“ซื่อสัตย์ “ ถูก หนุ่มน้อยนามว่า
“ฉลาด” ทิ้งลงทะเล
ซื่อสัตย์พยายามว่ายน้ำ
จนมาถึงเกาะแห่งหนึ่ง
เมื่อขึ้นฝั่งได้ ซื่อสัตย์ ก็นอนพักอยู่บนหาดทราย และพยายามคิดหาวิธีที่จะกลับฝั่ง และก็หวังจะมีเรือของใคร
ผ่านมาทางนี้บ้าง
ไม่นาน ซื่อสัตย์ก็ได้ยินเสียงเพลงแววมาแต่ไกล จึงรีบลุกขึ้นและมองไปยังต้นเสียง มีเรือลำหนึ่งกำลังมุ่งมายังเกาะนี้ บนเรือลำนั้นมีธงผืนเล็กโบกสะบัดอยู่ บนธงนั้นเขียนคำว่า “ความสุข” ที่แท้เป็นเรือของความสุขนั่นเอง
ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียก...
“ความสุข ความสุข ผมซื่อสัตย์ คุณช่วยพาผมขึ้นฝั่งได้ไหม?”
เมื่อความสุขได้ยิน จึงตอบไปว่า
ไม่ได้ ไม่ได้
หากผมพาคุณขึ้นมาด้วย
ผมจะหมดสุข
คุณดูสิ ผู้คนมากมายในสังคมยุคนี้
ี้ที่พูดความจริงแล้ว
กลับไม่มีความสุข
ขอโทษนะ ซื่อสัตย์
ผมรับคุณขึ้นมาไม่ได้
พูดเสร็จ ความสุขก็จากไป
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง “ตำแหน่ง” ก็ผ่านมา
ซื่อสัตย์ตะโกนเรียกเช่นเดิม
ตำแหน่ง ตำแหน่ง ผมซื่อสัตย์ ผมขออาศัยเรือของคุณ
ขึ้นฝั่งได้ไหม?
ตำแหน่ง พอได้ยิน
ก็รีบหันหัวเรือให้ห่างออกไป และก็หันมาพูดกับซื่อสัตย์ว่า
ไม่ได้ ไม่ได้ ซื่อสัตย์คุณจะขึ้นมาอยู่กับผมไม่ได้ คุณรู้ไหมตำแหน่งที่ผมได้มานั้น
มันยากเย็นสักเพียงใด หากผมพาคุณมาอยู่ด้วย
เดี๋ยวผมก็ซวยนะสิ เดี๋ยวผมก็จะสูญเสียตำแหน่ง ยังไงผมไม่ขออยู่ร่วมกับคุณ
ซื่อสัตย์น้ำตาคลอเบ้า
มองตำแหน่งที่รีบออกเรือจากไป
อย่างสิ้นหวัง
รู้สึกสับสนในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
แต่สิ่งที่ทำได้ ก็เพียงแค่รอ
รอ และก็รอ เท่านั้น
และอยู่ๆก็มีท่วงทำนอง
ที่ไม่ค่อยจะเข้ากันนักแว่วดังมา
เรือลำหนึ่ง บรรทุก“แข่งขัน”เป็นจำนวนมากผ่านมา ซื่อสัตย์จึงตะโกนเรียก
“แข่งขัน แข่งขัน
ผมขอขึ้นเรือของคุณได้ไหม?”
“คุณเป็นใคร คุณมีประโยชน์แค่ไหนกับพวกเรา?” แข่งขันตะโกนถามมา
ซื่อสัตย์ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเกรงว่าจะพลาดโอกาส
เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ซื่อสัตย์ก็คือซื่อสัตย์
“ผมคือซื่อสัตย์.....”
“ห๊า! คุณคือซื่อสัตย์
หากพวกเรามีคุณอยู่ด้วย เราจะแข่งขันเอาชนะอะไร
กับใครที่ไหนได้ ”
พูดเสร็จ ก็หันหัวเรือจากไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ซื่อสัตย์กำลังสิ้นหวัง อยู่ๆก็มีน้ำเสียงอันเมตตาดังขึ้นว่า
“ลูกจ๋า ขึ้นเรือเถิด!”
เมื่อซื่อสัตย์เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นผู้เฒ่าผมขาวโพลน
คนหนึ่งยืนอยู่บนเรือ
“ฉันคือผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา”
“ทำไมท่านต้องมาช่วยผมครับ?” ซื่อสัตย์ถามออกไปด้วยความสงสัย
“มีแต่กาลเวลาเท่านั้นที่รู้ว่า
ซื่อสัตย์มีค่ามากเพียงใด”
ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา
พูดออกไปด้วยรอยยิ้ม
บนทางกลับคืนฝั่ง
ผู้เฒ่าแห่งกาลเวลา
ได้พูดกับ ความสุข
ตำแหน่ง และ แข่งขัน ที่ต่างก็เรือล่มอยู่กลางทะเลว่า
“เจ้าทั้งหลายจงจำไว้ หากปราศจากซื่อสัตย์แล้ว ความสุขจะอยู่ได้ไม่นาน
ตำแหน่งที่ได้มาก็เป็น
ตำแหน่งจอมปลอม
การแข่งขันก็มีแต่
จะล้มเหลวไม่เป็นท่า"
ฉะนั้นขอให้ท่านรักษา
ความซื่อสัตย์ไว้ให้ดี แล้วความสำเร็จและความสุข
จะเกิดกับท่านตามกาลเวลา
อันเหมาะสม...
