รวมธุรกิจเช่าความหรู รสนิยมราคาย่อม ที่ตอบสนองคนขี้เบื่อ กระเป๋าไม่หนักแต่รักจะรุ่งในสังคมที่เรียกร้องภาพลักษณ์และทำความรู้จักผ่านเปลือกนอก
"....ก็พลอยเป็นคนที่ชอบแบรนด์เนมมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เริ่มจากของชิ้นเล็กๆ ก่อน อย่างกระเป๋าสตางค์ พอเรามีงานทำก็เก็บเงินซื้อ เงินเดือนน้อยๆ ก็เก็บนานหน่อย พอเงินเดือนเยอะขึ้นก็ซื้อของที่แพงขึ้นตามเงินเดือน ตอนนี้ส่วนตัวแล้วก็มีสะสมจำนวนหนึ่ง เคยเข้าไปดูในเว็บเมืองนอกเขามีกระเป๋าให้เช่า ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าเมืองไทยน่าจะมีบ้าง...”
ความเห็นของ พลอย แอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อจริง) ยังมีต่อไปว่า
“เคยซื้อกระเป๋ามาถือแล้ว ดูมันเหี่ยวๆ ไม่ค่อยสวย บางทีช่องไว้ของไม่ถูกใจ ทำให้เราคิดหนักเวลาไปซื้อกระเป๋าแพงๆ ไม่รู้ว่าเข้ากับเราหรือเปล่า ชอบมันจริงๆ ไหม เช่ามาถือก่อน ถ้าชอบจริงๆ ค่อยไปซื้อยังไม่สาย หรือเวลาออกงาน กระเป๋าที่มีอยู่ไม่เข้ากับชุดจะไปซื้อก็ไม่คุ้ม เช่าดีกว่าไม่กี่พันบาทถ้าซื้อก็หลายหมื่น...แบรนด์ที่ชอบก็เป็น Louis Vuitton, Prada,Mulberry,Burberry, Marc Jacobs อย่าง Hermes นี่ก็ชอบแต่แพงมากเห็นคนดัง ดารา ถือออกงานแล้วรู้สึกว่ามันสวยดี อยากถือบ้าง ต้องยอมรับนะคะว่ากระแสสังคมก็มีส่วน..."
เธอให้เหตุผลว่าเช่ากระเป๋าวันละไม่กี่ร้อยบาท แต่ช่วยเสริมบุคลิกให้ดูดีเวลาเข้าสังคม ติดต่องานเป็นที่ประทับใจ สำหรับเธอไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์เนมทุกอย่าง ยกเว้นนาฬิกา กระเป๋า รองเท้า เท่านั้น แม้อาชีพแอร์โฮสเตสของเธอ จะได้บินไปต่างประเทศบ่อยๆ ก่อให้เกิดกิจกรรมโปรดคือ ชอปของลดราคา ทว่า เมื่อเทียบกันแล้ว อย่างไร เช่าก็คุ้มกว่า
พลอยจึงเป็นขาประจำเช่ากระเป๋าทุกอาทิตย์ ตั้งราคาไว้ไม่เกิน อาทิตย์ละ 2,000 - 3,000 บาท เฉลี่ยวันละ 400 กว่าบาท
"คุ้มกว่าซื้อกระเป๋าแพงๆ มาถือแล้วไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบขายต่อราคาก็ตกทันที แต่เช่าแล้วมีความสุขกายสบายใจกว่ากันเยอะ ไม่เปลืองพื้นที่เก็บของในบ้านอีกด้วย"
ใบที่ถือ ซื้อหรือเช่า
นางฟ้าผู้สงวนนามจริงรายนี้ เป็นลูกค้าของ Siam borrowbag ธุรกิจให้เช่ากระเป๋าแบรนด์เนม ของ อรรวณฌลีธ์ พงษ์สุขถาวร ที่เพิ่งเปิดร้านไปเมื่อ 6-7 เดือนที่แล้วนี้เอง
เดิมทีเธอตั้งเป้าไว้ว่า อยากจะหาธุรกิจสักอย่างที่ยังไม่มีในเมืองไทย เพื่อทำเป็นอาชีพเสริม จนได้ไปพบกับธุรกิจให้เช่ากระเป๋าในโลกออนไลน์ ซึ่งกำลังคึกคักมากในต่างประเทศ ประกอบกับตัวเองชอบและใช้กระเป๋าแบรนด์เนมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงตัดสินใจได้ไม่ยาก
"...ธุรกิจนี้ต่างประเทศค่อนข้างบูมมาก ทั้งในยุโรปและเอเชีย เราเองมีกระเป๋าอยู่แล้วทั้ง Chanel , Louis Vuitton, Gucci, Christian Dior และ Balenciaga ตอนหลังก็ไปซื้อเพิ่มมาบ้าง ช่วงแรกๆ โปรโมทตามหนังสือ ตอนนั้นคนไทยเรายังไม่คุ้นกับการเช่ากระเป๋า ทีแรกคิดว่าลูกค้าจะเป็นนักศึกษา แต่ผิดคาดกลายเป็นคนทำงานมากกว่า ทั้งแอร์โฮสเตส ธุรกิจส่วนตัว พยาบาล.... ”
ถามถึงการคัดเลือกสีและแบบของกระเป๋า เธอว่าเป็นไปตามรสนิยมของเจ้าของกิจการ ซื้อมาใช้เองแล้วถ่ายรูปลงเว็บ ส่วนใหญ่เธอจะไปเลือกซื้อกระเป๋าตามช็อปต่างๆ ชอบใบไหนซื้อใบนั้น จึงไม่ได้มีทุกรุ่นทุกสี ปัจจุบันอรรวณฌลีธ์สะสมไว้เกือบ 30 ใบแล้ว ถือว่าเป็นงานอดิเรก เพราะอาชีพหลักทำยังคงทุ่มให้โรงงานเล็กๆ ธุรกิจขนาด SME
อีกหนึ่งข้อสงสัยของการปล่อยให้เช่า หลายคนคงเดาได้ถึง ความเสียหาย กระทั่งรอยขีดข่วนที่แถมมากับค่าเช่า
"ลูกค้าส่วนใหญ่ช่วยดูแลรักษากระเป๋าเป็นอย่างดี ไม่ค่อยเสียหาย แต่ถ้าเสียหายก็คงคิดค่าปรับ เพราะเราต้องส่งกระเป๋าไปทำความสะอาด กฏกติกาของการมาเช่าก็คือ เตรียมสำเนาบัตรประชาชน กรอกสัญญาเช่า วางเงินมัดจำที่ค่อนข้างสูงเผื่อมีคนเช่าแล้วชิ่ง เช่น กระเป๋าราคาสองหมื่น เก็บมัดจำหมื่นแปด ราคาเกือบเท่ากับกระเป๋า เช่น ชาแนลจัมโบ้ มัดจำ 59,000 ค่าเช่าอาทิตย์ละ 3,700 บาท เดือนหนึ่งก็ 7,000 บาท เราต้องคำนวณว่า ถ้าเขาชิ่งกระเป๋าไป มันจะต้อง Cover ส่วนนี้ได้ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนเบื่อง่าย ใช้ของได้พักหนึ่งก็เบื่ออยากได้ใบใหม่ หรือเช่าเพื่อไปออกงาน บางคนบอกว่าไม่อยากดูแลรักษา เราไม่ได้ตั้งราคาไว้สูงเวอร์คนก็มีมาเช่าอยู่เรื่อยๆ....”
เธอบอกว่า ธุรกิจแบบนี้ไม่มีช่วงพีค จัดว่าไปได้เรื่อยๆ นับวันลูกค้ารังแต่จะเพิ่มขึ้น
"ใครอยากหรูขนาดไหนเช่าได้ตามใจปรารถนา" เธอว่า ธุรกิจนี้มีสิทธิเติบโตได้อีก เพราะคนไทยชอบใช้ของแบรนด์เนม ส่วนตัวเธอเองแม้จะอยู่ในฐานะแม่ค้า แต่งานอดิเรก(แถมได้เงิน) ตัวนี้ ทำให้ได้พบเพื่อนใหม่หลากหลายอาชีพ แค่คอเดียวกัน คุยภาษาเดียวกัน จึงกลายเป็นมิตรภาพที่ดี
ความหรู ที่บุรุษคู่ควร
คุณพ่อลูกหนึ่งมาดเนี้ยบ ฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช เจ้าของฉายา "คาสโนวาเมืองไทย" เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นว่า ไม่ผิดตรงไหนที่ใครสักคนจะต้องการมีรสนิยมหรูๆ ดีๆ ชอบใช้ของแบรนด์เนมเพื่อให้ตัวเองดูดี เป็นที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะถ้าคนๆ นั้นเป็นผู้ชายด้วยแล้ว
“คาสโนวาเป็นชื่อที่ไม่ต้องสร้างใหม่ ไม่ต้องโปรโมท ฟังแล้วนึกภาพออกทันทีว่าหมายถึงความหรู ดูดี มีรสนิยม เพราะผมเป็นคนมีรสนิยม เป็นคนกล้าใช้ของ กล้าใช้ชีวิต และผมใช้เงินเยอะซื้อมาแล้วทั้งนั้นทั้ง รองเท้า 30,000 เสื้อ 20,000 กางเกง 30,000 ไม่ได้อยากเสียเงินเท่านี้หรอกนะ แต่ของมันแพง ทำไงได้...” (สัมภาษณ์, กรุงเทพธุรกิจ 18 พฤศจิกายน 2551)
ฟลุคพูดถึงธุรกิจที่เริ่มทำเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา นั่นก็คือ เบอร์สวยให้เช่า เดือนละ 2-3 แสนบาท ถ้าเบอร์สวยมากๆ เช่น เลขเหมือนกัน7-8 ตัว เดือนหนึ่งประมาณ 9,000 บาท แต่ถ้าเลขเหมือนกันแค่4 ตัวท้ายก็จะถูกลงมาหน่อยเช่าเดือนหนึ่งไม่เกิน 2,000 บาท
“ธุรกิจนี้เริ่มมาจากที่เรามีของก่อน มีเบอร์สวยๆ เพราะเราชอบก็ไปซื้อมาใช้ เริ่มจาก 4 ตัวท้าย ใช้ไป 2-3 ปีคนก็เริ่มรู้เบอร์เราเยอะขึ้น พอได้เปลี่ยนก็ใช้แบบ 5 ตัวท้ายเลขเหมือนกัน พอมี 2 เบอร์ก็ไปประกาศขายในหนังสือ ก็มีคนโทรมาขอซื้อเยอะ แถมยังมีคนโทรมาจะขายเบอร์สวยให้อีกด้วย ก็เลยรับไว้ 3-4 เบอร์ ไปๆ มาๆ มีคนขายมากกว่าคนซื้อ ก็เลยลงโฆษณาเล็กๆ กลายเป็นธุรกิจไปในที่สุด ”
คาสโนวาเมืองไทยคิดว่าการซื้อเบอร์สวย ดีกว่าซื้อรถ หรือเช่าพระ เพราะราคาไม่มีวันตก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ
“ผมว่าเบอร์สวยๆ ทำให้บุคลิกดี เพราะเป็นอย่างแรกที่คนเห็น เช่นเราโทรไปคนยังไม่รู้จักเราแค่เห็นเบอร์ ก็มีส่วนทำให้คนตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ จะโทรกลับหรือไม่โทรกลับ ส่วนใหญ่ถ้าเบอร์สวยๆโทรมาก็จะรับไว้ก่อน เวลาเราเขียนเบอร์ไว้ในนามบัตรมันก็สวยดี ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่า อย่าลืมว่าเบอร์โทรศัพท์เป็นอย่างเดียวที่ไม่มีวันหาย ซิมหายเราไปแจ้งขอใหม่ได้ แต่ถ้าเราสะสมพระเครื่องมูลค่า 10 ล้าน อาบน้ำลืมถอดพระ หรือเพื่อนขอดูแล้วทำหล่นแตก ก็หายไปในพริบตาแล้ว
ส่วนมูลค่าของเบอร์โทรนั้นแล้วแต่ความพึงพอใจ ระหว่างคนซื้อกับคนขาย บางทีอาจจะไม่มีมูลค่าด้วยซ้ำ อย่างเบอร์สวย 088-888-8888 มีคนอยากได้ แต่เจ้าของไม่ยอมขาย เอาเงินสด 20 ล้าน 100 ล้านมาซื้อ เจ้าของเขาก็ไม่ขายมันก็เลยไม่มีมูลค่า”
