ่มนี้ก็จะไม่คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนมากนัก เอาแบบลงทุนแล้วไม่ผันผวนมาก ไม่อยากตื่นเต้น โดยทั่วไป เรามักจะเห็นผู้สูงอายุ มักจะอยู่ในกลุ่มนี้กัน

กลุ่มสุดท้าย เป็นกลุ่มที่กล้าลงทุน รับความผันผวนได้ ด้วยเชื่อว่า ในระยะยาวมันจะกลับมาสู่ที่เดิม และดีเหมือนเดิม กลุ่มนี้จึงไม่ค่อยหวั่นไหวกับความผันผวนช่วงสั้นๆ รับขาดทุนในช่วงสั้นๆ ได้ กลุ่มนี้เชื่อว่า หากจะหวังผลตอบแทนเยอะๆ ต้องกล้าลงทุน โดยทั่วไป เรามักจะเห็นผู้ลงทุนอายุน้อยๆ หรือผู้ที่อยู่ในวงการการเงิน วงการตลาดทุนส่วนใหญ่ มักจะอยู่ในกลุ่มนี้กัน

หัวใจสำคัญคือ บลจ.ธนชาต แนะนำให้ผสมการลงทุน โดยยึดหลัก 1.กระจายการลงทุนในทรัพย์สินที่มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงไม่ไปทางเดียวกันหรือพร้อมกันนัก หรือไม่ขึ้นแรง ลงแรงพร้อมกัน และ 2.เมื่อเวลาผ่านไป อย่าลืมการปรับน้ำหนักการลงทุน (Rebalance) กลับมาที่ระดับเดิม เพราะกลุ่มที่กำไรจะปูดเพิ่มสัดส่วนขึ้น กลุ่มที่ขาดทุนสัดส่วนจะลดลง การ Rebalance เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยสร้างวินัยในการซื้อถูก-ขายแพง

สำหรับพอร์ตที่ บลจ.ธนชาต นำเสนอ บลจ.ธนชาต แบ่งผู้ลงทุนออกเป็น 6 กลุ่ม โดยประเมินจากแบบประเมินที่ผู้ลงทุนต้องกรอกตามแบบประเมินความเสี่ยงที่ต้องตอบเวลาซื้อกองทุนรวมในปัจจุบัน ตามที่กฎของธุรกิจกองทุนรวมกำหนด ส่วนการจัดสรรการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์ต่างๆ ของผู้ลงทุนที่มีความเสี่ยง 6 ระดับ บลจ.ธนชาต เสนอการจัดสรรการลงทุนทั้งหมด 18 รูปแบบ โดยกำหนดกรอบความเสี่ยงเป็น 6 ระดับให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

ความเสี่ยงจากการลงทุน หมายถึงความไม่แน่นอนที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนตามที่คาดไว้ การวัดค่าความเสี่ยงในที่นี้จึงเป็นการวัด ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Standard Deviation (S.D.) ของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน อันเป็นค่าที่บ่งถึงระดับของโอกาสที่จะไม่ได้รับอัตราผลตอบแทนตามที่คาดไว้
S.D.จะบอกถึงความไม่แน่นอนของผลตอบแทน ยิ่ง S.D. สูง ก็คือ ความเสี่ยงจะสูงขึ้น

ลงทุนในไทยเท่านั้น

สำหรับผู้ลงทุนทั้ง 6 ระดับความเสี่ยง ตั้งแต่ยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำมาก จนถึงความเสี่ยงสูงมาก บลจ.ธนชาต เสนอการจัดสรรการลงทุนที่ลงทุนในประเทศเท่านั้น 6 รูปแบบ สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงของผู้ลงทุน

1.ความเสี่ยงต่ำมาก ลงทุนในประเทศเท่านั้น
“ความเสี่ยงต่ำมาก” นี้ การจัดสรรการลงทุน จะคุมในระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่า “ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือ Standard Deviation (S.D.)” อยู่ในช่วงประมาณ 1-2% การผสมการลงทุนจะประกอบไปด้วย การลงทุนในกองทุนตลาดเงิน ประมาณ 63% + กองทุนตราสารหนี้ไทย 33% + กองทุนหุ้นไทย 4%
จากการคำนวณย้อนหลังโดยใช้ ข้อมูล ณ วันที่ 28 ธันวาคม 2007 ถึง 5 มิถุนายน 2011 รูปแบบการจัดสรรการลงทุนแบบ นี้ ที่ผ่านมาจะได้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 2.69% ย้อนหลัง 3 ปี 2.63%

2.ความเสี่ยงต่ำ ลงทุนในประเทศเท่านั้น
“ความเสี่ยงต่ำ” นี้ การจัดสรรการลงทุน จะคุมในระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ในช่วงประมาณ 2-5% การผสมการลงทุนจะเริ่มไม่ลงทุนในกองทุนตลาดเงินแล้ว แต่จะเพิ่ม การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย เป็น 83% + กองทุนหุ้นไทย 17% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 7.21% ย้อนหลัง 3 ปี 5.13%

3.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ลงทุนในประเทศเท่านั้น
ระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ในช่วงประมาณ 5-8% ระดับความเสี่ยงนี้ เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้นขึ้น โดยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย 70% + กองทุนหุ้นไทย 30% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 12.39% ย้อนหลัง 3 ปี 6.82%

4.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในประเทศเท่านั้น
ระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ในช่วงประมาณ 8-12% เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้น ขึ้นเป็น 43% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 17.5% ย้อนหลัง 3 ปี 8.3%

5.ความเสี่ยงสูง ลงทุนในประเทศเท่านั้น
ระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่า ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ในช่วงประมาณ 12-16% เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้น ขึ้นเป็น 65% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 26.2% ย้อนหลัง 3 ปี 10.5%

6.ความเสี่ยงสูงมาก ลงทุนในประเทศเท่านั้น
ระดับความเสี่ยง ซึ่งเราวัดจากค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สูงกว่า 16% ขึ้นไป เพิ่มการลงทุนในกองทุนหุ้น ขึ้นเป็น 78% ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 31.5% ย้อนหลัง 3 ปี 11.5%