แปลจากบทความของนักศึกษาจีน
ที่มา : facebook.com/NusonBooks
(นุสนธิ์บุคส์)
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
29 กรกฎาคม 2559
25 กรกฎาคม 2559
วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส
เว็บไซต์สมาคมจิตวิทยาอเมริกา (APA) มีคำแนะนำเรื่อง "10 วิธีพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส (สู้ + ไม่ยอมแพ้)" หรือ "10 ways to build resilience (10 วิธีสร้างความสามารถในการพลิกฟื้นหลังวิกฤต)"
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์
ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง...สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)
อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ
(2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)
ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ
ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว
การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
(3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้...หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด
อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้
เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุดแล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว...ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ
(4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย
ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม
(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"
(6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอแต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวาน แต่กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ
(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก
พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ
นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
ไม่ว่าจะทำงานอะไร...ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
(8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล
มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม..ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา
การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร...ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ
ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ
(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้
ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต...สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"
ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ
(10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย
ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่าเส้นผม...สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ
เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
ถ้าเครียดจนเกินไป...การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ...บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ
ไม่ว่าวิกฤตจะหนักเพียงไร...วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้...ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ...ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)
หรือเราจะมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้..."หลังพายุ...จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)"
ทว่า...ตอนนี้เสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี
ถึงตรงนี้...ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
ที่มา forward mail
ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังในสไตล์ "ไทยหลายคำ-อังกฤษน้อยคำ" เพื่อให้พวกเรา (ทั้งท่านผู้อ่านและท่านผู้เขียน) ได้เรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกันครับ
(1). Make connections = สร้างความสัมพันธ์