ฟลุคแชร์ความเห็นอีกว่า คนบางคนอยากเป็นที่ 1 เพราะเป็นที่น่าสนใจดูดีไปเสียทุกอย่าง เบอร์โทรศัพท์สวยๆ อาจจะเป็นเครื่องประดับอย่างหนึ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งอยากมี แล้วแต่ความพึงพอใจ ยกตัวอย่างผู้ชายสองคนซื้อรถเบนซ์รุ่นเดียวกันราคาแพงเท่ากัน คนหนึ่งยอมจ่ายอีก 1 ล้านเพื่อซื้อทะเบียนสวยเพิ่มความหรูหราน่าสนใจ แต่อีกคนบอกว่าใช้ทะเบียนอะไรก็ได้ไม่เห็นแคร์ ไม่เห็นจำเป็นต้องจ่ายอีกตั้ง 1 ล้านเป็นต้น
“นอกจากเบอร์สวยๆแล้วผมยังมีรถหรูให้เช่าอีกด้วย เริ่มจากผมมีเพื่อนเป็นเจ้าของรถหรูๆ เยอะ อย่างเพื่อนคนหนึ่งมีรถ 20 คัน มีคนขับ 3 คน ซูเปอร์คาร์จอดไว้เฉยๆ ไม่ได้ ต้องจ้างคนไปสตาร์ทวันละ 20 นาทีต่อคัน จ้างคนล้างรถอีก 3 คน เจ้าของรถใช้แค่ช่วงวีคเอน เปลืองโดยใช่เหตุ ก็เลยปล่อยเช่าก็จะทำให้เขาผ่อนรถน้อยหน่อย คนเช่าก็ถือว่าโอเคคุ้มเพราะถ้าเราไปซื้อรถมาขับ ค่าใช้จ่ายก็ต้องเยอะมาก คนซื้อรถทุกคนรู้ดี บางคนซื้อชมาคันละ 10 ล้านยังไม่ได้ใช้เลย ไปขายต่อวันรุ่งขึ้น ราคาก็ตกทันทีเหลือแค่ 6 ล้าน ว่าแล้วเช่าดีกว่า วันละหมื่นบาท ขับอาทิตย์ละ 2-3 วัน บางคนขับรถสปอร์ตแค่วันอาทิตย์วันเดียว ไปเช่าขับดีกว่า เปลี่ยนรถขับทุกอาทิตย์ก็ยังได้
ถ้าคำนวณระหว่างซื้อรถมาขับเอง ผ่อนไปเรื่อยๆ กว่าจะหมดสภาพรถไม่เหลือ แถมยังได้ขับรถแค่คันเดียว นี่มีเป็น 10 ก็ยังได้ แถมถ้าเราไปซื้อรถสปอร์ต เขาไม่ให้ลองขับด้วยนะ ซื้อมาแล้วไม่ชอบจะทำยังไง บางคนเช่าขับดูก่อน ชอบแล้วค่อยไปซื้อก็มี บางคนดูไปดูมาเช่าคุ้มกว่าก็มาเช่าไม่ซื้อดีกว่า ใครจะเช่าไม่เช่าผมก็ไม่เดือดร้อนนะเพราะรถน่ะมันมีอยู่แล้ว และนี่ก็เป็นแค่งานอดิเรกของผมเท่านั้นเอง งานหลักก็คือธุรกิจร้านเสริมสวยของทางบ้าน และมีรายการท่องเที่ยว แฟ้บ ทีวี ที่พากินพาเที่ยวทั่วโลก”
จำเป็นต้องหรู
จริงอยู่ การทำตัวเลิศ หรู ดูดี มักเป็นที่ประทับใจได้เสมอ แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มที่ "จำเป็นต้องหรู" เช่น เช่ารถหรูเพื่อรับแขกผู้ใหญ่ เช่ารถในฝันไปผูกริบบิ้นรับเจ้าสาวในวันแต่งงาน ฯลฯ
ภูมน สมดี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดบริษัท Master Car Rental เล่าว่า บริษัทมีรถไว้บริการประมาณ 2,700 คัน ในจำนวนนั้นมีรถหรูแบบ Luxury car ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ และลูกค้า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นชาย ถ้าเป็นหญิงก็จะเช่ารถมินิเปิดประทุน ไว้ออกงาน หรือเป็นวันสำคัญๆ ของชีวิต เช่นวันรับปริญญา งานแต่งงาน
"เพราะเขาคิดว่าขอเป็น Once in my life ลูกค้าหลายคนชอบใช้รถสปอร์ตแต่ไม่อยากเป็นภาระ อย่างฝรั่งคนหนึ่งมาพักในเมืองไทยเขาเช่ารถสปอร์ตวันละ 2 หมื่น เช่าครั้งหนึ่ง 10 วัน ประมาณ 2 แสนบาท เคยถามเขาว่าทำไมไม่ซื้อรถขับซะเลย เขาให้เหตุผลว่าเป็นคนขี้เบื่อ และไม่อยากรับภาระมาก เพราะการซื้อรถสปอร์ต 1 คันมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาเยอะ แต่ถ้าเช่าสามารถเลือกรถสปอตร์ตรุ่นไหนก็ได้ที่อยากขับ มีให้เลือกเยอะแยะมากมาย "
ลูกค้าของเขาแบ่งเป็นเช่ารถระยะยาวแบบนิติบุคคล 3-5 ปี และเช่าแบบสั้นๆ รายวัน รายสัปดาห์ ไปจนถึงรายเดือนและรายปี และเปิดบริการแบบนี้มานานจนเข้าปีที่ 7 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ Beyond Driving (A car is beyond an engine on wheels, it is a journey of life) เป็นธุรกิจรถเช่าครบวงจรที่มีรถทุกระดับตั้งแต่อีโคคาร์ ไปจนถึงรถหรูระดับไฮเอนด์ เช่น BMW 7 , BMW X3 , MINI Cooper Convertible ฯลฯ
ภูมน ให้ข้อมูลอีกว่า ธุรกิจนี้มีคู่แข่งเยอะ ทว่ายังเติบโตไปได้อีกไม่มีทางตัน เป็นเพราะนับวันหลายชีวิตยิ่งติดความหรูดูดีมีระดับ เพราะเชื่อว่าภาพลักษณ์ที่ดี จะนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่สูงคุ้มค่าและน่าลงทุน
เป็นการลงทุนด้วยความหรู เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า...นานาจิตตัง
from http://bit.ly/ahXoZa
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
21 ตุลาคม 2553
SMS บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
ร่วมใจกันส่ง SMS บริจาคช่วยน้ำท่วม
พิมพ์ น้ำใจไทย หรือ Namjaithai ส่งไปที่ 4567890
รองรับ AIS/ DTAC /TRUEMOVE
ข้อความละ 10 บาท ครับ รายได้ทั้งหมดบริจาคผู้ประสบอุทกภัย
อ่านช่องทางบริจาคเพิ่มเติม
http://www.thaitv3.com/ch3/%E0...0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1.html
http://www.pantip.com/cafe/rel...s/topic/Y9817734/Y9817734.html
พิมพ์ น้ำใจไทย หรือ Namjaithai ส่งไปที่ 4567890
รองรับ AIS/ DTAC /TRUEMOVE
ข้อความละ 10 บาท ครับ รายได้ทั้งหมดบริจาคผู้ประสบอุทกภัย
บัญชี ครอบครัวข่าวช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 53
บัญชีกระแสรายวัน เลขที่ 014-300-3689
ธนาคารกรุงเทพ สาขามาลีนนท์
อ่านช่องทางบริจาคเพิ่มเติม
http://www.thaitv3.com/ch3/%E0...0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1.html
http://www.pantip.com/cafe/rel...s/topic/Y9817734/Y9817734.html
20 ตุลาคม 2553
ประเทศที่คนทำเพื่อผู้อื่นมากที่สุด
การที่ผู้คนในสังคม นิยมทำอะไรเพื่อคนอื่นนั้น เป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้น เรื่องทำนองนี้บางคนพูดเยอะแต่ทำน้อย
บางคนพูดน้อยแต่ทำเยอะ การสำรวจอย่างเป็นรูปธรรมน่าจะช่วยให้เราเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเพื่อสังคมที่ชื่อ Charities Aid Foundation (http://cafonline.org) ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจที่จัดทำโดย Gallup Poll ของประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับการทำอะไรเพื่อคนอื่นของคนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่างประเทศละ 500-2,000 คนใน 153 ประเทศทั่วโลกในสามเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ การบริจาคเงินเพื่อการกุศล การสละเวลาเพื่อทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และการช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ตนไม่รู้จัก
ผลปรากฏว่า ประเทศที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งมีสองประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งได้คะแนนในระดับที่สูงมากทั้งสามด้านที่ทำการสำรวจ ตามมาด้วย ไอร์แลนด์ แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ศรีลังกา ออสเตรีย ลาว และเซียร์ราลีโอน ตามลำดับ
ผลการสำรวจในครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนแต่ละประเทศนั้นไม่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคหรือระดับรายได้เท่าไรนัก เพราะประเทศที่ได้คะแนนสูงๆ นั้น มาจากภูมิภาคและระดับรายได้ที่หลากหลาย ใน 20 อันดับแรกนั้นมีประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจนติดอันดับเท่าๆ กัน คือ ประมาณครึ่งต่อครึ่ง ตัวอย่างของประเทศยากจนที่ติด 20 อันดับแรกก็เช่น ลาว กีนี กูยาน่า และเติร์กมินิสถาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ชายและผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นในระดับที่ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งอาจขัดแย้งกับความรู้สึกทั่วไปที่คนมอง ในขณะที่ยิ่งกลุ่มตัวอย่างมีอายุมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะบริจาคเงินเพื่อผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น อันสอดคล้องกับรายได้ที่มักเพิ่มขึ้นตามวัยด้วย ในเวลาเดียวกัน คนอายุน้อยจะนิยมทำเพื่อคนอื่นด้วยการสละเวลาเพื่อทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ และช่วยเหลือคนแปลกหน้ามากกว่า
