สถิติหวย สถิติหวยออกย้อนหลัง 35 ปี
PIGGYMAN007.COM
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
15 พฤษภาคม 2568
Central Park เป็นสวนสาธารณะ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวยอร์ค
Central Park เป็นสวนสาธารณะ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวยอร์ค และมีอายุมากกว่า 160 ปี สร้างขึ้นบนพื้นที่ 843 เอเคอร์ ในเกาะแมนฮัตตันตอนกลาง และเป็นสวนสาธารณะภูมิทัศน์ ที่สำคัญแห่งแรกของอเมริกา
ข้อมูลทั่วไป:
- ชื่อ: สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park)
- ที่ตั้ง: เกาะแมนฮัตตัน เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
- พื้นที่: 843 เอเคอร์ (341 เฮกตาร์)
- ประเภท: สวนสาธารณะภูมิทัศน์
- ปีที่สร้าง: ค.ศ. 1853 (อายุ 171 ปี)
- สถานะ: สวนสาธารณะแห่งชาติ
- เว็บไซต์: https://www.centralparknyc.org/
ประวัติ:
สถานที่ท่องเที่ยว:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเช่น:
ทะเลสาบ:
อนุสรณ์สถาน:
สถานที่อื่นๆ:
กิจกรรม:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น:
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1853 บนพื้นที่ 843 เอเคอร์ ใจกลางเกาะแมนฮัตตัน เดิมทีเป็นที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยโขดหินและหนองน้ำ
- การออกแบบสวนสาธารณะโดย Frederick Law Olmsted และ Calvert Vaux ซึ่งเป็นการออกแบบสวนสาธารณะภูมิทัศน์แห่งแรกในอเมริกา
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวนิวยอร์กและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
สถานที่ท่องเที่ยว:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเช่น:
ทะเลสาบ:
- The Reservoir
- The Pond
- The Harlem Meer
อนุสรณ์สถาน:
- The Metropolitan Museum of Art
- The obelisk
- The Soldiers' and Sailors' Monument
สถานที่อื่นๆ:
- สวนสัตว์ Central Park Zoo
- สนามเด็กเล่น Heckscher Playground
- ลานสเก็ตน้ำ Wollman Rink
กิจกรรม:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น:
เดินเล่น:
- เส้นทางเดินป่า
- เส้นทางวิ่ง
- เช่าจักรยาน
- นำจักรยานมาเอง
- เช่าเรือแคนู
- เช่าเรือพาย
- ตกปลาในทะเลสาบ
- พื้นที่ปิกนิกมากมาย
- สนามเทนนิส
- สนามบาสเก็ตบอล
- สนามฟุตบอล
- โรงละครกลางแจ้ง
- คอนเสิร์ต
การเดินทาง:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค สามารถเดินทางไปได้ง่าย
ค่าเข้าชม:
เวลาทำการ:
เว็บไซต์:
ข้อมูลอื่นๆ:
- โดยรถไฟใต้ดิน
- รถบัส
- แท็กซี่
- หรือจักรยาน
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเข้าชมฟรี
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์
เว็บไซต์:
ข้อมูลอื่นๆ:
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
- มีผู้เข้าชมมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี
- สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิดรวมถึงนกมากกว่า 250 สายพันธุ์
01 พฤษภาคม 2568
จิตวิทยาตั้งราคา วิธีทำให้คน เลือกหยิบชิ้นที่แพงขึ้น โดยไม่บังคับ
ลองมาดูราคาของ iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
หลายคนพอเห็นแบบนี้ อาจจะเกิดอาการคือ จากที่ตั้งใจจะไปซื้อแค่ความจุ 128GB แต่พอไปซื้อจริงกลับเลือกซื้อ 256GB เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงินอีกไม่เยอะ แต่คุ้มค่ากว่า
การที่เรารู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินเพิ่ม แลกกับปริมาณหรือขนาดที่เพิ่มขึ้น
สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีจิตวิทยาการตลาดแบบเนิร์ด ๆ ที่มีชื่อว่า “Decoy Pricing”
แล้ว Decoy Pricing คืออะไร ? สามารถนำมาประยุกต์กับการตั้งราคาให้แบรนด์ของเราอย่างไรได้บ้าง ?
Decoy Pricing แปลตรง ๆ คือ “ราคาหลอกล่อ” หมายถึง การที่แบรนด์ตั้งราคาหลอกล่อ ให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ในราคาสูงขึ้น
โดยหลักการง่าย ๆ คือ การทำให้สินค้าตัวเดียว มีหลากหลายตัวเลือก เช่น หลายขนาด หลายปริมาณ
และมีจุดสำคัญคือ การทำให้คนรู้สึกว่า มีสินค้าอยู่อย่างน้อย 1 ขนาด ที่จ่ายเงินเพิ่มแล้ว คุ้มค่า
เทคนิคที่สังเกตเห็น คือใช้ “การเปรียบเทียบ” ให้คนคิดเร็ว ๆ แล้วล่อให้คนรู้สึกว่า ส่วนต่างนั้น ไม่แพง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ เช่น
- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
จะเห็นว่า ระหว่างความจุ 256GB กับ 512GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว และมีราคาแตกต่างกัน 9,000 บาท
และจะเห็นว่า ระหว่างความจุ 128GB กับ 256GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว เหมือนกัน แต่มีราคาแตกต่างกันเพียง 4,000 บาท
ทำให้หลายคนที่ตั้งใจไปซื้อตัวความจุน้อยสุด สุดท้ายเปลี่ยนใจจ่ายเงินเพิ่ม เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงิน 4,000 บาท นั้นจ่ายแล้วคุ้มค่ากว่านั่นเอง..
ซึ่งถ้าถามว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผลจริงไหม ?
เรื่องนี้ The Economist สำนักข่าวในอังกฤษได้ทำการทดลองกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 100 คน
โดยมีการเสนอ 3 แพ็กเกจการรับข่าวสารรายเดือน ได้แก่
1. ได้รับข่าวในช่องทางออนไลน์อย่างเดียว ราคา 59 ดอลลาร์สหรัฐ (~2,170 บาท)
2. ได้รับข่าวฉบับตีพิมพ์อย่างเดียว ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)
3. ได้รับข่าวทั้งแบบออนไลน์ และฉบับตีพิมพ์ ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)
ผลการทดลองพบว่า
- มีนักศึกษาจำนวน 84 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3
- มีนักศึกษาจำนวน 16 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
- แต่ไม่มีใครซื้อแพ็กเกจแบบที่ 2 เลย
The Economist ยังได้ทำการทดลองอีกแบบหนึ่งคือ ตัดแพ็กเกจแบบที่ 2 ออกไป
ผลการทดลองพบว่า นักศึกษาจำนวน 68 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
และอีก 32 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3
สรุปแล้วการเพิ่มแพ็กเกจแบบที่ 2 เข้ามา เป็นตัวเลือก Decoy Pricing ทำให้นักศึกษารู้สึกว่า คุ้มค่าที่จะเลือกซื้อแพ็กเกจที่ 3 มากขึ้น..