ลงทุนในประเทศและทองคำ

สำหรับผู้ลงทุนที่ชื่นชอบทองคำ และต้องการผสมการลงทุนในทองคำเข้ามาด้วย แต่การลงทุนส่วนอื่น ยังคงต้องการลงทุนในประเทศไทยเท่านั้น ถ้าเป็นแนวนี้ บลจ.ธนชาต ได้ทำออกมา 6 รูปแบบการจัดสรรการลงทุน ครบ 6 ระดับความเสี่ยง ดังนี้

1.ความเสี่ยงต่ำมาก ลงทุนในประเทศ+ทองคำ
นอกจากการลงทุนในประเทศแล้ว จะเริ่มผสมการลงทุนในทองคำเข้ามา โดยจัดสรรการลงทุนที่เสนอ คือ กองทุนตลาดเงิน 66% + กองทุนตราสารหนี้ไทย 28% + กองทุนหุ้นไทย 3% + กองทุนทองคำ 3% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3.01% ย้อนหลัง 3 ปี 2.95%

2.ความเสี่ยงต่ำ ลงทุนในประเทศ + ทองคำ
การจัดสรรการลงทุนที่เสนอ จะเริ่มไม่ลงทุนในกองทุนตลาดเงินซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก และผลตอบแทนก็ต่ำเช่นกัน โดยจะไปเพิ่มด้านตราสารหนี้ หุ้น และทองคำ แทน คือ กองทุนตราสารหนี้ไทย 79% + กองทุนหุ้นไทย 16% + กองทุนทองคำ 5% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 8.12% ย้อนหลัง 3 ปี 5.85%

3.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ลงทุนในประเทศ + ทองคำ
เริ่มลดการลงทุนในตราสารหนี้ไทย และไปเพิ่มการลงทุนในหุ้นและทองคำ จัดสรรเงินลงกองทุนตราสารหนี้ไทย 62% + กองทุนหุ้นไทย 28% + กองทุนทองคำ 10% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 14.13% ย้อนหลัง 3 ปี 8.21%

4.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในประเทศ + ทองคำ
เพิ่มการลงทุนในหุ้นไทยและทองมากกว่าเดิม ลงกองทุนตราสารหนี้ไทย 45% + กองทุนหุ้นไทย 40% + กองทุนทองคำ 15% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 20.1% ย้อนหลัง 3 ปี 10.4%

5.ความเสี่ยงสูง ลงทุนในประเทศ + ทองคำ
ปรับเพิ่มการลงทุนในหุ้นไทยและทอง ลดตราสารหนี้ไทยลง โดยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย 19% + กองทุนหุ้นไทย 61% + กองทุนทองคำ 20%คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 30% ย้อนหลัง 3 ปี 13.2%

6.ความเสี่ยงสูงมาก ลงทุนในประเทศ + ทองคำ
เน้นลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น โดยลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ไทย 6% + กองทุนหุ้นไทย 74% + กองทุนทองคำ 20% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 35.5% ย้อนหลัง 3 ปี 14.3%

ลงทุนในและต่างประเทศ-ทองคำ

สำหรับผู้ลงทุนบางกลุ่ม การลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่กลัว และอยากลงเพราะเห็นเป็นโอกาสที่แตกต่างจากบ้านเรา บลจ.ธนชาต จึงเสนอการผสมการลงทุนอีกซีรีส์หนึ่ง ผสมการลงทุนในประเทศ + ต่างประเทศ + ทองคำ โดยผสมออกมาเป็น 6 ระดับความเสี่ยงอีกเช่นกัน

1. ความเสี่ยงต่ำมาก ลงทุนในและต่างประเทศ+ทองคำ
ซีรีส์นี้จะเริ่มผสมการลงทุนในต่างประเทศเข้าไปด้วย โดยผสมกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเพิ่มเข้ามา การจัดสรรการลงทุนที่เสนอ คือ กองทุนตลาดเงิน 68% + กองทุนตราสารหนี้ไทย 22%
กองทุนหุ้นไทย 2% + กองทุนทองคำ 3% + กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 5% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3.06% ย้อนหลัง 3 ปี 3.10%

2.ความเสี่ยงต่ำ ลงทุนในและต่างประเทศ + ทองคำ
การจัดสรรการลงทุนที่เสนอ คือ กองทุนตลาดเงิน 21% + กองทุนตราสารหนี้ไทย 35%+ กองทุนหุ้นไทย 6% + กองทุนทองคำ 5% + กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 30% + กองทุนหุ้นต่างประเทศ 3% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 8.16% ย้อนหลัง 3 ปี 6.71%

3.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างต่ำ ลงทุนในและต่างประเทศ + ทองคำ
เริ่มไม่ลงทุนในกองทุนตลาดเงินที่ความเสี่ยงต่ำมากและผลตอบแทนก็ต่ำเช่นกัน โดยนำเงินไปลงทุนด้านอื่นแทน กองทุนตราสารหนี้ไทย 29% กองทุนหุ้นไทย 12% + กองทุนทองคำ 10% + กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 39% + กองทุนหุ้นต่างประเทศ 10% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 13.85% ย้อนหลัง 3 ปี 9.11%

4.ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง ลงทุนในและต่างประเทศ+ทองคำ
การจัดสรรที่เสนอ คือ กองทุนตราสารหนี้ไทย 6% กองทุนหุ้นไทย 15% + กองทุนทองคำ 15% + กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 45% + กองทุนหุ้นต่างประเทศ (ลงทุนทั่วโลก) 14% +กองทุนหุ้นต่างประเทศ (เน้นเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นหลักของเศรษฐกิจโลกและทรัพยากรธรรมชาติ ) 5% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 19% ย้อนหลัง 3 ปี 10.7%