สำหรับ ประเทศไทยนั้นได้คะแนนเป็นลำดับที่ 25 โดยพบว่าคนไทยนิยมการทำเพื่อคนอื่นด้วยวิธีบริจาคเงินมากที่สุด และมากเป็นอันดับสามของโลกเลยทีเดียว แต่ในด้านการสละเวลาเพื่อสังคมและการช่วยเหลือคนแปลกหน้านั้น เราได้คะแนนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้อันดับโดยรวมของเราไม่สูงมากนัก ในขณะที่ประเทศลาวนั้นโดดเด่นหมดทั้งสามด้าน จึงมาเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
อันดับของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกก็มี ฮ่องกง (18) ฟิลิปปินส์ (50) มาเลเซีย (76) สิงคโปร์ (91) เวียดนาม (138) กัมพูชา (142) จีน (147) เป็นต้น
ผมว่าการสำรวจนี้เป็นการสำรวจที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยผู้คนในแต่ละสังคม และความเป็นจริงก็อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกของเราเสมอไป บางครั้งการที่เราอยากเห็นสังคมดีขึ้นนั้นแค่การพูดมากๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการลงมือปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมด้วย
มาช่วยกันลงมือปฏิบัติให้มากๆ ด้วยกันนะครับ
from http://bit.ly/cww6SA
บางคนพูดน้อยแต่ทำเยอะ การสำรวจอย่างเป็นรูปธรรมน่าจะช่วยให้เราเห็นภาพนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเพื่อสังคมที่ชื่อ Charities Aid Foundation (http://cafonline.org) ได้มีการเปิดเผยผลสำรวจที่จัดทำโดย Gallup Poll ของประเทศอังกฤษ เกี่ยวกับการทำอะไรเพื่อคนอื่นของคนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่างประเทศละ 500-2,000 คนใน 153 ประเทศทั่วโลกในสามเรื่องใหญ่ๆ ได้แก่ การบริจาคเงินเพื่อการกุศล การสละเวลาเพื่อทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และการช่วยเหลือคนแปลกหน้าที่ตนไม่รู้จัก
ผลปรากฏว่า ประเทศที่ได้คะแนนมากเป็นอันดับหนึ่งมีสองประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งได้คะแนนในระดับที่สูงมากทั้งสามด้านที่ทำการสำรวจ ตามมาด้วย ไอร์แลนด์ แคนาดา สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร ศรีลังกา ออสเตรีย ลาว และเซียร์ราลีโอน ตามลำดับ
ผลการสำรวจในครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนแต่ละประเทศนั้นไม่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคหรือระดับรายได้เท่าไรนัก เพราะประเทศที่ได้คะแนนสูงๆ นั้น มาจากภูมิภาคและระดับรายได้ที่หลากหลาย ใน 20 อันดับแรกนั้นมีประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจนติดอันดับเท่าๆ กัน คือ ประมาณครึ่งต่อครึ่ง ตัวอย่างของประเทศยากจนที่ติด 20 อันดับแรกก็เช่น ลาว กีนี กูยาน่า และเติร์กมินิสถาน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ชายและผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะทำอะไรเพื่อคนอื่นในระดับที่ไม่ต่างกันมากนัก ซึ่งอาจขัดแย้งกับความรู้สึกทั่วไปที่คนมอง ในขณะที่ยิ่งกลุ่มตัวอย่างมีอายุมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะบริจาคเงินเพื่อผู้อื่นมากขึ้นเท่านั้น อันสอดคล้องกับรายได้ที่มักเพิ่มขึ้นตามวัยด้วย ในเวลาเดียวกัน คนอายุน้อยจะนิยมทำเพื่อคนอื่นด้วยการสละเวลาเพื่อทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ และช่วยเหลือคนแปลกหน้ามากกว่า
สำหรับ ประเทศไทยนั้นได้คะแนนเป็นลำดับที่ 25 โดยพบว่าคนไทยนิยมการทำเพื่อคนอื่นด้วยวิธีบริจาคเงินมากที่สุด และมากเป็นอันดับสามของโลกเลยทีเดียว แต่ในด้านการสละเวลาเพื่อสังคมและการช่วยเหลือคนแปลกหน้านั้น เราได้คะแนนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้อันดับโดยรวมของเราไม่สูงมากนัก ในขณะที่ประเทศลาวนั้นโดดเด่นหมดทั้งสามด้าน จึงมาเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน
อันดับของประเทศอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกก็มี ฮ่องกง (18) ฟิลิปปินส์ (50) มาเลเซีย (76) สิงคโปร์ (91) เวียดนาม (138) กัมพูชา (142) จีน (147) เป็นต้น
ผมว่าการสำรวจนี้เป็นการสำรวจที่น่าสนใจ เพราะสะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการทำอะไรเพื่อคนอื่นโดยผู้คนในแต่ละสังคม และความเป็นจริงก็อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกของเราเสมอไป บางครั้งการที่เราอยากเห็นสังคมดีขึ้นนั้นแค่การพูดมากๆ อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการลงมือปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมด้วย
มาช่วยกันลงมือปฏิบัติให้มากๆ ด้วยกันนะครับ
from http://bit.ly/cww6SA
17 ตุลาคม 2553
เปิดสูตรลงทุน..พระพุทธเจ้า นัยอันลึกล้ำกับท่านว.วชิรเมธี
หน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งสถาบันวิมุตตยาลัย มีนัดหมายกับกรุงเทพธุรกิจ BizWeek แม้การลงทุนตามแนวทางของพระพุทธเจ้าจะไม่ใช่หัวข้อหลักแห่งเจตนาที่เรา มากราบขอความกระจ่าง แต่พระอาจารย์ก็ให้ความสว่างตอบได้ฉะฉานโดยประยุกต์พระคัมภีร์เข้ากับภูมิ รู้ร่วมสมัย อีกทั้งใช้ภาษาที่แม้แต่คนที่รู้เรื่องพระพุทธศาสนาเพียงผิวเผินก็ตื่นรู้ ได้
"พระยุคใหม่ต้องปรับพระพุทธศาสนาให้ร่วมสมัยถึงจะอยู่ร่วมกับสังคมไทยต่อไป ได้ อาตมาเรียกว่าจุดยืนเดิมแต่บนบริบทใหม่ มิเช่นนั้นพระจะอยู่อย่างมีตัวตนแต่ไม่มีความหมาย" ท่านว่า
ทุกๆ วันท่าน ว.วชิรเมธี จะอ่านหนังสือพิมพ์วันละ 6-7 ฉบับ ท่านบอกว่าวิถีชีวิตประจำวันเราต้องตามให้ทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไม่ศึกษาหาความรู้เราก็ไม่มีเครื่องมือมาอธิบายชีวิต ชีวิตคนเราอย่ามีแต่ความรู้ ต้องมีความลึก สิ่งที่อาตมาทำเรียกว่าการเผยแผ่ศาสนา "เชิงรุก" ให้ทั้งความรู้และความลึก
ในทางพุทธศาสนามีคำว่า เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ หรือ ธัมมิกเศรษฐศาสตร์ หรือ Buddhist Economics มีมั้ย! คำว่า Buddhist Investment...?? เราถามท่าน
"มี" ท่านว่า ค้นดูก็พบว่ามีการปรับใช้ หลักโภควิภาค 4 ในทางพระพุทธศาสนาคือการใช้จ่ายทรัพย์โดยจัดสรรเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1 ส่วน ใช้จ่ายเลี้ยงตัวเองและทำประโยชน์
2 ส่วน ใช้ลงทุนประกอบการงาน อีก 1 ส่วน เก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น
ท่าน ว.วชิรเมธี ไม่ได้พูดถึงหลักโภควิภาค 4 ตรงๆ แต่ได้เกริ่นนำด้วยคุณสมบัติของนักลงทุนที่ดี 3 ประการ ท่านว่าต้องมี
1. จักขุมา คือ วิสัยทัศน์ ต้องมีสายตาที่ยาวไกลเป็นคนมองการณ์ไกล
2. วิธุโร เป็นนักบริหารจัดการที่ดีและมีความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ ซึ่งรวมความถึงต้องมีธรรมาภิบาลด้วย
3. นิสสยสัมปันโน ต้องมีกัลยาณมิตรเกื้อกูลอุปถัมภ์ ภาษาสมัยใหม่เรียกว่าต้องมี กู้ดคอนเนคชั่น ถ้าไม่มีคอนเนคชั่นจะทำมาค้าขายกับใครได้ล่ะ..ใช่มั้ย!
พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างนี้ถึงจะเป็นนักลงทุนที่ดีได้
ทีนี้มาพูดถึงการบริหารจัดการเรื่องการเงินบ้าง นี่มาถึงหลักพุทธเศรษฐศาสตร์แล้วนะ ถ้าเราได้เงินมาแล้วจะบริหารจัดการยังไง! ในทางพระพุทธศาสนาแนะนำว่า...