เมื่อเห็นแล้วว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผล
แล้วแบรนด์จะมีวิธีการตั้งราคาโดยใช้เทคนิคนี้อย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ?
1. ตั้งราคาโดยมีตัวเลือก 3-4 แบบ
หากมีตัวเลือกมากกว่านี้ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคสับสน ทำให้การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่คาดว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าที่มีราคาสูงกว่า ไม่ได้ผล
ยกตัวอย่างการตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่มีประสิทธิภาพ จากเคส iPhone 15 ของ Apple
iPhone 15 ความจุ 128GB ราคา 32,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 256GB ราคา 36,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 512GB ราคา 45,900 บาท
จะเห็นได้ว่า การเพิ่มความจุจาก 128GB เป็น 256GB เพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท
ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกซื้อ iPhone 15 ความจุ 256GB เนื่องจากมองว่าการเพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท แต่ได้ความจุที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น คุ้มค่ากว่า
2. การตั้งราคา Decoy Pricing ไม่ควรแตกต่างกันมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ ตั้งราคากาแฟแก้วเล็ก 50 บาท แก้วกลาง 60 บาท และแก้วใหญ่ 100 บาท
ในกรณีนี้ ร้านกาแฟตั้ง Decoy Pricing เพื่อให้ลูกค้าอยากซื้อแก้วใหญ่
แต่เมื่อแก้วกลางและแก้วใหญ่มีราคาที่แตกต่างกันเกือบเท่าตัว อาจทำให้ลูกค้าเลือกซื้อแก้วกลางมากกว่า
ซึ่งอาจเป็นการให้ลูกค้า เลือกตัดชอยซ์แก้วใหญ่ออกไปเลย 100% ทั้ง ๆ ที่ถ้าขายต่ำกว่านั้นสักนิดเดียว เช่น 80 บาท ก็อาจจะขายได้
3. สร้างจุดสนใจและการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า
นอกจากการตั้งราคา 2 วิธีที่กล่าวไปแล้ว อีกวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นแบบง่าย ๆ เช่น การติดป้ายว่าเป็น “สินค้าขายดี” เพื่อสร้างอาการ FOMO กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า
หรือรวมไปถึงกลยุทธ์ Up-Selling หรือว่าง่าย ๆ ก็คือ การอัปไซซ์ เหมือนที่เชนฟาสต์ฟูดชอบใช้
ในกรณีของร้านกาแฟ หากลูกค้าซื้อแก้วกลาง เราก็สามารถถามลูกค้าได้ว่า สนใจอัปไซซ์เป็นแก้วใหญ่ไหม
กลยุทธ์แบบนี้ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะลูกค้ามีระยะเวลาในการตัดสินใจเพียงสั้น ๆ นำมาสู่การซื้อแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน หรือซื้ออย่างกะทันหัน ซึ่งก็คือ พฤติกรรมการซื้อแบบ “Impulsive Buying” นั่นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า..
บางครั้งธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมาย เพื่อทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แต่การใช้กลยุทธ์การตั้งราคาอย่าง Decoy Pricing โดยใช้หลักจิตวิทยาเล่นกับความคิดและความรู้สึกของลูกค้า ก็สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ ด้วยการทำให้ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูงมากขึ้น
และ Decoy Pricing จะได้ผลมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามใช้วิธีการสื่อสาร เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่า การเลือกซื้อสินค้าในราคานี้ ได้รับความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเอง..
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
หลายคนพอเห็นแบบนี้ อาจจะเกิดอาการคือ จากที่ตั้งใจจะไปซื้อแค่ความจุ 128GB แต่พอไปซื้อจริงกลับเลือกซื้อ 256GB เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงินอีกไม่เยอะ แต่คุ้มค่ากว่า
การที่เรารู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินเพิ่ม แลกกับปริมาณหรือขนาดที่เพิ่มขึ้น
สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีจิตวิทยาการตลาดแบบเนิร์ด ๆ ที่มีชื่อว่า “Decoy Pricing”
แล้ว Decoy Pricing คืออะไร ? สามารถนำมาประยุกต์กับการตั้งราคาให้แบรนด์ของเราอย่างไรได้บ้าง ?
Decoy Pricing แปลตรง ๆ คือ “ราคาหลอกล่อ” หมายถึง การที่แบรนด์ตั้งราคาหลอกล่อ ให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ในราคาสูงขึ้น
โดยหลักการง่าย ๆ คือ การทำให้สินค้าตัวเดียว มีหลากหลายตัวเลือก เช่น หลายขนาด หลายปริมาณ
และมีจุดสำคัญคือ การทำให้คนรู้สึกว่า มีสินค้าอยู่อย่างน้อย 1 ขนาด ที่จ่ายเงินเพิ่มแล้ว คุ้มค่า
เทคนิคที่สังเกตเห็น คือใช้ “การเปรียบเทียบ” ให้คนคิดเร็ว ๆ แล้วล่อให้คนรู้สึกว่า ส่วนต่างนั้น ไม่แพง
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ เช่น
- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท
จะเห็นว่า ระหว่างความจุ 256GB กับ 512GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว และมีราคาแตกต่างกัน 9,000 บาท
และจะเห็นว่า ระหว่างความจุ 128GB กับ 256GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว เหมือนกัน แต่มีราคาแตกต่างกันเพียง 4,000 บาท
ทำให้หลายคนที่ตั้งใจไปซื้อตัวความจุน้อยสุด สุดท้ายเปลี่ยนใจจ่ายเงินเพิ่ม เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงิน 4,000 บาท นั้นจ่ายแล้วคุ้มค่ากว่านั่นเอง..
ซึ่งถ้าถามว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผลจริงไหม ?
เรื่องนี้ The Economist สำนักข่าวในอังกฤษได้ทำการทดลองกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 100 คน
โดยมีการเสนอ 3 แพ็กเกจการรับข่าวสารรายเดือน ได้แก่
1. ได้รับข่าวในช่องทางออนไลน์อย่างเดียว ราคา 59 ดอลลาร์สหรัฐ (~2,170 บาท)
2. ได้รับข่าวฉบับตีพิมพ์อย่างเดียว ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)
3. ได้รับข่าวทั้งแบบออนไลน์ และฉบับตีพิมพ์ ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)
ผลการทดลองพบว่า
- มีนักศึกษาจำนวน 84 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3
- มีนักศึกษาจำนวน 16 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
- แต่ไม่มีใครซื้อแพ็กเกจแบบที่ 2 เลย
The Economist ยังได้ทำการทดลองอีกแบบหนึ่งคือ ตัดแพ็กเกจแบบที่ 2 ออกไป
ผลการทดลองพบว่า นักศึกษาจำนวน 68 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
และอีก 32 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3
สรุปแล้วการเพิ่มแพ็กเกจแบบที่ 2 เข้ามา เป็นตัวเลือก Decoy Pricing ทำให้นักศึกษารู้สึกว่า คุ้มค่าที่จะเลือกซื้อแพ็กเกจที่ 3 มากขึ้น..