5.ความเสี่ยงสูง ลงทุนในและต่างประเทศ+ทองคำ
ระดับความเสี่ยงสูงนี้ เริ่มไม่ลงทุนในตราสารหนี้ไทย และลดการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ แต่เพิ่มการลงทุนในหุ้นไทย หุ้นเทศ และทองคำแทน การจัดสรรที่เสนอ คือ กองทุนหุ้นไทย 35% + กองทุนทองคำ 20% + กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ 13% + กองทุนหุ้นต่างประเทศ (ลงทุนทั่วโลก) 20% +กองทุนหุ้นต่างประเทศ (เน้นเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นหลักของเศรษฐกิจโลกและทรัพยากรธรรมชาติ ) 7% +กองทุนหุ้นต่างประเทศ (เน้นกลุ่มสินค้า high end) 5% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 29.1% ย้อนหลัง 3 ปี 10.8%

6.ความเสี่ยงสูงมาก ลงทุนในและต่างประเทศ + ทองคำ
ไม่มีการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งไทยและเทศเลย เน้นหุ้นไทย หุ้นเทศ การจัดสรรที่เสนอ คือ กองทุนหุ้นไทย 45% + กองทุนทองคำ 11% + กองทุนหุ้นต่างประเทศ(ลงทุนทั่วโลก) 25% +กองทุนหุ้นต่างประเทศ (เน้นเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นหลักของเศรษฐกิจโลกและทรัพยากรธรรมชาติ ) 12% +กองทุนหุ้นต่างประเทศ ต่างประเทศ (เน้นกลุ่มสินค้า high end) 7% คำนวณผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 32.6% ย้อนหลัง 3 ปี 8.8%

"แผนกลยุทธ์ลงทุนข้อเสนอการผสมการลงทุน 3 ซีรีส์ 18 รูปแบบ ไม่ใช่สูตรบังคับว่าต้องทำจึงจะสำเร็จ แต่เป็นวิธีการลงทุนที่ บลจ.ธนชาต พยายามทำให้ง่ายขึ้น เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าเงินเล็ก เงินใหญ่ หลักหมื่น หรือหลักล้าน รวมถึงคนที่ทำการกระจายการลงทุนอยู่แล้ว อาจนำเอาข้อเสนอของ บลจ.ธนชาต ทั้ง 18 รูปแบบนี้ ลองเปรียบเทียบกับการลงทุนในปัจจุบัน ว่าต้องการจะปรับเปลี่ยนหรือคงไว้อย่างเดิม"
หากคุณคือนักลงทุนคนหนึ่งที่ตั้งใจว่าจะ"กระจายการลงทุน" แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองพิจารณาโมเดลเหล่านี้ดูไว้เป็นทางเลือก

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/personal/20110731/402372/18-โมเดลลงทุนเลือกให้ถูกจริตและความเสี่ยง.html


26 กรกฎาคม 2554

วิธีจัดการกับความเครียด

1.ค้นหาปัญหาที่ทำให้เกิดความเครียด


เป็นข้อที่สำคัญที่สุดหากไม่ทราบสาเหตุก็ไม่สามารถป้องกันได้ บางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเครียดจากอะไร ท่านผู้อ่านลองสำรวจตัวเองสิว่าชีวิตประจำวันของท่านมีอะไรบ้างที่ท่านเบื่อ เช่นการพูดคุยกับภรรยา การอาบน้ำลูก รถติด งานเร่ง งานน่าเบื่อ งานมาก บทบาทไม่ชัดเจนฯลฯ ท่านลองสำรวจอาการของท่านเมื่อพบสิ่งที่ไม่ชอบหรือน่าเบื่อ เช่นโกรธ เบื่อ ท้อแท้ ปวดศีรษะ เหล่านี้คือเหตุที่ให้เกิดความเครียด ปัจจัยใดที่ทำให้ท่าเครียดที่สุด ภาวะใดที่ท่านกลัวมาก ท่านอาจจะจดลงในสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด อาการที่แสดงออก หลังจากที่ทราบสาเหตุแล้วก็ลองแก้ไข หากบางสิ่งสามารถหลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงเช่นบางท่านไม่ชอบการเมืองก็ไม่ต้องดูข่าวหรือพูดคุยเกี่ยวกับการเมือง


2.การป้องกัน

หลังจากทราบสาเหตุแล้วการป้องกันความเครียดจะเป็นวิธีที่ไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งมีวิธีการต่างๆดังนี้ การเตรียมตัวเพื่อรับความเครียดสามารถทำได้ดังนี้

1.การวางแผน เมื่อเกิดปัญหาหรือความเครียดพยายามตั้งสติและใช้ปัญญาหาทางแก้ไข
เมื่อมีปัญหาพยายามหาทางเลือกหลายๆทาง และเลือกทางแก้ที่ดีที่สุด
ขณะทำงานก็วางแผนอนาคตไปด้วย ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้และท้าทายการตั้งเป้าหมายเกินความสามารถเล็กน้อยจะเป็นการท้าทาย หากทำสำเร็จก็จะเกิดความภูมิใจความมั่นใจในตัวเองก็จะตามมา
ตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลซึ่งจะทำให้เกิดแรงจูงใจที่จะกระทำ หากตั้งเป้าเกินความจริงจะทำให้เกิดความเครียด หากต้องการประสบความสำเร็จต้องพัฒนาความสามารถเพิ่มแต่ถ้าไม่พยายามก็ไม่ประสบผลสำเร็จความเครียดก็จะเกิดตามมาและในที่สุดก็เลิกไปเอง
จัดลำดับความสำคัญ และความเร่งด่วนของงาน งานที่สำคัญอาจจะไม่ใช่งานที่เร่งด่วนก็ได้ ให้ทำงานที่เร่งด่วนก่อน และก็ไปงานที่สำคัญ ขณะทำงานก็อย่ากังวลงานที่ยังไม่ได้ทำ ให้ทำงานที่ยากที่สุดก่อนงานอื่น
กระจายงานให้แก่คนที่เหมาะสมโดยแบ่งงานเป็นส่วนแล้วกระจายงานออกไป

