03 พฤศจิกายน 2568

ใช้ AI อย่าเพิ่งซื้อหุ้น AI โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร





ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต” แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”

พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก” ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด

ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต


และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา

ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา

สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ

ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก

ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้

ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียตนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง

ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว

คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้

เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน

หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น

และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน

และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”

แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และTESLA

รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน

รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว

ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว

กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น

รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน

ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน

 

 Source: https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/696-nivate-go-ahead-and-use-ai-but-think-twice-before-buying-ai-stocks 

01 พฤศจิกายน 2568

มหาเศรษฐีอายุยืนถึง 99 ปี แม้ออกกำลังกายน้อย-ชอบกินขนมหวาน ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

มหาเศรษฐีดังระดับโลก อายุยืนถึง 99 ปี แม้จะออกกำลังกายน้อยและชอบกินขนมหวาน แต่ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

ชาร์ลี มังเกอร์ นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นหุ้นส่วนคู่หูของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เสียชีวิตในปลายปี 2023 ด้วยวัย 99 ปี แม้จะอายุมากแล้ว แต่ชาร์ลี มังเกอร์ยังคงมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมและสุขภาพดี แม้จะไม่ค่อยออกกำลังกายและมีความชอบในการทานของหวาน ตามที่เขาเคยบอกกับ CNBC

หลายคนเคยถามถึงเคล็ดลับในการมีอายุยืนและมีความสุข ชาร์ลี มังเกอร์มองว่าเรื่องนี้ง่ายและเรียบง่าย “ผมมั่นใจว่านิสัยการดื่มน้ำอัดลมมากๆ คงทำให้ผมลดอายุขัยไปบ้าง แต่ผมไม่แคร์” มังเกอร์กล่าว ส่วนใหญ่เคล็ดลับของเขามีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเป็นหลัก



หลีกเลี่ยงความเครียดและอารมณ์ลบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า กุญแจสำคัญในการชะลอความชราคือการละทิ้งความอิจฉาริษยา ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อบัณฑิตที่ฮาร์วาร์ดในปี 1986 เขากล่าวว่า ความอิจฉาและสารบางชนิดจะนำไปสู่ความทุกข์ยาก

หลายปีหลังจากนั้น มังเกอร์ยังคงย้ำคำพูดนี้ โดยในที่ประชุมประจำปี 2022 ของ Daily Journal เขากล่าวว่า "โลกไม่ได้ถูกควบคุมโดยความโลภ แต่โดยความอิจฉา"

ในการสัมภาษณ์กับ CNBC ชาร์ลี มังเกอร์แนะนำคนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงความโกรธแค้น ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ในสุนทรพจน์ปี 1986 ต่อบัณฑิตว่า "หากคุณไม่อยากให้ชีวิตลำบาก สิ่งที่ดีที่สุดคืออย่าโกรธหรือหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา"

การศึกษาปี 2018 พบว่า คนที่มักรู้สึกอิจฉาผู้อื่นมักมีสุขภาพจิตที่ไม่ดีและมีความสุขต่ำ ผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจของ NerdWallet กล่าวว่า ความอิจฉามีผลกระทบเสียหายต่อสุขภาพจิต ทำให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลหรือเป็นโรคซึมเศร้า



การรักษาจิตใจให้สดใส

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการลงทุน มังเกอร์ ผ่านช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการหย่าร้าง ความยากจน การสูญเสียลูกชายวัย 9 ขวบจากมะเร็งเม็ดเลือด และการสูญเสียการมองเห็นข้างหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

มังเกอร์มองว่า "การมีความสุข" คือ "การกระทำที่ฉลาดที่ควรรักษาไว้" และเพื่อให้จิตใจสดใส สิ่งสำคัญคือการปล่อยวางอารมณ์ลบ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี 2019 พบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มีทัศนคติเชิงบวกมีอายุยืนยาวขึ้นเฉลี่ย 11–15% ผู้ที่มีความคิดบวกมีความเสี่ยงต่ำกว่าที่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคหัวใจ และการศึกษานี้ยังพบว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมักมีแรงจูงใจมากขึ้นในการดูแลสุขภาพให้ดี



หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาสูบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า พฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่สามารถ "นำพาคนดีๆ ไปสู่ปัญหาหนัก" โดยเฉพาะเมื่อมีการพึ่งพาสารกระตุ้นเหล่านี้มากเกินไป

การศึกษาที่ใช้ข้อมูลจากคนกว่า 100,000 คนในยุโรปพบว่า การติดแอลกอฮอล์สามารถ ลดอายุขัยลงได้ถึง 28 ปี โดยทำลายตับ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และอาจนำไปสู่การเกิดอัมพาต ส่วนการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคและการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่มานาน ผลวิจัยจาก University College London พบว่า แต่ละมวนบุหรี่ สามารถลดอายุขัยเฉลี่ยได้ 20 นาที



ชาร์ลี มังเกอร์ - วอร์เรน บัฟเฟตต์ (ขวา)



มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

มังเกอร์มองว่า การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่น่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษมีส่วนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จและมีความสุข หนึ่งในผู้ที่เขาผูกพันมายาวนานคือลอร์เรน บัฟเฟตต์ ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสก้า สหรัฐอเมริกาในปี 1959 และมีมิตรภาพยาวนานกว่า 60 ปี