เมื่อเห็นแล้วว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผล
แล้วแบรนด์จะมีวิธีการตั้งราคาโดยใช้เทคนิคนี้อย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ?
1. ตั้งราคาโดยมีตัวเลือก 3-4 แบบ
หากมีตัวเลือกมากกว่านี้ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคสับสน ทำให้การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่คาดว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าที่มีราคาสูงกว่า ไม่ได้ผล
ยกตัวอย่างการตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่มีประสิทธิภาพ จากเคส iPhone 15 ของ Apple
iPhone 15 ความจุ 128GB ราคา 32,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 256GB ราคา 36,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 512GB ราคา 45,900 บาท
จะเห็นได้ว่า การเพิ่มความจุจาก 128GB เป็น 256GB เพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท
ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกซื้อ iPhone 15 ความจุ 256GB เนื่องจากมองว่าการเพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท แต่ได้ความจุที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น คุ้มค่ากว่า
2. การตั้งราคา Decoy Pricing ไม่ควรแตกต่างกันมากเกินไป
ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ ตั้งราคากาแฟแก้วเล็ก 50 บาท แก้วกลาง 60 บาท และแก้วใหญ่ 100 บาท
ในกรณีนี้ ร้านกาแฟตั้ง Decoy Pricing เพื่อให้ลูกค้าอยากซื้อแก้วใหญ่
แต่เมื่อแก้วกลางและแก้วใหญ่มีราคาที่แตกต่างกันเกือบเท่าตัว อาจทำให้ลูกค้าเลือกซื้อแก้วกลางมากกว่า
ซึ่งอาจเป็นการให้ลูกค้า เลือกตัดชอยซ์แก้วใหญ่ออกไปเลย 100% ทั้ง ๆ ที่ถ้าขายต่ำกว่านั้นสักนิดเดียว เช่น 80 บาท ก็อาจจะขายได้
3. สร้างจุดสนใจและการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า
นอกจากการตั้งราคา 2 วิธีที่กล่าวไปแล้ว อีกวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นแบบง่าย ๆ เช่น การติดป้ายว่าเป็น “สินค้าขายดี” เพื่อสร้างอาการ FOMO กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า
หรือรวมไปถึงกลยุทธ์ Up-Selling หรือว่าง่าย ๆ ก็คือ การอัปไซซ์ เหมือนที่เชนฟาสต์ฟูดชอบใช้
ในกรณีของร้านกาแฟ หากลูกค้าซื้อแก้วกลาง เราก็สามารถถามลูกค้าได้ว่า สนใจอัปไซซ์เป็นแก้วใหญ่ไหม
กลยุทธ์แบบนี้ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะลูกค้ามีระยะเวลาในการตัดสินใจเพียงสั้น ๆ นำมาสู่การซื้อแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน หรือซื้ออย่างกะทันหัน ซึ่งก็คือ พฤติกรรมการซื้อแบบ “Impulsive Buying” นั่นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า..
บางครั้งธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมาย เพื่อทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
แต่การใช้กลยุทธ์การตั้งราคาอย่าง Decoy Pricing โดยใช้หลักจิตวิทยาเล่นกับความคิดและความรู้สึกของลูกค้า ก็สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ ด้วยการทำให้ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูงมากขึ้น
และ Decoy Pricing จะได้ผลมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามใช้วิธีการสื่อสาร เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่า การเลือกซื้อสินค้าในราคานี้ ได้รับความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเอง..
ที่มา link
15 เมษายน 2568
ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่! คนรวย (อาจ) ไม่ได้เก่งเท่าที่คุณคิด พวกเขาแค่ ‘โชคดี’ กว่า
ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่! คนรวย (อาจ) ไม่ได้เก่งเท่าที่คุณคิด พวกเขาแค่ ‘โชคดี’ กว่า
เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ถ้าเก่งจริงทำไมไม่รวย?’ หรือเปล่า งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่เราเห็นอาจเป็นผลจากความโชคดีเป็นหลัก
การกระจายตัวของความมั่งคั่งมักจะเป็นไปตามรูปแบบที่เรียกว่ากฎ 80:20 นั่นคือ 80% ของความมั่งคั่งทั้งหมดถูกครอบครองโดยคนเพียง 20% ที่เหลือ โดยมีรายงานที่สรุปว่า มีผู้ชายเพียง 8 คนที่มีความมั่งคั่งเทียบเท่ากับคนจนที่สุดในโลก 3.8 พันล้านคนรวมกัน!
รูปแบบนี้มีให้เห็นทุกสังคม และเรียกว่า Power Law ซึ่งเกิดขึ้นได้ในปรากฏการณ์ทางสังคมหลายอย่าง แต่การกระจายตัวของความมั่งคั่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่เป็นที่ถกเถียงที่สุด เพราะมันสะท้อนประเด็นเรื่องความยุติธรรมและการให้รางวัลตามความสามารถ ทำไมคนหยิบมือถึงได้ครองความร่ำรวยมากมายขนาดนั้น?
เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ถ้าเก่งจริงทำไมไม่รวย?’ หรือเปล่า งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จที่เราเห็นอาจเป็นผลจากความโชคดีเป็นหลัก
การกระจายตัวของความมั่งคั่งมักจะเป็นไปตามรูปแบบที่เรียกว่ากฎ 80:20 นั่นคือ 80% ของความมั่งคั่งทั้งหมดถูกครอบครองโดยคนเพียง 20% ที่เหลือ โดยมีรายงานที่สรุปว่า มีผู้ชายเพียง 8 คนที่มีความมั่งคั่งเทียบเท่ากับคนจนที่สุดในโลก 3.8 พันล้านคนรวมกัน!
รูปแบบนี้มีให้เห็นทุกสังคม และเรียกว่า Power Law ซึ่งเกิดขึ้นได้ในปรากฏการณ์ทางสังคมหลายอย่าง แต่การกระจายตัวของความมั่งคั่งเป็นหนึ่งในเรื่องที่เป็นที่ถกเถียงที่สุด เพราะมันสะท้อนประเด็นเรื่องความยุติธรรมและการให้รางวัลตามความสามารถ ทำไมคนหยิบมือถึงได้ครองความร่ำรวยมากมายขนาดนั้น?