ไม่ว่าชีวิตจะสูงขึ้นหรือต่ำลง...สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การมีญาติสนิทมิตรสหายที่ดี ยุคนี้ดีกว่ายุคไหนๆ ตรงที่ว่า คนเรามีมิตรภาพได้ทั้งออฟไลน์ (off-line = ชีวิตจริงนอกอินเตอร์เน็ต) และออนไลน์ (online = ชีวิตบนอินเตอร์เน็ต)
อาจารย์หมอบุญนำ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเขียนไว้ในจุลสารสภานักศึกษา มอ. ประมาณปี 2525 ว่า คนที่มีพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือญาติสนิทมิตรสหายดีเปรียบเสมือนคนที่ที่ "ที่พิงหลัง" พบวิกฤตอะไรก็พอกลับไปลี้ภัยได้ ระบายได้ เปรียบคล้ายกันชน (buffer) ทำให้ชีวิตมีทางออกในยามวิกฤต ทำให้ล้มได้ยาก
การมีญาติสนิทมิตรสหายดีๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักบ่มเพาะมิตรภาพให้งอกงามด้วย เช่น รู้จักแสดงความชื่นชมคนรอบข้างอย่างน้อยวันละครั้ง ไปเยี่ยมเยียนพร้อมของฝากหรือข่าวดีบ้าง ฯลฯ
(2). Avoid seeing crises as unsurmountable problems = หลีกเลี่ยงการมองวิกฤตว่า เป็นทางตัน (ไม่มีทางออก)
ควรฝึกมองโลกในหลายมุมมอง เมื่อมีข่าวดีเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวร้ายที่มักจะแฝงมาด้วย เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา...ให้ลองมองหาข่าวดีที่มักจะแฝงมาด้วยเสมอ
ปัญหา (ชีวิต) มีไว้ให้แก้ ไม่ใช่มีไว้ให้เรายอมจำนน กล่าวกันว่า ดาบดีเพราะผ่านร้อนผ่านหนาว
การทำดาบเมื่อก่อนจะเผาไฟ ตีๆๆๆๆ ชุบน้ำ ทำให้เหล็กมันร้อนๆ หนาวๆ อย่างนี้หลายๆ ครั้ง ดาบจึงจะแกร่ง ชีวิตที่ผ่านอุปสรรคมามาก (และยืนหยัด ไม่ยอมแพ้) มักจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
(3). Accept that change is a part of living = ยอมรับว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ชีวิตมักจะประกอบด้วยส่วนที่เราควบคุมได้ และส่วนที่เราควบคุมไม่ได้...หน้าที่ของเราคือ ทำส่วนที่เราควบคุมได้ให้ดีที่สุด
อย่าไปกังวล หมกมุ่นกับส่วนที่เราควบคุมไม่ได้มากเกินไป เพราะถึงกังวลก็ทำอะไรกับส่วนนี้ไม่ได้
เมื่อทำส่วนที่เราควบคุมดีที่สุดแล้ว ขอให้มั่นใจว่า เราทำเต็มที่แล้ว ได้เท่าไรก็เท่านั้น เพราะนั่นคือ อะไรที่ดีที่สุด เต็มแรง เต็มกำลังของเราแล้ว...ที่เหลือก็ต้องใช้ยา "ทำใจ" กันบ้างละ
(4). Move towards your goal = ก้าวไปสู่เป้าหมาย
ความสำเร็จใหญ่ๆ มักจะมาจากความพยายามเล็กๆ หลายๆ ครั้ง แน่นอนว่า มักจะต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน เดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง
คนที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวคือ คนที่ยืนหยัดได้บ่อย ได้นาน และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม
(5). Take decisive actions = ทำจริง ไม่โลเล
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะหาข้อมูลรอบด้านมาประกอบการตัดสินใจปัญหา ตัดสินด้วยความมั่นใจ (decisive) และลงมือทำ (actions) ไม่หลีกลี้หนีปัญหา ซื้อเวลา แต่จะตัดสินใจ และลงมือทำ และ "ทำจริง"
(6). Look for opportunities for self-recovery = มองหาโอกาสแห่งการพลิกฟื้นกลับคืนมา
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเป็นคนที่มีวินัยในการควบคุมตัวเองสูง เชื่อมั่นในการลงมือทำอะไรดีๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้าป่วยหนักก็เป็นคนไข้ที่ดี ทำตามที่พยาบาลหรือหมอแนะนำ ไม่กล่าวร้ายชะตากรรมว่า เป็นของคนอื่น ฯลฯ เช่น พยายามทำกายภาพบำบัดให้ความแข็งแรงกลับคืนมา จะได้หายไวๆ ฯลฯ
ผู้เขียนสังเกตว่า คนไข้มะเร็ง คนไข้เบาหวานที่อาการแย่ลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ ส่วนหนึ่งจะมองโลกในแง่ร้าย เช่น มักจะโทษว่า อาการที่เลวลงเป็นผลจากยา โทษพยาบาล โทษหมอแต่ไม่มองความประพฤติที่ไม่ดีของตัวเอง เช่น เป็นเบาหวาน แต่กินลำไยคราวละ 2-3 กิโลกรัม ฯลฯ
(7). Nurture a positive view of yourself = ทะนุถนอมมุมมองด้านบวก
พัฒนาตัวเองและใส่ใจสุขภาพ เพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพสูงพร้อมรับวิกฤตเสมอ เช่น ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ กินอาหารครบทุกหมู่พอประมาณ เรียนรู้เรื่องใหม่อยู่เสมอ ฯลฯ
นอกจากนั้นควรฝึกทำอะไรดีๆ เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะการฝึกทำ "อะไรๆ" ให้ดีขึ้นคราวละเล็กละน้อย เช่น ถ้าเป็นคนขับรถก็ต้องเรียนรู้วิธีดูแลรักษารถ วิธีซ่อมรถ วิธีขับรถ ฯลฯ ให้ดีขึ้นทุกๆ วัน เป็นการต่อยอดองค์ความรู้ทุกวัน