การศึกษาที่ดำเนินมา 85 ปีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้คนมีความสุขและอาจทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวขึ้น ดร.โซฟียา มิลแมน รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และพันธุศาสตร์จากสถาบันวิจัยวัยชราแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปีหลายคนมักให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงบวกของความสัมพันธ์รอบตัวต่ออายุขัยของพวกเขา




25 ตุลาคม 2568

กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI (MSCI All Country World Index)

การลงทุนใน กองทุนดัชนี MSCI ACWI (MSCI All Country World Index) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก เนื่องจากดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางจากประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทั่วโลก



ความน่าสนใจของการลงทุนใน MSCI ACWI

  • ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง: ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งดัชนี มีความโดดเด่น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ในระยะยาว (อ้างอิงข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2025) ซึ่งแสดงถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
  • ต้นทุนต่ำ: โดยปกติ กองทุนที่อ้างอิงดัชนี (Index Fund) เป็นการลงทุนแบบ Passive ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี ทำให้มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนประเภท Active โดยทั่วไป 
  • การกระจายความเสี่ยง: ดัชนีนี้กระจายการลงทุนไปใน หุ้นทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และครอบคลุม หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นการลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของประเทศหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้อย่างดี



ช่องทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนในไทย ผ่านกองทุนรวมไทย

นักลงทุนในไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในดัชนี MSCI ACWI ได้อย่างสะดวกง่ายดายผ่าน กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่จัดตั้งโดย บลจ. ในประเทศ โดยมีข้อดีและข้อเสียเมื่อเทียบกับการไปลงทุนต่างประเทศเอง สรุปได้ดังนี้:

1. ความสะดวก
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: ลงทุนง่ายผ่าน Mobile Application/เว็บไซต์ของ บลจ. หรือธนาคาร
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศและจัดการเรื่องโอนเงินด้วยตนเอง

2. การศึกษาข้อมูล
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีเอกสารอัปเดตข้อมูลกองทุนรวม (Fund Fact Sheet) เป็นภาษาไทยและเป็นมาตรฐาน
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างประเทศทั้งหมด

3. ความเสี่ยงค่าเงิน (Currency Risk)
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (Hedging) ให้ โดยส่วนใหญ่จะมีนโยบายป้องกัน 100% หรือบางส่วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินด้วยตนเอง (หรือยอมรับความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน)

4. ภาษี Capital Gain (กำไรจากการขาย)
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: กำไรจากการขาย (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี 
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: เสียภาษี Capital Gain

5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่เรียกเก็บโดย บลจ. เพิ่มเติมประมาณ 0.5% - 1.0% ต่อปี
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการแบบการลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย



กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI

1. กองทุน K-WORLDX
  • บลจ กสิกรไทย
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6324% ต่อปี

2. กองทุน K-WORLDXRMF
  • บลจ กสิกรไทย
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.5960% ต่อปี

3. กองทุน KKP PGE-UH
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6770% ต่อปี

4. กองทุน KKP PGE-H
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6810% ต่อปี

5. กองทุน KKP PGE RMF-UH
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6741% ต่อปี

6. กองทุน KKP PGE RMF-H
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.7120% ต่อปี

7. กองทุน LHGEQP
  • บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 2.1493% ต่อปี

8. กองทุน LHGEQRMF
  • บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 2.4653% ต่อปี


9. กองทุน KF-WORLD-INDX-A

  • บลจ กรุงศรี
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 1.0447% ต่อปี

10. กองทุน KF-WORLD-INDXRMF
  • บลจ กรุงศรี
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.9951% ต่อปี


11. กองทุน KT­GEQ­A

  • บลจ กรุงไทย
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6729% ต่อปี






15 ตุลาคม 2568

โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)

โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)

link

การยืมเงินเพื่อน คือวิธีเสียเพื่อนที่เร็วที่สุด เงินทำลายมิตร !

"จากเพื่อนรักสู่เจ้าหนี้! ระวัง 6 พฤติกรรมการเงินที่อาจพังความสัมพันธ์ ยืมเงินเพื่อนเสี่ยงเสียเพื่อนมากที่สุด"

มิตรภาพเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แต่รู้หรือไม่ว่า เงิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนเพื่อนรักให้กลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา? หลายคนอาจคิดว่า “แค่ยืมเงินนิดเดียว คงไม่เป็นไรหรอก” แต่ความจริงแล้ว เงินสามารถสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้อย่างคาดไม่ถึง มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่เงินสามารถทำลายมิตรภาพได้ พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงก่อนสายเกินไป!



เปิด 6 วิธีที่เงินทำลายมิตรภาพ

1. ให้เพื่อนยืมเงินแล้วไม่ได้คืน

นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้มิตรภาพพังลง ถ้าคุณให้เพื่อนยืมเงิน แล้วเขา “ลืม” คืน หรือเลื่อนแล้วเลื่อนอีก บอกเลยว่าความสัมพันธ์อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญในมิตรภาพ และเมื่อมันถูกทำลายไป โอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยากมาก ทางออกที่ดีที่สุดคือ ถ้าจะให้เพื่อนยืมเงิน ให้คิดไปเลยว่าเป็นเงินที่คุณอาจไม่ได้คืน ถ้าให้แล้วต้องมานั่งเครียด เสียเพื่อน เสียใจ แบบนี้ไม่คุ้มแน่นอน!



