19 กรกฎาคม 2568

ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?

ไม่ว่าคุณจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ หรือคนทำธุรกิจ ที่มีเงินโอนเข้าบัญชีอยู่บ่อยครั้ง หากเข้าเกณฑ์ของกฎหมาย e-Payment ธนาคารมีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลรายงานกับกรมสรรพากร โดยเริ่มนับยอดเงินเข้าธนาคาร ตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. ของทุกปี ดังนี้
  1. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะเท่าไหร่ก็ตาม (นับรวมทุกบัญชีของแต่ละธนาคารนั้นๆ)
  2. มีการฝากหรือรับโอนเงิน 400 ครั้งขึ้นไปต่อปีและมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท ขึ้นไป



ตัวอย่าง
  1. เงินเข้า 500 ครั้ง ยอดเงิน 1.5 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  2. เงินเข้า 200 ครั้ง ยอดเงิน 10 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
  3. เงินเข้า 4,000 ครั้ง ยอดเงิน 1 แสนบาท = ถูกส่งข้อมูล




15 กรกฎาคม 2568

วินัยการเงินในวันนี้สร้างเศรษฐีในวันหน้า เคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก

วินัยการเงินในวันนี้สร้างเศรษฐีในวันหน้า เคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก



ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินเป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันได้ตั้งแต่เยาว์วัย ผู้ที่สามารถสอนการเงินกับเด็กได้ไม่ได้มีเพียงแต่คุณครูในรั้วโรงเรียน ผู้ปกครองของเด็กสามารถสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจของเด็กที่มีต่อการเงินได้ตั้งแต่ในบ้าน ยิ่งเด็กได้เรียนรู้การเงินจากคนในบ้านมากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงมั่นคงให้แก่เด็กได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ในครั้งนี้ ลงทุนศาสตร์ขอนำเสนอเคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ [1, 2, 3]



ข้อแรก สอนให้เด็กเข้าใจความต่างระหว่างความต้องการและความจำเป็น เด็กจะมีพื้นฐานการเงินที่ดีได้จากความเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จำเป็นเสมอไป หากทำความเข้าใจได้ระหว่างสิ่งที่ขาดไม่ได้ และสิ่งที่แค่อยากได้ ย่อมทำให้เด็กสามารถทำความเข้าใจความต้องการของตนเอง และจัดการการเงินได้อย่างเหมาะสม



ข้อสอง ให้เด็กเป็นผู้ควบคุมการเงินของตนเอง ผู้ปกครองบางท่านอาจเลือกที่จะควบคุมการเงินของเด็กทั้งหมด แต่การให้อิสระกับเด็กในการควบคุมเงินจะทำให้เด็กรู้ถึงคุณค่าของเงินอย่างชัดเจนด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะบริหารเงินด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ



ข้อสาม ฝึกให้เด็กตั้งเป้าหมายในการเก็บออม หากต้องการให้เด็กรู้จักเก็บออม ต้องสร้างเป้าหมายในการออมให้กับเด็กด้วย เพื่อให้เด็กได้มีแรงจูงใจในการเก็บเงินได้อย่างเหมาะสม



ข้อสี่ หาที่เก็บเงินให้กับเด็กอย่างปลอดภัย มองหากระปุกออมสินน่ารักที่เด็กชื่นชอบ หรือพาเด็กไปทำความรู้จักกับการเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อให้เด็กมีแรงจูงใจในการฝากเงิน และรู้สึกว่าการเก็บเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว



ข้อห้า สอนให้เด็กได้รู้จักวิธีจดบันทึกรายรับรายจ่ายของตนเอง การมีบันทึกรายรับรายจ่ายทำให้เด็กมองเห็นเส้นทางความเคลื่อนไหวเงินของตนเอง และรู้จักพิจารณาการใช้จ่ายของตนเองได้มากขึ้น



ข้อหก ให้เงินสนับสนุนการออมของเด็กเป็นรางวัล หากเด็กเก็บออมได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ท่านอาจมอบเงินสนับสนุนให้เด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดีกับการเก็บเงินได้ถึงเป้าหมาย



ข้อเจ็ด หากเด็กต้องการใช้เงินซื้อของที่มีราคาแพง ท่านอาจลองให้เด็กได้ยืมเงินและทยอยผ่อน ผู้ปกครองสามารถจำลองการเป็นเจ้าหนี้ และให้เด็กลองเป็นลูกหนี้ที่ทยอยผ่อนจ่าย เพื่อให้เด็กเข้าใจวงจรทางการเงินได้มากขึ้น



ข้อแปด พูดคุยเรื่องการเงินกับเด็กอยู่เสมอ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยเรื่องการเงินเป็นเรื่องปกติธรรมดา และระวังอย่าเข้มงวดมากเกินไปจนตึงเครียด



ข้อเก้า ให้โอกาสเด็กได้ลองทำผิดพลาดดูบ้าง อย่าตำหนิเด็กอย่างรุนแรงหากว่าเด็กไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ปล่อยให้เด็กได้ลองผิดลองถูกจนกว่าจะเข้าใจความสำคัญของการเก็บเงินได้ด้วยตนเอง ผู้ปกครองทำได้ดีที่สุดด้วยการประคับประคอง ไม่ใช่การบังคับให้เป็นไปตามต้องการ



ข้อสุดท้าย ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างวินัยทางการเงิน คำสอนใดใดก็ไร้ความหมายหากผู้ปกครองไม่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็น



การปลูกฝังพื้นฐานการเงินให้กับเด็กในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับเด็กอย่างมากในวันข้างหน้า ลงทุนศาสตร์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเด็ก ๆ ที่ได้เติบโตมาจะมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรง จากการปลูกฝังความรู้ทางการเงินจากที่บ้านอย่างต่อเนื่อง