1. เก็บเป็นเงิน สำรองคงคลัง สำหรับความมั่นคงให้ชีวิตยามเจ็บป่วย ยามฉุกเฉิน
2. ใช้เงินนั้นมาซื้ออาหารการกินเครื่องอุปโภคบริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อดูแลตัว เอง
และบุคคลอันเป็นที่รักให้ กินอิ่มนอนอุ่น
3. นำเงินนั้นไปลงทุนในลักษณะ เงินต่อเงิน
4. เสียภาษีท่านใช้คำว่า "ราชพลี" (ทำเพื่อสังคม) เมื่อเราได้ผลประโยชน์จากผืนแผ่นดินนี้ก็ต้องแบ่งปันให้กับแผ่นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มาคุณเป็นหนี้บุญคุณประเทศนี้ทั้งนั้น
5. บำรุงสมณะชีพราหมณ์นักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้ที่เป็น เสาหลักในทางธรรม ในทางสติปัญญาให้กับคนในสังคม
"นี่คือหลักการใช้เงินของพระพุทธเจ้า ห้าข้อนี้ไม่มีทางล้าสมัย ถ้าทำได้ชีวิตจะมีแต่เป็นสุข"
พระอาจารย์ไขปริศนาธรรมเรื่องการลงทุนต่อไปว่า ในโลกความเป็นจริงถ้าเรามีเงินก้อนหนึ่งเราก็ต้องฝากแบงก์ พระพุทธเจ้าแนะนำว่าต้องเอาเงินมาสร้างความมั่นคงก่อน และแบ่งส่วนหนึ่งมากินมาใช้ครอบครัวต้องกินอิ่มนอนอุ่นตรงนี้สำคัญ ท่านบอกว่ามีเงินให้เอามาใช้เพราะเงินเป็น "ปัจจัย" ไม่ใช่ "เป้าหมาย" เพราะฉะนั้นมีเงินต้องใช้เงิน เงินอีกส่วนหนึ่งให้เอาไปทำธุรกิจหรือลงทุนทำให้มัน "งอกเงย"
วัฏจักรของการลงทุนก็คือวัฏจักรของการเวียนว่ายแห่งชีวิต พระอาจารย์ อธิบายเรื่องการหากำไรในทางพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องผิดขออย่างเดียวให้มันเป็น สัมมาอาชีพ ไม่ทำให้ผู้อื่นมีความทุกข์ หรือทำกำไรบนความเดือดร้อนของผู้อื่นอันนี้รับไม่ได้ หลักในการทำธุรกิจในทางพระพุทธศาสนาได้ให้ไว้สั้นๆ คือ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าหากินโดยสุจริตก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ดีได้
คำว่า ไม่เบียดเบียนตน หมายความว่า คุณต้องเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนที่ดีและเป็นมนุษย์ที่ดี คุณทำมาหากินไป สุขภาพคุณต้องดี ถ้าคุณประสบความสำเร็จแต่ชีวิตเครียดจัด คนในครอบครัวไม่พูดหากัน ต้องกินยานอนหลับทุกคืน อันนี้เรียกว่าเบียดเบียนตัวเอง
คำว่า เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนสังคม อาชีพของคุณต้องไม่ทำให้สังคมเสียหาย เอาเปรียบคนอื่น มัวเมาสังคม ทำให้คนเป็นทาสสุรายาเสพติด ทำให้คนในสังคมมีค่านิยมที่ผิดๆ แล้วถ้าคุณได้เงินมาจากการคอร์รัปชัน เหล่านี้คือการเบียดเบียนสังคม ถ้าคุณไม่เบียดเบียนตน และไม่เบียดเบียนสังคมคุณจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
"นักลงทุนหรือนักธุรกิจที่ดีจะต้อง "เจริญสติ" (ระลึกรู้ในสิ่งที่ทำ) อยู่เสมอ
ถ้าคุณไม่เจริญสติอยู่เสมอคุณอาจจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่คุณจะ เป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว"
พระพุทธศาสนาบอกว่า "การลงทุนมนุษย์" เป็นการลงทุน สูงที่สุด และสำคัญที่สุด ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีลูก
1. ต้องห้ามปรามจากความชั่ว
2. สั่งสอนให้เขาเป็นคนดี
3. ให้ศึกษาหาความรู้
4. ดูแลให้เขาเลือกคู่ครองที่ดี
5. เมื่อถึงเวลาให้เขียนพินัยกรรมมอบมรดกให้ถูกต้อง นี่คือการลงทุนมนุษย์
"ในทางพุทธศาสนาเน้นมากว่า ก่อนที่จะลงทุนทำธุรกิจใดๆ ให้ลงทุนในตัวมนุษย์ให้ได้เสียก่อน ถ้ามีคนคุณภาพก็จะมีธุรกิจที่มีคุณภาพ แต่ถ้าคุณไม่มีคนที่มีคุณภาพก็จะไม่สามารถสร้างธุรกิจที่มีคุณภาพขึ้นมาได้ ฉะนั้นการลงทุนในทางพุทธศาสนาจึงเริ่มต้นที่การลงทุนในตัวมนุษย์ก่อน ถามว่ามนุษย์คนไหนล่ะ! มนุษย์คนแรกที่จะต้องถูกลงทุนก่อนคือ..ตัวเราเอง"
ท่าน ว.วชิรเมธี ยกคำให้ฟังว่า ถ้าเราสร้างตึก 10 ชั้น ผ่านไป 10 ปีตึกนี้ก็ยังสูง 10 ชั้นเหมือนเดิม แต่การลงทุนให้ความรู้เราส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ 10 ปี เขาอาจจะกลับมาพร้อมกับธุรกิจหมื่นล้านก็ได้ใครจะรู้ คนนั้นมีพัฒนาการแต่วัตถุนั้นอยู่แค่ไหนก็หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือ การลงทุนพัฒนา (คน) มนุษย์ ลงทุนดีก็เป็นมนุษย์ที่ดี ถ้าลงทุนไม่ดีก็เป็นมนุษย์ที่แย่ ในต่างประเทศเขาให้ความสำคัญมากกับ "ทุนมนุษย์" คำว่า "ทุน" ที่จริงอย่าไปมองแค่ "เงิน" มองแค่นี้มันจะทำให้ชีวิตเรา แคบ และไม่ลึก
หลักการลงทุนสูตรพระพุทธเจ้านอกจากไม่ล้าสมัยแล้ว ยังเปิดกว้างและร่วมสมัยอย่างไม่น่าเชื่อ!! เรา "ตื่นรู้" ขึ้นมาอีกนิด ขณะที่ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังคงทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของท่านต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่รู้เหน็ดเหนื่อยด้วยรอยยิ้มแห่งธรรมและศรัทธาอันแรงกล้า
from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9806141/I9806141.html
"พระยุคใหม่ต้องปรับพระพุทธศาสนาให้ร่วมสมัยถึงจะอยู่ร่วมกับสังคมไทยต่อไป ได้ อาตมาเรียกว่าจุดยืนเดิมแต่บนบริบทใหม่ มิเช่นนั้นพระจะอยู่อย่างมีตัวตนแต่ไม่มีความหมาย" ท่านว่า
ทุกๆ วันท่าน ว.วชิรเมธี จะอ่านหนังสือพิมพ์วันละ 6-7 ฉบับ ท่านบอกว่าวิถีชีวิตประจำวันเราต้องตามให้ทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าเราไม่ศึกษาหาความรู้เราก็ไม่มีเครื่องมือมาอธิบายชีวิต ชีวิตคนเราอย่ามีแต่ความรู้ ต้องมีความลึก สิ่งที่อาตมาทำเรียกว่าการเผยแผ่ศาสนา "เชิงรุก" ให้ทั้งความรู้และความลึก
ในทางพุทธศาสนามีคำว่า เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ หรือ ธัมมิกเศรษฐศาสตร์ หรือ Buddhist Economics มีมั้ย! คำว่า Buddhist Investment...?? เราถามท่าน
"มี" ท่านว่า ค้นดูก็พบว่ามีการปรับใช้ หลักโภควิภาค 4 ในทางพระพุทธศาสนาคือการใช้จ่ายทรัพย์โดยจัดสรรเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1 ส่วน ใช้จ่ายเลี้ยงตัวเองและทำประโยชน์
2 ส่วน ใช้ลงทุนประกอบการงาน อีก 1 ส่วน เก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น
ท่าน ว.วชิรเมธี ไม่ได้พูดถึงหลักโภควิภาค 4 ตรงๆ แต่ได้เกริ่นนำด้วยคุณสมบัติของนักลงทุนที่ดี 3 ประการ ท่านว่าต้องมี
1. จักขุมา คือ วิสัยทัศน์ ต้องมีสายตาที่ยาวไกลเป็นคนมองการณ์ไกล
2. วิธุโร เป็นนักบริหารจัดการที่ดีและมีความเชี่ยวชาญในงานที่ทำ ซึ่งรวมความถึงต้องมีธรรมาภิบาลด้วย
3. นิสสยสัมปันโน ต้องมีกัลยาณมิตรเกื้อกูลอุปถัมภ์ ภาษาสมัยใหม่เรียกว่าต้องมี กู้ดคอนเนคชั่น ถ้าไม่มีคอนเนคชั่นจะทำมาค้าขายกับใครได้ล่ะ..ใช่มั้ย!
พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องมีคุณสมบัติ 3 อย่างนี้ถึงจะเป็นนักลงทุนที่ดีได้
ทีนี้มาพูดถึงการบริหารจัดการเรื่องการเงินบ้าง นี่มาถึงหลักพุทธเศรษฐศาสตร์แล้วนะ ถ้าเราได้เงินมาแล้วจะบริหารจัดการยังไง! ในทางพระพุทธศาสนาแนะนำว่า...
1. เก็บเป็นเงิน สำรองคงคลัง สำหรับความมั่นคงให้ชีวิตยามเจ็บป่วย ยามฉุกเฉิน
2. ใช้เงินนั้นมาซื้ออาหารการกินเครื่องอุปโภคบริโภคจับจ่ายใช้สอยเพื่อดูแลตัว เอง
และบุคคลอันเป็นที่รักให้ กินอิ่มนอนอุ่น
3. นำเงินนั้นไปลงทุนในลักษณะ เงินต่อเงิน
4. เสียภาษีท่านใช้คำว่า "ราชพลี" (ทำเพื่อสังคม) เมื่อเราได้ผลประโยชน์จากผืนแผ่นดินนี้ก็ต้องแบ่งปันให้กับแผ่นดิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้มาคุณเป็นหนี้บุญคุณประเทศนี้ทั้งนั้น
5. บำรุงสมณะชีพราหมณ์นักปราชญ์ราชบัณฑิตผู้ที่เป็น เสาหลักในทางธรรม ในทางสติปัญญาให้กับคนในสังคม
"นี่คือหลักการใช้เงินของพระพุทธเจ้า ห้าข้อนี้ไม่มีทางล้าสมัย ถ้าทำได้ชีวิตจะมีแต่เป็นสุข"
พระอาจารย์ไขปริศนาธรรมเรื่องการลงทุนต่อไปว่า ในโลกความเป็นจริงถ้าเรามีเงินก้อนหนึ่งเราก็ต้องฝากแบงก์ พระพุทธเจ้าแนะนำว่าต้องเอาเงินมาสร้างความมั่นคงก่อน และแบ่งส่วนหนึ่งมากินมาใช้ครอบครัวต้องกินอิ่มนอนอุ่นตรงนี้สำคัญ ท่านบอกว่ามีเงินให้เอามาใช้เพราะเงินเป็น "ปัจจัย" ไม่ใช่ "เป้าหมาย" เพราะฉะนั้นมีเงินต้องใช้เงิน เงินอีกส่วนหนึ่งให้เอาไปทำธุรกิจหรือลงทุนทำให้มัน "งอกเงย"
วัฏจักรของการลงทุนก็คือวัฏจักรของการเวียนว่ายแห่งชีวิต พระอาจารย์ อธิบายเรื่องการหากำไรในทางพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องผิดขออย่างเดียวให้มันเป็น สัมมาอาชีพ ไม่ทำให้ผู้อื่นมีความทุกข์ หรือทำกำไรบนความเดือดร้อนของผู้อื่นอันนี้รับไม่ได้ หลักในการทำธุรกิจในทางพระพุทธศาสนาได้ให้ไว้สั้นๆ คือ ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าหากินโดยสุจริตก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ดีได้
คำว่า ไม่เบียดเบียนตน หมายความว่า คุณต้องเป็นนักธุรกิจหรือนักลงทุนที่ดีและเป็นมนุษย์ที่ดี คุณทำมาหากินไป สุขภาพคุณต้องดี ถ้าคุณประสบความสำเร็จแต่ชีวิตเครียดจัด คนในครอบครัวไม่พูดหากัน ต้องกินยานอนหลับทุกคืน อันนี้เรียกว่าเบียดเบียนตัวเอง
คำว่า เบียดเบียนผู้อื่น หรือเบียดเบียนสังคม อาชีพของคุณต้องไม่ทำให้สังคมเสียหาย เอาเปรียบคนอื่น มัวเมาสังคม ทำให้คนเป็นทาสสุรายาเสพติด ทำให้คนในสังคมมีค่านิยมที่ผิดๆ แล้วถ้าคุณได้เงินมาจากการคอร์รัปชัน เหล่านี้คือการเบียดเบียนสังคม ถ้าคุณไม่เบียดเบียนตน และไม่เบียดเบียนสังคมคุณจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
"นักลงทุนหรือนักธุรกิจที่ดีจะต้อง "เจริญสติ" (ระลึกรู้ในสิ่งที่ทำ) อยู่เสมอ
ถ้าคุณไม่เจริญสติอยู่เสมอคุณอาจจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่คุณจะ เป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว"
พระพุทธศาสนาบอกว่า "การลงทุนมนุษย์" เป็นการลงทุน สูงที่สุด และสำคัญที่สุด ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมีลูก
1. ต้องห้ามปรามจากความชั่ว
2. สั่งสอนให้เขาเป็นคนดี
3. ให้ศึกษาหาความรู้
4. ดูแลให้เขาเลือกคู่ครองที่ดี
5. เมื่อถึงเวลาให้เขียนพินัยกรรมมอบมรดกให้ถูกต้อง นี่คือการลงทุนมนุษย์
"ในทางพุทธศาสนาเน้นมากว่า ก่อนที่จะลงทุนทำธุรกิจใดๆ ให้ลงทุนในตัวมนุษย์ให้ได้เสียก่อน ถ้ามีคนคุณภาพก็จะมีธุรกิจที่มีคุณภาพ แต่ถ้าคุณไม่มีคนที่มีคุณภาพก็จะไม่สามารถสร้างธุรกิจที่มีคุณภาพขึ้นมาได้ ฉะนั้นการลงทุนในทางพุทธศาสนาจึงเริ่มต้นที่การลงทุนในตัวมนุษย์ก่อน ถามว่ามนุษย์คนไหนล่ะ! มนุษย์คนแรกที่จะต้องถูกลงทุนก่อนคือ..ตัวเราเอง"
ท่าน ว.วชิรเมธี ยกคำให้ฟังว่า ถ้าเราสร้างตึก 10 ชั้น ผ่านไป 10 ปีตึกนี้ก็ยังสูง 10 ชั้นเหมือนเดิม แต่การลงทุนให้ความรู้เราส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ 10 ปี เขาอาจจะกลับมาพร้อมกับธุรกิจหมื่นล้านก็ได้ใครจะรู้ คนนั้นมีพัฒนาการแต่วัตถุนั้นอยู่แค่ไหนก็หยุดนิ่งอยู่แค่นั้น การลงทุนที่ดีที่สุดก็คือ การลงทุนพัฒนา (คน) มนุษย์ ลงทุนดีก็เป็นมนุษย์ที่ดี ถ้าลงทุนไม่ดีก็เป็นมนุษย์ที่แย่ ในต่างประเทศเขาให้ความสำคัญมากกับ "ทุนมนุษย์" คำว่า "ทุน" ที่จริงอย่าไปมองแค่ "เงิน" มองแค่นี้มันจะทำให้ชีวิตเรา แคบ และไม่ลึก
หลักการลงทุนสูตรพระพุทธเจ้านอกจากไม่ล้าสมัยแล้ว ยังเปิดกว้างและร่วมสมัยอย่างไม่น่าเชื่อ!! เรา "ตื่นรู้" ขึ้นมาอีกนิด ขณะที่ ท่าน ว.วชิรเมธี ยังคงทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาเชิงรุกของท่านต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไม่รู้เหน็ดเหนื่อยด้วยรอยยิ้มแห่งธรรมและศรัทธาอันแรงกล้า
from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9806141/I9806141.html
ทำไมลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่า
ผู้ประกอบการรายย่อยส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะลึกซึ้งในการวางกลยุทธ์ด้านราคา ส่วนใหญ่มักพิจารณาแต่เรื่องต้นทุน ราคาของคู่แข่งและกำไรที่ต้องการ ทำให้หลายครั้งตั้งราคาต่ำ เพราะต้องการแข่งขันด้วยราคาแต่ลูกค้าไม่ซื้อ ??
ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่แพงกว่า ??
หรือตั้งราคาแพงเกินไปแล้วลูกค้าไม่ซื้อ…ทำไม..ทำไม ??
ความจริง “ราคา” เป็นตัววัดผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับจากการซื้อสินค้าหรือบริการเปรียบเทียบกับความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อสินค้าหรือบริการนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกและความคาดหวังของลูกค้าเป็นประเด็นสำคัญในการวางกลยุทธ์ด้านราคา ทุกครั้งที่ลูกค้าตัดสินใจเรื่องราคาลูกค้าจะมีราคาที่เห็นว่าเหมาะสมอยู่ในใจอยู่แล้ว ที่เรียกว่า ราคาอ้างอิง อย่างที่มักพูดว่า “เคยซื้อราคาเท่านี้” ท่านก็เป็นแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ
ราคาอ้างอิงที่อยู่ในใจนี้อาจจะมาจากความทรงจำหรือประสบการณ์ของลูกค้า หรือจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกในขณะที่ตัดสินใจซื้อสมมติว่า ท่านซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด (ขนาด500 มล.) จากร้านมินิมาร์ท ท่านคงไม่จ่ายเกินขวดละ 10 บาท เกินกว่านี้ถือว่าแพงไป
ทั้งนี้เพราะความทรงจำบอกว่าราคาควรเป็นเท่านั้นแต่ถ้าท่านซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดยี่ห้อเดียวกัน ขนาดเท่ากันในร้านอาหารอย่าง S&P ที่ราคาขวดละ 15-20 บาท (สมมตินะครับ) แบบนี้ท่านคงจะรับราคานั้นได้ เพราะฉะนั้น ท่านจะพบว่า นักการตลาดใช้กลยุทธ์ทำราคาเปรียบเทียบเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้น เช่น มีป้ายบอกว่าราคาปกติ 120 บาท แล้วขีดฆ่า ขายแค่ 99 บาท หรือบางทีก็ทำป้ายบอกว่าลดราคา เท่าโน้น เท่านี้เปอร์เซ็นต์เพราะความรู้สึกของลูกค้านั่นเอง ทำให้สินค้าที่สร้างแบรนด์จนเป็นที่ยอมรับสามารถตั้งราคาได้สูงกว่าแบรนด์สินค้าคู่แข่ง อย่างที่ชาเขียวโออิชิสามารถขายได้ราคาสูงกว่าชาเขียวยี่ห้ออื่นๆ
นักการตลาดบางคนใช้กลยุทธ์ตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 19 บาท 29 บาท อย่างที่รองเท้าบาจาใช้กลยุทธ์ราคานี้มานานแสนนาน เพราะดูว่าถูกกว่า (อย่างน้อยก็ตั้ง 1 บาท !!)หรือตามหลักการอ่านหนังสือที่เราอ่านจากซ้ายไปขวา เพราะฉะนั้น ราคา 395 บาทย่อมกระตุ้นความสนใจมากกว่าราคา 405 บาท ทั้งที่ความจริงต่างกันแค่ 10 บาทเท่านั้น
ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาของลูกค้าที่เกี่ยวกับราคา
ส่วนปัจจัยหลักๆ ที่ใช้ในการกำหนดราคา คือ ต้นทุนของสินค้าและราคาขายของคู่แข่งที่ต้องพิจารณาประกอบกับความสามารถในการจ่ายของลูกค้าเป้าหมายนั้น ผมอยากจะเสนอกลยุทธ์การตั้งราคาโดยคำนึงถึงปัจจัยคุณค่าที่ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่า “Value Base Pricing”
ผู้ประกอบการขนาดเล็กมักจะคำนวณต้นทุนแล้วบวกด้วยกำไรที่ต้องการตั้งเป็นราคาขาย
หากขายไม่ได้ก็มาลดราคาซึ่งอาจต้องลดกำไรหรือต้นทุน การตั้งราคาแบบนี้ไม่ถือว่าผิดแต่ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องทีเดียว เพราะไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาราคาจำเป็นต้องสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด
ปัจจัยในการตั้งราคาแบบ “Value Base Pricing” ประกอบด้วย
1. วัตถุประสงค์และความสามารถของกิจการ เช่น หากต้องการกำไรมากก็จำเป็นต้องตั้งราคาสูง แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาส่วนประสมการตลาดอื่นๆ ด้วย
2. ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าเป้าหมาย หากสินค้าที่ขายเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาก และมีความคาดหวังสูงอย่างนี้ก็ตั้งราคาสูงได้
3.โครงสร้างต้นทุนทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร หากต้นทุนสูงก็ควรจะตั้งราคาขายสูงไม่เช่นนั้นขายได้ก็ขาดทุน
4. ราคาและสินค้าของคู่แข่ง โดยเฉพาะคุณค่าของสินค้าคู่แข่งที่ลูกค้ารับรู้
5. สภาพเศรษฐกิจ
6.ความสามารถซื้อของลูกค้าเป้าหมาย
เมื่อพิจารณาปัจจัยดังกล่าวอย่างรอบคอบแล้ว ต้องพิจารณากลยุทธ์ส่วนประสมการตลาดตัวอื่นๆด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์มีความสำคัญที่สุดหากผลิตภัณฑ์ได้รับการออกแบบอย่างดี ผลิตด้วยวัสดุอย่างดีมีนวัตกรรม อย่างนี้ควรมีงบการตลาดเพื่อสร้างคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือการส่งเสริมการตลาดอื่นๆ (ไม่ใช่การลดราคา) แล้วตั้งราคาสูงเท่าที่ลูกค้าเป้าหมายจะรับได้
ค่าการตลาดที่ว่านี้ต้องนำไปบวกกับต้นทุนและกำไรในโครงสร้างราคาผู้ประกอบการรายเล็กๆ มักไม่สร้างคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์เพราะไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไร และกลัวว่าหากตั้งราคาสูงจะขายไม่ได้ ไม่มีการคิดงบการตลาดไว้ในโครงสร้างราคาเมื่อจำเป็นต้องแข่งขันจึงไม่มีงบด้านการตลาด แล้วก็ใช้วิธีการลดราคาเป็นกลยุทธ์หลักในการแข่งขัน ใช้กลยุทธ์แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
สินค้าหรูหราอย่างกระเป๋า Louis Vuitton ไม่เคยตั้งราคาต่ำแต่เขาใช้กลยุทธ์สร้างคุณค่า (Value)ให้สินค้าของเขา ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายในราคาแพง (แม้ว่าในหลายรายจะเกินกำลังซื้อ) เพื่อสินค้าของเขาอย่างนี้แหละครับที่เรียกว่า ตั้งราคาแบบ “Value Base Pricing”
ที่สำคัญต้องตระหนักไว้เสมอว่า กลยุทธ์ส่วนประสมการตลาด 4P (Product, Price, Place,Promotion) หรือ 4C (Customer Value, Customer Cost, Customer Convenience, Customer Communication) ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน ท่านไม่สามารถตั้งราคาแพงสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำได้ หรือสินค้าอย่างเดียวกันขายในห้างหรูๆ ย่อมสามารถตั้งราคาสูงกว่าขายในร้านขายสินค้าทั่วไป
หากยังมุ่งมั่นที่จะแข่งขันด้วยราคาต่ำ…จะทำอย่างไร
การแข่งขันในปัจจุบันทำให้กลยุทธ์ด้านราคาต่ำเป็นอาวุธที่นิยมใช้กัน แม้ว่าสุดท้ายจะจบลงด้วยการเจ็บตัวของผู้ขายทุกราย แต่ทุกรายก็มักจะแข่งกันเอาใจลูกค้า (แข่งกันแย่งลูกค้า) ด้วยราคาต่ำการจะแข่งขันด้วยราคาต่ำได้โดยที่ยังมีกำไรต้องเข้าใจเรื่องต้นทุนตามหลักการกลยุทธ์ต้นทุนต่ำสามารถใช้ได้ดีกับกิจการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
1. ควบคุมให้ต้นทุนต่ำในทุกกิจกรรมที่ทำตลอด Value Chain
2. มีโครงสร้างองค์กร และการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
3. มุ่งเน้นการเสริมสร้างประสิทธิภาพ และประสบการณ์ของพนักงานเพื่อให้เกิดต้นทุนต่ำ
4. หลีกเลี่ยงลูกค้าที่ทำกำไรได้น้อยการใช้กลยุทธ์ต้นทุนต่ำช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทั้งกับคู่แข่ง ผู้ขายปัจจัยการผลิต(Suppliers) และสร้างอุปสรรคการเข้ามาของผู้บุกรุกหน้าใหม่ รวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อ่อนไหวด้านราคาได้
อย่างไรก็ตาม กิจการที่ใช้กลยุยุทธ์นี้ต้องระวังข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น
1. กลยุทธ์ต้นทุนต่ำไม่เอื้อให้กิจการสามารถสร้างความแตกต่างได้ (เนื่องจากความแตกต่างมักก่อให้เกิดต้นทุนและค่าใช้จ่าย)
2. กลยุทธ์ต้นทุนต่ำนี้คู่แข่งเลียนแบบได้ง่าย
3.คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันส่วนใหญ่มีปัจจัยการผลิตหรือการประกอบการคล้ายๆ กัน พูดง่ายๆ คือ เขาสามารถควบคุมต้นทุนให้ต่ำได้เช่นกัน
4. ลูกค้าสามารถรู้และเปรียบเทียบราคา ต้นทุนได้มากขึ้นจากข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะจากอินเตอร์เน็ตทีนี้ลองมาดูกลยุทธ์ที่สายการบินต้นทุนต่ำส่วนใหญ่นำมาใช้ แน่นอนครับเรื่องใหญ่คือ ราคาขายที่ถูกกว่าสายการบินปกติมาก โดยอาศัยการบริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด เช่น การจองตั๋วก็อาศัยจองผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าลดบริการต่างๆ บนเครื่องไม่ว่าจะเป็นการกำหนดที่นั่ง การให้บริการอาหารเครื่องดื่ม ฯลฯ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หากลูกค้าต้องการ ต้องซื้อ (เป็นการเพิ่มรายได้)
