การทำ online marketing ทุกวันนี้ นักการตลาดอาจมองว่า ต้องลงโฆษณาในเว็บดัง ๆ ที่มีคนเข้าชมมากที่สุดในอันดับ Top 10 ถึงจะคุ้มค่าและได้ผล แต่เว็บใหญ่ ๆ ดัง ๆ ก็มีอัตราค่าโฆษณาที่แพงหูฉี่จนอดที่จะนึกเสียดายสตางค์ไม่ได้ ทำให้ต้องมาลองพิจารณาดูใหม่ว่า ยังมีแนวทางอื่นอีกหรือไม่ที่จะทำการตลาดแบบออนไลน์ให้ได้ผลโดยไม่ต้องเสียสตางค์มากมายขนาดนั้น
คุณอาจลองพิจารณาเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Top 10 แต่ยังอยู่ในระดับ Top 50 หรือ Top 100 คือมีจำนวนผู้เข้าชมคิดเป็น UIP อันดับรอง ๆ ลงมา ซึ่งก็ยังมีคนเข้าไปใช้บริการเป็นหลักหมื่นหรือหลักแสนคน แต่คิดอัตราค่าโฆษณาในราคาถูกกว่ามาก โดยเว็บไซต์ในอันดับ Top 10 อาจจะคิดฆ่าโฆษณาเป็นแสนบาทต่อเดือน ในทางกลับกันเว็บไซต์ที่มีคนเข้าเยอะแต่คิดค่าโฆษณาเพียงแค่หลักพันถึงหมื่นก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์จะน้อยกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วคนอาจเข้าชมน้อยกว่าเว็บใหญ่เพียง 3-4 เท่า แต่ได้ค่าโฆษณาที่ถูกกว่าเป็น 10 เท่าทีเดียว
อีกช่องทางหนึ่งคือ เลือกลงโฆษณากับเว็บไซต์เฉพาะกลุ่ม เว็บไซต์ประเภทนี้ถึงแม้ว่าจะมีคนเข้าชมไม่มากเท่ากับพวกเว็บท่าต่าง ๆ แต่คนที่เข้าเว็บพวกนี้มักเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องนั้นจริง ๆ หากบริษัทของคุณทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเว็บไซต์ดังกล่าว คุณจะมั่นใจได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างแน่นอน เช่น เว็บไซต์เกี่ยวกับรถยนต์ เว็บไซต์เกี่ยวกับกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่ง เป็นต้น ด้วยอัตราค่าโฆษณาที่ไม่แพง แถมยังได้ลูกค้าเป้าหมายตรงกลุ่ม อย่างนี้ไม่คุ้ม อย่างไรไหว
แต่ก่อนจะมาเลือกช่องทางประชาสัมพันธ์ ต้องทำโฆษณาของคุณให้น่าสนใจเสียก่อน ไม่ใช่ว่าซื้อพื้นที่มาได้แล้ว ทำเลเยี่ยมยอด แต่โฆษณาไม่โดนใจ สื่อสารไม่รู้เรื่อง ก็เสียเวลาลงทุนลงแรงเปล่า ๆ ทั้งนี้โอกาสในการที่โฆษณาจะได้รับการตอบสนองที่ดีจะต้องประกอบด้วยหลัก AIDA
หลัก AIDA นี้คืออะไร
A มาจาก Attention หมายถึง การ “เรียกร้อง” ความสนใจ
I มาจาก Interest หมายถึง “ทำให้” สนใจ หรือกระตุ้นความต้องการ
D มาจาก Desire หมายถึง สร้างความต้องการให้เกิดความ “อยาก” ได้มาครอบครอง
A มาจาก Action หมายถึง เร่งเร้าให้ “ซื้อ”
เมื่อ product ดี สถานที่น่าสนใจ และอัตราค่าโฆษณาไม่แพงเกินไป ทุกอย่างก็จะเอื้อต่อกัน ทำให้การทำ online marketing ได้ผลคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างชาญฉลาดของคุณ
from http://is.gd/uee8ey
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
28 มกราคม 2555
24 มกราคม 2555
คุณ "กำ" อ่ะไรอยู่???