ที่มา ลงทุนศาสตร์ – Investerest

14 กรกฎาคม 2568

หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

หุ้นโลก ซึ่งดัชนีหลัก ๆ ก็คือ S&P500 Nasdaq และดัชนี Dow Jones ต่างก็ปรับตัวขึ้นจน “สูงสุดในประวัติศาสตร์” หรือใกล้จุดสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว และก็เช่นเดียวกับหุ้นในหลาย ๆ ตลาดที่นักลงทุนติดตามกันเช่น ญี่ปุ่นหรือแม้แต่จีนฮ่องกงเอง ที่อดีตเคยซบเซาเงียบเหงามานาน ในระยะเร็ว ๆ นี้ ดัชนีหุ้นก็วิ่งขึ้นเร็วสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักลงทุนทั่วโลก

ตรงกันข้ามกับหุ้นไทยที่ย่ำแย่มานานนับ 10 ปี และปีนี้ก็ยังแย่อยู่ และก็แย่มากขึ้นไปอีกโดยที่คนก็โทษภาษีการค้าของทรัมป์ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ถูกกระทบหนัก เพราะความเป็นจริงก็คือ แทบทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างก็โดนเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นของพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีมากแบบ “ผิดคาด” ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงแทบจะเป็นตลาดหุ้นเดียวที่แย่ และนับจากต้นปีเราก็เป็นตลาดที่ “ตกมากที่สุด” ในบรรดาตลาดหุ้นหลัก ๆ ของย่านนี้

บางทีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่และตลาดหุ้นอื่นดีนั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า และก็อาจจะเป็นปัจจัยระยะยาวที่ดำเนินมานานพอสมควรแล้วและก็กระทบและมีผลต่อตลาดหุ้นมาตลอด เรื่องสงครามการค้านั้น อาจจะไม่ได้มีผลมากอย่างที่คิด และถึงจะมีก็อาจจะน้อยกว่าเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI ที่อาจจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดหุ้นที่สามารถลบล้างผลเสียของสงครามการค้าได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีสูง

ผมเองไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็จะใช้ ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศหรือตลาดหลัก ๆ มาอธิบายเท่าที่จะทำได้ โดยการมองย้อนหลังกลับไปเป็นระยะ ๆ คือ 10 ปี 5 ปี และจากต้นปีถึงวันนี้ประมาณ 6-7 เดือน ตามลำดับ

ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดมองย้อนหลังไป 10 ปี ก็คือ Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นดิจิทัลไฮเท็คและแน่นอน AI ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ดัชนีแนสแด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นปรับตัวขึ้น 3 เท่าหรือ 300% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 16.1% ในเวลาติดต่อกัน 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีนั้นเติบโตยิ่งกว่ามาก หุ้นอย่าง NVIDIA น่าจะเติบโตเป็น 100 เท่าและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี

มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีแนสแด็กก็โตขึ้น 95.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.9% ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีก็ยังเติบโตเร็วอยู่ทั้ง ๆ ที่ ขนาดของบริษัทหรือหุ้นนั้นใหญ่มาก “คับโลก” อยู่แล้ว

จากสิ้นปีที่แล้วหรือต้นปีถึงวันนี้ มีช่วงที่ดัชนีตกลงมาแรงในช่วงต้นปีที่เกิดการประกาศสงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ดัชนีตกลงมาแรงกว่า 10% และคนคิดว่า “หมดยุคหุ้นบูม” ที่ดำเนินมายาวนานแล้ว แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่และสูงขึ้นไปกว่าเดิมที่เคยเป็นจุดสูงสุด นับจากต้นปี ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 3.2% และตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความคึกคัก สถิติต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกันเองนั้น ดูเหมือนจะชี้ว่าอเมริกายังคงแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโลกมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนอย่างที่ทรัมป์พูดว่า “Make America Great Again” ซึ่งแฝงนัยว่าอเมริกาแย่และจะต้องฟื้นฟูอเมริกาโดยการตั้งกำแพงกันผู้อพยพและสินค้าเข้าประเทศอย่างบ้าคลั่ง

ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นถึง 218% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนบทต้นปีละ 12.3% ตลอด 10 ปี และในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนไม่รวมปันผลถึง 73.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.7% ลดลงเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงขนาด Market Cap. ที่ใหญ่ขึ้นมาก คือมูลค่าตลาดใหญ่เกินกว่า 2 เท่าของรายได้ประชาชาติของสหรัฐไปแล้ว ในขณะที่บัฟเฟตต์เองเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าสูงเท่ากับ GDP ก็ถือว่าตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว

ตั้งแต่ต้นปี S&P ก็เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่มีช่วงตกใจดัชนีลดลงจากเรื่องภาษีทรัมป์ แต่ขณะนี้บวกไปแล้วจากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 7% และนำโดยหุ้นเท็คขนาดยักษ์อย่าง NVIDIA เป็นต้น

จากสหรัฐ ผมอยากกลับมาที่ประเทศกำลังพัฒนาที่กำลัง ถูกปั้นให้เป็น “The New Great Economy” นั่นคือ อินเดีย และ เวียตนาม ซึ่งผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากประเทศที่จนมากและแทบไม่มีความสำคัญ กลายเป็นประเทศที่ผู้นำระดับโลกต้องมาเยี่ยมเยียน เจรจา และ “เกรงใจ” เมื่อจะทำอะไรที่กระทบกับ 2 ประเทศนี้

ดัชนีหุ้นอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเกือบ 200% เป็น 3 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.6% ไม่รวมปันผล และในช่วง 5 ปีหลัง ดัชนีเติบโตขึ้นถึง 125.8% หรือเท่ากับ 17.7% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งสูงยิ่งกว่าดัชนีแนสแด็กที่ว่าสูงมากเสียอีก และนั่นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียที่คนไทยแทบไม่รู้จักเมื่อ 5-6 ปีก่อน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยสนใจมากขึ้นมาก ผลงานนับจากต้นปีนี้ก็ยังทำได้ดีคือบวกประมาณ 5-6%

ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 135% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% แบบทบต้นไม่รวมปันผล ในช่วง 5 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้น 67.6% หรือให้ผลตอบแทน 10.9% ซึ่งก็ต้องถือว่าค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อคำนึงถึงว่าเวียตนามยังเป็นตลาด “Frontier Market” ที่สถาบันนักลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติยังไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 15% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ตกลงดีลการค้ากับอเมริกาได้สำเร็จ