เราอาจเข้าใจผิดเรื่องระบบ ‘ให้ผลตอบแทนตามความสามารถ’
คำอธิบายทั่วไปมักจะบอกว่า เราอยู่ในสังคม Meritocracy ที่ผู้คนจะได้รับรางวัลตามพรสวรรค์ ความฉลาด ความพยายาม ฯลฯ เราอาจเห็นว่าโชคดีมีส่วนบ้าง แต่หลักๆ แล้วความสามารถต่างหากที่เป็นตัวกำหนด
แต่มันมีปัญหากับแนวคิดนี้คือ แม้ว่าการกระจายตัวของความมั่งคั่งจะเป็นไปตาม Power Law แต่การกระจายตัวของทักษะมนุษย์กลับเป็นการกระจายแบบปกติ (Normal Distribution) ซึ่งมีความสมมาตรรอบค่าเฉลี่ย ตัวอย่างเช่น คะแนน IQ ที่ใช้วัดความฉลาด ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100 แต่มันจะไม่มีใครที่มี IQ 1,000 หรือ 10,000
และความพยายามก็เช่นกัน ถ้าคุณวัดเป็นชั่วโมงการทำงาน บางคนทำงานนานกว่าค่าเฉลี่ย บางคนทำงานน้อยกว่า แต่ไม่มีใครหรอกที่จะทำงานเป็นพันล้านชั่วโมงมากกว่าคนอื่น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่พอเห็นรางวัลที่เกิดจากการทำงานเหล่านี้เราพบว่า บางคนมีความร่ำรวยเป็นพันล้านเท่ามากกว่าคนอื่นๆ ที่สำคัญงานวิจัยจำนวนมากก็แสดงให้เห็นว่าคนรวยที่สุดมักจะไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นๆ ตามมาตรฐานวัดอื่นๆ
คำอธิบายทั่วไปมักจะบอกว่า เราอยู่ในสังคม Meritocracy ที่ผู้คนจะได้รับรางวัลตามพรสวรรค์ ความฉลาด ความพยายาม ฯลฯ เราอาจเห็นว่าโชคดีมีส่วนบ้าง แต่หลักๆ แล้วความสามารถต่างหากที่เป็นตัวกำหนด
แต่มันมีปัญหากับแนวคิดนี้คือ แม้ว่าการกระจายตัวของความมั่งคั่งจะเป็นไปตาม Power Law แต่การกระจายตัวของทักษะมนุษย์กลับเป็นการกระจายแบบปกติ (Normal Distribution) ซึ่งมีความสมมาตรรอบค่าเฉลี่ย ตัวอย่างเช่น คะแนน IQ ที่ใช้วัดความฉลาด ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 100 แต่มันจะไม่มีใครที่มี IQ 1,000 หรือ 10,000
และความพยายามก็เช่นกัน ถ้าคุณวัดเป็นชั่วโมงการทำงาน บางคนทำงานนานกว่าค่าเฉลี่ย บางคนทำงานน้อยกว่า แต่ไม่มีใครหรอกที่จะทำงานเป็นพันล้านชั่วโมงมากกว่าคนอื่น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่พอเห็นรางวัลที่เกิดจากการทำงานเหล่านี้เราพบว่า บางคนมีความร่ำรวยเป็นพันล้านเท่ามากกว่าคนอื่นๆ ที่สำคัญงานวิจัยจำนวนมากก็แสดงให้เห็นว่าคนรวยที่สุดมักจะไม่ได้เก่งกว่าคนอื่นๆ ตามมาตรฐานวัดอื่นๆ
ความโชคดีสำคัญกว่าที่คาด
ปัจจัยอะไรกันแน่ที่ส่งผลให้คนบางคนร่ำรวย? จะเป็นไปได้ไหมว่าโชคมีบทบาทมากกว่าที่ใครคาดคิด? และเราจะใช้ประโยชน์จากปัจจัยนี้ได้อย่างไรบ้าง?
คำตอบมาจากผลงานวิจัยของ Alessandro Pluchino จากมหาวิทยาลัยคาตาเนียในอิตาลี และทีมงาน โดยสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์แสดงพรสวรรค์ของมนุษย์ และวิธีที่มนุษย์ใช้มันหาประโยชน์จากโอกาสในชีวิต แบบจำลองนี้ช่วยให้ศึกษาบทบาทของโชคในกระบวนการนี้ได้
ผลการทดลองชวนประหลาดใจ แบบจำลองสร้างการกระจายตัวของความมั่งคั่งให้เหมือนกับโลกจริงได้อย่างแม่นยำ แต่คนรวยที่สุดในแบบจำลองนั้นไม่ได้เก่งที่สุดแต่อย่างใด (แม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะระดับหนึ่ง) สิ่งที่ทำให้พวกเขารวยที่สุดคือความโชคดี และนี่มีนัยสำคัญต่อวิธีที่สังคมจะเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนทุกด้าน ตั้งแต่ธุรกิจไปจนถึงวิทยาศาสตร์
ปัจจัยอะไรกันแน่ที่ส่งผลให้คนบางคนร่ำรวย? จะเป็นไปได้ไหมว่าโชคมีบทบาทมากกว่าที่ใครคาดคิด? และเราจะใช้ประโยชน์จากปัจจัยนี้ได้อย่างไรบ้าง?
คำตอบมาจากผลงานวิจัยของ Alessandro Pluchino จากมหาวิทยาลัยคาตาเนียในอิตาลี และทีมงาน โดยสร้างแบบจำลองคอมพิวเตอร์แสดงพรสวรรค์ของมนุษย์ และวิธีที่มนุษย์ใช้มันหาประโยชน์จากโอกาสในชีวิต แบบจำลองนี้ช่วยให้ศึกษาบทบาทของโชคในกระบวนการนี้ได้
ผลการทดลองชวนประหลาดใจ แบบจำลองสร้างการกระจายตัวของความมั่งคั่งให้เหมือนกับโลกจริงได้อย่างแม่นยำ แต่คนรวยที่สุดในแบบจำลองนั้นไม่ได้เก่งที่สุดแต่อย่างใด (แม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะระดับหนึ่ง) สิ่งที่ทำให้พวกเขารวยที่สุดคือความโชคดี และนี่มีนัยสำคัญต่อวิธีที่สังคมจะเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุนทุกด้าน ตั้งแต่ธุรกิจไปจนถึงวิทยาศาสตร์
แบบจำลองของ Pluchino
แบบจำลองประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง แต่ละคนมีความเก่งระดับหนึ่ง ซึ่งกระจายอย่างปกติรอบค่าเฉลี่ย ดังนั้นบางคนเก่งกว่าค่าเฉลี่ย และบางคนน้อยกว่า แต่จะไม่มีใครฉลาดกว่าคนอื่นเป็นหลักร้อยหลักพันเท่า
จากนั้นจำลองการทำงาน 40 ปี โดยแต่ละคนมีโอกาสเจอเหตุโชคดีที่จะทำให้รวยขึ้นหากมีความเก่งพอ แต่ก็จะเจอเหตุการณ์โชคร้ายที่จะลดความมั่งคั่งลงได้เช่นกัน โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดแบบสุ่ม
เมื่อจำลองจบ ทีมงานก็จัดลำดับคนแต่ละคนตามความร่ำรวย และทบทวนว่าคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในแบบจำลองมีลักษณะอย่างไร และยังศึกษาการกระจายตัวของความมั่งคั่งด้วย จากนั้นจึงทำแบบจำลองเดิมแบบซ้ำๆ เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของผลลัพธ์