ครอบครัวที่น่ารักอยู่ครอบครัวหนึ่ง ในครอบครัวนี้มี พ่อ แม่ และบุตรชายวัย 5 ขวบกำลังน่ารักเลยทีเดียวเจ้าหนูเป็นเด็กที่ซนอย่างร้ายกาจและขี้สงสัยอย่างมาก
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก้อนึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูกไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งนั่นก้อหมายความว่ามันราคาแพงมากกก นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน
ทันใดนั้นเจ้าหนูก้อทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่างแต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่า เจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร้เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำมะเร็จ จนต้องใช้ไม้ตายคือ
"ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน"
เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู
เมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ
น้ำมันก้อแล้ว น้ำสบู่ก้อแล้วทำอีท่าไหนก้อไม่ออก
จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้
เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่
ก้อพบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น
ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า "หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?"
เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง "ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ
"แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก?" ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย
"มันเป็นสตางค์ครับ"
เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม
จึงปรากฏว่า ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ
เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่ เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง
"กำ"อะไรไว้ในชีวิตบ้าง
เงิน?
บ้าน?
งาน?
รถ?
ทิฐิ? ...
แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง
เวลา....
ครอบครัว....
พ่อแม่.....
คนที่รักเรา.....
สวรรค์
แล้วคุณล่ะ "กำ"อะไรอยู่???
from http://is.gd/7SDD10
อยู่มาวันหนึ่งเจ้าหนูก้อนึกครึ้มอกครึ้มใจอย่างไรบอกไม่ถูกไปคว้าเอาแจกันหยกแกะสลักต้นราชวงศ์หมิง ซึ่งนั่นก้อหมายความว่ามันราคาแพงมากกก นำมาเล่นพลิกคว่ำพลิกหงาย สักพักก้อล้วงมือเข้าไปในแจกัน
ทันใดนั้นเจ้าหนูก้อทำตาโตเท่าไข่ห่านดูเหมือนจะดีใจที่ล้วงเข้าไปเจออะไรสักอย่างแต่ปัญหาหาอยู่ที่ว่า เจ้าหนูจะดึงมือออกมาได้อย่างไร้เจ้าหนูเริ่มกระสับกระส่ายพยายามดึงมือออกมาแต่ก้อไม่สำมะเร็จ จนต้องใช้ไม้ตายคือ
"ทำไม่ได้ร้องไห้ไว้ก่อน"
เสียงเอ็ดอึงเป็นผลให้พ่อและแม่ต้องวิ่งมาดู
เมื่อมาพบเข้าต่างก้อพยายามช่วยกันดึงมือของเจ้าหนูออกจากแจกันด้วยวิธีต่างๆ
น้ำมันก้อแล้ว น้ำสบู่ก้อแล้วทำอีท่าไหนก้อไม่ออก
จนสุดท้ายผู้เป็นพ่อต้องตัดใจทุบแจกันหยกราชวงศ์หมิงทิ้งเพื่อรักษามือของลูกชายเอาไว้
เมื่อมือของเจ้าหนูหลุดจากแจกันแล้วพ่อและแม่
ก้อพบว่ามือเจ้าหนูกำอะไรบางอย่างจนแน่น
ผู้เป็นแม่จึงถามลูกชายว่า "หนูกำอะไรอยู่จ้ะลูก ?"
เจ้าหนูตอบพร้อมทำสีหน้าขึงขัง "ผมปล่อยมันไม่ได้หรอกครับ
"แล้วมันคืออะไรจ้ะลูก?" ผู้เป็นพ่อเริ่มสงสัย
"มันเป็นสตางค์ครับ"
เจ้าหนูตอบพร้อมกับค่อยๆแบมือออกอย่างทนุถนอม
จึงปรากฏว่า ในมือของเจ้าหนูมีเพียงเหรียญสลึงอยู่สองเหรียญ
เจ้าหนูหารู้ไม่ว่าการที่ เขาพยายามกำเหรียญเอาไว้ทำให้ครอบครัวต้องสูญเสียของมีค่ากว่าเป็นพันๆเท่า
แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ขณะที่คุณกำลังใช้ชีวิตอยู่นี้ คุณกำลัง
"กำ"อะไรไว้ในชีวิตบ้าง
เงิน?