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่สนามบินก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่สายการบินเหล่านี้ต้องพยายามลดให้มากที่สุด ไม่ว่าค่าบริการที่สนามบินเรียกเก็บเรื่องค่าจอด การขนสัมภาระของผู้โดยสารและบริการอื่นๆรวมถึงเรื่องสำคัญคือ เวลาที่เสียไประหว่างลงจอดเรื่องของนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมกับคุณค่า (Value Base Pricing) เพราะสามารถทำให้สินค้าดูแตกต่างแต่มีคุณค่าเท่ากับสินค้าที่มีราคาแพงกว่า
สินค้าที่ตั้งราคาแพงกว่าคู่แข่งต้องยึดมั่นในตำแหน่งของราคา ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือส่งเสริมการขายด้วยการลดราคา เพราะยิ่งลดราคามากเท่าไร ภาพพจน์ของแบรนด์ยิ่งต่ำลง และลูกค้ารู้สึกว่าคุณภาพอาจจะด้อยลง หรือขายไม่ได้ จึงลดราคา แล้วสุดท้ายลูกค้าก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อ
หากจะลดราคาจริงๆ ต้องหาโอกาสเหมาะๆ แล้วลดจริงๆ แบบว่า “หมดแล้วหมดเลย” อย่างที่เวลาแบรนด์ดังๆเขาลดราคาประจำปี อย่างนี้เรียกว่า “กลยุทธ์เปลี่ยนสต็อคสินค้าเป็นเงินครับ”สินค้าแบรนด์ดังๆ จากต่างประเทศสามารถขายได้ในราคาแพงๆ เพราะรู้จักใช้กลยุทธ์ส่วนประสมการตลาดตัวอื่นๆ (P ตัวอื่นๆ) ช่วยทำให้ตั้งราคาแพงได้
อย่างที่ผมเคยฟังพระมหาสมปองท่านเทศน์ไว้ว่า “หลุยส์มา ผ้าหลุด” เป็นปริศนาธรรมที่ผมอยากฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านไปถอดความหมายเอาเองครับ บอกใบ้นิดหน่อยก็ได้ครับ ที่ว่า “ผ้าหลุด”หมายถึง ผ้าของสาวผู้ซื้อที่ยอมแลก….กับ (………) หลุยส์ลึกซึ้งๆ จริงนะ…พระมหาสมปอง
from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000129104
ลูกค้ายอมจ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่แพงกว่า ??
หรือตั้งราคาแพงเกินไปแล้วลูกค้าไม่ซื้อ…ทำไม..ทำไม ??
ความจริง “ราคา” เป็นตัววัดผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับจากการซื้อสินค้าหรือบริการเปรียบเทียบกับความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อสินค้าหรือบริการนั้นๆ
เพราะฉะนั้น ความรู้สึกและความคาดหวังของลูกค้าเป็นประเด็นสำคัญในการวางกลยุทธ์ด้านราคา ทุกครั้งที่ลูกค้าตัดสินใจเรื่องราคาลูกค้าจะมีราคาที่เห็นว่าเหมาะสมอยู่ในใจอยู่แล้ว ที่เรียกว่า ราคาอ้างอิง อย่างที่มักพูดว่า “เคยซื้อราคาเท่านี้” ท่านก็เป็นแบบนี้เหมือนกันใช่ไหมครับ
ราคาอ้างอิงที่อยู่ในใจนี้อาจจะมาจากความทรงจำหรือประสบการณ์ของลูกค้า หรือจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกในขณะที่ตัดสินใจซื้อสมมติว่า ท่านซื้อน้ำดื่มบรรจุขวด (ขนาด500 มล.) จากร้านมินิมาร์ท ท่านคงไม่จ่ายเกินขวดละ 10 บาท เกินกว่านี้ถือว่าแพงไป
ทั้งนี้เพราะความทรงจำบอกว่าราคาควรเป็นเท่านั้นแต่ถ้าท่านซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดยี่ห้อเดียวกัน ขนาดเท่ากันในร้านอาหารอย่าง S&P ที่ราคาขวดละ 15-20 บาท (สมมตินะครับ) แบบนี้ท่านคงจะรับราคานั้นได้ เพราะฉะนั้น ท่านจะพบว่า นักการตลาดใช้กลยุทธ์ทำราคาเปรียบเทียบเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้น เช่น มีป้ายบอกว่าราคาปกติ 120 บาท แล้วขีดฆ่า ขายแค่ 99 บาท หรือบางทีก็ทำป้ายบอกว่าลดราคา เท่าโน้น เท่านี้เปอร์เซ็นต์เพราะความรู้สึกของลูกค้านั่นเอง ทำให้สินค้าที่สร้างแบรนด์จนเป็นที่ยอมรับสามารถตั้งราคาได้สูงกว่าแบรนด์สินค้าคู่แข่ง อย่างที่ชาเขียวโออิชิสามารถขายได้ราคาสูงกว่าชาเขียวยี่ห้ออื่นๆ
นักการตลาดบางคนใช้กลยุทธ์ตั้งราคาที่ลงท้ายด้วยเลข 9 เช่น 19 บาท 29 บาท อย่างที่รองเท้าบาจาใช้กลยุทธ์ราคานี้มานานแสนนาน เพราะดูว่าถูกกว่า (อย่างน้อยก็ตั้ง 1 บาท !!)หรือตามหลักการอ่านหนังสือที่เราอ่านจากซ้ายไปขวา เพราะฉะนั้น ราคา 395 บาทย่อมกระตุ้นความสนใจมากกว่าราคา 405 บาท ทั้งที่ความจริงต่างกันแค่ 10 บาทเท่านั้น
ที่เล่ามาทั้งหมดเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาของลูกค้าที่เกี่ยวกับราคา
ส่วนปัจจัยหลักๆ ที่ใช้ในการกำหนดราคา คือ ต้นทุนของสินค้าและราคาขายของคู่แข่งที่ต้องพิจารณาประกอบกับความสามารถในการจ่ายของลูกค้าเป้าหมายนั้น ผมอยากจะเสนอกลยุทธ์การตั้งราคาโดยคำนึงถึงปัจจัยคุณค่าที่ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายแพงกว่า “Value Base Pricing”
ผู้ประกอบการขนาดเล็กมักจะคำนวณต้นทุนแล้วบวกด้วยกำไรที่ต้องการตั้งเป็นราคาขาย
หากขายไม่ได้ก็มาลดราคาซึ่งอาจต้องลดกำไรหรือต้นทุน การตั้งราคาแบบนี้ไม่ถือว่าผิดแต่ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องทีเดียว เพราะไม่ได้นำปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาราคาจำเป็นต้องสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ ช่องทางจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด
ปัจจัยในการตั้งราคาแบบ “Value Base Pricing” ประกอบด้วย
1. วัตถุประสงค์และความสามารถของกิจการ เช่น หากต้องการกำไรมากก็จำเป็นต้องตั้งราคาสูง แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาส่วนประสมการตลาดอื่นๆ ด้วย
2. ความต้องการและความคาดหวังของลูกค้าเป้าหมาย หากสินค้าที่ขายเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาก และมีความคาดหวังสูงอย่างนี้ก็ตั้งราคาสูงได้
3.โครงสร้างต้นทุนทั้งต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร หากต้นทุนสูงก็ควรจะตั้งราคาขายสูงไม่เช่นนั้นขายได้ก็ขาดทุน
4. ราคาและสินค้าของคู่แข่ง โดยเฉพาะคุณค่าของสินค้าคู่แข่งที่ลูกค้ารับรู้
5. สภาพเศรษฐกิจ
6.ความสามารถซื้อของลูกค้าเป้าหมาย
เมื่อพิจารณาปัจจัยดังกล่าวอย่างรอบคอบแล้ว ต้องพิจารณากลยุทธ์ส่วนประสมการตลาดตัวอื่นๆด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์มีความสำคัญที่สุดหากผลิตภัณฑ์ได้รับการออกแบบอย่างดี ผลิตด้วยวัสดุอย่างดีมีนวัตกรรม อย่างนี้ควรมีงบการตลาดเพื่อสร้างคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ เช่น การโฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือการส่งเสริมการตลาดอื่นๆ (ไม่ใช่การลดราคา) แล้วตั้งราคาสูงเท่าที่ลูกค้าเป้าหมายจะรับได้
ค่าการตลาดที่ว่านี้ต้องนำไปบวกกับต้นทุนและกำไรในโครงสร้างราคาผู้ประกอบการรายเล็กๆ มักไม่สร้างคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์เพราะไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไร และกลัวว่าหากตั้งราคาสูงจะขายไม่ได้ ไม่มีการคิดงบการตลาดไว้ในโครงสร้างราคาเมื่อจำเป็นต้องแข่งขันจึงไม่มีงบด้านการตลาด แล้วก็ใช้วิธีการลดราคาเป็นกลยุทธ์หลักในการแข่งขัน ใช้กลยุทธ์แบบนี้ไปเรื่อยๆก็ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
สินค้าหรูหราอย่างกระเป๋า Louis Vuitton ไม่เคยตั้งราคาต่ำแต่เขาใช้กลยุทธ์สร้างคุณค่า (Value)ให้สินค้าของเขา ทำให้ลูกค้ายอมจ่ายในราคาแพง (แม้ว่าในหลายรายจะเกินกำลังซื้อ) เพื่อสินค้าของเขาอย่างนี้แหละครับที่เรียกว่า ตั้งราคาแบบ “Value Base Pricing”
ที่สำคัญต้องตระหนักไว้เสมอว่า กลยุทธ์ส่วนประสมการตลาด 4P (Product, Price, Place,Promotion) หรือ 4C (Customer Value, Customer Cost, Customer Convenience, Customer Communication) ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน ท่านไม่สามารถตั้งราคาแพงสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำได้ หรือสินค้าอย่างเดียวกันขายในห้างหรูๆ ย่อมสามารถตั้งราคาสูงกว่าขายในร้านขายสินค้าทั่วไป