ผลที่ได้คือ เมื่อจัดลำดับคนตามความมั่งคั่งแล้ว การกระจายตัวจะเหมือนกับที่พบในสังคมโลกจริง แต่คนที่รวยที่สุด 20% ไม่ได้เป็นกลุ่ม 20% ที่เก่งที่สุดเลย ซึ่ง “ความสำเร็จสูงสุดไม่เคยตรงกับคนเก่งที่สุด” นักวิจัยกล่าว
แบบจำลองประกอบด้วยผู้คนจำนวนหนึ่ง แต่ละคนมีความเก่งระดับหนึ่ง ซึ่งกระจายอย่างปกติรอบค่าเฉลี่ย ดังนั้นบางคนเก่งกว่าค่าเฉลี่ย และบางคนน้อยกว่า แต่จะไม่มีใครฉลาดกว่าคนอื่นเป็นหลักร้อยหลักพันเท่า
จากนั้นจำลองการทำงาน 40 ปี โดยแต่ละคนมีโอกาสเจอเหตุโชคดีที่จะทำให้รวยขึ้นหากมีความเก่งพอ แต่ก็จะเจอเหตุการณ์โชคร้ายที่จะลดความมั่งคั่งลงได้เช่นกัน โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดแบบสุ่ม
เมื่อจำลองจบ ทีมงานก็จัดลำดับคนแต่ละคนตามความร่ำรวย และทบทวนว่าคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในแบบจำลองมีลักษณะอย่างไร และยังศึกษาการกระจายตัวของความมั่งคั่งด้วย จากนั้นจึงทำแบบจำลองเดิมแบบซ้ำๆ เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของผลลัพธ์
ผลที่ได้คือ เมื่อจัดลำดับคนตามความมั่งคั่งแล้ว การกระจายตัวจะเหมือนกับที่พบในสังคมโลกจริง แต่คนที่รวยที่สุด 20% ไม่ได้เป็นกลุ่ม 20% ที่เก่งที่สุดเลย ซึ่ง “ความสำเร็จสูงสุดไม่เคยตรงกับคนเก่งที่สุด” นักวิจัยกล่าว
ปัจจัยชี้ขาด: ความโชคดีล้วนๆ
ทีมได้พิสูจน์ข้อนี้โดยจัดอันดับบุคคลตามจำนวนเหตุการณ์โชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดขึ้นตลอด 40 ปีของการทำงาน ผลชัดเจนว่า ‘คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็คือคนที่โชคดีที่สุดด้วย และคนล้มเหลวก็คือคนที่โชคร้ายที่สุด’
ทีม Pluchino ได้ศึกษาเรื่องนี้ในมุมของงบประมาณสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักวิจัยทุกคนสนใจ องค์กรระดับโลกมักสนใจที่จะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ให้มากที่สุด เมื่อเร็วๆ นี้ European Research Council ได้ลงทุนถึง 1.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 58 ล้านบาท) ในโครงการศึกษาเรื่อง Serendipity (โชคช่วย) ว่ามีบทบาทกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างไร และจะใช้ความรู้นี้ปรับปรุงการให้งบประมาณได้อย่างไร
พวกเขาจึงพยายามหาคำตอบว่าแบบจำลองไหนจะให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อต้องพิจารณาเรื่องโชคดีด้วย โดยศึกษา 3 แบบจำลอง
ผลลัพธ์
วิธีที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ การกระจายทุนให้เท่าๆ กัน และแบบที่ดีรองลงมาคือ สุ่มให้ 10% หรือ 20% ของนักวิทยาศาสตร์ เพราะวิธีเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถได้ประโยชน์จากการค้นพบโดยบังเอิญได้มากที่สุด เมื่อคิดย้อนหลังมันก็ชัดเจนว่า การค้นพบสำคัญโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้การันตีว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
แนวทางเดียวกันสามารถนำมาปรับใช้ในการลงทุนด้านอื่นๆ เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่, สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี, การศึกษาเพื่อเพิ่มพูนทักษะ หรือแม้กระทั่งการสร้างโอกาสให้เกิดโชคดีโดยบังเอิญแบบสุ่ม
กระนั้นเรายังต้องศึกษาเรื่องนี้อีกมาก แต่ที่แน่ๆ คือมีหลักฐานสำคัญแล้วว่าความร่ำรวยมหาศาลของบางคนอาจเกิดจากความโชคดีล้วนๆ มากกว่าที่คุณคิด
ทีมได้พิสูจน์ข้อนี้โดยจัดอันดับบุคคลตามจำนวนเหตุการณ์โชคดีหรือโชคร้ายที่เกิดขึ้นตลอด 40 ปีของการทำงาน ผลชัดเจนว่า ‘คนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็คือคนที่โชคดีที่สุดด้วย และคนล้มเหลวก็คือคนที่โชคร้ายที่สุด’
ทีม Pluchino ได้ศึกษาเรื่องนี้ในมุมของงบประมาณสนับสนุนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่นักวิจัยทุกคนสนใจ องค์กรระดับโลกมักสนใจที่จะเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนด้านวิทยาศาสตร์ให้มากที่สุด เมื่อเร็วๆ นี้ European Research Council ได้ลงทุนถึง 1.7 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 58 ล้านบาท) ในโครงการศึกษาเรื่อง Serendipity (โชคช่วย) ว่ามีบทบาทกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์อย่างไร และจะใช้ความรู้นี้ปรับปรุงการให้งบประมาณได้อย่างไร
พวกเขาจึงพยายามหาคำตอบว่าแบบจำลองไหนจะให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อต้องพิจารณาเรื่องโชคดีด้วย โดยศึกษา 3 แบบจำลอง
- กระจายงบประมาณให้แก่นักวิทยาศาสตร์เท่าๆ กัน
- สุ่มเลือกนักวิทยาศาสตร์ที่จะได้รับทุนส่วนหนึ่ง
- ให้นักวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในอดีต
ผลลัพธ์