บ้าน?
งาน?
รถ?
ทิฐิ? ...
แล้วสิ่งที่คุณกำอยู่ทำให้คุณสูญเสียอะไรที่มีค่ามหาศาลไปบ้าง
เวลา....
ครอบครัว....
พ่อแม่.....
คนที่รักเรา.....
สวรรค์
แล้วคุณล่ะ "กำ"อะไรอยู่???
from http://is.gd/7SDD10
...มีเงินหลายแสนล้าน..ใช่จะมีความสุข
from http://is.gd/0go8bh
22 มกราคม 2555
"ปรับโฟกัส"เคล็ดลับความอยู่รอดของฟูจิ
ฟูจิ ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดท่ามกลางการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและหนึ่งในการปรับตัวคือการทำธุรกิจที่หลากหลาย
เมื่อทศวรรษ 2503 ฟูจิฟิล์ม โฮลดิงส์ คอร์ป บริษัทผลิตฟิล์มและกล้องถ่ายรูปสัญชาติญี่ปุ่น เพิ่งเริ่มต้นขยายธุรกิจไปทั่วโลก ในขณะที่ อีสต์แมน โกดัก โค ผู้ผลิตฟิล์มและกล้องถ่ายรูปของสหรัฐ เป็นผู้นำที่ไม่มีใครก้าวตามทัน
50 ปีผ่านไป ฟิล์มถ่ายรูปกลายเป็นของล้าสมัย และ โกดัก ไม่อาจรักษาความเป็นผู้นำในโลกของการถ่ายรูปเอาไว้ได้ จนต้องยื่นคำร้องขอรับการพิทักษ์ทรัพย์ภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐ
ในทางตรงกันข้าม ฟูจิฟิล์ม เปลี่ยนแปลงตัวเองจากซัพพลายเออร์รายเล็กในธุรกิจถ่ายรูป กลายเป็นบริษัทที่มีความหลากหลาย รวมถึงธุรกิจดูแลสุขภาพ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ชิเงะทากะ โคโมริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ฟูจิฟิล์ม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ทั้ง ฟูจิฟิล์ม และ โกดัก ต่างรู้ดีว่ากระแสคลื่นดิจิทัลกำลังถาโถมเข้าใส่ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า จะรับมืออย่างไร
สิ่งที่ ฟูจิฟิล์ม ตัดสินใจทำ คือ มองให้ไกลกว่าการปรับตัวจากการถ่ายรูปแบบอะนาล็อกเป็นการถ่ายรูปแบบดิจิทัล บริษัทพยายามดึงเอาความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเคมีมาขยายผล จนนำไปสู่การผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น ยา เครื่องสำอาง และจอภาพผลึกเหลว (แอลซีดี)
การเปลี่ยนแปลงของ ฟูจิฟิล์ม ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและราบรื่น บริษัทต้องปลดพนักงานไปหลายพันคน และต้องปิดโรงงานหลายแห่ง
โคโมริ รับตำแหน่งประธานเมื่อปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการฟิล์มถ่ายรูปถึงจุดสูงสุดพอดี และเมื่อเขาก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารในอีก 3 ปีต่อมา ฟูจิฟิล์ม ก็สามารถเอาตัวรอดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร และลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ
ในปี 2548-2549 ฟูจิฟิล์ม ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 200,000 ล้านเยน ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจฟิล์มถ่ายรูป และสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ภายในเวลาไม่นาน
ฟูจิฟิล์ม มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากเกิดวิกฤติการเงินโลก ทำให้บริษัทต้องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายอีก 175,000 ล้านเยน ระหว่างปี 2552-2553
โคโมริ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ ได้แก่ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเมื่อถึงยุคดิจิทัล สิ่งที่ทำให้ ฟูจิฟิล์ม แตกต่างจาก โกดัก คือ บริษัทมีความพยายามแผ่ขยายเทคโนโลยีที่เคยใช้พัฒนาการถ่ายรูป