หากยังมุ่งมั่นที่จะแข่งขันด้วยราคาต่ำ…จะทำอย่างไร
การแข่งขันในปัจจุบันทำให้กลยุทธ์ด้านราคาต่ำเป็นอาวุธที่นิยมใช้กัน แม้ว่าสุดท้ายจะจบลงด้วยการเจ็บตัวของผู้ขายทุกราย แต่ทุกรายก็มักจะแข่งกันเอาใจลูกค้า (แข่งกันแย่งลูกค้า) ด้วยราคาต่ำการจะแข่งขันด้วยราคาต่ำได้โดยที่ยังมีกำไรต้องเข้าใจเรื่องต้นทุนตามหลักการกลยุทธ์ต้นทุนต่ำสามารถใช้ได้ดีกับกิจการที่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและต้องให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้
1. ควบคุมให้ต้นทุนต่ำในทุกกิจกรรมที่ทำตลอด Value Chain
2. มีโครงสร้างองค์กร และการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
3. มุ่งเน้นการเสริมสร้างประสิทธิภาพ และประสบการณ์ของพนักงานเพื่อให้เกิดต้นทุนต่ำ
4. หลีกเลี่ยงลูกค้าที่ทำกำไรได้น้อยการใช้กลยุทธ์ต้นทุนต่ำช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทั้งกับคู่แข่ง ผู้ขายปัจจัยการผลิต(Suppliers) และสร้างอุปสรรคการเข้ามาของผู้บุกรุกหน้าใหม่ รวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่อ่อนไหวด้านราคาได้
อย่างไรก็ตาม กิจการที่ใช้กลยุยุทธ์นี้ต้องระวังข้อเสียที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น
1. กลยุทธ์ต้นทุนต่ำไม่เอื้อให้กิจการสามารถสร้างความแตกต่างได้ (เนื่องจากความแตกต่างมักก่อให้เกิดต้นทุนและค่าใช้จ่าย)
2. กลยุทธ์ต้นทุนต่ำนี้คู่แข่งเลียนแบบได้ง่าย
3.คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันส่วนใหญ่มีปัจจัยการผลิตหรือการประกอบการคล้ายๆ กัน พูดง่ายๆ คือ เขาสามารถควบคุมต้นทุนให้ต่ำได้เช่นกัน
4. ลูกค้าสามารถรู้และเปรียบเทียบราคา ต้นทุนได้มากขึ้นจากข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเฉพาะจากอินเตอร์เน็ตทีนี้ลองมาดูกลยุทธ์ที่สายการบินต้นทุนต่ำส่วนใหญ่นำมาใช้ แน่นอนครับเรื่องใหญ่คือ ราคาขายที่ถูกกว่าสายการบินปกติมาก โดยอาศัยการบริหารต้นทุนให้ต่ำที่สุด เช่น การจองตั๋วก็อาศัยจองผ่านอินเตอร์เน็ตหรือโทรศัพท์ที่มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าลดบริการต่างๆ บนเครื่องไม่ว่าจะเป็นการกำหนดที่นั่ง การให้บริการอาหารเครื่องดื่ม ฯลฯ เพื่อลดค่าใช้จ่าย หากลูกค้าต้องการ ต้องซื้อ (เป็นการเพิ่มรายได้)
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่สนามบินก็เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมากที่สายการบินเหล่านี้ต้องพยายามลดให้มากที่สุด ไม่ว่าค่าบริการที่สนามบินเรียกเก็บเรื่องค่าจอด การขนสัมภาระของผู้โดยสารและบริการอื่นๆรวมถึงเรื่องสำคัญคือ เวลาที่เสียไประหว่างลงจอดเรื่องของนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์จึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในกลยุทธ์การตั้งราคาที่เหมาะสมกับคุณค่า (Value Base Pricing) เพราะสามารถทำให้สินค้าดูแตกต่างแต่มีคุณค่าเท่ากับสินค้าที่มีราคาแพงกว่า
สินค้าที่ตั้งราคาแพงกว่าคู่แข่งต้องยึดมั่นในตำแหน่งของราคา ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือส่งเสริมการขายด้วยการลดราคา เพราะยิ่งลดราคามากเท่าไร ภาพพจน์ของแบรนด์ยิ่งต่ำลง และลูกค้ารู้สึกว่าคุณภาพอาจจะด้อยลง หรือขายไม่ได้ จึงลดราคา แล้วสุดท้ายลูกค้าก็เลยตัดสินใจไม่ซื้อ
หากจะลดราคาจริงๆ ต้องหาโอกาสเหมาะๆ แล้วลดจริงๆ แบบว่า “หมดแล้วหมดเลย” อย่างที่เวลาแบรนด์ดังๆเขาลดราคาประจำปี อย่างนี้เรียกว่า “กลยุทธ์เปลี่ยนสต็อคสินค้าเป็นเงินครับ”สินค้าแบรนด์ดังๆ จากต่างประเทศสามารถขายได้ในราคาแพงๆ เพราะรู้จักใช้กลยุทธ์ส่วนประสมการตลาดตัวอื่นๆ (P ตัวอื่นๆ) ช่วยทำให้ตั้งราคาแพงได้
อย่างที่ผมเคยฟังพระมหาสมปองท่านเทศน์ไว้ว่า “หลุยส์มา ผ้าหลุด” เป็นปริศนาธรรมที่ผมอยากฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านไปถอดความหมายเอาเองครับ บอกใบ้นิดหน่อยก็ได้ครับ ที่ว่า “ผ้าหลุด”หมายถึง ผ้าของสาวผู้ซื้อที่ยอมแลก….กับ (………) หลุยส์ลึกซึ้งๆ จริงนะ…พระมหาสมปอง
from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000129104
ทำแฟรนไชส์ อะไรดี ?
ทำแฟรนไชส์อะไรดี เป็นคำถามที่ยอดฮิตอันดับหนึ่ง คนจำนวนมากเมื่อคิดจะทำธุรกิจ ก็มักคิดถึงการซื้อแฟรนไชส์ แต่ก็ไม่มั่นใจว่าเป็นความคิดที่ดีหรือไม่ และลงทุนไปแล้วจะขาดทุนไหม บางคนมีกุนซือให้ข้อแนะนำโน่น นี่ นั่น แต่ก็ยังไม่เห็นคำตอบอยู่ดี
ส่วนมากแล้ว คนถามมักต้องการให้ฟันธง ไปเลยว่าทำกิจการยี่ห้ออะไรดี ซึ่งยากไปที่จะระบุได้ เพราะทุกกิจการมีทั้งคนทำได้กำไร และเจ๊งทั้งนั้น ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น ร้านอาหารมีทั้งคนทำรวยทำเจ๊ง ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่สำคัญมากที่สุด ก็คือความสามารถของเจ้าของกิจการ ที่ทนทานต่อปัญหา และแก้ไขอุปสรรคในเรื่องต่างๆได้ ก็มีแววที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม
แต่ก็มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ที่ผู้อ่านพอใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจได้
1.เลือกธุรกิจที่อยู่ในความสนใจก่อน โดยมากแล้วคนที่คิดจะทำอะไรซักอย่าง ต้องคิดไว้แล้วในใจบ้างแล้ว เช่น บางคนบอกว่า อยากทำร้านอาหาร บางคนอยากทำกาแฟ บางคนก็สนใจกิจการซื้อมา-ขายไป เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไร คุณก็ต้องโฟกัส ที่ตัวเอง คนเราเหมือนฟ้าลิขิตให้เกิดมาให้มีความถนัดเฉพาะ บางคนเก่งเลข บางคนรักเด็ก บางคนชอบพูดคุยพบปะกับคนอื่น บางคนรักงานช่าง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ พบว่าจะมีใจรักที่ทำ จึงทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมองเห็นช่องทางแก้ไขได้เสมอ
2.เลือกธุรกิจที่โอกาสอำนวย อย่างเช่นบางคนมีอพาร์ทเม้นท์ อาจจะต้องการเครื่องซักผ้า หรือตู้หยอดเหรียญมาบริการผู้เช่า หรือบางคนบ้านอยู่ในตลาดต้องการอาหารที่เหมาะกับคนในตลาด แต่ยังไม่มีใครมาขาย หรือบางคนอยู่ในแวดวงลูกค้าต่างชาติ ก็เลือกธุรกิจมารองรับพวกเขา อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเท่ากับว่าเลือกธุรกิจมีตลาดในมืออยู่แล้วนั่นเอง
3.เหมาะกับกำลังเงินในกระเป๋า เมื่อเราเลือกประเภทได้แล้ว ก็ดูกำลังเงินในกระเป๋า ตัดกิจการที่เกินกำลังของคุณออกไป แต่สมัยนี้ก็ดีขึ้นมาก มีสถาบันการเงิน ไม่ว่าเป็นกสิกร เอสเอ็มอีแบงค์ หรือสถาบันการเงินอื่นๆ ต่างก็ให้ความสำคัญกับผู้เริ่มต้นธุรกิจ และมีเงื่อนไขการกู้ที่ผ่อนปรนมากกว่าแต่ก่อนมาก เพียงมีเงินบางส่วน ที่เหลือหาจากแหล่งต่างๆ เช่น เงินยืมพ่อแม่(แบบไม่ต้องคืน) หรือกู้ธนาคารที่ต้องคืนพร้อมดอกเบี้ย เป็นต้น
4.หาข้อมูล เมื่อเราได้กลุ่มธุรกิจที่สนใจแล้ว ก็คัดให้เหมาะกับวงเงินลงทุนของเรา เช่น สมมุติว่า เราสนใจเปิดร้านกาแฟ ขนาดการลงทุนซัก 2 แสนบาท เราก็ต้องหาข้อมูล กิจการที่เข้าสเป็กนี้มาไว้ในมือ เช่นหาจากอินเตอร์เน็ท หรือหาจากหนังสือไดเร็กทอรี่ ที่มีการรวบรวบข้อมูลในด้านนี้เอาไว้ หรือสอบถามจากผู้รู้ในวงการเป็นต้น
5.รวบรวมข้อมูล เมื่อมีรายชื่อเป้าหมาย ที่นี้ก็ง่ายแล้ว หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบว่า ลงทุนธุรกิจนั้นดีไหม แต่ที่จริงแล้วไม่ยากเลย สมมุติว่าคุณสนใจแฟรไชส์กาแฟแบรนด์หนึ่ง ชื่อว่า A คุณก็ต้องมีการทำการบ้าน โดยนิสัยของคนไทยแล้ว เวลาทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ไม่หาข้อมูลใดๆ มักจะเชื่อลมปากของผู้ขาย หรือก็เชื่อตัวเอง แต่ที่เห็นมากที่สุด คือ จะเชื่อหมอดู