2.การสื่อสาร การสื่อสารจะช่วยลดความขัดแย้ง
ใช้เหตุผลในการสื่อสาร การใช้เหตุผลจะทำให้เพื่อนร่วมงานได้เสนอปัญหาและแนวทางแก้ไข คนส่วนให้ต้องการแก้ปัญหาเพื่อสิ่งที่ดีขึ้น การใช้เหตุจะทำให้เพื่อนร่วมงานยอมรับและให้ความร่วมมือ ห้ามใช้ความก้าวร้าว
พูดความจริง การพูดความจริงจะมีความเครียดน้อยกว่าการโกหก
แก้ไขความขัดแย้ง เมื่อเกิดความขัดแย้งให้จับเข่าแก้ปัญหา และเมื่อได้ข้อสรุปจงลืมว่าปัญหาเกิดจากใคร และอย่าเครียดแค้น
ให้เป็นนักฟังที่ดี ไม่มีใครที่สามารถเรียนรู้ขณะที่ตัวเองกำลังพูด การเป็นผู้ฟังที่ดีจะได้แนวความคิดใหม่ การเป็นผู้ฟังที่ดีมิใช่คุณจะต้องเชื่อทุกอย่างเป็นเพียงคุณมีข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งช่วยในการตัดสินใจ

3.การเปลี่ยนมุมมองคนบางคนมองวิกฤติเป็นโอกาส น้ำครึ่งแก้วบางคนมองเหลืออีกครึ่งหนึ่ง

4.การผักผ่อน การนอนพักผ่อนอย่างพอเพียงวันละ 7-8 ชั่วโมงจะทำให้ลดความวิตกกังวลได้

5.เมื่อเกิดปัญหาให้ควบคุมอารมณ์ให้สงบ ให้หยุดงานที่ทำอยู่ หายใจเข้าลึกๆ หรือหลีกหนีไปเดิน 15 นาที

6.ให้นึกถึงผลเสียที่จะเกิด ผลเสียหายอย่างแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็นึกถึงโอกาสที่จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว


3.แก้ไข

แม้ว่าเราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงความเครียด แต่เราสามารถลดโรคที่เกิดจากความเครียดโดย

1.ปรึกษากับเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานจะช่วยท่านมองปัญหาในแง่มุมอื่นๆ ท่านจำเป็นต้องบอกเพื่อนร่วมงานว่าบางสิ่งไม่สามารถทำได้ ต้องรู้จักปฏิเสธ ท่านอาจจะต้องลดงานพิเศษบางอย่างขณะเกิดความเครียด ท่านต้องเคารพตัวเองไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่ทำงานเกินความสามารถตัวเอง ไม่ทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน การทำงานต้องมีขอบเขตหากมิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่ดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี ต้องสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เมื่อโกรธก็หาสิ่งที่ชอบทำเช่นการฟังเพลง การเดิน

2.อย่าซึมเศร้า เมื่อท่านมีโรคประจำตัวหรือประสบกับความผิดหวัง ท่านอาจจะหมดกำลังใจ ซึมเศร้า ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกแล้ว อาการซึมเศร้าจะทำให้ท่านประสบกับความทุกข์ยากและทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น ท่านอาจจะคิดว่า "ทำไมต้องเป็นเรา" "ทำไมเราถึงต้องทำสิ่งนั้น" "ทำไมเราทำสิ่งนั้นไม่ได้"คนปกติทุกคนจะคิดเหมือนกัน ท่านต้องทำใจและพยายามแก้ไข

3.ทำชีวิตให้สบายๆอย่าทำชีวิตให้วุ่นวาย ทำตัวสบายๆงานที่ไม่สำคัญก็ไม่ต้องทำเลือกงานที่จำเป็นไม่ว่าจะเป็นงานบ้านหรืองานประจำทำให้เสร็จแล้วจึงเลือกงานที่น่าเบื่อทำต่อ

4.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ให้พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองชอบและมีความสุข

5.บริหารเวลาให้เหมาะสม จัดลำดับความสำคัญของงานให้ทำงานที่หนักเมื่อรู้สึกสบายหรือทำในตอนเช้า จัดเวลาสำหรับพักด้วย

6.ให้ทำงานที่ละอย่างจนสำเร็จโดยการตั้งเป้าหมายในแต่ละวัน การตั้งเป้าหมายไม่จำเป็นต้องเป็นงานอาจจะเป็นงานอดิเรกก็ได้เมื่อได้กระทำสำเร็จจะเกิดความภูมิใจ

7.เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ปรึกษาแพทย์


4.ยอมรับความจริง

ยอมรับความจริงว่าท่านสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แต่ท่านไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนอื่น เพราะหากท่านคิดเปลี่ยนแปลงคนอื่นแล้วไม่สำเร็จท่านก็จะเกิดความเครียด
ยอมรับความจริงว่าคนทุกคนไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบต้องมีข้อบกพร่องยอมรับกับข้อบกพร่องความเครียดจะน้อยลง หลายคนคาดหวังว่าคนใช้จะสามารถทำงานได้ดีเท่ากับที่ตัวเองทำ เมื่อคนใช้ทำไม่ได้ก็เกิดความเครียด
สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองโดยเฉพาะเมื่อเวลาเกิดความเครียด ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียดแนะนำให้หัวเราะเมื่อมีความเครียด โดยจัดเวลาสำหรับงานบันเทิง คุยเรื่องตลกกับเพื่อนหรือดูตลก การหัวเราะจะช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี อย่าปล่อยให้ตัวท่านตึงเครียดมืดมน มองโลกในแง่ดี
ให้นึกว่าท่านสามารถเรียนรู้บางสิ่งจากเหตุการณ์ทุกอย่าง


5.หลีกเลี่ยง

หลีกเลี่ยงความเครียดเล็กน้อย เช่นรถติดก็ออกจากบ้านให้เช้าขึ้น หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น
หลีกเลี่ยงหรืออยู่ห่างๆบุคคลที่ทำให้ท่านเครียด เช่นแฟนที่ขี้บ่น เจ้านายที่จุกจิก
หลีกเลี่ยงการรับผิดชอบงานที่มากเกินไป
เมื่อมีความเครียดให้หยุดงานสักพักและหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทำให้คุณเครียด
หลีกเลี่ยงการถกเถียงประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หรือประเด็นที่หาข้อสรุปไม่ได้