"ในทางเทคนิค เรามีแหล่งทรัพยากรที่หลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงคิดว่าต้องมีทางทำให้ทรัพยากรเหล่านั้นกลายเป็นธุรกิจใหม่ๆ" โคโมริ รำลึกความหลัง พร้อมกับเสริมว่า ฟูจิฟิล์ม คงไม่อาจรักษาความสามารถในการทำกำไร หากมุ่งความสนใจไปที่การถ่ายรูปดิจิทัลแต่เพียงอย่างเดียว
ในการผลิตฟิล์มถ่ายรูป ผู้ผลิตแต่ละรายต้องใช้สารเคมีประมาณ 100 ชนิด ฟูจิฟิล์ม จึงนำความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสารเคมีต่างๆ มาประยุกต์สร้างฟิล์มที่ใช้ในจอแอลซีดีสำหรับคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์ม ยังนำความรู้เกี่ยวกับสารเคมีมาพัฒนายารักษาโรค โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนายารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ส่วนธุรกิจเครื่องสำอาง บริษัทมีครีมบำรุงผิว แอสตาลิฟต์ ที่อาศัยเทคโนโลยีต้านอนุมูลอิสระแบบเดียวกับที่ใช้รักษารูปถ่ายไม่ให้สีซีดจาง
"เวลาที่ผ่านไปแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงว่า เมื่อต้องสูญเสียธุรกิจหลัก บริษัทบางรายสามารถปรับตัวเอาชนะสถานการณ์เลวร้ายได้ ขณะที่บางรายไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่ง ฟูจิฟิล์ม สามารถเอาชนะสถานการณ์ได้ด้วยการสร้างความหลากหลาย" โคโมริ กล่าว
from http://is.gd/acYTn4
เมื่อทศวรรษ 2503 ฟูจิฟิล์ม โฮลดิงส์ คอร์ป บริษัทผลิตฟิล์มและกล้องถ่ายรูปสัญชาติญี่ปุ่น เพิ่งเริ่มต้นขยายธุรกิจไปทั่วโลก ในขณะที่ อีสต์แมน โกดัก โค ผู้ผลิตฟิล์มและกล้องถ่ายรูปของสหรัฐ เป็นผู้นำที่ไม่มีใครก้าวตามทัน
50 ปีผ่านไป ฟิล์มถ่ายรูปกลายเป็นของล้าสมัย และ โกดัก ไม่อาจรักษาความเป็นผู้นำในโลกของการถ่ายรูปเอาไว้ได้ จนต้องยื่นคำร้องขอรับการพิทักษ์ทรัพย์ภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐ
ในทางตรงกันข้าม ฟูจิฟิล์ม เปลี่ยนแปลงตัวเองจากซัพพลายเออร์รายเล็กในธุรกิจถ่ายรูป กลายเป็นบริษัทที่มีความหลากหลาย รวมถึงธุรกิจดูแลสุขภาพ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ชิเงะทากะ โคโมริ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ฟูจิฟิล์ม กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ทั้ง ฟูจิฟิล์ม และ โกดัก ต่างรู้ดีว่ากระแสคลื่นดิจิทัลกำลังถาโถมเข้าใส่ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า จะรับมืออย่างไร
สิ่งที่ ฟูจิฟิล์ม ตัดสินใจทำ คือ มองให้ไกลกว่าการปรับตัวจากการถ่ายรูปแบบอะนาล็อกเป็นการถ่ายรูปแบบดิจิทัล บริษัทพยายามดึงเอาความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเคมีมาขยายผล จนนำไปสู่การผลิตสินค้าอื่นๆ เช่น ยา เครื่องสำอาง และจอภาพผลึกเหลว (แอลซีดี)
การเปลี่ยนแปลงของ ฟูจิฟิล์ม ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและราบรื่น บริษัทต้องปลดพนักงานไปหลายพันคน และต้องปิดโรงงานหลายแห่ง
โคโมริ รับตำแหน่งประธานเมื่อปี 2543 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการฟิล์มถ่ายรูปถึงจุดสูงสุดพอดี และเมื่อเขาก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารในอีก 3 ปีต่อมา ฟูจิฟิล์ม ก็สามารถเอาตัวรอดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการปรับโครงสร้างองค์กร และลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ
ในปี 2548-2549 ฟูจิฟิล์ม ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายกว่า 200,000 ล้านเยน ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจฟิล์มถ่ายรูป และสามารถทำกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ภายในเวลาไม่นาน