วิธีที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ การกระจายทุนให้เท่าๆ กัน และแบบที่ดีรองลงมาคือ สุ่มให้ 10% หรือ 20% ของนักวิทยาศาสตร์ เพราะวิธีเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถได้ประโยชน์จากการค้นพบโดยบังเอิญได้มากที่สุด เมื่อคิดย้อนหลังมันก็ชัดเจนว่า การค้นพบสำคัญโดยบังเอิญที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้การันตีว่าจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
แนวทางเดียวกันสามารถนำมาปรับใช้ในการลงทุนด้านอื่นๆ เช่น ธุรกิจขนาดเล็ก-ใหญ่, สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี, การศึกษาเพื่อเพิ่มพูนทักษะ หรือแม้กระทั่งการสร้างโอกาสให้เกิดโชคดีโดยบังเอิญแบบสุ่ม
กระนั้นเรายังต้องศึกษาเรื่องนี้อีกมาก แต่ที่แน่ๆ คือมีหลักฐานสำคัญแล้วว่าความร่ำรวยมหาศาลของบางคนอาจเกิดจากความโชคดีล้วนๆ มากกว่าที่คุณคิด
ที่มา link
01 เมษายน 2568
ออมหวยเกษียณแบบ DCA จะมีเงินก้อนกี่ล้านบาท ตอนอายุ 60
หวยเกษียณคือ
- สลากที่รัฐบาลเปิดขายให้ประชาชนทั่วไปอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป
- ซื้อได้ไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท
- เงินต้นไม่หาย
- ถ้าถูกรางวัลจะได้รับเงินรางวัลทันทีผ่านระบบพร้อมเพย์
- ถ้าอายุครบ 60 ปี ผู้ซื้อจะได้เงินคือทั้งหมดพร้อมผลตอบแทน
- ที่มา Link
DCA หวยเกษียณจะได้เงินกี่ล้านบาท
- สมมติฐานผลตอบแทนที่รัฐลงทุน ได้ 1.5% ต่อปี (อ้างอิงจากเงินฝาก e-Saving)
- ถ้าเริ่มออมหวยเกษียณตอนอายุ 35 ปีหรือเริ่มเร็วกว่านั้น เดือนละ 3,000 บาท จะได้รับเงินเกิน 1 ล้านบาท ตอนอายุ 60 ปี (ยังไม่รวมได้ลุ้นรางวัลเงินล้าน ทุกเดือนอีกด้วย)
เริ่มตอนอายุ(ปี) | ออมเดือนละ(บาท) | เงินก้อน(บาท) |
---|---|---|
25 | 1000 | 551,208.34 |
25 | 3000 | 1,653,625.03 |
30 | 1000 | 453,842.66 |
30 | 3000 | 1,361,527.97 |
35 | 1000 | 363,461.96 |
35 | 3000 | 1,090,385.87 |
40 | 1000 | 279,565.14 |
40 | 3000 | 838,695.41 |
45 | 1000 | 201,687.05 |
45 | 3000 | 605,061.14 |
50 | 1000 | 129,395.90 |
50 | 3000 | 388,187.71 |
อธิบายเรื่อง Loss Aversion จิตวิทยากลัวการสูญเสีย กับกลยุทธ์การตลาด ที่เราเจอบ่อย
เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมเราถึงตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้นโดยเฉพาะเมื่อแบรนด์จำกัดเวลาที่ได้รับส่วนลด เช่น ลดราคา 50% เพียง 3 วันเท่านั้น
หรือจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะได้รับส่วนลด เช่น ลดราคา 50% สำหรับลูกค้า 50 ท่านแรกเท่านั้น
หรือให้โทรมาตอนนี้ เพื่อรับสินค้าราคาพิเศษ
เหตุผลหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและความรู้สึก ที่ชื่อว่า “Loss Aversion”
แล้ว Loss Aversion คืออะไร ?
Loss Aversion คือ อคติทางความคิด (Cognitive Bias) รูปแบบหนึ่ง
ที่ว่าด้วยเรื่อง มนุษย์จะพยายาม “หลีกเลี่ยงการสูญเสีย” ให้ได้มากที่สุด
โดยแนวคิดนี้มีการศึกษาทั้งในทางจิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ตั้งแต่ปี 1979
โดยคุณ Daniel Kahneman และผู้ช่วยของเขาที่ชื่อว่าคุณ Amos Tversky
ซึ่งแนวคิดนี้ อธิบายได้ง่าย ๆ ว่า
มนุษย์ให้ความสำคัญกับความทุกข์จากการสูญเสีย มากกว่าความสุขจากการได้รับมา
โดยงานวิจัยนี้ พบว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์จากการสูญเสีย
มีอิทธิพลกับมนุษย์ มากกว่า ความสุขจากการได้รับ ราว 2.3 เท่า
อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือว่า
ถ้าเรารู้สึกเป็นทุกข์เพราะเงิน 100 บาท หายไป
การได้เงินจำนวน 100 บาท กลับคืนมา
ไม่ได้ช่วยให้เราคลายจากความทุกข์ที่เงิน 100 บาท หายไป ได้ทั้งหมด
แต่เราต้องได้รับเงินกลับมาประมาณ 230 บาท
ถึงจะชดเชยความทุกข์ จากการที่เงิน 100 บาท หายไปได้
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงกลัวและไม่ชอบการสูญเสีย
รวมทั้ง พยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้ได้มากที่สุด
ถ้าใครยังนึกภาพตามไม่ออก ลองมาดูตัวอย่างกัน..
หากเรามี 2 ตัวเลือก ในการสุ่มรางวัล โดยให้เลือกได้เพียง 1 ตัวเลือกเท่านั้น
- ตัวเลือกที่ 1 : มีโอกาส 50% ในการได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท
- ตัวเลือกที่ 2 : มีโอกาส 100% ในการได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท
ถ้าเป็นคุณจะเลือกตัวเลือกข้อไหน ?
คำตอบของคนส่วนใหญ่ มักจะเลือกตัวเลือกที่ 2
เพราะเป็นตัวเลือกที่มีความแน่นอนมากกว่า และไม่เสียอะไรเลย ถึงอย่างไรแล้ว ก็ได้รับเงิน 5,000 บาท แน่ ๆ
แต่กลับกัน ตัวเลือกที่ 1 แม้ว่าจะมีเงินรางวัลสูงกว่าเป็นเท่าตัว
แต่ก็มีโอกาสอีก 50% ที่จะไม่ได้เงินกลับมาสักบาท คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมเลือกตัวเลือกนี้
ทีนี้ เราลองมาดูอีกตัวอย่างหนึ่ง
มี 2 ตัวเลือก ให้เลือกได้ 1 อย่าง เช่นกัน
- ตัวเลือกที่ 1 : มีโอกาส 50% ที่จะเสียเงิน 10,000 บาท และโอกาสอีก 50% ที่จะไม่เสียเงินเลย
- ตัวเลือกที่ 2 : มีโอกาส 100% ที่จะเสียเงิน 5,000 บาท
ถ้าเป็นคุณจะเลือกตัวเลือกข้อไหน ?