6.การปรับเปลี่ยน

เป็นการปรับเปลี่ยนขบวนความคิดและการปฏิบัติตนเพื่ออนาคตที่ดีกว่า

ปรับเปลี่ยนวิธีคิด มองโลกในแง่ดีเสมอไม่พยายามมองโลกในแง่ร้าย ทุกปัญหามีทางออก เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส โลกมี่ทั้งกลางวันและกลางคืน หาหนทางที่จะพลิกสถานการณ์
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รู้จักปฏิเสธในส่วนไม่ใช่ความรับผิดชอบของตัวเอง ลดความรีบร้อน หัดทำงานให้เสร็จที่ละอย่าง หัดกระจายงานสู่ผู้อื่น หางานอดิเรกทำที่ทำให้หายเบื่อ
ปรับเปลี่ยนสภาพทำงาน ปรึกษากันเพื่อลดข้อขัดแย้งในการทำงาน กำหนดความรับผิดชอบของแต่ละคน กำหนดเจ้านายให้แน่นอน กำหนดกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อการทำงาน มีระบบให้คำปรึกษาเรื่องความเครียด
ปรับเปลี่ยนความรู้สึกของตัวเอง หัดสร้างอารมณ์ขันในภาวะที่เครียด ยอมรับคำตำนิ รู้จักผ่อนคลายเครียด

from http://www.siamhealth.net


25 กรกฎาคม 2554

คำคมการลงทุน

“หุ้นคือความเป็นเจ้าของกิจการไม่ใช่หวยไว้เสี่ยงโชค”

Anonymous

from efinancethai.com


รวยเงิน vs รวยธรรม

ความต่าง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นแก่ตัว
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นแก่ผู้อื่น
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนเห็นแก่ผู้อื่นยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งโลภมากอยากรวยขึ้น
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอยากแผ่เผื่อเจือจาน
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนโลภมากอยากรวยขึ้น
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนอยากแผ่เผื่อเจือจานยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งทำตามใจชอบ
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งทำตามถูกตามควร
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนทำตามใจชอบ
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนทำตามถูกตามควรยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหงุดหงิดง่าย
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งมีใจใสนิ่งสงบเย็น
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนมีใจใสนิ่งสงบเย็นยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งรักง่ายหน่ายเร็ว
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งพอใจในสิ่งที่ตนมี
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนพอใจในสิ่งที่ตนมียิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหยิ่งยะโส
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนหยิ่งยะโส
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งบ้าอำนาจ
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งกระจายอำนาจ
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนบ้าอำนาจ
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนกระจายอำนาจยิ่ง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นโลกบิดเบี้ยว
ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นโลกตรงจริง
ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม
จะไม่เป็นคนเห็นโลกบิดเบี้ยว
ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน
จะเป็นคนเห็นโลกตรงจริงยิ่ง


ความเหมือน

ยิ่งรวยจริง ยิ่งอิ่มใจ
ยิ่งรวยจริง ยิ่งรู้สึกมั่นคง
ยิ่งรวยจริง ยิ่งบารมีมาก
ยิ่งรวยจริง ยิ่งเสียงดัง
ยิ่งรวยจริง ยิ่งทรงกำลังกระทำกิจ
ยิ่งรวยจริง ยิ่งเนื้อหอมน่าพิสมัย
ยิ่งรวยจริง ยิ่งถูกจับตา
ยิ่งรวยจริง ยิ่งเข้าใจยาก
ยิ่งรวยจริง ยิ่งแตกต่างจากคนอื่น

แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็รักสุขเกลียดทุกข์
ไม่มีใครอยากทุกข์กายทุกข์ใจ
หากทุกข์ต้องรีบแก้ไขให้หายทุกข์
ระมัดระวังไม่ก่อเหตุให้เกิดทุกข์ซ้ำซาก

แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องหายใจ
ไม่มีใครรอดชีวิตเพียงด้วยความรวย
หายใจยาวได้เป็นก็สุขมาก
ถ้าหายใจสั้นไม่เอาไหนก็สุขน้อย

แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องตาย
หอบหิ้วไปได้แต่บุญบาป
ไม่มีใครรวยแล้วรวยเลย
จะเป็นสุขในปรโลกได้ก็เพียงด้วยบุญที่สั่งสมไว้

แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องเกิดตายไม่สิ้นสุด
จะหยุดได้ก็เพียงด้วยยอดแห่งบุญ
คือรู้วิธีเห็นโลกตามจริงจนถอนความติดใจ
หลุดพ้นขาดจากความอยากมีอยากเป็นสิ้นแล้ว

รวยเงินแค่ห่างหนี้
รวยธรรมแค่ห่างบาป
รวยความว่างจึงห่างทุกข์

from teenee.com


ONEตั้งกองอีทีเอฟลุยดัชนีSETHD คัดหุ้นปันผล30ตัวรับยิลด์ดีต่อเนื่อง

บลจ.วรรณ ส่งกองทุนอีทีเอฟ " ThaiDEX SET High Dividend ETF " ลงทุนดัชนีSET High Dividend 30 Index คัดเลือกหุ้นปันผล 30 ตัว ชูจุดเด่นหุ้นปันผลดีและต่อเนื่องสม่ำเสมอ เตรียมเปิดขายไอพีโอตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม-5 สิงหาคม 2554นี้

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนี SET High Dividend 30 Index หรือ SETHD เป็นดัชนีเพื่อใช้แสดงระดับความเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ โดยคัดเลือกจากหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง ซึ่งหลักเกณฑ์คัดเลือกหลักทรัพย์นั้นเราจะคัดเลือกหลักทรัพย์ที่อยู่ในดัชนี SET 100 โดยหลักทรัพย์นั้นต้องจ่ายเงินปันผลติดต่อกัน 3 ปี พร้อมกับเป็นหลักทรัพย์ที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อกำไรสุทธิไม่เกินร้อยละ 85% ติดต่อกัน 3 ปี และนำหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือกข้างต้นมาจัดลำดับตามอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล โดยอันดับ 1-30 จะใช้คำนวณดัชนี SETHD โดยอันดับที่ 31-35 เป็นหลักทรัพย์สำรอง ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยจากเงินปันผลของหลักทรัพย์นั้นมีค่าเฉลี่ย 5.31% สูงสุด 14.88% และต่ำสุดอยู่ที่ 2.73%