ตลาดหุ้นฮั่งเส็งซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะคล้ายตลาดหุ้นไทยที่สุดในแง่ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองที่ทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปในด้านของความเป็นเสรีทางเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดัชนีฮั่งเส็งลดลงมาประมาณ 25% ในเวลา 10 ปีหรือลดลงเฉลี่ยปีละ 2.8% แบบทบต้น หรือเรียกว่าเป็น “Loss Decade”

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังลดลงประมาณ 10% หรือลดลงปีละ 2.1% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาล ดัชนีฮั่งเส็งก็เริ่มดีขึ้นมากทั้ง ๆ ที่สงครามการค้ารุนแรงและอนาคตของเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่สดใส ดัชนีตั้งแต่ต้นปีได้ปรับตัวขึ้นถึง 12.9% เราคงต้องจับตาดูต่อไปว่าจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นเคยตกต่ำเป็น Loss Decade มาไม่น้อยกว่า 10-20 ปี แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการปฎิรูปอย่างสำคัญของชินโสะอาเบะนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความหวังและพร้อมกลับมามีบทบาทมากขึ้นในโลก

ดัชนีนิกเกอิปรับตัวเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 10 ปีคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.5% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยเป็นเวลาสิบ ๆ ปีติดต่อกัน ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 65% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.6% ซึ่งก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้าย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันก็ยังเสมอตัวแม้ว่าต้องเผชิญกับภาษีทรัมป์
กล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องถือว่าตลาดญี่ปุ่นน่าจะสะท้อนว่า ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะ “Loss Decades” แล้วอย่างสมบูรณ์จากการที่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจที่หยุดยั้งการถดถอยของ GDP ที่เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน

สุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10 ปี ดัชนีลดลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีปัญหาทางการเมืองซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และเกิดการรัฐประหารซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี ผลก็คือ ดัชนีช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลง 22% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ -2.5%
ในขณะที่มองย้อนหลัง 5 ปี ดัชนีลดลง 15.6% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น -3.3% ในช่วงเวลาติดต่อกัน 5 ปี และถ้ามองจากต้นปีถึงวันนี้ ดัชนีก็ติดลบไปแล้วถึง 19.9% แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง

ภาพของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยถึงวันนี้ก็คือ เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรียกว่า “Loss Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ที่ยังอาจจะไม่หมดและยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแบบของจีนหรือญี่ปุ่น


08 กรกฎาคม 2568

MongoDB check index creation progress information

MongoDB check index creation progress information

db.adminCommand( { currentOp: true, $or: [ { op: "command", "command.createIndexes": { $exists: true } }, { op: "none", "msg" : /^Index Build/ } ] } )

06 กรกฎาคม 2568

เจาะลึกภาวะตลาดหมีของ S&P500 บทเรียนจากอดีตและความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ


ดัชนี S&P500 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและตลาดหุ้นโลก ไม่ได้มีแต่ช่วงขาขึ้นที่สดใสเท่านั้น แต่ยังเคยเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากที่เรียกว่า "ภาวะตลาดหมี" (Bear Market) อยู่หลายครั้ง ภาวะตลาดหมีจะเกิดขึ้นเมื่อดัชนีมีการปรับตัวลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดก่อนหน้า การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ของภาวะตลาดหมีเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุน เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนและเรียนรู้จากบทเรียนในอดีต



เปิดตำนานภาวะตลาดหมีของ S&P500

ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา S&P500 ได้เผชิญกับภาวะตลาดหมีมาแล้วหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งล้วนมีปัจจัยกระตุ้นและระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ดังนี้:

1. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) (กันยายน 1929 – มิถุนายน 1932): นี่คือภาวะตลาดหมีที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ S&P500 โดยดัชนีลดลงอย่างมหาศาลถึง -86.2% เป็นผลมาจากฟองสบู่ในตลาดหุ้น การว่างงานที่สูงขึ้น และความล้มเหลวของภาคธนาคาร


2. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งที่สอง / ภาวะถดถอยปี 1937 (มีนาคม 1937 – มีนาคม 1938): หลังจากที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวจาก Great Depression ก็ต้องเผชิญกับการปรับฐานอีกครั้ง โดยดัชนีลดลงประมาณ -54.5% ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการเงินและการคลังที่ผิดพลาด


3. วิกฤตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พฤษภาคม 1946 – มิถุนายน 1949): แม้สงครามจะสิ้นสุดลง แต่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังสงครามทำให้ตลาดมีความผันผวน ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -29.6%


4. ภาวะถดถอยไอน์สไตน์ (กรกฎาคม 1957 – ตุลาคม 1957): เป็นภาวะตลาดหมีที่ค่อนข้างสั้นและไม่รุนแรงมากนัก ดัชนีลดลงประมาณ -20.7%


5. การร่วงลงอย่างรวดเร็วในปี 1962 / สงครามเย็น (ธันวาคม 1961 – มิถุนายน 1962): ความตึงเครียดของสงครามเย็นและปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้ตลาดปรับตัวลง ดัชนีลดลงประมาณ -28.0%


6. ตลาดหมีขนาดเล็กปี 1966 (กุมภาพันธ์ 1966 – ตุลาคม 1966): ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -22.2% ในช่วงสั้นๆ


7. วิกฤตหุ้นเทคโนโลยีปี 1970 (พฤศจิกายน 1968 – พฤษภาคม 1970): แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่า Dot-Com ในภายหลัง แต่ตลาดหุ้นที่ลดลงในช่วงนี้ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -35.4%


8. ภาวะเงินเฟ้อสูง (Stagflation) (มกราคม 1973 – ตุลาคม 1974): เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญกับทั้งเงินเฟ้อสูงและการเติบโตที่ซบเซา ส่งผลให้ S&P500 ลดลงอย่างรุนแรงถึง -48.2%


9. การคุมเข้มนโยบายของโวลเกอร์ (พฤศจิกายน 1980 – สิงหาคม 1982): ธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายใต้ประธาน Paul Volcker ได้ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -27.1%


10. วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday) (สิงหาคม 1987 – ธันวาคม 1987): แม้เป็นการลดลงที่รวดเร็วและรุนแรงในวันเดียว (วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987) แต่ภาวะตลาดหมีโดยรวมกินเวลากว่านั้น โดยดัชนีลดลงประมาณ -33.5%


11. ฟองสบู่ Dot-Com แตก (มีนาคม 2000 – ตุลาคม 2002): ฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พองตัวมานานได้แตกออก ส่งผลให้ S&P500 ร่วงลงเกือบครึ่งหนึ่งที่ประมาณ -49.1%


12. วิกฤตการณ์การเงินโลก (Global Financial Crisis) (ตุลาคม 2007 – มีนาคม 2009): วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์และการล่มสลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง S&P500 ลดลงถึง -56.8% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression


13. การระบาดของโควิด-19 (กุมภาพันธ์ 2020 – มีนาคม 2020): เป็นภาวะตลาดหมีที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P500 ดิ่งลงกว่า -33.9% ภายในเวลาเพียงประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก


14. เงินเฟ้อ / การคุมเข้มนโยบายของเฟด (มกราคม 2022 – ตุลาคม 2022): การที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุม ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานลง ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -25.4%



บทสรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน

ประวัติศาสตร์ของภาวะตลาดหมีใน S&P500 แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ และช่วงเวลาที่ราคาหุ้นตกต่ำนั้นเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจดจำคือ หลังจากการลดลงอย่างรุนแรง ตลาดหุ้น S&P500 ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอในเวลาต่อมา



การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถ:
  • เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน: เข้าใจว่าภาวะตลาดหมีเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด
  • มีวินัยในการลงทุน: หลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก
  • มองหาโอกาสในวิกฤต: บางครั้งภาวะตลาดหมีก็เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง
การลงทุนระยะยาวและกระจายความเสี่ยงยังคงเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาด และคว้าโอกาสในการเติบโตที่ S&P500 ได้พิสูจน์ให้เห็นมาตลอดประวัติศาสตร์



Prompt Reference:

"list ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ของดัชนี S&P500 ทั้งหมด และ ลบกี่ % (เรียงตามวันที่ เก่ากว่า ไปใหม่กว่า)"

05 กรกฎาคม 2568

เที่ยวไทยคนละครึ่ง ปี 2568

 




รายละเอียด การลงทะเบียน การใช้สิทธิ์ และตรวจสอบสิทธิ์ได้ที่ Link

หุ้นใครไร้กังวล - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ผมคิดว่าเต็มไปด้วยความ “กังวล” เหตุเพราะว่ามีเรื่องที่ “เลวร้าย” กับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเกิดขึ้นแทบไม่เว้นวัน

ล่าสุดก็คงต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อ 2-3 วันก่อนที่ดูเหมือนว่าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรจะไม่สามารถสรุปได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หรืออีกแค่ 2-3 วันที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาถึง 36% ซึ่งก็จะเป็นอัตราที่น่าจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐลดลงมาก และก็จะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเติบโต GDP ของไทยในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปที่มีการคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะโตช้ามากอยู่แล้ว

ว่าที่จริงหน่วยงานระดับธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้และ 1.7% ในปีหน้าจากที่เคยคาดว่าจะเกิน 2% ในทั้ง 2 ปี และนั่นก็อาจจะยังไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากการปรับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ด้วย

เรื่องนี้ก็คงจะทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจและอาจจะนอนไม่ค่อยหลับถ้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากโดยเฉพาะที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐเป็นจำนวนมาก

แต่คนที่กังวลใจยิ่งกว่านั้น น่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลักหรือเป็นจำนวนมากที่กังวลว่าสินค้าของตนเองจะ “ขายไม่ได้” หรือขายได้น้อยลงมาก เพราะราคาของสินค้าสู้กับคู่แข่งที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าสินค้าจากไทยซึ่งก็รวมถึงสินค้าจากเวียตนามที่ได้ตกลงกับสหรัฐเรียบร้อยแล้วว่าจะเสียภาษีนำเข้าที่ 20% สำหรับหลาย ๆ บริษัทแล้ว นี่อาจจะเป็น “หายนะ”

ผมไม่คิดว่าคนงานที่ทำงานในกิจการส่งออกจะรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา การผลิตและส่งออกดีขึ้นมาก แต่เหตุผลน่าจะมาจากการที่โรงงาน “เร่งผลิต” และส่งออกก่อนที่ “ภาษีทรัมป์” จะถูกบังคับใช้ แต่หลังจากวันที่ 9 ก.ค. ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเพราะภาษีนำเข้าสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และวันนั้นคนงานจำนวนมากอาจจะต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหน เพราะโรงงานหลายแห่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะกำลังปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้

เรื่องที่น่ากังวลที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีต้องถูก “พักงาน” และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องหลุดจากตำแหน่งหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญกรณี “คลิปปล่อยของฮุนเซน” ผู้นำของกัมพูชา

ที่น่ากังวลก็เพราะว่ากรณีนี้ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งเพียงไม่กี่เสียงเกิดความไม่มั่นคงและอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ เพราะนอกจากการแพ้โหวตในสภาแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามลงถนนประท้วงและใช้ “นิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลอย่างที่เคยใช้ได้ผลมานานในการเมืองของไทย

การที่รัฐบาลอาจจะล้มนั้น ผลกระทบสำคัญในระยะสั้นก็คือ งบประมาณประจำปีหน้าก็จะออกช้าลงไปอย่างน้อย 6-9 เดือน โครงการที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือการแก้ปัญหาสังคมการเมืองก็จะช้าตามกันไป ส่วนในระยะยาวเองนั้น ความสามารถทางการแข่งขันของไทยก็จะยิ่งด้อยลงไป เพราะการลงทุนของไทยที่ช้าลงนั้น ทำให้คู่แข่งพัฒนาไปจนเราตามไม่ทัน และเราจะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในเศรษฐกิจและการเมืองของโลก

เป็นเรื่องที่น่ากังวลและบางครั้งก็ทำให้คน “สูงอายุ รวย และใจเย็น” อย่างผม ที่ไม่ควรกังวลอะไรแล้ว “นอนไม่หลับ” เพราะคิดถึงคนไทยและลูกหลานที่กำลังเติบโตขึ้น ไม่รู้ว่าประเทศไทยในอีกหลายสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ในฐานะของนักลงทุนที่ได้ปรับโครงสร้างพอร์ตหุ้นไปแล้วบางส่วน กล่าวโดยเฉพาะก็คือ มีพอร์ตหุ้นเวียตนาม 30% กว่า ๆ เงินสดประมาณ 10% ต้น ๆ และพอร์ตหุ้นไทยประมาณ 55% ความกังวลของผมต่อการลงทุนก็น่าจะมีเพียงครึ่งเดียวคือ พอร์ตหุ้นไทย และเนื่องจากการที่ผมกังวลเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไทยของไทยมานานหลายปีแล้ว ผมจึงลงเฉพาะหุ้นแนว “Defensive” คือหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยต่อภาวะเลวร้ายต่าง ๆ ได้ดี และมีราคาถูก ดังนั้น โอกาสที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงก็ควรจะน้อยลง ดังนั้น ผมจึงไม่ได้กังวลมากนักในช่วง “เวลาแห่งความกังวล” ที่กำลังเกิดขึ้น

พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้น ผมรู้สึกว่าแทบจะ “ไร้ความกังวล” ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศสงครามการค้า ซึ่งในช่วงแรก ผมกลับคิดว่าอาจจะเป็นผลดีต่อเวียตนามที่จะได้อานิสงค์จากการเป็นตัวแทนจีนในการผลิตสินค้าให้กับอเมริกา อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็ดูเหมือนว่าทรัมป์จะ “เล่นงาน” ทุกประเทศ รวมถึงเวียตนามที่ได้ดุลการค้าอเมริกามหาศาลอันดับ 3 หรือ 4 รองเฉพาะจีนกับเม็กซิโก แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่าเวียตนามก็จะไม่ถูกกระทบ เพราะยังไงคนอเมริกันก็ต้องใช้สินค้านำเข้าในสิ่งที่อเมริกาไม่สามารถผลิตได้ที่ต้นทุนที่ยอมรับได้ และคนที่จะส่งให้อเมริกานั้น ยังไงก็ต้องมีเวียตนามอยู่ด้วย

การประกาศข้อตกลงการค้าเวียตนามกับอเมริกาที่ “0-20-40” หรือ สินค้าที่อเมริกาส่งเข้าเวียตนามไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร สินค้าที่เวียตนามส่งเข้าอเมริกาจะเสียภาษี 20% ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตในเวียตนามและโดยคนเวียตนาม และเสียภาษี 40% กรณีที่เป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนจีนแต่มาอาศัยเวียตนามเป็นคนส่งออกแทนนั้น ผมคิดว่าเป็นดีลที่ “ดีเยี่ยม” สำหรับเวียตนาม

เพราะดีลนี้น่าจะเป็นดีลที่ “win-win” คือได้ประโยชน์มากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ อเมริกาสามารถส่งสินค้าไฮเท็ค เช่น สินค้าเกี่ยวกับดิจิทัลและชิพอิเลคโทรนิก เครื่องบินพานิชย์ และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงให้เวียตนามได้มากขึ้นแทนที่ยุโรปที่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรและอาหารหลาย ๆ อย่าง รวมถึงอาหารสัตว์ที่อเมริกามีความสามารถและผลิตได้เหลือเฟือที่จะกลายเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารของเวียตนามที่จะส่งกลับไปยังสหรัฐได้

ในด้านของเวียตนามเองนั้น อัตราภาษีนำเข้าที่ 20% ของอเมริกานั้น ผมเชื่อว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าคู่แข่งเช่น จีนที่สูงถึงกว่า 50% ซึ่งผมคิดว่าด้วยศักยภาพของเวียตนามที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้สินค้าของเวียตนามสามารถแข่งขันกับสินค้าของจีนได้ ส่วนกรณีของคู่แข่งอื่นโดยเฉพาะไทยเองนั้น คงต้องดูว่าเราจะได้ดีลอย่างไร แต่ผมเองคิดว่าไทยมีข้อเสียเปรียบเวลาไปเจรจากับอเมริกาหลายด้าน

เรื่องแรกก็คือ ปัญหาทางการเมืองที่ผมคิดว่าในยามที่รัฐกำลังประสบปัญหาความมั่นคงของรัฐบาล เราอาจจะไม่สามารถรับปากหรือตกลงอะไรที่จะทำให้ถูกต่อต้านจากคนที่เสียประโยชน์จากสัญญาการค้าได้มากนัก ตัวอย่างเช่นเรื่องของสินค้าเกษตรบางอย่างที่เราเคยกีดกันสินค้าจากอเมริกา เช่น พวกเนื้อและเครื่องในสัตว์เป็นต้น เราจึงอาจจะไม่ยอมตกลงให้สินค้าทุกชนิดของอเมริกาเข้าไทยโดยไม่มีภาษีแบบในกรณีของเวียตนาม

เรื่องต่อมาก็คือ ในระยะหลัง เราเองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองใกล้ชิดกับอเมริกาเหมือนก่อน ในขณะที่เวียตนามนั้น กลายเป็น “เพื่อน” และถ้าวันหนึ่งต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายใดระหว่างจีนหรือสหรัฐ คงเลือกที่จะเป็นฝ่ายอเมริกา และนั่นไม่ใช่สิ่งที่แค่คาดเดา โพลที่ทำในระดับนานาชาติชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนเวียตนามชอบอเมริกามากกว่าจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น รู้สึกว่าจีนเป็นมิตรมากกว่า

พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็นึกถึงข่าวการลงทุนมหาศาลของครอบครัวทรัมป์ในเวียตนามที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจไม่ผิด นี่จะเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวทรัมป์นอกสหรัฐ และเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลเวียตนาม ดังนั้น ผมคิดว่าเราก็น่าจะพอคาดการณ์ได้ว่า ยังไง ดีลการค้าระหว่างเวียตนามกับสหรัฐก็น่าจะต้องดีต่อเวียตนามด้วย