คราวนี้ คนส่วนใหญ่มักเลือกตัวเลือกที่ 1 มากกว่า
เพราะสมองจะตีกรอบความคิดว่า ตัวเลือกที่ 2 จะทำให้ตัวเองเสียเงินอย่างแน่นอน
เพื่อป้องกันการสูญเสีย สมองจึงชักนำความคิดให้คนเลือกตัวเลือกที่ 1 แทน
เพราะคิดว่า ยังมีโอกาสอีกครึ่งหนึ่ง ที่ตัวเองอาจจะไม่เสียเงินเลยสักบาทเดียว
นอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่บ่งบอกว่า มนุษย์กลัวการสูญเสียและพยายามหลีกเลี่ยงมัน เช่น
- คนเรามักรู้สึกเฉย ๆ หรือมีความสุขเพียงเล็กน้อย เวลาได้ของชิ้นหนึ่งมา
แต่จะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เวลาทำของชิ้นเดียวกันหายไป
- คนไม่กล้าลาออกจากงาน เพราะกลัวเสียรายได้และสถานะทางสังคมที่ตัวเองเคยมี
- คนเรามักอดทนอยู่กับคนเดิม ๆ แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่นก็ตาม
เพราะเขาเหล่านั้น กลัวการสูญเสียช่วงเวลาที่ดีในอดีต หรือสิ่งที่เคยได้ทำร่วมกันมา
- คนเรามักซื้อของช่วงลดราคาพิเศษ แม้จะไม่ได้ต้องการใช้ของชิ้นนั้นก็ตาม
เพราะกลัวสูญเสียโอกาสที่จะได้รับส่วนลด พร้อมกับคิดว่าสักวันหนึ่งก็คงได้ใช้
แล้วถ้าสิทธิพิเศษนั้นมีเงื่อนไขจำกัดอีก เช่น จำกัดเวลา จำกัดจำนวน จำกัดสถานที่
ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
ในจุดนี้เอง เราจึงเห็นหลายแบรนด์นำกลยุทธ์มอบสิทธิพิเศษ มาใช้ร่วมกับกลยุทธ์สร้างความขาดแคลน (Scarcity Marketing)
เพื่อให้เรารู้สึกว่า ถ้าพลาดสิทธิพิเศษครั้งนี้ไป จะต้องเสียใจในภายหลังแน่ ๆ
แล้วทำไม Loss Aversion ถึงมีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์มากขนาดนี้ ?
คำถามนี้ต้องย้อนกลับไปในอดีต เมื่อหลายแสนปีก่อน
ที่มนุษย์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลา
ทั้งการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง ต่อสู้กับสัตว์ป่า
โรคระบาด อาหารการกิน หรือสภาพอากาศที่โหดร้าย เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์
การตัดสินใจแต่ละครั้งของมนุษย์ จึงสำคัญอย่างมาก
เพราะราคาที่ต้องจ่ายให้กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงชีวิตได้เลย
ดังนั้น คนที่มีอัตรารอดชีวิตสูง จึงมักเป็นคนที่ระมัดระวังภยันตราย
กลัวการสูญเสีย และพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้มากที่สุด
ทำให้ลักษณะนิสัยนี้ของมนุษย์ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติ ให้มีการสืบทอดต่อกันมาเรื่อย ๆ ทางพันธุกรรม
และมันก็ยังคงปรากฏหลงเหลืออยู่ในลักษณะนิสัยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมกลยุทธ์สร้างความขาดแคลนถึงทำให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น ?
ก็เป็นเพราะว่า ลึก ๆ แล้ว มนุษย์มีสัญชาตญาณในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ให้หลีกเลี่ยงการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
นั่นจึงทำให้ คนที่สนใจซื้อสินค้าอยู่แล้ว
ไม่อาจปฏิเสธสิทธิพิเศษที่แบรนด์มอบให้โดยง่าย
และถ้ายิ่งมีการจำกัดเวลา หรือจำกัดจำนวน
ก็จะยิ่งเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า ได้รวดเร็วมากขึ้นไปอีก
เพราะลึก ๆ แล้ว เราทุกคน ต่างกลัวที่จะสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่จะได้รับส่วนลดไปนั่นเอง..
หรือจำกัดจำนวนลูกค้าที่จะได้รับส่วนลด เช่น ลดราคา 50% สำหรับลูกค้า 50 ท่านแรกเท่านั้น
หรือให้โทรมาตอนนี้ เพื่อรับสินค้าราคาพิเศษ
เหตุผลหนึ่งมาจากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาและความรู้สึก ที่ชื่อว่า “Loss Aversion”
แล้ว Loss Aversion คืออะไร ?
Loss Aversion คือ อคติทางความคิด (Cognitive Bias) รูปแบบหนึ่ง
ที่ว่าด้วยเรื่อง มนุษย์จะพยายาม “หลีกเลี่ยงการสูญเสีย” ให้ได้มากที่สุด
โดยแนวคิดนี้มีการศึกษาทั้งในทางจิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม ตั้งแต่ปี 1979
โดยคุณ Daniel Kahneman และผู้ช่วยของเขาที่ชื่อว่าคุณ Amos Tversky
ซึ่งแนวคิดนี้ อธิบายได้ง่าย ๆ ว่า
มนุษย์ให้ความสำคัญกับความทุกข์จากการสูญเสีย มากกว่าความสุขจากการได้รับมา
โดยงานวิจัยนี้ พบว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์จากการสูญเสีย
มีอิทธิพลกับมนุษย์ มากกว่า ความสุขจากการได้รับ ราว 2.3 เท่า
อธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คือว่า
ถ้าเรารู้สึกเป็นทุกข์เพราะเงิน 100 บาท หายไป
การได้เงินจำนวน 100 บาท กลับคืนมา
ไม่ได้ช่วยให้เราคลายจากความทุกข์ที่เงิน 100 บาท หายไป ได้ทั้งหมด
แต่เราต้องได้รับเงินกลับมาประมาณ 230 บาท
ถึงจะชดเชยความทุกข์ จากการที่เงิน 100 บาท หายไปได้
ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงกลัวและไม่ชอบการสูญเสีย
รวมทั้ง พยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้ได้มากที่สุด
ถ้าใครยังนึกภาพตามไม่ออก ลองมาดูตัวอย่างกัน..
หากเรามี 2 ตัวเลือก ในการสุ่มรางวัล โดยให้เลือกได้เพียง 1 ตัวเลือกเท่านั้น
- ตัวเลือกที่ 1 : มีโอกาส 50% ในการได้รับเงินรางวัล 10,000 บาท
- ตัวเลือกที่ 2 : มีโอกาส 100% ในการได้รับเงินรางวัล 5,000 บาท
ถ้าเป็นคุณจะเลือกตัวเลือกข้อไหน ?
คำตอบของคนส่วนใหญ่ มักจะเลือกตัวเลือกที่ 2
เพราะเป็นตัวเลือกที่มีความแน่นอนมากกว่า และไม่เสียอะไรเลย ถึงอย่างไรแล้ว ก็ได้รับเงิน 5,000 บาท แน่ ๆ
แต่กลับกัน ตัวเลือกที่ 1 แม้ว่าจะมีเงินรางวัลสูงกว่าเป็นเท่าตัว
แต่ก็มีโอกาสอีก 50% ที่จะไม่ได้เงินกลับมาสักบาท คนส่วนใหญ่จึงไม่นิยมเลือกตัวเลือกนี้
ทีนี้ เราลองมาดูอีกตัวอย่างหนึ่ง
มี 2 ตัวเลือก ให้เลือกได้ 1 อย่าง เช่นกัน
- ตัวเลือกที่ 1 : มีโอกาส 50% ที่จะเสียเงิน 10,000 บาท และโอกาสอีก 50% ที่จะไม่เสียเงินเลย
- ตัวเลือกที่ 2 : มีโอกาส 100% ที่จะเสียเงิน 5,000 บาท
ถ้าเป็นคุณจะเลือกตัวเลือกข้อไหน ?