สำหรับกลุ่มอุตสหกรรมที่ดัชนี SET High Dividend 30 Index เลือกลงทุนได้แก่ กลุ่มทรัพยากร 27.93% กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 15.37% กลุ่มเทคโนโลยี 10.29% กลุ่มธุรกิจการเงิน 9.28% กลุ่มเกษตรและอุตสหกรรมอาหาร 8.81% และกลุ่มทรัพยากร 3.56% เป็นต้น

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวว่า บลจ.วรรณ จะทำการเปิดขายหน่วยลงทุนกองทุนเปิด ThaiDEX SET High Dividend ETF (1DIV) ในระหว่างวันที่ 29 กรกฎาคม-5 สิงหาคม 2554 ซึ่งกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่ลงทุนในตราสารแห่งทุนที่มีการกระจายการลงทุนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน จะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นส่วนประกอบดัชนีอ้างอิง SET High Dividend 30 Index และมีจำนวนเงินทุนของโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้บลจ.วรรณ ได้รับคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ฯให้เป็นผู้จัดตั้งและจัดการ TDEX ซึ่งเป็น Equity ETF เป็นแห่งแรกของประทศไทย ในปัจจุบันกองทุน TDEX นั้นนับว่าเป็นกองทุน Equity ETF ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับ ETF นั้นคือเรื่องของการซื้อขายที่สะดวกและง่าย โดยนักลงทุนสามารถซื้อขาย Real-time ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ทันที โดยลักษณะของ TDEX และ1DIV นั้นสามารถซื้อขายได้เหมือนกับหุ้นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์

สำหรับกองทุน ThaiDEX SET High Dividend ETF หลักจากจดทะเบียนเข้าตลาดหลีกทรัพย์ฯในหมวด (Unit trust) โดยใช้ชื่อย่อว่า 1DIV และมีกำหนดวันเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกในวันที่ 16 สิงหาคม 2554

ขณะที่นางสาวนฤมล อาจอำนวยวิภาส กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)ในฐานะผู้ร่วมจัดตั้งกองทุน ThaiDEX SET High Dividend ETF กล่าวว่า กองทุนดังกล่าวมีความน่าสนใจและมีความแตกต่างจากกองทุนอื่น เป็นทางเลือกในการลงทุนอีกทางหนึ่งให้กับนักลงทุน โดย 1DIV อ้างอิงกับดัชนีหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูง มีโอกาสเติบโตและมีสภาพคล่องไม่น้อยไปกว่าดัชนี SET สำหรับบล. KGI นั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสภาพคล่องให้กับ 1DIV เพื่อให้นักลงทุนที่ต้องการซื้อขาย 1DIV ได้ง่ายขึ้น โดยรักษาทั้งระดับราคาและจำนวนเสนอซื้อและขาย เช่นเดียวกับที่ได้ดูแลสภาพคล่องให้กับ TDEX มามากกว่า 4 ปี อีกด้วย

from http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9540000090462


18 กรกฎาคม 2554

เว็บไซต์ Bualuang i-banking ปลอม

มีเพื่อนจาก pantip ได้รับอีเมล์มา ซึ่งในเมล์นั้นบอกว่ามาจาก bangkok bank iBanking และแจ้งให้เราคลิกลิ้งจากในเมล์เพื่อทำการอัพเดทข้อมูล

หลังจากคลิกลิ้งแล้ว มันจะรีไดเร็คไปยังหน้าเว็บปลอมซึ่งมีหน้าตาคล้ายเว็บของ bualuang i-banking มาก แล้วให้เรากรอก username และ password เพื่อที่จะขโมย username และ password ของเรา

 
ข้อมูลจาก email ที่ส่งมาให้


เว็บปลอม(ซ้าย) และเว็บจริง(ขวา)

url เว็บปลอม http://www.proxyinter.com.br/bangkokbank.html 

url เว็บจริง  https://ibanking.bangkokbank.com/SignOn.aspx

from pantip.com


14 กรกฎาคม 2554

คิดรวย ตามวิถี 'เนเจอร์กิฟ'

จากกำลังการผลิตแค่วันละไม่กี่ซองมาเป็นชม.ละ 2แสนซอง แค่รายได้พอประทังชีวิต ขึ้นแท่นเถ้าแก่พันล้านในเวลาไม่กี่ปี นี่คือวิถีรวยของ"เนเจอร์กิฟ

คงจะจริงอย่างที่ “ดร.เสรี วงษ์มณฑา” ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสื่อสาร กล่าวไว้ในเวทีเสวนา “เคล็ด (ไม่) ...ลับ สู่ความสำเร็จ SMEs” ตอน ของดี ขายอย่างไรให้รวย โดย บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่า...

ธุรกิจใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับ 3 H คือ Health ให้ความมีสุขภาพดีแก่คน Hope ให้ความหวังแก่ผู้คน และ Happiness ให้ความสุขทั้งกายและใจ ธุรกิจนั้นก็จะได้รับการขานรับจากตลาด จัดเป็นธุรกิจที่น่าทำไม่ว่าจะยุคไหน พศ.ไหน

การเลือกธุรกิจที่ตอบทั้ง 3 H ตั้งแต่ต้น ทำให้ “เนเจอร์กิฟ” ได้รับการต้อนรับจากตลาด ทว่าแค่โปรดักส์ “เวิร์ค!” หาใช่คำตอบเดียวของความสำเร็จเพียงอย่างเดียว

การขึ้นเวทีร่วมแชร์ประสบการณ์ ของ “ดร. กฤษฎา จ่างใจมนต์” กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เนเจอร์กิฟ 711 พกเอาเรื่องเล่าของการทำธุรกิจที่มี “เลือดนักสู้” อยู่ในดีเอ็นเอ มาร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

“เนเจอร์กิฟ” คือผลิตผลหลังวิกฤติชีวิต ของ “ดร.กฤษฎา” อดีตเจ้าของเครื่องฟอกอากาศ “แอร์โรคลีน” ที่ธุรกิจเคยรุ่งโรจน์ในยุค 2530-2540 ชนิดมียอดขายเป็นที่หนึ่งในตลาด แต่พอเกิด “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ทุกอย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากธุรกิจที่เคยรุ่ง กลับร่วง ขนาดที่ต้องขายทิ้งกิจการ พร้อมหนี้ไว้ให้ดูต่างหน้าอีกกว่า 20 ล้านบาท !