ฟูจิฟิล์ม มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากเกิดวิกฤติการเงินโลก ทำให้บริษัทต้องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายอีก 175,000 ล้านเยน ระหว่างปี 2552-2553
โคโมริ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ ได้แก่ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเมื่อถึงยุคดิจิทัล สิ่งที่ทำให้ ฟูจิฟิล์ม แตกต่างจาก โกดัก คือ บริษัทมีความพยายามแผ่ขยายเทคโนโลยีที่เคยใช้พัฒนาการถ่ายรูป
"ในทางเทคนิค เรามีแหล่งทรัพยากรที่หลากหลายอยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงคิดว่าต้องมีทางทำให้ทรัพยากรเหล่านั้นกลายเป็นธุรกิจใหม่ๆ" โคโมริ รำลึกความหลัง พร้อมกับเสริมว่า ฟูจิฟิล์ม คงไม่อาจรักษาความสามารถในการทำกำไร หากมุ่งความสนใจไปที่การถ่ายรูปดิจิทัลแต่เพียงอย่างเดียว
ในการผลิตฟิล์มถ่ายรูป ผู้ผลิตแต่ละรายต้องใช้สารเคมีประมาณ 100 ชนิด ฟูจิฟิล์ม จึงนำความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสารเคมีต่างๆ มาประยุกต์สร้างฟิล์มที่ใช้ในจอแอลซีดีสำหรับคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
นอกจากนี้ ฟูจิฟิล์ม ยังนำความรู้เกี่ยวกับสารเคมีมาพัฒนายารักษาโรค โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนายารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ส่วนธุรกิจเครื่องสำอาง บริษัทมีครีมบำรุงผิว แอสตาลิฟต์ ที่อาศัยเทคโนโลยีต้านอนุมูลอิสระแบบเดียวกับที่ใช้รักษารูปถ่ายไม่ให้สีซีดจาง
"เวลาที่ผ่านไปแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงว่า เมื่อต้องสูญเสียธุรกิจหลัก บริษัทบางรายสามารถปรับตัวเอาชนะสถานการณ์เลวร้ายได้ ขณะที่บางรายไม่เป็นเช่นนั้น ซึ่ง ฟูจิฟิล์ม สามารถเอาชนะสถานการณ์ได้ด้วยการสร้างความหลากหลาย" โคโมริ กล่าว
from http://is.gd/acYTn4
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
CJ Group เป็นน้องใหม่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ค่อนข้างน่ากลัว โดยจุดเด่นหลักๆ ของ CJ Group คือ Location เยี่ยม คือไปเปิดทำเลติดหรือใกล้ๆ กับ 7-...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link ประกันออมทรัพย์ ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก 1. สามารถลดหย่อน...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
โครงการ ช้างทองเฮอริเทจพาร์ค จังหวัด เชียงใหม่ รีวิว: Link Facebook: Link Google Map: Link
-
ประกันชีวิตแบบบำนาญ ซัมซุงแฮปปี้บำนาญ55 A100/10 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) ซื้อ Online ได้ที่ URL: https://digital.samsunglife.co.th/digital-insu...
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
https://www.youtube.com/watch?v=728hIrzcXqw ที่มา https://www.facebook.com/ZipmexThailand https://www.youtube.com/@Zipmex/videos LINE กลุ...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) “To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” ในการประดิษฐ์คิดค้น คุณจะ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
*คนที่อายุครบ 55 ปี ต้องไปแจ้งรับสิทธิ์ที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน ภายใน 1 ปี ไม่งั้นถือว่าสละสิทธิ์ ที่มา SSO https://www.kwilife.com...