คราวนี้ คนส่วนใหญ่มักเลือกตัวเลือกที่ 1 มากกว่า
เพราะสมองจะตีกรอบความคิดว่า ตัวเลือกที่ 2 จะทำให้ตัวเองเสียเงินอย่างแน่นอน
เพื่อป้องกันการสูญเสีย สมองจึงชักนำความคิดให้คนเลือกตัวเลือกที่ 1 แทน
เพราะคิดว่า ยังมีโอกาสอีกครึ่งหนึ่ง ที่ตัวเองอาจจะไม่เสียเงินเลยสักบาทเดียว
นอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่บ่งบอกว่า มนุษย์กลัวการสูญเสียและพยายามหลีกเลี่ยงมัน เช่น
- คนเรามักรู้สึกเฉย ๆ หรือมีความสุขเพียงเล็กน้อย เวลาได้ของชิ้นหนึ่งมา
แต่จะรู้สึกเจ็บปวดมากกว่า เวลาทำของชิ้นเดียวกันหายไป
- คนไม่กล้าลาออกจากงาน เพราะกลัวเสียรายได้และสถานะทางสังคมที่ตัวเองเคยมี
- คนเรามักอดทนอยู่กับคนเดิม ๆ แม้ว่าความสัมพันธ์จะไม่ราบรื่นก็ตาม
เพราะเขาเหล่านั้น กลัวการสูญเสียช่วงเวลาที่ดีในอดีต หรือสิ่งที่เคยได้ทำร่วมกันมา
- คนเรามักซื้อของช่วงลดราคาพิเศษ แม้จะไม่ได้ต้องการใช้ของชิ้นนั้นก็ตาม
เพราะกลัวสูญเสียโอกาสที่จะได้รับส่วนลด พร้อมกับคิดว่าสักวันหนึ่งก็คงได้ใช้
แล้วถ้าสิทธิพิเศษนั้นมีเงื่อนไขจำกัดอีก เช่น จำกัดเวลา จำกัดจำนวน จำกัดสถานที่
ก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้นตามไปด้วย
ในจุดนี้เอง เราจึงเห็นหลายแบรนด์นำกลยุทธ์มอบสิทธิพิเศษ มาใช้ร่วมกับกลยุทธ์สร้างความขาดแคลน (Scarcity Marketing)
เพื่อให้เรารู้สึกว่า ถ้าพลาดสิทธิพิเศษครั้งนี้ไป จะต้องเสียใจในภายหลังแน่ ๆ
แล้วทำไม Loss Aversion ถึงมีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์มากขนาดนี้ ?
คำถามนี้ต้องย้อนกลับไปในอดีต เมื่อหลายแสนปีก่อน
ที่มนุษย์ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ตลอดเวลา
ทั้งการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกันเอง ต่อสู้กับสัตว์ป่า
โรคระบาด อาหารการกิน หรือสภาพอากาศที่โหดร้าย เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์
การตัดสินใจแต่ละครั้งของมนุษย์ จึงสำคัญอย่างมาก
เพราะราคาที่ต้องจ่ายให้กับการตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจหมายถึงชีวิตได้เลย
ดังนั้น คนที่มีอัตรารอดชีวิตสูง จึงมักเป็นคนที่ระมัดระวังภยันตราย
กลัวการสูญเสีย และพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้มากที่สุด
ทำให้ลักษณะนิสัยนี้ของมนุษย์ถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติ ให้มีการสืบทอดต่อกันมาเรื่อย ๆ ทางพันธุกรรม
และมันก็ยังคงปรากฏหลงเหลืออยู่ในลักษณะนิสัยของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมกลยุทธ์สร้างความขาดแคลนถึงทำให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น ?
ก็เป็นเพราะว่า ลึก ๆ แล้ว มนุษย์มีสัญชาตญาณในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า
ให้หลีกเลี่ยงการสูญเสียโดยไม่จำเป็น
นั่นจึงทำให้ คนที่สนใจซื้อสินค้าอยู่แล้ว
ไม่อาจปฏิเสธสิทธิพิเศษที่แบรนด์มอบให้โดยง่าย
และถ้ายิ่งมีการจำกัดเวลา หรือจำกัดจำนวน
ก็จะยิ่งเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อสินค้า ได้รวดเร็วมากขึ้นไปอีก
เพราะลึก ๆ แล้ว เราทุกคน ต่างกลัวที่จะสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่จะได้รับส่วนลดไปนั่นเอง..
ที่มา Link
23 มีนาคม 2568
15 มีนาคม 2568
ต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์
1. อบรมต่ออายุ ผ่าน DLT e-Learning ได้ตลอดเวลา
- เข้า Website https://www.dlt-elearning.com/
- ลงทะเบียน กรอกข้อมูล เลือกประเภทใบอนุญาตขับขี่
- ชมวิดีโออบรมความรู้ ทำแบบทดสอบ รับผลการอบรม บันทึกภาพเก็บไว้
- จองคิวผ่านแอป DLT smart queue นำเอกสารประกอบคำขอ ผลการอบรม เข้ารับใบขับขี่ตามวัน-เวลาที่จองคิว
2. อบรมแล้ว จองคิวผ่านแอป เพื่อต่ออายุใบขับขี่
- เพื่อความสะดวกในการดำเนินการ จองคิวได้ที่ DLT Smart Queue
05 มีนาคม 2568
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่! คนรวย (อาจ) ไม่ได้เก่งเท่าที่คุณคิด พวกเขาแค่ ‘โชคดี’ กว่า เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ถ้าเก่งจริงทำไมไม่รวย?’ หรือเปล่...
-
ลองมาดูราคาของ iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท - iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท - iPhone ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
1. อบรมต่ออายุ ผ่าน DLT e-Learning ได้ตลอดเวลา เข้า Website https://www.dlt-elearning.com/ ลงทะเบียน กรอกข้อมูล เลือกประเภทใบอนุญาตขับขี่ ช...
-
หวยเกษียณคือ สลากที่รัฐบาลเปิดขายให้ประชาชนทั่วไปอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ซื้อได้ไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท เงินต้นไม่หาย ถ้าถูกรางวัลจะได้รับเ...
-
บุฟเฟ่ต์อาหารเช้า โรงแรมประจักษ์ตราดีไซน์โฮเทล (อุดรธานี) เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 6:30 A.M. - 10:00 A.M. ราคาคนละ 149 บาท ติดต่อสอบถาม โทร ...
-
COA - Challenge of Ascension Google Sheet: Link ToA Hell Reddit: Link
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายไ...
-
*คนที่อายุครบ 55 ปี ต้องไปแจ้งรับสิทธิ์ที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน ภายใน 1 ปี ไม่งั้นถือว่าสละสิทธิ์ ที่มา SSO https://www.kwilife.com...
-
CJ Group เป็นน้องใหม่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ค่อนข้างน่ากลัว โดยจุดเด่นหลักๆ ของ CJ Group คือ Location เยี่ยม คือไปเปิดทำเลติดหรือใกล้ๆ กับ 7-...