ไม่ว่าจะทำงานอะไร...ควรถามตัวเองเสมอว่า วันนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าเมื่อวานหรือเปล่า ปีนี้เราทำอะไรได้ดีกว่าปีก่อนๆ หรือเปล่า มีทางใดที่จะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีกหรือไม่ แล้วเราจะเก่งขึ้น มั่นใจในตัวเองขึ้น พร้อมที่ฝ่าฟันวิกฤตมากขึ้นเรื่อยๆ
(8). Keep things in perspective = ใช้มุมมองที่มีเหตุผล
มองโลกให้กว้างและไกลออกไป โดยใช้มุมมองที่มีเหตุผล โดยลองเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือว่า ถ้าวิกฤตครั้งนี้หนักที่สุดจะเป็นอย่างไร และตรงกันข้าม..ถ้าเบาที่สุดจะเป็นอย่างไร และหาทางผ่อนหนักให้กลายเป็นเบา
การฝึกทำงานอาสาสมัครส่วนใหญ่จะช่วยให้คนเรามองโลกกว้างขึ้น และพบเห็นคนอื่นที่ลำบากกว่าเราอีกเยอะแยะ
ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเคยไปในเขตพายุนาร์กิสจะพบว่า หมู่บ้านบางแห่งมีคนก่อนพายุ 300 คน หลังพายุเหลือ 30 คน แถมบ้านยังพังเกือบหมด บ่อน้ำก็เต็มไปด้วยน้ำเค็ม ฯลฯ ยิ่งเห็นโลกมากขึ้นเท่าไร...ภัยพิบัติของเราก็จะดูเล็กลงไปเรื่อยๆ
ตรงกันข้ามถ้าวันๆ เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของเราคล้ายๆ กับการ "พายเรือในอ่าง"... น้ำในอ่างจะยิ่งใหญ่ (ในความคิดของเรา) ราวกับพายุถล่มโลกทีเดียว
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า ในบรรดาการทำให้คน "เสียคน" ไม่มีอะไรจะเกินการตามใจเด็กอย่างไม่มีขอบเขต และเรียกเด็กที่ถูกตามใจคนเคยว่า เป็นพวก 'spoiled child' หรือเด็กที่ถูกทำลาย เนื่องจากเด็กที่ถูกตามใจมากๆ มักจะเสียคน เช่น โตขึ้นมาก็ติดยาเสพติด หรือกลายเป็นคนที่ "ไม่รู้จักพอ" ฯลฯ
(9). Maintain a hopeful outlook = รักษาความหวังไว้
ไม่ว่าจะสูญเสียอะไรในชีวิต...สิ่งที่ควรรักษาไว้เสมอคือ "ความหวัง (hope)" เพราะคนที่ยังมีความหวังได้ชื่อว่า เป็นคนที่ยังมี "อนาคต"
ประสบการณ์ของคนที่รอดจากภัยพิบัติหนักๆ มาได้ ไม่ตายทั้งๆ ที่น่าจะตายตอบตรงกันว่า อยู่ได้เพราะความหวัง เช่น อยากจะกลับไปอยู่กับลูก อยากจะทำอะไรดีๆ ให้มากกว่านี้ ฯลฯ
(10). Take care of yourself = ใส่ใจสุขภาพด้วย
ไม่ว่าวิกฤตจะใหญ่เท่าฟ้าหรือจะเล็กกว่าเส้นผม...สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ อย่าลืมเอาใจใส่ตัวเองทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เช่น กินอาหารสุขภาพพอประมาณ ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ นอนให้พอ ฯลฯ
เรื่องที่ไม่ควรทำคือ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการอดข้าว การกินมากเกิน หรือการดื่มเหล้า ฯลฯ
ถ้าเครียดจนเกินไป...การปรึกษาหมอใกล้บ้านอาจจะช่วยได้ แต่ขออย่าทำตัวเป็นคนขี้บ่นมากเกิน เช่น คนไข้บางคนบ่นตั้งแต่รั้ว (บ่นกับ รปภ.) บ่นกับห้องบัตร บ่นกับพยาบาล บ่นกับหมอ...บ่นๆๆๆ จนหมอปวดหัว เขียนใบสั่งยาผิดพลาด หรือบ่นจนญาติพี่น้องหนีหายไปหมด (พบบ่อยในคนสูงอายุ) ฯลฯ
ไม่ว่าวิกฤตจะหนักเพียงไร...วิกฤตนั้นก็มาคู่กับโอกาสเสมอ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า ข่าวดีมักจะมาคู่กับข่าวร้าย และข่าวร้ายมักจะมาคู่กับข่าวดี
เราจะมองโลกในแง่ดีแบบท่านเติ้ง เสี่ยว ผิงก็ได้...ท่านกล่าวว่า "หลังพายุ...ท้องฟ้าจะแจ่มใส" หรือหลังวิกฤตมักจะมีโอกาสตามมา (มองโลกในแง่ดี)
หรือเราจะมองโลกในแง่ร้ายแบบนี้ก็ได้..."หลังพายุ...จะมีพายุลูกอื่นๆ ตามมา (อีกหลายลูก)"
ทว่า...ตอนนี้เสนอให้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน เพราะมองโลกแบบนี้น่าจะดี
ถึงตรงนี้...ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
ที่มา forward mail
21 กรกฎาคม 2559
แจกฟรี e-book มีความสุขกับหุ้นปันผล by หมีส้ม ทุกเล่ม ครับ
เงิน 1,000,000 ใครๆก็มีได้
หลายๆคนอาจจะรู้สึกว่า
“เงิน 1 ล้านบาท”
ชีวิตนี้ ไม่รู้จะมีปัญญาได้ถือเงินสดรึป่าว !?
ทรัพย์สินบางอย่างที่มีมูลค่าเป็นล้าน
ก็มาจากการผ่อนเอาทั้งนั้น
คนที่ชอบผ่อนสินค้านู้นนี่นั่น
คงจะคิดว่าใช้เงินเดือนชนเดือนก็จะแย่ล้าว
มาให้เก็บเงิน ตั้งล้านนึง !!
มันเป็นปายม่ายด้ายยยยย
พี่ทุยขอเถียงแบบเสียงย้วยๆยานๆ ว่า ..