ไม่มีธุรกิจ ไม่มีเงิน แต่ยังมีที่ดินอีกกว่า 500 ไร่ที่เขาเคยตั้งใจไว้ว่าจะพัฒนาให้เป็นแบบเหมือนสวนลุมฯ แต่พอเกิดวิกฤติ เมกะโปรเจคต้องล้มพับเป็นพร้อมกับเจ้าของที่ เถ้าแก่นักสู้ เลยผันตัวเองมาสู่วิถีเกษตรกร เสียเลย

“ตอนนั้นผมเองก็มีปัญหา ลูกยังเรียน ขณะที่เราไม่มีธุรกิจแล้ว เลยใช้ที่ดินกว่า 500 ไร่ มาทำเกษตรกรรม เริ่มจากลองปลูกแก้วมังกรขาย แต่รายได้ไม่พอจ่ายค่าดอกเบี้ย มาลองทำปุ๋ยชีวภาพ ร้านค้าก็ไม่รับอีกเพราะเราไม่มียี่ห้อ มาทำอาหารเสริมกุ้ง ก็จบเหมือนกัน เพราะไม่มีชื่อ ลูกค้าไม่ยอมรับ ปี2545 ช่วงนั้นสาหร่ายสไปรูลิน่าประสบความสำเร็จมาก เลยลองมาทำอาหารเสริม แต่พอเราไม่มีแบรนด์ คนก็ไม่กล้าซื้อกิน”

จบข่าว! กับคำสั้นๆ แค่ “ไม่มีแบรนด์” แต่นั่น ก็สอนอะไรเขาได้มาก อย่างน้อยหากจะเริ่มธุรกิจใหม่ก็คงต้องคิดถึงเรื่อง “แบรนด์” เอาไว้แต่ต้น

ในปี 2547 มีคนแนะนำให้เขาทำสินค้าที่เข้าใกล้ชิดผู้คนมากขึ้น เวลานั้นดร.กฤษฎาไม่ใช่อาเสี่ยแอร์โรคลีนอีกต่อไปแล้ว เงินทุกบาททุกสตางค์สำหรับเขาจึงมีค่า เมื่อต้องมาคิดถึงเรื่องการลงทุนอีกครั้ง เขาบอกว่าอย่างอื่นใช้เงินหลักแสนหลักล้านบาท

มีแต่ “กาแฟ” ที่ลงทุนได้ด้วยเงินเพียง 50,000 บาท

ในภาวะเบี้ยน้อย เขาจึงแปลงโรงรถที่บ้านมาเป็นโรงงานผลิตกาแฟ เริ่มจากทำแค่วันละพันซอง เอาพอปะทังชีวิตในครอบครัว ทำเองขายเอง เพราะหาคนซื้อยาก เพราะเนเจอร์กิฟเป็นกาแฟสุขภาพ กินแล้วไม่อ้วน ขายซองละ12.5 บาท ขณะที่กาแฟซองทั่วๆไปขายกันแค่ 2.5 บาท

ค่อยๆ หาช่องทางขายไปเรื่อยๆ เริ่มจากไปออกงานเกษตรแฟร์ ลงเงินไปกว่า 3 หมื่นบาท หวังว่าคนมางานมากแค่ชงกาแฟขายหน้างานก็น่าจะทำกำไรได้งามแล้ว แต่สุดท้ายฝันสลาย เพราะดันขายแพงกว่าคนอื่น ไม่มีคนซื้อ
บทสรุปหลังงานก็คือ “เจ๊ง!!”

แต่สิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลขขาดทุน กำไร ดร.กฤษฎา บอกว่า คือการมองเห็นโอกาสของตลาด เมื่อเราไปออกงานเป็นเป้าสายตา สื่อก็มาขอสัมภาษณ์เพราะกาแฟกินแล้วไม่อ้วน ถือเป็นของใหม่ในตลาด และนั่นก็ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แม้จะยังไม่สามารถแจ้งเกิด ถ้าไม่เจอช่องทางการจำหน่ายที่บรรเจิด เปลี่ยนอนาคตให้กับ “เนเจอร์กิฟ” กระทั่งกูรูการตลาดอย่าง “ฟิลิป คอตเลอร์” ก็ยังคาดไม่ถึง

นั่นคือ “ข้างเขียงหมู” คิดง่ายๆ คนมาซื้อหมู ก็ซื้อกาแฟลดหุ่นติดมือกลับไปด้วย เพราะอนุมานว่ากินของมันแล้วจะอ้วน

คนอื่นอาจฟังแล้วอมยิ้ม แต่นี่คือสูจิบัตรของแบรนด์เนเจอร์กิฟ เมื่อกระแสนิยมกลับมาพุ่งพรวด จากการบอกปากต่อปาก ขยับขยายการขายจากหน้าเขียงหมูไปสู่ช่องทางการตลาดใหม่ๆ จนปัจจุบันเรียกว่าเจอพวกเขาได้แทบทุกที่ ตั้งแต่หน้าร้าน เซเว่น อีเลฟเว่น โมเดิร์นเทรด ไปจนถึงตัวแทนจำหน่ายอีกนับหมื่นจุดทั่วประเทศ

พอเริ่มเป็นที่รู้จัก ก็ตามมาด้วยแนวคิดการโฆษณาแบบ “ลูกทุ่ง” เริ่มจากลงรูปก่อนและหลัง (Before and After) ทานเนเจอร์กิฟในสื่อสิ่งพิมพ์ เพราะงบน้อย แต่ผลที่ได้กลับสุดคุ้ม เมื่อยอดขายพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว ขายของแพงกว่าชาวบ้านจึงไม่ได้เป็นอุปสรรคในการขายอีกต่อไป เมื่อผู้คนเริ่มสัมผัสเข้าถึงความแตกต่างของสินค้า