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สงครามการค้าครั้งนี้ ลึก ๆ แล้วมาจากการแข่งขันชิงความเป็น “เจ้าโลก” ระหว่างจีนกับอเมริกาที่คิดว่าต้องบล็อกจีนไม่ให้พัฒนาก้าวหน้าล้ำไปทั้งทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และดังนั้น ด้านหนึ่งก็ต้องใช้เวียตนามในการต้านจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น เนื่องจากบทบาททางเศรษฐกิจที่ด้อยลง และความรู้สึกที่ว่าไทยเองสนิทกับจีนมากกว่า ดังนั้น อเมริกาจึงไม่ค่อยจะสนใจมาก และคงให้ดีลที่เหนื่อยกว่าของเวียตนามกับไทย

ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผม “ไร้กังวล” กับพอร์ตหุ้นเวียตนามมาตลอดแม้ว่าผลงานการลงทุนของพอร์ตเวียตนามครึ่งปีที่ผ่านมาลดลงมาพอสมควรทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกือบ 10% และผมก็คิดมาตลอดว่า ในที่สุดพอร์ตผมก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อประเด็นเรื่องภาษีทรัมป์ผ่านไป แต่ในด้านของพอร์ตหุ้นไทยเองนั้น แน่นอนว่าผมก็ยังกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของอเมริกาที่มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวม “เละ” แต่ความกังวลของผมไม่ใช่เรื่องของพอร์ตหุ้นไทย แต่เป็นความกังวลว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะเป็นอย่างไร และคนไทยบางกลุ่มจะเดือดร้อนสาหัสและทุกข์ทรมานระดับไหน



03 กรกฎาคม 2568

GCP Cloud Dataflow use-case patterns

GCP Cloud Dataflow use-case patterns

Part 1: https://cloud.google.com/blog/products/data-analytics/guide-to-common-cloud-dataflow-use-case-patterns-part-1

Part 2: https://cloud.google.com/blog/products/data-analytics/guide-to-common-cloud-dataflow-use-case-patterns-part-2


Generate random data and write to 2 MongoDB collections

public static void main(String[] args) throws Exception {
MongoDBExportOptions options = PipelineOptionsFactory
.fromArgs(args).as(MongoDBExportOptions.class);

Pipeline pipeline = Pipeline.create(options);

// total documents to be written
int totalDocs = 1000000;

// write dummy doc1 to collection1
PCollection<Document> col1 = pipeline
.apply("Generate sequence", GenerateSequence.from(0).to(totalDocs))
.apply("Generate dummy doc1", ParDo.of(new GenerateDoc1Fn()));
.apply("Write data to collection2",
MongoDbIO.write()
.withUri("xxx")
.withDatabase("db")
.withCollection("collection1");

PCollection<Document> col2 = pipeline
.apply("Generate sequence", GenerateSequence.from(0).to(totalDocs))
.apply("Generate dummy doc2", ParDo.of(new GenerateDoc2Fn()));
.apply("Write data to collection2",
MongoDbIO.write()
.withUri("xxx")
.withDatabase("db")
.withCollection("collection2");
}


public static class GenerateDoc1Fn extends DoFn<Long, Document> {
@ProcessElement
public void processElement(@Element Long index, OutputReceiver<Document> out) {
out.output(new Document()
.append("doc1_field", "doc1_value"));
}
}

public static class GenerateDoc2Fn extends DoFn<Long, Document> {
@ProcessElement
public void processElement(@Element Long index, OutputReceiver<Document> out) {
out.output(new Document()
.append("doc2_field", "doc2_value"));
}
}

30 มิถุนายน 2568

Perfect Corner-Perfect Storm - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ก่อนที่จะเข้าบทความนี้ ผมมีเรื่องที่จะบอกกับทุกคนที่ติดตามข้อเขียนและผลงานการลงทุนของผมว่า ผมถูกมิจฉาชีพจำนวนมากแอบอ้างชื่อว่าจะให้คำแนะนำการลงทุนหรือเปิดการฝึกอบรมแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายและกระทำการอื่น ๆ อีกมากผ่านสื่อสังคมทุกรูปแบบ เมื่อเหยื่อเข้าไปติดต่อก็จะถูกหลอกให้หลงเชื่อว่าเป็นตัวผมจริงและก็จะถูกโกงจนเกิดความเสียหาย และในช่วงเร็ว ๆ นี้ ก็มีการเขียนบทความและการกล่าวอ้างว่าเป็นข้อเขียนและคำพูดของผมทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่จริง คนที่ทำอาจจะมีแรงจูงใจอะไรต่าง ๆ รวมถึงเรื่องการเมือง ที่เป็นประโยชน์กับตนเองแต่ทำให้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม

ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนรับทราบและไม่ตกเป็นเหยื่อหรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวผม ผมขอเรียนว่า ผมไม่มีหรือไม่เคยใช้สื่อสังคมของตนเองเพื่อติดต่อกับสาธารณชน เพราะผมไม่มีสื่อสังคมสาธารณะอะไรทั้งสิ้น ผมเป็นคน “โลว์เท็ค” และไม่สามารถทำเครื่องมือดิจิทัลที่เป็นสื่อสังคมสมัยใหม่และไม่สามารถโพสข้อมูลหรือข้อความอะไรทั้งนั้น บทความและรายการสัมภาษณ์ของผมนั้น จะสื่อถึงสาธารณชนผ่านสื่ออื่น ๆ ที่เป็นสถาบันหรือหน่วยงานที่มีมาตรฐานและจรรยาบรรณสูงเท่านั้น ดังนั้น ถ้าพบข้อมูลหรือการโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผมกล่าวข้างต้น ก็ต้องสรุปว่ามันเป็น “ของปลอม” อย่างแน่นอน ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือสนใจครับ

บทความสำหรับวันนี้ของผมเป็นเรื่องที่เกิดเมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา คือเรื่องที่หุ้น KTC หรือบริษัทบัตรกรุงไทย ตกลงมาแรงมาก รวมแล้วประมาณ 30% ภายในเวลา 5 วัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทก็ได้ออกมาประกาศด้วยว่าพื้นฐานและการประกอบการของบริษัทก็ปกติทุกอย่าง ซึ่งโดยนัยก็คือ ผลประกอบการในไตรมาศ 2 ของปี 2568 ที่กำลังจะจบลงในไม่กี่วันก็น่าจะ “ปกติ”