มันเป็นปายยด้ายยยย … ย ย ย ย ย
แบงค์สีเทา "แบงค์พัน" มูลค่า 1,000 บาท
เดือนนึงเก็บให้ได้แค่ใบเดียว
เดือนละ 1,000 บาท
ขอแค่เดือนละ 1,000 บาทเอง
เอาจริงๆไม่โกหกกัน พันเดียวเนี่ย
เที่ยว 1 วันก็หมดแล้ว
ร้านอาหารตามห้างเดี๋ยวนี้ใช้ถูกๆซะที่ไหน
อันนี้ยังไม่รวม ค่าเดินทาง กับ ช็อปปิ้งอีกนะ
ลดเที่ยวเดือนละครั้ง ก็พอล้าวววววว
รู้มั้ยว่าถ้าเก็บเงินเดือนละ 1,000 บาท
ครบ 1 ปี ก็จะกลายเป็น 12,000 บาท
ถ้าเวลาผ่านไปเรื่อยๆ
พี่ทุยขอให้เก็บเพิ่มขึ้นปีละ 5%
ตามเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นละกันนน
ปีที่ 2 ก็จะเป็น 12,600 บาท
ปีที่ 3 ก็จะเป็น 13,230 บาท
ทำไปเรื่อยๆๆ
แล้วนำเงินที่เราเก็บไปเนี่ย
ไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10%
อย่าตกใจ !
ผลตอบแทนปีเฉลี่ยละ 10% นี่สบายมากเลย
ขอบอก ขอบอก
รู้มั้ยว่า ..
ถ้าเราทำแบบนี้ไป 20 ปี
เราจะมีเงินเก็บทั้งสิ้น 1,075,424 บาท
อ่านว่า ล้านกว่าบาท !!
จากเงินทั้งหมด 396,702 บาท
1,000 บาทต่อเดือน มันไม่ได้เยอะเลยเห็นม้อยย
แต่ปัญหาคือ "20 ปี"
มันค่อนข้างนานอะเนาะ
เอาจริงๆ ถ้าเราลองเก็บไปเรื่อยๆแบบไม่คิดอะไร
เงินแค่พันเดียวที่หายไปในแต่ละเดือน
เราแทบไม่สะท้านอะไรเลย
ออมเล่นๆ ทำไปทำมา มีเงินเป็นล้าน
บร๊ะแล่วววว ง่ายเกิ๊นนนนน
เอาหน่ะ เดือนละ 1,000 บาท มาออมกันเถอะ !!
เงิน 1,000,000 บาทอยู่แค่เอื้อม
ที่มา http://www.moneychannel.co.th/columnist_blog_detail/132
14 กรกฎาคม 2559
'หุ้นปันผล' จ่ายยีลด์เกิน7%
เปิดการจัดอันดับหุ้นไทยที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุด ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์
การจัดอันดับหุ้นไทยที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุด ตามข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะนำมูลค่าเงินปันผลต่อหุ้นที่จ่ายจริงเมื่อปี 2558 มาคำนวณกับราคาหุ้นปัจจุบัน ณ วันที่ 11 ก.ค. 2559 พบว่าจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) และ โมเดิร์นฟอร์มกรุ๊ป (MODERN) ให้อัตราเงินปันผลสูงสุด 2 อันดับแรก ที่ 42.44% และ 12.90% แต่ทั้งนี้หากคำนวณเฉพาะเงินปันผลจากกำไรจากการดำเนินการปกติ อัตราเงินปันผลของจัสมินอยู่ที่ 7.54% ส่วนโมเดิร์นฟอร์มกรุ๊ปจะอยู่ที่ 6.45%
ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ปันผลจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ นำสินประกันภัย (NSI) จะมีอัตราเงินปันผลสูงสุดที่ 10.47% รองลงมาคือ แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) 9.47% และตามมาด้วย ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) 9.20%
สำหรับการจัดอันดับหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงจากกำไรปกติ 20 อันดับแรก พบว่า มีหุ้นในกลุ่มธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ถึง 5 บริษัท ที่ให้ผลตอบแทนเกิน 7.5% ได้แก่ เคจีไอ (KGI) 8.58% ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) 8.57% เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) 8.06% ซีมิโก้ (ZMICO) 7.76% และโนมูระ พัฒนสิน (CNS) 7.69%
ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อสารติดโผเข้ามา 3 บริษัท ได้แก่ โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) 8.88% อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) 8.05% และแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (ADVANC) 7.66% นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างสำหรับงานโมดูลขนาดใหญ่ อย่าง ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) และบีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) มีอัตราเงินปันผล 9.20% และ 7.94% ตามลำดับ
การคำนวณอัตราเงินปันผลตอบแทน ตามการจัดอันดับของตลาดหลักทรัพย์นั้นจะคำนวณจากเงินปันผลที่จ่ายเมื่อปีก่อน เทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นสำคัญคือแนวโน้มกำไรในปี 2559 นี้ ว่าจะสามารถสร้างการเติบโต หรืออย่างน้อยรักษาผลกำไรให้ไม่น้อยกว่าปีก่อนได้หรือไม่
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มีอัตราเงินปันผลสูง เป็นผลจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงมากเกือบ100% เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนมากจะมีสภาพเป็นกระแสเงินสด ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลดต่ำลงมาในช่วงหลายปี
แนวโน้มอัตราเงินปันผลปี 2559 คงต้องพิจารณาที่แนวโน้มกำไรเป็นหลัก เพราะราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปัจจุบันค่อนข้างนิ่ง อย่างไรก็ตาม กำไรอาจจะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะดัชนีหุ้นไทยยังไม่ได้อยู่ในทิศทางขาขึ้นในภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ดีลการระดมทุนต่างๆ ก็เหมือนจะลดลงบ้าง
ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลในปีนี้จะลดลงจากปีก่อน หลังจากที่เพิ่งผ่านการประมูลคลื่นความถี่ ส่งผลให้รายจ่ายเพิ่มสูงขึ้น และการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง จึงเชื่อว่ากำไรในปีนี้จะลดลง ขณะเดียวกันอัตราการจ่ายเงินปันผลก็มีแนวโน้มจะลดลงเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีแทคก็ได้ประกาศปรับลดอัตราการจ่ายเงินปันผลลงเหลือไม่ต่ำกว่า 50% จากเดิมที่ 80%
สำหรับแนวโน้มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในปีนี้ ฝ่ายวิจัย เลือกไว้ 8 บริษัท ได้แก่ ค้าเหล็กไทย (TMT) 9.2% เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) 7.6% อินทัช (INTUCH) 7.1% พฤกษา (PS) 6.8% บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) 6.3% แอดวานซ์ (6.1%) เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) 6.1% และน้ำมันพืชไทย (TVO) 6.1% นอกจากนี้ มองว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนเพื่อรับปันผล โดยคาดหวังอัตราเงินปันผล 6% ขึ้นไป
ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะหุ้นที่ปันผลจากกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ นำสินประกันภัย (NSI) จะมีอัตราเงินปันผลสูงสุดที่ 10.47% รองลงมาคือ แกรนด์ คาแนล แลนด์ (GLAND) 9.47% และตามมาด้วย ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) 9.20%
สำหรับการจัดอันดับหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูงจากกำไรปกติ 20 อันดับแรก พบว่า มีหุ้นในกลุ่มธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ถึง 5 บริษัท ที่ให้ผลตอบแทนเกิน 7.5% ได้แก่ เคจีไอ (KGI) 8.58% ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) 8.57% เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (MBKET) 8.06% ซีมิโก้ (ZMICO) 7.76% และโนมูระ พัฒนสิน (CNS) 7.69%
ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อสารติดโผเข้ามา 3 บริษัท ได้แก่ โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) 8.88% อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) 8.05% และแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส (ADVANC) 7.66% นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างสำหรับงานโมดูลขนาดใหญ่ อย่าง ศรีราชาคอนสตรัคชั่น (SRICHA) และบีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) มีอัตราเงินปันผล 9.20% และ 7.94% ตามลำดับ
การคำนวณอัตราเงินปันผลตอบแทน ตามการจัดอันดับของตลาดหลักทรัพย์นั้นจะคำนวณจากเงินปันผลที่จ่ายเมื่อปีก่อน เทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นสำคัญคือแนวโน้มกำไรในปี 2559 นี้ ว่าจะสามารถสร้างการเติบโต หรืออย่างน้อยรักษาผลกำไรให้ไม่น้อยกว่าปีก่อนได้หรือไม่
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส ให้ความเห็นว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์มีอัตราเงินปันผลสูง เป็นผลจากอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงมากเกือบ100% เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนมากจะมีสภาพเป็นกระแสเงินสด ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มนี้ลดต่ำลงมาในช่วงหลายปี
แนวโน้มอัตราเงินปันผลปี 2559 คงต้องพิจารณาที่แนวโน้มกำไรเป็นหลัก เพราะราคาหุ้นในกลุ่มนี้ปัจจุบันค่อนข้างนิ่ง อย่างไรก็ตาม กำไรอาจจะชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เพราะดัชนีหุ้นไทยยังไม่ได้อยู่ในทิศทางขาขึ้นในภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างสูง ขณะที่ดีลการระดมทุนต่างๆ ก็เหมือนจะลดลงบ้าง
ขณะที่หุ้นกลุ่มสื่อสารนั้น ส่วนตัวเชื่อว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลในปีนี้จะลดลงจากปีก่อน หลังจากที่เพิ่งผ่านการประมูลคลื่นความถี่ ส่งผลให้รายจ่ายเพิ่มสูงขึ้น และการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง จึงเชื่อว่ากำไรในปีนี้จะลดลง ขณะเดียวกันอัตราการจ่ายเงินปันผลก็มีแนวโน้มจะลดลงเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีแทคก็ได้ประกาศปรับลดอัตราการจ่ายเงินปันผลลงเหลือไม่ต่ำกว่า 50% จากเดิมที่ 80%
สำหรับแนวโน้มหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูงในปีนี้ ฝ่ายวิจัย เลือกไว้ 8 บริษัท ได้แก่ ค้าเหล็กไทย (TMT) 9.2% เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) 7.6% อินทัช (INTUCH) 7.1% พฤกษา (PS) 6.8% บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี (BJCHI) 6.3% แอดวานซ์ (6.1%) เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) 6.1% และน้ำมันพืชไทย (TVO) 6.1% นอกจากนี้ มองว่า กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนเพื่อรับปันผล โดยคาดหวังอัตราเงินปันผล 6% ขึ้นไป