2. ปฏิเสธที่จะให้ยืมเงิน

อีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงิน ก็อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน บางครั้งเพื่อนอาจกำลังเดือดร้อน และถ้าคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มันอาจทำให้เขารู้สึกแย่และห่างเหินจากคุณไปตลอด ทางออกที่ดีคือ อธิบายเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา หรือถ้าคุณอยากช่วยจริง ๆ อาจให้เป็นจำนวนที่คุณสามารถให้ได้โดยไม่เดือดร้อน และอย่าคาดหวังว่าจะได้รับคืน



3. ไม่คืนเงินที่เพื่อนช่วยเหลือ

ถ้าเพื่อนช่วยเหลือคุณในยามลำบาก และคุณกลับละเลยหรือไม่คืนเงินให้ในเวลาที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นการทำลายความเชื่อใจอย่างร้ายแรง ถ้าไม่สามารถคืนเงินตรงเวลา ควรสื่อสารให้เพื่อนรับรู้ และแสดงความรับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ความเงียบทำให้ความสัมพันธ์จบลงแบบไม่มีวันกลับมา



4. หลอกเพื่อนเพื่อให้ยืมเงิน

ถ้าคุณเคยโกหกเพื่อให้เพื่อนยืมเงิน เช่น บอกว่าต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่สุดท้ายกลับไปช้อปปิ้งหรือเที่ยวหรู แน่นอนว่าเพื่อนคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ บอกความจริงตรง ๆ ดีกว่า การโกหกอาจทำให้คุณได้สิ่งที่ต้องการในระยะสั้น แต่จะสูญเสียมิตรภาพในระยะยาว



5. ค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน

ฟังดูเหมือนการช่วยเหลือเพื่อนที่ดีใช่ไหม? แต่การค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนอาจทำให้คุณต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัว ถ้าเพื่อนจ่ายไม่ตรงเวลา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแทน แถมยังส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของคุณอีกด้วย ก่อนตัดสินใจค้ำประกันอะไรให้ใคร คิดให้รอบคอบและดูความเสี่ยงให้ดี



6. คืนเงินช้าเกินไปจนเพื่อนต้องทวง

ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการต้องคอยทวงเงินจากเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก การทำให้เพื่อนต้องรอโดยไม่จำเป็นจะสร้างความไม่พอใจและความกดดันในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเป็นฝ่ายยืมเงิน ควรคืนให้ตรงเวลา หรือถ้าติดปัญหาจริง ๆ ก็ควรแจ้งเพื่อนล่วงหน้า การนิ่งเฉยไม่ใช่ทางออกและอาจทำให้มิตรภาพพังได้ง่าย ๆ



เงินกับมิตรภาพ—เรื่องที่ต้องคิดให้ดี!

เงินอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สามารถส่งผลกระทบมหาศาลต่อความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องให้เพื่อนยืมเงินหรือขอยืมเงินจากเพื่อน คิดให้รอบคอบและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน มิตรภาพที่ดีมีค่ามากกว่าเงินเสมอ ดังนั้น อย่าปล่อยให้เงินเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิตของคุณ!




11 ตุลาคม 2568

ทดลอง DCA กองทุนรวม RMF ACWI (MSCI All Country World Index)


ACWI (MSCI All Country World Index) น่าสนใจยังไง?

การลงทุนในดัชนี ACWI (MSCI All Country World Index) ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้น แต่คือการได้เป็นเจ้าของกิจการชั้นนำระดับโลกกว่า 2,900 บริษัท ครอบคลุมทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ รวม 47 ประเทศ คิดเป็น 85% ของมูลค่าตลาดหุ้นโลก เท่ากับว่าคุณกำลังลงทุนในธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Apple, Samsung, Sony และอีกมากมาย!

นี่คือการกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เพราะคุณไม่ได้ผูกติดอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า

สถิติย้อนหลัง ณ​ เดือนตุลาคม 2025:
  • ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 10 -13%
  • 10 ปีอยู่ที่ 8 - 11% 
  • และ 20 ปีอยู่ที่ 7 - 9%



การ DCA คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย ยังไง?

DCA (Dollar-Cost Averaging) คือกลยุทธ์การลงทุนแบบ "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" โดยทยอยลงทุนด้วย จำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหน่วยลงทุนหรือภาวะตลาด

ข้อดี: 
  • สร้างวินัยการออม ให้มีเงินเก็บต่อเนื่อง
  • ตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด
  • ลดความเสี่ยง ที่จะเข้าซื้อในราคาสูงสุด (ติดดอย) เพราะเป็นการเฉลี่ยต้นทุน

ข้อเสีย: 
  • อาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่า หากสามารถจับจังหวะซื้อในราคาต่ำสุดได้แม่นยำ (แต่แทบไม่มีใครทำได้)
  • ต้องมีวินัย ในการลงทุนให้ต่อเนื่องตามแผน



การลงทุนในกองทุนรวม RMF ดียังไง?

RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือตัวช่วยวางแผนเกษียณที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีข้อดีต่างๆ ดังนี้
  • ลดหย่อนภาษีได้ ตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนด
  • สร้างวินัยการออมระยะยาว เพื่อเป้าหมายเกษียณ เพราะมีเงื่อนไขการถือครองต่อเนื่อง (อย่างน้อย 5 ปี และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์)
  • เลือกลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ 
การลงทุนใน RMF ACWI จึงเป็นการผสานการออมระยะยาวพร้อมลดหย่อนภาษี ในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างหุ้นทั่วโลก



กลยุทธ์ DCA 10 ปี สู่เงิน 1.5 - 2 ล้านบาท

หากผมตั้งใจใช้กลยุทธ์ DCA ในกองทุนรวม RMF ACWI เดือนละ 10,000 บาท (ปีละ 120,000 บาท) เป็นเวลา 10 ปี:
  • เงินลงทุนรวม ที่สะสมไปคือ 10,000 × 120 เดือน = 1,200,000 บาท
  • เป้าหมาย 1.5 - 2 ล้านบาท หมายความว่าผมต้องทำผลตอบแทนให้ได้เฉลี่ยประมาณ 5% - 8% ต่อปี
  • จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนีหุ้นโลก (ACWI) ซึ่งมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 8% ต่อปีในระยะยาว ทำให้ การคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้านบาทดูเป็นไปได้จริง สำหรับแผน 10 ปีนี้
  • ผมตั้งใจจะเริ่มต้นลงทุนเดือน มกราคม 2026 และคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้าน ภายในเดือน ธันวาคม 2035 ครับ (^_^) 

06 ตุลาคม 2568

ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คุณกินยาเม็ดสีแดงหรือสีน้ำเงิน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในปี 1999 ภาพยนตร์เรื่อง “The Matrix” ดังมาก ฉากสำคัญในหนังที่เป็นที่จดจำและคนนำมาพูดต่อจนกลายเป็นกระแสและเป็นปรัชญาชีวิตในด้านต่าง ๆ ก็คือ การกินยาเม็ดของนักแสดงนำคือ “Neo” ก่อนเข้านอนที่มีให้เลือกว่าจะเอาสีแดงหรือสีน้ำเงิน

ถ้ากินเม็ดสีแดง คุณก็จะตื่นขึ้นมาพบกับ ความจริงและสิ่งที่เป็นความจริงที่คุณต้องประสบ ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน จาก “The Matrix” หรือ “ภาพลวง” ที่คุณอยู่ก่อนกินยา และเมื่อคุณกินยาเม็ดสีแดงนี้ คุณจะไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้เลย พูดง่าย ๆ คุณไม่สามารถ “ถอน” สิ่งที่คุณเห็นแล้วว่าเป็นจริง คุณกลับไป “หลอกตนเอง” ไม่ได้อีกต่อไป

ถ้าคุณกินยาเม็ดสีน้ำเงิน นั่นแปลว่าคุณเลือกความสบายใจและ “ภาพลวงตา” หรือมายา คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตามปกติ และก็ไม่เคยรู้หรือตระหนักเลยว่า “Matrix” หรือ “ภาพลวง” หรือมายานั้นมีอยู่

พูดอย่างสั้นที่สุดก็คือ ยาเม็ดสีแดงนั้นแทน ความตระหนักรู้ สัจจธรรม และความเป็นจริงของโลกที่โหดร้าย และไม่มีทางหวนกลับ ส่วนยาเม็ดสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความไม่รู้ ความสะดวกสบายใจ และความปลอดภัย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านั้น

หลังจากการฉายหนังแล้ว คนในวงการต่าง ๆ ก็นำแนวคิดนั้นไปใช้เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างความจริงที่อาจจะเจ็บปวด กับความหลอกลวงที่อาจจะทำให้สบายใจ และอยู่กับมายาคติอย่างที่เป็นมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และในหลาย ๆ กรณีก็ยังดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยการเปลี่ยนและเพิ่มสีของยาเม็ดเข้าไปด้วย

ตัวอย่างเช่น ในทางสังคมและการเมืองที่มีการพูดถึงยาเม็ดสีดำว่า เป็นยาที่แทนความสิ้นหวัง เชื่อว่าความเป็นจริงก็คือความสิ้นหวังหดหู่และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ สีขาวคือการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง คือเห็นความจริงและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสีม่วงที่อยู่ตรงกลางคือต้องการความจริงแต่ก็ต้องสบายใจด้วย

ว่าที่จริงผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงหนึ่งเมื่อซัก 20 ปีมาแล้วที่เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่ากับคนชั้นนำในเมืองและก็เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ของกลุ่มคนที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาบางคนที่ “รวยมาก” ที่ผมรู้จักได้พูดกับผมว่า เขาเหมือนกับดาราในหนัง Matrix คือเลือกกินยาเม็ดสีแดง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย แต่เขากลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว

กลับมาที่ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่ามีการใช้อุปมาอุปมัยเกี่ยวกับยาเม็ดของหนัง The Matrix แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบ เพราะตัวผมเองนั้น เมื่อมาคิดดู หลังจากที่ผมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวเกือบ 30 ปีมาแล้ว ผมก็ได้เลือกกินยาเม็ดสีแดงก่อนเข้านอนและตื่นขึ้นมาในโลก “ใบใหม่” ที่ผมพบกับความจริงและความเป็นจริงของตลาดหุ้นและการลงทุน

โดยที่ปรัชญาชี้นำในชีวิตผมก็เปลี่ยนเป็นแบบ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมรู้สึกหลุดพ้นจาก “ภาพลวง” ของตลาดหุ้นและการลงทุนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเกิดอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายเป็นช่วง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า “VI” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ เมื่อเป็น VI แล้ว เราก็ต้องเป็นตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปเล่นเก็งกำไรหรือเล่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ในการลงทุนนั้นพูดกันว่า ยาเม็ดสีน้ำเงินก็คือ การลงทุนที่คุณเชื่อหรือปฏิบัติการลงทุนดังต่อไปนี้คือ (ซึ่งมักจะเป็นภาพลวงและให้ความสบายใจเวลาทำ)

1) เกาะกลุ่มไปกับฝูงชน หรือที่เรียกกันว่าเล่นหุ้นตามแห่ เพราะนี่จะทำให้เกิดความสบายใจ เพราะหุ้นมักจะวิ่งขึ้นเร็วและแรงและมีสภาพคล่องที่ดี ไม่อยากเล่นหุ้นที่ไม่มีใครเล่น
2) เชื่อว่า ตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้อันตรายถ้าคุณคอยติดตามอย่างใกล้ชิด และราคาหุ้นนั้นสะท้อนพื้นฐานของกิจการ หุ้นขึ้นก็เพราะมันมีข่าวดี หุ้นลงเพราะมีข่าวร้าย การปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นเป็นแบบนั้นอย่างรวดเร็ว
3) มักติดตามและเชื่อนักวิเคราะห์ นักข่าว และ “เซียน” โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าในตลาดหุ้นไทยก็มักจะถูกเรียกว่าเป็น “เม่า”
4) ชอบเล่นหุ้นที่อยู่ในกระแส เป็นหุ้นที่ทุกคนพูดถึงหรือทุกคนเล่นโดยไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงของราคาหุ้นทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไป

ยาเม็ดสีแดงในตลาดหุ้นจะทำให้คน ๆ นั้น เชื่อในหลักการที่เป็นความจริงและสภาพความเป็นจริง เช่น
1) กล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง ฟองสบู่หุ้นและตลาดหุ้น และการปั่นหุ้นที่มีตลอดเวลา
2) ตระหนักว่านักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนแย่กว่าตลาด และอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีผลกระทบต่อการซื้อ-ขายหุ้นและราคาตลาดมาก
3) พร้อมที่จะศึกษาและวิเคราะห์ตลาดและหุ้นด้วยตัวเอง กล้า “สวนกระแส” ทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่หรือฝูงชน ยอมรับความผันผวนของหุ้น ไม่ซื้อ-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นลงรุนแรง
4) กล้าถือหุ้นยาวผ่านช่วงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกกินยาเม็ดสีแดงก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์
ชาลี มังเกอร์ เรย์ ดาลิโอ โฮเวิร์ด มาร์ก และโมนิช พราไบร์ เป็นต้น ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น VI โดยเฉพาะที่เป็น “รุ่นบุกเบิก” ส่วนมาก ผมเชื่อว่าคงกินยาเม็ดสีแดงตอนเข้าตลาดหุ้นอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางแบบ VI แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคในการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้

ยาเม็ดสีแดงที่ผมกินตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 นั้นก็คือ การศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลักการของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเริ่มมีคนเขียน อย่างเช่น เรื่อง The Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม The Warren Buffett Way ของ Robert G. Hagstrom รวมถึง Buffettology ของแมรี่ บัฟเฟตต์ เป็นต้น

ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ของตลาดหุ้นและการลงทุน เริ่มวางแผนการเงินและเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ผมยังจำได้ว่าผมตั้งความหวังที่จะมีเงิน “พันล้านบาทก่อนตาย” โดยที่ผมสามารถที่จะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี แนวคิดว่าผมมี “ตะเกียง 3 ดวง” ที่ผมจะต้องจัดการและดูแล ซึ่งก็คือ 1) เงินต้นที่มีอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 2) ผลตอบแทนการลงทุนที่ผมจะสามารถทำได้ต่อปีแบบทบต้น ซึ่งผมวางไว้ว่าสูงถึง 15% และ 3) ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึง 80 ปี ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นในตอนนั้นซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดหรือพูดถึงมาก่อน

สิ่งที่ผมคิดบนกระดาษในช่วงเวลานั้น ดูในทางทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำได้ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ เหตุผลสำคัญน่าจะอยู่ที่ Mentality หรือความคิดที่ติดตัวผมตั้งแต่เกิดที่ว่า “เราเป็นคนจน” ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็คงทำได้แค่ระดับหนึ่ง ไม่สามารถไปเทียบกับ “คนรวย” ที่เป็นคนจ้างเราทำงานและจ่ายเงินเดือนให้เรามาตลอด ถ้าจะพูดไป ผม “เจียมตัว” มาตลอดชีวิต การที่จะมีเงินพันล้านบาทในช่วงปี 2542-2543 นั้นคือคนที่แทบจะเรียกว่าเป็น “มหาเศรษฐี”