การที่หุ้นตกลงมาแรงถึง “พื้น” ติดต่อกัน 2 วัน พร้อม ๆ กับปริมาณเสนอขายจำนวนหลายร้อยล้านหุ้น คิดเป็นเงินหลายพันล้านบาท โดยที่ไม่มีผู้เสนอซื้อเลยนั้น แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหุ้นถูก “Forced Sale” หรือถูกบังคับขายเนื่องจากคนที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จินจำนวนมากและมีหนี้กับโบรกเกอร์หลักพันล้านบาทขึ้นไป ไม่มีเงินมาเติมเมื่อราคาหุ้นตกลงมาถึงจุดที่จะต้องถูกบังคับขายแล้ว

สำหรับผม ปรากฎการณ์หุ้น KTC นั้น เป็นกรณีของหุ้นที่ผมเรียกว่าเป็น หุ้นที่ “ถูกCorner” ที่ทำได้อย่าง “สมบูรณ์แบบ” ไม่ใช่ว่าราคาขึ้นไปแบบ “สุดโต่ง” จนเห็นได้ชัดแบบหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์หลาย ๆ ตัวที่มีค่า PE สูงเป็น 100 หรือ 50 เท่าในเวลาอันสั้น ว่าที่จริง คนส่วนใหญ่รวมถึงนักวิเคราะห์หุ้นแทบทั้งหมดต่างมองว่าหุ้น KTC มีพื้นฐานที่ดีเยี่ยมและราคาก็ “ไม่แพง” และน่าจะโตไปได้อีกมาก เหตุผลส่วนหนึ่งอาจจะมาจากราคาหุ้น KTC ที่ไม่เคยตกลงมาแรงเป็นเวลายาวนานหลายปีในขณะที่แม้แต่หุ้นที่ยอดเยี่ยมระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” หลาย ๆ ตัวต่างก็ทยอยตกลงมาอย่างต่อเนื่องแม้ว่าผลประกอบการก็ยังดีหรือดีกว่า KTC ด้วยซ้ำ

แต่ภายใต้การคอร์เนอร์หุ้นที่สมบูรณ์แบบของ KTC นั้น มีจุดอ่อนที่การรองรับการซื้อและถือหุ้น KTC ด้วย “หนี้” มาร์จินและการจำนำหุ้นจำนวนมหาศาล คร่าว ๆ น่าจะประมาณ 1 ใน 3 ของมูลค่าหุ้นที่เป็น “Free Float” ทั้งหมด หนี้จำนวนนี้ถูกแช่แข็งไว้ยาวนานมาก น่าจะหลายปี เพราะสถานการณ์ตลาดและตัวหุ้นที่ไม่เอื้ออำนวย ปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดที่ลดลงอย่างมาก และปริมาณการซื้อขายหุ้น KTC ที่ลดลงมากยิ่งกว่า คือลดลงเหลือแค่วันละหลักไม่เกิน 100 ล้านบาทนั้น ทำให้การ “ออกของ” หรือขายหุ้น KTC จำนวนหลายพันหรือหมื่นล้านแทบเป็นไปไม่ได้ และนี่ก็คือปัญหาของการคอร์เนอร์หุ้น KTC ที่ต้อง “แตก” ลง เพราะการถูก “Force Sale” แบบมโหฬารในวันที่เลวร้ายที่สุดของหุ้น

มาดูสตอรี่หรือเรื่องราวของหุ้น KTC กัน
เริ่มตั้งแต่ฉากสุดท้ายก่อนที่คอร์เนอร์จะแตก ตรวจดูก็จะพบว่าผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้น ชัดเจนว่าเป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในคอร์เนอร์ กล่าวคือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดหรือเรียกว่า “เจ้าของ” ที่จะไม่ขายหุ้นเลยไม่ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปแค่ไหนก็คือ ธนาคารกรุงไทย ถือหุ้นเกือบ 50%

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่เป็นกลุ่มที่เข้ามาถือหุ้นนานแล้ว และน่าจะเป็นกลุ่มที่ใช้มาร์จินหรือกู้เงินมาซื้อจำนวนมาก จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บางทีอาจจะเห็นว่านี่คือ “หุ้นสุดยอด” ที่กำลังจะโตมหาศาลในราคาที่ “ไม่แพง” ก็เลยทำแบบ “All In” ซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดและยังกู้หนี้เต็มอัตราเพื่อที่จะเร่งพอร์ตให้เติบโตขึ้นแบบทวีคูณโดยอาจจะคิดว่า “ความเสี่ยงต่ำ” กลุ่มนี้น่าจะถือหุ้นอยู่ประมาณ 20%

กลุ่มที่ 3 ที่ถือหุ้นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญก็คือ กลุ่มสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะที่เป็นกองทุน ถือหุ้นรวม ๆ กันประมาณน่าจะซัก 20% ซึ่งการถือหุ้นของกลุ่มนี้ บางทีอาจจะเป็นส่วนมากด้วย เป็นคนที่ “ถูกบังคับให้ซื้อและถือลงทุน” เพราะเป็นกองทุนที่อิงดัชนี เช่น ดัชนีหุ้น SET50 หรือดัชนี MSCI Small Cap. Index เป็นต้น

รวมแล้วผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 กลุ่มข้างต้น ที่มีแนวโน้มจะไม่ขายหุ้นแม้ว่าราคาหุ้นอาจจะขึ้นไปสูงเกินพื้นฐานมาก รวมกันแล้วถือหุ้นถึงเกือบ 90% เหลือหุ้นที่ถือโดยนักลงทุนรายย่อยแค่ประมาณ 10% ซึ่งอาจจะซื้อ ๆ ขาย ๆ แนว “เล่นหุ้น” ระยะสั้น ซึ่งก็ทำให้ปริมาณการซื้อขายต่อวันของหุ้นลดน้อยลงเหลือไม่กี่สิบล้านบาทต่อวันทั้ง ๆ ที่ Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นนั้นอยู่ในระดับแสนล้านบาทมานาน ซึ่งในทางวิชาการก็ถือว่าเป็นหุ้นที่ “สภาพคล่องต่ำ”