“เราเชื่อว่าสินค้าเรามีคุณภาพ มีนวัตกรรมที่ไม่เหมือนคนอื่น อาจขายแพงกว่าชาวบ้านแต่สิ่งที่ทำให้มันแพงเพราะมีคุณค่าที่เพิ่มเข้าไป คือสารอาหารต่างๆ ที่ไม่สามารถไปหาในราคาแบบนั้นที่ไหนได้ เราไม่ได้ขายกาแฟ แต่ขายอาหารเสริมเพื่อควบคุมน้ำหนัก เพียงแต่มันมีรสชาติกาแฟเท่านั้น”

งบโฆษณก้อนแรกถูกใช้ไปเพียง 7 ล้านบาท แลกกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นมาถึง 500% จากสื่อสิ่งพิมพ์ก็เริ่มเข้าสู่จอตู้และยังคงจัดเต็มกับงบโฆษณาทุกปี ปีละสูงถึง 300 ล้านบาท ยอดขายพุ่ง จนต้องขยายโรงงานเพิ่ม จากโรงรถ นับถึงปัจจุบันพวกเขามีอยู่ 3 โรงงานแล้ว โรงงานล่าสุดลงทุนไปถึง 500 ล้านบาท

จากเงินลงทุน 5 หมื่นบาทในวันเริ่มต้น มูลค่าธุรกิจ “เนเจอร์กิฟ” วันนี้แตะพันล้านบาทแล้ว บทพิสูจน์คนสู้ชีวิตตัวจริงเสียงจริง

“มีคนถามผมว่าเห็น ทำมาตั้งหลายอย่างแต่ ไม่สำเร็จสักอย่าง ผมบอกว่าคุณรู้จัก มร.ฮอนด้า ไหม เขาบอกว่า สิ่งที่เราเห็นที่ว่าเขาประสบความสำเร็จนั้น มันเพียง 5% เท่านั้น แต่ที่เขาเคยล้มเหลวมีถึง 95% เพราฉะนั้นผมจะล้มมาหลายครั้งแต่ผมก็ลุกขึ้นสู้ตลอด เชื่อว่าครั้งนี้ผมมาถูกทางแล้วและจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

ปิดท้ายกับบทวิเคราะห์ของ “ดร. เสรี วงษ์มณฑา” บอกว่าเนเจอร์กิฟ แจ้งเกิดได้เพราะหาโอกาสในวิกฤติจนเจอ

ประสบความสำเร็จได้เพราะสร้าง “จุดต่าง” แถมยังเป็นความแตกต่างที่ “โดนใจ” ลูกค้า

สิ่งสำคัญคือ มีการสร้างแบรนด์ของตัวเองชัดเจน

“สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องตระหนักคือ คุณไม่สร้างแบรนด์ไม่ได้ และคำว่าสร้างแบรนด์ ไม่ใช่แค่การตั้งชื่อ แต่มีองค์ประกอบสำคัญคือ ต้องเล่าเรื่องและต้องให้ประสบการณ์ การสร้างแบรดน์ไม่ได้ยากเย็นเลย แค่มีดีต้องเล่า เพื่อให้คนเข้ามาหาประสบการณ์” เท่านี้แหล่ะ ถ้าเราเล่าเรื่องเป็น สร้างประสบการณ์ที่ดีได้ เราก็สร้างแบรนด์ได้”

ทว่าจะเล่าเรื่องแบรนด์ได้ก็ต้องมี “เสาค้ำแบรนด์” กูรูการตลาดท่านนี้บอกว่า คนต้องรู้จักสินค้า ต้องหาซื้อได้ง่าย และมีการปกป้องแบรนด์ตัวเองจากคู่แข่ง ตอกย้ำความเป็นเจ้าแรกในตลาด (First Mover) ของแท้และดั้งเดิม ทั้งหมดนี้คือที่มาของความสำเร็จของ เนเจอร์กิฟ

สู้แบบมวยวัดก็เดินสู่ความสำเร็จได้ ถ้ามีเลือดนักสู้อยู่เต็มสายเลือด
“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
Key to success
คิดรวย ตามวิถี เนเจอร์กิฟ
๐ หาโอกาสในวิกฤติให้เจอ
๐ สร้างจุดต่างที่โดนใจลูกค้า
๐ สร้างแบรนด์ชัดเจน และต่อเนื่อง
๐ รักษาแบรนด์ไว้ให้ได้
๐ มีเลือดนักสู้อยู่ในดีเอ็นเอ

**********

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20110713/398857/%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%9F.html


09 กรกฎาคม 2554

คำคมการลงทุน

"ความสำเร็จทางการลงทุน ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางตรงกับจำนวนชั่วโมงในการทำงานหรือความเฉลียวฉลาดเลย แต่ถ้าจะมี มันก็อาจจะเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะผกผันซะด้วยซ้ำ"

warren buffet

from efinancethai.com


04 กรกฎาคม 2554

ลิงกับลา

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่าง ๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อย ๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉย ๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่าง ก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย


เธอทั้งหลาย...

เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสพการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน

เหตุที่องค์กรของเราต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำ ที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์" ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมาแต่ไร้เลห์เหลี่ยม ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมากพรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้

ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งขึ้นอืดรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริงเพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าลิงสงบได้องค์กรก็จะพลอยสบายและมีความสุขอย่างยั่งยืนไปด้วย

from http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=gnpg2005&month=03-07-2011&group=3&gblog=1


01 กรกฎาคม 2554

คำคมการลงทุน

"The financial markets generally are unpredictable. So that one has to have different scenarios. The idea that you can actually predict what's going to happen contradicts my way of looking at the market."

"ตลาดการเงินโดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ ดังนั้นแต่ละคนจะมีหลากหลาย scenario ความคิดที่ว่า คุณสามารถพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ขัดแย้งกับมุมมองของผมที่มีต่อตลาด"

George Soros

from efinancethai.com


อย่าเอาเปรียบเทวดา (สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี)


ในการทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน

ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใดก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำ
บุญแบบนี้เรียกว่าทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล

ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบ ในการทำของมนุษย์แต่ละคน เขามีห้องเก็บบุญและบาปแห่งหนึ่ง อันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ

กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆ นั้นไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

from efinancethai.com


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)