แต่ในตอนนั้น ตัวเลขจากการคำนวณบอกว่าถ้าผมรักษาเงินต้นและเพิ่มพูนมันขึ้นไปโดยการทำงานไปเรื่อย ๆ และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และลงทุนแบบที่ผมเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวซึ่งก็คือการลงทุนในแบบ VI อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมรักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บหรือตายก่อน 80 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ ผมก็จะต้องรวยเป็น “มหาเศรษฐี” ทั้ง ๆ ที่มีเงินเพียงหลักสิบล้านบาทในวันเริ่มต้น

หลังจากเวลาที่เริ่มกินยาเม็ดสีแดงในวันนั้นแล้ว ก็อย่างที่รู้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเกือบ 20 ปีแรก กลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนของผมดีมาก แทบจะเรียกว่า “ระดับโลก” เป้าหมายความมั่งคั่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สามารถบรรลุไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือชั้น เพราะนักลงทุนคนอื่นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “VI” ตาม “กระแส VI” ที่กำลังโด่งดัง กลับ “ดีกว่า” และทำให้เกิด “เศรษฐีพันล้าน” เกลื่อนตลาด

แต่แล้ว ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีก แต่ในทางที่แย่ลง ตลาดหุ้นย่ำแย่มายาวนานเป็น 10 ปี หลักการและวิธีการลงทุนแบบ VI เริ่มใช้ไม่ได้ผล นักลงทุนจำนวนมากที่เคยรวยมาก เดี๋ยวนี้รวยน้อยลงไปมาก บางคนกลายเป็นคนเคยรวย ผลตอบแทนที่ลดลงในตลาดหุ้นไทยอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเลิกไปเลย จำนวนมากหันไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเลิกความคิดแบบ VI ไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ได้ หลายคนกลับไปใช้เทคนิคเดิมที่คุ้นเคย

ผมเองก็ต้องปรับตัว พยายามลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเลือกไม่ค่อยได้เนื่องจากความรู้ในตัวหุ้นจำกัด บางครั้งผมก็คิดว่าเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะผมกินยาเม็ดสีแดงไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ตอนนี้ก็เลยเก็บแต่เงินสดไปเรื่อย ๆ คงจะรอจนกว่าหุ้นจะเข้าข่ายเป็น VI คือคุณภาพดี ราคาถูก ถึงจะซื้อ




29 กันยายน 2568

เมื่อฟองสบู่หุ้นยักษ์แตก ตลาดหุ้นคงดูไม่ดีเท่าไร โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นโลกและทรัพย์สิน “โลก” อย่างเช่นทองคำวิ่งขึ้นเป็น “All Time High” หรือ “สูงสุดตลอดกาล” เกือบทุกวัน และหุ้นที่วิ่งนำตลาดก็มักจะเป็นหุ้นที่ใหญ่มากขนาดที่เรียกว่า “หุ้นยักษ์” จำนวนเพียงระดับ 10 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ส่วนหุ้นขนาดกลางหรือเล็กนั้น บางทีก็ไม่ขึ้นเลยเพราะ “ไม่มีใครเล่น”
 
การขึ้นของหุ้นยักษ์ประเภทหุ้น “นางฟ้า” หรือ “หุ้นเทพ” นั้น มาจากความตื่นเต้นต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เชื่อกันว่ากำลัง “เปลี่ยนโลก” ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือ AI ที่มีความสามารถ “เหนือมนุษย์” และจะสามารถมาทำงานแทนหรือมาแทนมนุษย์ได้ในเวลา “ไม่นาน” ตัวอย่างอาจจะรวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยมี AI เป็น “คนขับ” ที่ตอนนี้ก็เริ่มทดลองกันแล้วในหลาย ๆ เมืองใหญ่ทั่วโลก อีกไม่เกิน 10 ปี มันก็อาจจะทำแทนคนเป็นล้าน ๆ คนแล้ว

การวิ่งขึ้นของหุ้นไฮเทคยักษ์โดยเฉพาะ AI นั้น สูงมากจน “ไม่น่าเชื่อ” หุ้นตัวเดียวบางตัวมีมูลค่าตลาดถึง 4 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 130 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยถึงกว่า 8 เท่า

นั่นทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐมีมูลค่าสูงถีงประมาณ 61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือสูงเป็น ประมาณ 215% ของ GDP ที่อยู่ที่ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างที่แทบไม่เคยเป็นมาก่อน และนี่ก็คือตัวเลขที่แสดงว่าตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไปและสูงเกินพื้นฐานไปมากในความคิดของบัฟเฟตต์ หรือที่เรียกกันว่า Buffett Indicator ที่บอกว่า Market Cap. ของตลาดหุ้นไม่ควรมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของประเทศนั้น