คอร์เนอร์หุ้น KTC นั้น น่าจะเกิดขึ้นมานานหลาย ๆ ปีแล้ว จากข้อมูลผลประกอบการย้อนหลังไปยาว ๆ นั้นก็พบว่าบริษัทเคยมีปัญหาขาดทุนต่อเนื่องหลังวิกฤติซับไพร์มในปี 2009 จนถึงปี 2012 ก็เริ่มฟื้นตัวมีกำไรเล็กน้อย และหลังจากนั้นบริษัทก็กำไรมากขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนถึงปี 2019 บริษัทก็ทำกำไรถึง 5,500 ล้านบาท และ Market Cap. แตะ 100,000 ล้านบาท จากปี 2012 ที่มูลค่าของหุ้นอยู่ที่ประมาณ 8,000 ล้านบาท หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 13 เท่าในเวลา 7 ปี

การเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น คงทำให้นักลงทุน “แห่” กันเข้าไปซื้อหุ้นจนทำให้ค่า PE ของหุ้น KTC สูงถึง 18.4 เท่าในปี ก่อน “โควิด 19” ระบาด แต่ในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนว่าหุ้นกำลังถูกคอร์เนอร์แล้ว เพราะหุ้นสถาบันการเงินขนาดใหญ่เช่น หุ้นธนาคารพาณิชย์นั้น ต่างก็มักมีค่า PE ไม่เกิน 10 เท่า แต่หุ้น KTC และหุ้นไฟแน้นซ์ที่เน้นการปล่อยกู้ให้รายย่อยหลายแห่งที่ “โตเร็ว” กลับมีค่า PE สูงกว่ามาก “กว่าเท่าตัว” คือมีค่า PE ระดับ 20 เท่าขึ้นไป

และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่า เมื่อโควิด 19 ระบาดในปี 2020 และตลาดหุ้นตกลงมาแรง หุ้น KTC กลับปรับตัวขึ้นไป 50% จาก Market Cap. แสนล้านบาทเป็น หนึ่งแสนห้าหมื่นล้านบาท ใหญ่กว่าแบ้งค์พาณิชย์หลาย ๆ แห่ง ทั้ง ๆ ที่กำไรลดลงและต่ำกว่ากำไรของแบ้งค์ที่เปรียบเทียบกัน ค่า PE ของ KTC พุ่งขึ้นเป็น 29 เท่า คอร์เนอร์หุ้น KTC สมบูรณ์แล้ว ราคาหุ้นอาจจะสูงเกิน “พื้นฐาน” ที่ควรเป็นได้ถึง 3 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเดียวกันที่ไม่ได้มีการคอร์เนอร์เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่ก็ทำธุรกิจบัตรเครดิตด้วยเช่นกัน

ผลประกอบการของ KTC ตั้งแต่ปี 2021 จนถึงสิ้นปี 2024 ยังเติบโตขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ได้เร็วหรือสูงไปกว่าแบ้งค์คือเฉลี่ยปีละประมาณ 8-9% และมีแนวโน้มถดถอยลงเรื่อย ๆ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งนี่ก็เป็นอาการแบบเดียวกับสถาบันการเงินอื่น ซึ่งเป็นผลจากปัญหาทางเศรษฐกิจของไทยที่ถดถอยลงในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ซึ่งก็ส่งผลให้หุ้นหลาย ๆ ตัว รวมถึงหุ้นไฟแน้นซ์ที่ถูกคอร์เนอร์มานาน “แตก” ราคาหุ้นตกลงมามาก บางครั้งแทบ “หายนะ”

หุ้น KTC เองนั้นต้องถือว่าสามารถประคองตัวไม่ให้คอร์เนอร์แตกได้นานมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่า ราคาของหุ้นนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้แพงมากเหมือนหุ้นคอร์เนอร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมอื่น และอาจจะเป็นเพราะว่าคนไม่เข้าใจว่า ค่า PE จะสูงหรือไม่สูงนั้น จะต้องเปรียบเทียบกับหุ้นในอุตสาหกรรมเดียวกัน

ฉากสุดท้าย คอร์เนอร์หุ้น KTC ก็แตก ผมเองคิดว่าเหตุผลใหญ่เรื่องหนึ่งก็คือ การที่ KTC ถูกถอดออกจากดัชนีอ้างอิง MSCI Global Standard Index เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้กองทุนต่างประเทศบางแห่งต้องขายหุ้นทิ้ง และจำนวนที่ขายอาจจะมากเกินกว่าที่ตลาดจะรับได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เม็ดเงินที่จะมารับหุ้น KTC ในภาวะตลาดแบบนี้คงไม่มีแล้ว พูดง่าย ๆ ไม่มีโบรกเกอร์หรือสถาบันการเงินไหนจะให้กู้อีกแล้ว ดังนั้น หุ้นจึงถล่ม ราคาหุ้น KTC ตกลงไปจนมีค่า PE ต่ำกว่า 10 เท่า ปันผลตอบแทนก็น่าจะเกิน 5% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับหุ้นอื่น ๆ ในธุรกิจเดียวกัน สำหรับผมแล้ว หุ้น KTC หลุดออกจากคอร์เนอร์แล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นหุ้นที่ถูกกว่าปกติ

ว่าที่จริง หุ้น KTC ก็ยังแพงกว่าหุ้นแบ้งค์ทั้งหลายโดยเฉพาะ KTB ซึ่งเป็นหุ้นแม่ที่มีค่า PE ไม่ถึง 7 เท่าและปันผลถึงกว่า 7% ต่อปี ดังนั้น ก่อนที่จะรีบเข้าไปเล่นเพราะคิดว่าหุ้นมีราคาต่ำกว่าพื้นฐานมาก ก็จะต้องระวังว่า หุ้นที่คอร์เนอร์แตกแล้วจะกลับสู่การคอร์เนอร์อีกครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)