โดยในปีที่ผ่านมาก็มีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ติดโผปันผลสูง ได้แก่ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ควอลิตี้ ฮอสพิทอลลิตี้ (QHOP) 8.8% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์นิชดาธานี 2 (MNIT2) 8.62%
ที่มา http://bit.ly/29uDusS
04 กรกฎาคม 2559
10 วิธีง่าย ๆ ทำให้ชีวิตมีความสุข / ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ
ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา วันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอเรื่อง 10 วิธีง่าย ๆ ที่ทำให้ชีวิตมีความสุข ดังนี้
1. ก้าวเท้าเดินยาว ๆ พร้อมแกว่งแขน นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การเดินหลังตรงและแกว่งแขนไปด้วย จะช่วยให้ความคิดและความรู้สึกเป็นไปในทางบวก ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีความรู้สึกมีความสุขก็ตาม แต่การเดินท่าทางกระฉับกระเฉงพร้อมแกว่งแขน จะทำให้สารเคมีในสมองสั่งให้เกิดสารแห่งความสุขที่จะทำให้เราเริ่มมีความสุขขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
2. ยิ้มกว้าง ถ้าเราอยากจะมีความสุข และอยากสดชื่นแจ่มใส ให้เรายกมุมปากของเราขึ้น เมื่อเรายิ้มมันดูเหมือนว่าเรามีความสุข และสมองจะเปลี่ยนสารเคมีในสมองทำให้เรารู้สึกมีความสุขขึ้นเช่นเดียวกับในข้อที่ 1
3. มีจิตอาสา หาโอกาสช่วยเหลือชุมชนและเพื่อนมนุษย์ ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อเราช่วยคนอื่น ผลตอบกลับมาคือเราจะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้น เพราะการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
4. หาเพื่อนใหม่ สิ่งนี้จะทำให้เรามีชีวิตชีวา เมื่อเราเปิดโอกาสสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เราพบเจอในที่ทำงาน ที่สถานออกกำลังกาย หรือที่สวนสาธารณะ เพราะจากการศึกษาพบว่าการมีความสัมพันธ์และการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขขึ้น
5. นับสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือที่เรียกว่านับพระพร เขียนและจดบันทึกทุกอย่างลงไปว่ามีสิ่งดีเกิดขึ้นในชีวิตเราว่ามีอะไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เรามองโลกในแง่ที่ดีและจะช่วยให้เรามีความสุข เป็นการสร้างทัศนคติในทางบวก
6. ทำให้เหงื่อออก เราจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น และจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีพลังขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยให้ความเครียดหมดไปอีกด้วย
7. ให้อภัยและไม่จดจำความผิด หากเรามีรากขมขื่น มีบาดแผลในใจ ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าฝังอยู่ภายในจิตใจ จะทำให้หน้าตาหมอง เพราะความทุกข์ การปลดปล่อยความคิดทางลบจะทำให้เรามีความสงบภายในใจและจะนั้นจะทำให้เรามีความสุขขึ้น
8. ฝึกทำจิตใจให้สงบ การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ ทำจิตใจให้สงบประมาณ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะเพิ่มความสุข ความสดชื่น และความสบายใจให้กับเรา เป็นการปลดปล่อยสมองของเราให้ผ่อนคลายและเป็นอิสระ
9. เปิดเพลงฟัง ดนตรีเป็นสิ่งที่มีอำนาจพิเศษที่ช่วยทำให้อารมณ์ของเรา แจ่มใส เลือกเพลงที่เราชอบ ฟังเพลงที่เรารู้สึกผ่อนคลายเราจะมีความรู้สึกที่ดีและมีความสุขขึ้น
10. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ใหญ่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักผ่อนนอนหลับประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง การพักผ่อนจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น ถ้าเรามีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินคือสารแห่งความสุขที่ทำให้สมองปลอดโปร่งและทำงานได้ดีขึ้น
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หวังว่า ผู้อ่านทุกท่านที่นำทั้ง10ข้อนี้ไปปฏิบัติจะมีความสุขมากขึ้น เพราะความสุขแท้จริงแล้วหาได้ไม่ยากเลย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
Webmd.com
1. ก้าวเท้าเดินยาว ๆ พร้อมแกว่งแขน นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การเดินหลังตรงและแกว่งแขนไปด้วย จะช่วยให้ความคิดและความรู้สึกเป็นไปในทางบวก ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีความรู้สึกมีความสุขก็ตาม แต่การเดินท่าทางกระฉับกระเฉงพร้อมแกว่งแขน จะทำให้สารเคมีในสมองสั่งให้เกิดสารแห่งความสุขที่จะทำให้เราเริ่มมีความสุขขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