และข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศต่าง ๆ รวมถึงตลาดสหรัฐในอดีตก็แสดงว่า ส่วนใหญ่แล้ว Market Cap. จะต่ำกว่า GDP ของประเทศ และถ้าช่วงไหนสูงกว่า ตลาดก็จะร้อนแรงเกินไป ราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น ซักพักหนึ่งตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงมาจนต่ำกว่า GDP. ว่าที่จริงในช่วงนี้ค่าเฉลี่ยของ Market Cap. ทั่วโลกก็แค่ประมาณ 90% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยเองก็มีค่าพอ ๆ กัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ ตอนนี้ก็มีมูลค่าปกติ

แต่ข้อโต้แย้งของนักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้นโตเร็วและเก็งกำไรก็คือ หุ้นในตลาดสหรัฐนั้นเป็น “ข้อยกเว้น” เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ของอเมริกานั้น ที่จริง เป็น “บริษัทของโลก” พวกเขาขายสินค้าไปทั่วโลกและรายได้และกำไรส่วนใหญ่ก็มาจากโลกไม่ได้มาจากอเมริกาเพียงประเทศเดียว ดังนั้น อัตราส่วนนี้จึงใช้ไม่ได้ Market Cap. ของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้น ยังเล็กกว่า GDP โลก และดังนั้น หุ้นยังไม่แพง

แต่ถ้ามาดูตัวเลขอีกตัวหนึ่ง ก็ยังอาจจะบอกได้ว่าหุ้นสหรัฐนั้น “แพงเกินไป” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก นั่นก็คือ ขณะที่ GDP ของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ 26% ของ GDP โลก แต่มูลค่า Market Cap. ของตลาดหุ้นอเมริกากลับใหญ่มากถึงประมาณ 49% ของตลาดหุ้นโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งก็ยังคงมีอีกว่า ก็อเมริกานั้นเป็นผู้นำของโลกทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้านอำนาจทางการรบและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สะท้อนจากบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้น ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงกว่าสัดส่วนของ GDP มากก็เหมาะสมแล้ว

พูดง่าย ๆ ถ้าสหรัฐก็เหมือนกับประเทศอื่น ๆ Market Cap. ของตลาดหุ้นก็ควรจะประมาณ 26% ของ Market Cap. ของโลก ไม่ใช่ 49% หรือใหญ่เป็นเกือบ 2 เท่าอย่างที่เป็นอยู่ แต่ใครจะบอกได้ว่า Market Cap. ของสหรัฐควรเป็นเท่าไร นอกจากนักลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นจนมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ พูดง่าย ๆ คนเชื่อมั่นในอเมริกาตามที่ทรัมป์บอกว่ากำลังทำให้ “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”

แต่ทั้งหมดนั้น จริงหรือ! คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงนักคิดชื่อดังอย่าง เรย์ ดาลิโอ หรือ บัฟเฟตต์ กลับคิดว่า หุ้นอเมริกานั้น อาจจะแพงเกินไป แพงเกินพื้นฐานที่แท้จริง และแม้ว่าส่วนใหญ่ยังไม่คิดว่าอเมริกาจะถึงจุดที่เริ่มตกต่ำลงแล้วอย่างที่เรย์ ดาลิโอบอก แต่ราคาหุ้นตอนนี้มันสูงเกินไปจนหลายคนคิดว่ามันเป็น “Bubble” หรือ “ฟองสบู่หุ้น” ที่พร้อมจะ “แตก” และพวกเขาก็เตรียมตัวโดยการทยอยขายหุ้นเพื่อเก็บเป็นเงินสด และนั่นก็คือเหตุผลที่เบิร์กไชร์ถือเงินสดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณเกือบ 4 แสนล้านเหรียญหรือ 12 ล้านล้านบาทไทย

ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยของอเมริกาที่ขนเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังกู้เงินผ่านบัญชีมาร์จินมาใช้ลงทุนถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือ 32 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2 เท่า ของ GDP ไทย เข้ามาซื้อหุ้นยักษ์เพียงไม่กี่สิบตัวและเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งส่งผลให้หุ้นแค่หยิบมือเดียวนี้มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึงกว่า 1 ใน 3 ของทั้งตลาดหุ้น S&P 500

เราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าในที่สุด ใครจะถูกหรือใครจะผิด ระหว่างเซียนหุ้นระดับโลก ที่กำลังจะจากไปในไม่ช้า กับคนหนุ่มสาวที่หลายคนเพิ่งจะเริ่มลงทุน และคิดว่า “โลกใหม่” ในอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และบริษัทที่จะ “ครองโลก” ทั้งหมดนั้นก็จะมีแค่หยิบมือเดียวที่เห็น นั่นก็คือ บริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่กำลังเร่งพัฒนา AI อย่างบ้าคลั่ง ที่อาจจะกลืนกินธุรกิจอื่นทั้งหมดในเวลาอีกไม่นาน

ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตของตลาดหุ้นอเมริกาและหุ้นยักษ์จะเป็นอย่างไร และดังนั้นผมก็พยายามมองหาคำตอบจาก “ประวัติศาสตร์” ที่คล้าย ๆ กันแม้ว่าหลายคนจะเลิกคิดถึงประวัติศาตรไปแล้วในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ “ถูกทำลาย” ไปอย่างไม่มีชิ้นดีแทบทุกวัน

ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของตลาดหุ้นอเมริกาผมดูว่าจะคล้าย ๆ ตลาดหุ้น—และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษปี 1980 ถึง 1989 ที่ดัชนีนิกเกอิขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ประมาณ 39,000 จุด จาก 6,500 จุด หรือเพิ่มขึ้น 500% ในเวลา 10 ปี หรือเฉลี่ยทบต้นปีละเกือบ 20% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ในช่วงเวลา 10 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนสูงมากที่ประมาณ 13% ต่อปี แต่ถ้าคิดแค่ 5 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 15% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นโตมากแทบจะคับฟ้าอยู่แล้ว

เหตุผลที่ตลาดเติบโตร้อนแรงมากของญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะคนแทบทั้งโลกต่างก็เชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังขึ้นแซงหน้าอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจหลังจากที่ GDP ของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลักมานานและคนร่ำรวยมหาศาล GDP ต่อหัวน่าจะสูงเท่า ๆ คนอเมริกันหรือสูงกว่าและก็ยังเติบโตในระดับ 4-6% ในช่วงปี 1985-1990 ซึ่งยังเป็น “ปีทอง” ของญี่ปุ่นในทุกด้านแม้ว่าอเมริกาจะบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มค่าเงินเยนตามข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ดในปี 1985 เพื่อลดการส่งออกของญี่ปุ่นลง

ในช่วงเวลานั้น นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศญี่ปุ่นเองก็กำลังสดใสสุดยอด ญี่ปุ่นกลายเป็น “อัจฉริยะ” ในทุกด้าน สินค้าญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการทั่วโลก ทั้งในด้านคุณภาพที่ดีสมบูรณ์แบบ เช่น พวกรถยนต์และเครื่องจักรกลทั้งหลาย เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเหนือกว่าคู่แข่งและมีราคาถูกสามารถตีตลาดไปทั่วโลก นอกจากนั้น ในด้านของความคิดสร้างสรรค์นั้น ญี่ปุ่นก็มีสินค้าใหม่เช่น Walkman ที่ใช้ฟังดนตรีขณะเดินได้ เช่นเดียวกับเกมคอมพิวเตอร์เช่น นินเทนโด ที่คนนิยมกันทั่วโลก

เซมิคอนดักเตอร์ที่จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาดิจิทัลในเวลานี้ก็เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการผลิตในวันนั้น เช่นเดียวกับแนวคิดในการบริหารงานเช่น ระบบการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังของโตโยตาก็กลายเป็นมาตรฐานสมัยใหม่ที่ทุกประเทศต่างก็ต้องเลียนแบบ ญี่ปุ่นกำลังครองโลก!

และก็แน่นอนว่าตลาดหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของญี่ปุ่นก็สะท้อนความรุ่งเรืองนั้นอย่างเต็มที่ โดยที่ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับโลกในเวลานั้นก็แค่ 15% แต่ Market Cap. ของตลาดหุ้นโตเกียวสูงถึง 45% ของตลาดหุ้นทั้งโลกและใหญ่กว่าตลาดหุ้นของสหรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ค่า PE ของตลาดก็สูงถึงกว่า 60 เท่า โดยที่หุ้นยักษ์ ๆ สูงยิ่งกว่านั้น

อสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นกลับเป็น “ฟองสบู่” มากกว่าหุ้น ราคาวิ่งขึ้นไปแบบหลุดโลก เพราะญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อย ว่ากันว่าแค่วังของจักรพรรดิ ถ้าตีราคาขึ้นมาก็จะมีค่ามากกว่าแคลิฟอร์เนียทั้งรัฐ นอกเหนือจากนั้นก็คือ คนญี่ปุ่นคิดว่าที่จะขึ้นไปเรื่อย ๆ ขายไปแล้วจะอยู่ที่ไหน?

แน่นอนว่าเขาก็มีคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมหุ้นจึงมาราคาแพงมาก เพราะนอกเหนือไปจากการที่บริษัทกำลังบูมสุดยอดด้วยความสามารถและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นและทำกำไรได้ดีมากแล้วก็เป็นเพราะว่า บริษัทจดทะเบียนใหญ่ ๆ ในตลาดหุ้นต่างก็ถือหุ้นไขว้กันหมดและพวกเขาไม่ขายไม่ว่าราคาจะขึ้นมาแค่ไหน

หลังจากปี 1989 ตลาดหุ้นก็ “ถล่ม” ลงมา ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง ดัชนีตกจากจุดสูงสุด 39,000 จุด เหลือเพียงประมาณ 15,000 จุด ในช่วงกลางปี 1992 หรือเป็นการลดลงมาถึงกว่า 60% เมื่อ “เรื่องจริง” เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรากฎขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นตกต่ำลงเหลือโตปีละแค่ 1-2% คนญี่ปุ่นแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นสังคมคนสูงอายุ ความคิดสร้างสรรค์หายไป ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี Innovation ใหม่ ๆ และถูกแซงโดยเกาหลีใต้และต่อมาก็จีน ไม่ต้องพูดถึงอเมริกาที่พุ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นด้วยพลังของสตาร์ทอัพของคนรุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แต่ในฐานะของ VI เราก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านลบที่รุนแรงที่อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐเกิดสถานการณ์แบบเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อ 35 ปีมาแล้ว




บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)