2. ยิ้มกว้าง ถ้าเราอยากจะมีความสุข และอยากสดชื่นแจ่มใส ให้เรายกมุมปากของเราขึ้น เมื่อเรายิ้มมันดูเหมือนว่าเรามีความสุข และสมองจะเปลี่ยนสารเคมีในสมองทำให้เรารู้สึกมีความสุขขึ้นเช่นเดียวกับในข้อที่ 1
3. มีจิตอาสา หาโอกาสช่วยเหลือชุมชนและเพื่อนมนุษย์ ที่ต้องการความช่วยเหลือ และเมื่อเราช่วยคนอื่น ผลตอบกลับมาคือเราจะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น มีความสุขขึ้น เพราะการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ
4. หาเพื่อนใหม่ สิ่งนี้จะทำให้เรามีชีวิตชีวา เมื่อเราเปิดโอกาสสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคนที่เราพบเจอในที่ทำงาน ที่สถานออกกำลังกาย หรือที่สวนสาธารณะ เพราะจากการศึกษาพบว่าการมีความสัมพันธ์และการเชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้น จะทำให้เราเป็นคนที่มีความสุขขึ้น
5. นับสิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิต หรือที่เรียกว่านับพระพร เขียนและจดบันทึกทุกอย่างลงไปว่ามีสิ่งดีเกิดขึ้นในชีวิตเราว่ามีอะไรบ้าง เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้เรามองโลกในแง่ที่ดีและจะช่วยให้เรามีความสุข เป็นการสร้างทัศนคติในทางบวก
6. ทำให้เหงื่อออก เราจะใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการออกกำลังกาย การออกกำลังกายจะทำให้มีอารมณ์ดีขึ้น และจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีพลังขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอจะช่วยให้ความเครียดหมดไปอีกด้วย
7. ให้อภัยและไม่จดจำความผิด หากเรามีรากขมขื่น มีบาดแผลในใจ ไม่สามารถให้อภัยคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าฝังอยู่ภายในจิตใจ จะทำให้หน้าตาหมอง เพราะความทุกข์ การปลดปล่อยความคิดทางลบจะทำให้เรามีความสงบภายในใจและจะนั้นจะทำให้เรามีความสุขขึ้น
8. ฝึกทำจิตใจให้สงบ การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจ ทำจิตใจให้สงบประมาณ 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะเพิ่มความสุข ความสดชื่น และความสบายใจให้กับเรา เป็นการปลดปล่อยสมองของเราให้ผ่อนคลายและเป็นอิสระ
9. เปิดเพลงฟัง ดนตรีเป็นสิ่งที่มีอำนาจพิเศษที่ช่วยทำให้อารมณ์ของเรา แจ่มใส เลือกเพลงที่เราชอบ ฟังเพลงที่เรารู้สึกผ่อนคลายเราจะมีความรู้สึกที่ดีและมีความสุขขึ้น
10. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผู้ใหญ่จำเป็นจะต้องใช้เวลาพักผ่อนนอนหลับประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง การพักผ่อนจะช่วยให้เรามีอารมณ์ดีและมีความสุขมากขึ้น ถ้าเรามีการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินคือสารแห่งความสุขที่ทำให้สมองปลอดโปร่งและทำงานได้ดีขึ้น
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว หวังว่า ผู้อ่านทุกท่านที่นำทั้ง10ข้อนี้ไปปฏิบัติจะมีความสุขมากขึ้น เพราะความสุขแท้จริงแล้วหาได้ไม่ยากเลย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง
Webmd.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All&qu...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link ประกันออมทรัพย์ ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก 1. สามารถลดหย่อน...
-
โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) “To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” ในการประดิษฐ์คิดค้น คุณจะ...
-
กองทุนรวมดัชนี S&P500 นั้นเป็นกองทุนรวมที่อิงกับดัชนี S&P 500 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหุ้นของบริษัทที่มี Market Cap ใหญ่สุด 5...
-
ดูรายละเอียดรถทัวร์และราคาได้ที่ https://eaglethetour.com/
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
รวมโปรโมชั่นซื้อกองทุนรวม SSF RMF 2566 ของแต่ละ บลจ (ข้อมูลล่าสุด กันยายน 2566) บลจ. บัวหลวง ลงทุนกองมทุน RMF / SSF ปี 66 รับฟรี Starbuc...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
https://www.youtube.com/watch?v=728hIrzcXqw ที่มา https://www.facebook.com/ZipmexThailand https://www.youtube.com/@Zipmex/videos LINE กลุ...
-
โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) “To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” ในการประดิษฐ์คิดค้น คุณจะ...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
ปีชวด (ปีหนู): http://goo.gl/fA8bYu ปีฉลู (ปีวัว): http://goo.gl/C6RCgS ปีขาล (ปีเสือ): http://goo.gl/7Yy91f ปีเถาะ (ปีกระต่าย): http://g...
-
*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link ประกันออมทรัพย์ ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก 1. สามารถลดหย่อน...