6.ทำวิจัย เมื่อปีก่อน มีคนออสเตรเลีย ต้องการมาเปิดตลาดแฟรนไชส์เติมหมึกในไทย ก็มาพบเราสอบถาม ข้อมูลไปมากมายอย่างละเอียดยิบ และขอรายชื่อของกิจการเติมหมึกเกือบทั้งหมดไป ซึ่งเขาเอาไปทำวิจัยอย่างเข้มข้นต่อ ในที่สุดเขาเห็นว่าโอกาสต้องพับกลับบ้านมีสูงเขาก็ไม่มาทำ นี่เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า ก่อนที่จะมีการลงทุนใดๆ เราควรสร้างนิสัยใหม่ คือ ต้องทำวิจัยด้วยเราเอง การวิจัยนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องลงทุนทำเป็นเรื่องเป็นราว ใหญ่โต แต่หมายถึงว่าเราต้องลงสนามหาข้อมูลให้เพียงพอ ให้แน่ใจก่อนตัดสินใจตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ แบรนด์ A ที่เรากำลังสนใจอยู่ ผู้ขายโม้ให้ฟังว่า เมื่อลงทุนแล้วจะได้กำไรคืนมาภายในไม่กี่เดือน ทำแล้วรวยแน่ๆ คุณต้องค้นหาความจริงด้วยการการไปเยี่ยมชมร้านที่เปิดอยู่ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ หาก พบว่า 80% เวิร์ค ก็แปลว่าโอเค โอกาสเสี่ยงน้อยหน่อย แต่ถ้า 60% ดี ก็ถือว่าพอใช้ แต่ถ้าร้านส่วนใหญ่ไม่ดี นั่นก็คือความเสี่ยงของตัวคุณเอง
หากคุณได้ลงสนาม คุณจะรู้ข้อมูลได้ด้วยตัวคุณเองเลยว่า แฟรนไชส์ที่สนใจอยู่ดีจริงหรือไม่อย่างไร ที่แม่นยิ่งกว่าหมอดู
from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000143685
ส่วนมากแล้ว คนถามมักต้องการให้ฟันธง ไปเลยว่าทำกิจการยี่ห้ออะไรดี ซึ่งยากไปที่จะระบุได้ เพราะทุกกิจการมีทั้งคนทำได้กำไร และเจ๊งทั้งนั้น ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น ร้านอาหารมีทั้งคนทำรวยทำเจ๊ง ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง แต่ที่สำคัญมากที่สุด ก็คือความสามารถของเจ้าของกิจการ ที่ทนทานต่อปัญหา และแก้ไขอุปสรรคในเรื่องต่างๆได้ ก็มีแววที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรก็ตาม
แต่ก็มีข้อแนะนำดังต่อไปนี้ ที่ผู้อ่านพอใช้เป็นแนวทางในการตัดสินใจได้
1.เลือกธุรกิจที่อยู่ในความสนใจก่อน โดยมากแล้วคนที่คิดจะทำอะไรซักอย่าง ต้องคิดไว้แล้วในใจบ้างแล้ว เช่น บางคนบอกว่า อยากทำร้านอาหาร บางคนอยากทำกาแฟ บางคนก็สนใจกิจการซื้อมา-ขายไป เป็นต้น ดังนั้นก่อนที่จะทำอะไร คุณก็ต้องโฟกัส ที่ตัวเอง คนเราเหมือนฟ้าลิขิตให้เกิดมาให้มีความถนัดเฉพาะ บางคนเก่งเลข บางคนรักเด็ก บางคนชอบพูดคุยพบปะกับคนอื่น บางคนรักงานช่าง ผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ พบว่าจะมีใจรักที่ทำ จึงทนกับปัญหาที่เกิดขึ้นและมองเห็นช่องทางแก้ไขได้เสมอ
2.เลือกธุรกิจที่โอกาสอำนวย อย่างเช่นบางคนมีอพาร์ทเม้นท์ อาจจะต้องการเครื่องซักผ้า หรือตู้หยอดเหรียญมาบริการผู้เช่า หรือบางคนบ้านอยู่ในตลาดต้องการอาหารที่เหมาะกับคนในตลาด แต่ยังไม่มีใครมาขาย หรือบางคนอยู่ในแวดวงลูกค้าต่างชาติ ก็เลือกธุรกิจมารองรับพวกเขา อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเท่ากับว่าเลือกธุรกิจมีตลาดในมืออยู่แล้วนั่นเอง
3.เหมาะกับกำลังเงินในกระเป๋า เมื่อเราเลือกประเภทได้แล้ว ก็ดูกำลังเงินในกระเป๋า ตัดกิจการที่เกินกำลังของคุณออกไป แต่สมัยนี้ก็ดีขึ้นมาก มีสถาบันการเงิน ไม่ว่าเป็นกสิกร เอสเอ็มอีแบงค์ หรือสถาบันการเงินอื่นๆ ต่างก็ให้ความสำคัญกับผู้เริ่มต้นธุรกิจ และมีเงื่อนไขการกู้ที่ผ่อนปรนมากกว่าแต่ก่อนมาก เพียงมีเงินบางส่วน ที่เหลือหาจากแหล่งต่างๆ เช่น เงินยืมพ่อแม่(แบบไม่ต้องคืน) หรือกู้ธนาคารที่ต้องคืนพร้อมดอกเบี้ย เป็นต้น
4.หาข้อมูล เมื่อเราได้กลุ่มธุรกิจที่สนใจแล้ว ก็คัดให้เหมาะกับวงเงินลงทุนของเรา เช่น สมมุติว่า เราสนใจเปิดร้านกาแฟ ขนาดการลงทุนซัก 2 แสนบาท เราก็ต้องหาข้อมูล กิจการที่เข้าสเป็กนี้มาไว้ในมือ เช่นหาจากอินเตอร์เน็ท หรือหาจากหนังสือไดเร็กทอรี่ ที่มีการรวบรวบข้อมูลในด้านนี้เอาไว้ หรือสอบถามจากผู้รู้ในวงการเป็นต้น
5.รวบรวมข้อมูล เมื่อมีรายชื่อเป้าหมาย ที่นี้ก็ง่ายแล้ว หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาคำตอบว่า ลงทุนธุรกิจนั้นดีไหม แต่ที่จริงแล้วไม่ยากเลย สมมุติว่าคุณสนใจแฟรไชส์กาแฟแบรนด์หนึ่ง ชื่อว่า A คุณก็ต้องมีการทำการบ้าน โดยนิสัยของคนไทยแล้ว เวลาทำธุรกิจ ส่วนใหญ่ไม่หาข้อมูลใดๆ มักจะเชื่อลมปากของผู้ขาย หรือก็เชื่อตัวเอง แต่ที่เห็นมากที่สุด คือ จะเชื่อหมอดู
6.ทำวิจัย เมื่อปีก่อน มีคนออสเตรเลีย ต้องการมาเปิดตลาดแฟรนไชส์เติมหมึกในไทย ก็มาพบเราสอบถาม ข้อมูลไปมากมายอย่างละเอียดยิบ และขอรายชื่อของกิจการเติมหมึกเกือบทั้งหมดไป ซึ่งเขาเอาไปทำวิจัยอย่างเข้มข้นต่อ ในที่สุดเขาเห็นว่าโอกาสต้องพับกลับบ้านมีสูงเขาก็ไม่มาทำ นี่เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า ก่อนที่จะมีการลงทุนใดๆ เราควรสร้างนิสัยใหม่ คือ ต้องทำวิจัยด้วยเราเอง การวิจัยนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะต้องลงทุนทำเป็นเรื่องเป็นราว ใหญ่โต แต่หมายถึงว่าเราต้องลงสนามหาข้อมูลให้เพียงพอ ให้แน่ใจก่อนตัดสินใจตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ แบรนด์ A ที่เรากำลังสนใจอยู่ ผู้ขายโม้ให้ฟังว่า เมื่อลงทุนแล้วจะได้กำไรคืนมาภายในไม่กี่เดือน ทำแล้วรวยแน่ๆ คุณต้องค้นหาความจริงด้วยการการไปเยี่ยมชมร้านที่เปิดอยู่ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ หาก พบว่า 80% เวิร์ค ก็แปลว่าโอเค โอกาสเสี่ยงน้อยหน่อย แต่ถ้า 60% ดี ก็ถือว่าพอใช้ แต่ถ้าร้านส่วนใหญ่ไม่ดี นั่นก็คือความเสี่ยงของตัวคุณเอง
หากคุณได้ลงสนาม คุณจะรู้ข้อมูลได้ด้วยตัวคุณเองเลยว่า แฟรนไชส์ที่สนใจอยู่ดีจริงหรือไม่อย่างไร ที่แม่นยิ่งกว่าหมอดู
from http://manager.co.th/SMEs/ViewNews.aspx?NewsID=9530000143685
10 ตุลาคม 2553
เล่มเกมส์ nintendo ออนไลน์กัน (rockman, contra, street fighter, etc.)
เข้าไปตามลิ้งข้างล่างแล้วเลือกเกมส์ที่ต้องการ
http://nintendo8.com/genre/platform/
ถ้าต้องการใช้ joy stick ต้องโหลดโปรแกรม joy2key ที่
http://upload.neteasyweb.com/view.aspx?ItemID=ea69f4c6-8ee4-dd11-a411-00e08127749e
วิธีการใช้งานโปรแกรม joy2key
โปรแกรมนี้ทำงานอย่างไร?
โปรแกรม Joy2Key นี้จะทำการแทนที่ปุ่มบนจอยสติก (Joystick) หรือเกมแพด (Gamepad) ให้เป็นเหมือนการกดปุ่มคีย์บอร์ด
ซึ่งในการใช้ร่วมกับเกม MapleStory นั้น ไม่ถือว่าเป็นการใช้โปรแกรมช่วยเล่น เนื่องจากตัวโปรแกรมไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อเซิร์ฟเวอร์
ฟังก์ชั่น "Joystick Settings" ในเกม กับโปรแกรม Joy2Key ต่างกันตรงไหน แล้วใช้ด้วยกันได้หรือไม่?
ข้อแตกต่างมีดังนี้
1.Joy2Key สามารถตั้งค่าปุ่มได้มากกว่าฟังก์ชั่นในเกม
2.Joy2Key สามารถตั้งค่าปุ่มพิเศษ และทำการรวมปุ่ม (แมพปุ่ม) เข้าด้วยกันได้
3.Joy2Key ไม่ทำให้เกิดอาการ "กดค้างไม่ได้" แบบการใช้ฟังก์ชั่นในเกม
4.Joy2Key สามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆได้อีก นอกเหนือจากการควบคุมตัวละคร
โดยสามารถใข้ร่วมกับฟังก์ชั่นในเกมได้โดยไม่มีปัญหาใดๆด้วย
วิธีการใช้งานโปรแกรม
เมื่อเปิดโปรแกรมมาครั้งแรก จะพบกับหน้าต่างนี้
โดยการใช้งานหลักๆ จะมีดังนี้
- เมนูไฟล์ Config ใช้สำหรับแก้ไขและลบไฟล์การตั้งค่าของเรา
- เมนู ตั้งค่าโปรแกรม ใช้สำหรับกำหนดค่าของโปรแกรมว่า จะให้แสดงหน้าต่างโปรแกรมตอนเริ่มใช้งานหรือไม่
- เมนู ช่วยเหลือ สำหรับอ่าน Readme (ภาษาญี่ปุ่น) และเครดิตผู้พัฒนาโปรแกรม
- แถบข้าง ตั้งปุ่ม Joystick ไว้สำหรับกำหนดการทำงานของปุ่ม Joystick
- แถบข้าง ปรับแต่งตัวเลือก ไว้สำหรับปรับแต่งไฟล์ Config
- ปุ่ม Wizard ช่วยตั้งค่าแบบเร็ว มีไว้สำหรับตั้งค่าปุ่มอย่างรวดเร็ว ซึ่งใช้งานง่าย เพียงแค่กดใช้ แล้วกดปุ่มที่ต้องการลงไป
- ปุ่ม ล้างการตั้งค่าปุ่้มนี้ มีไว้สำหรับล้างการตั้งค่าปุ่มนั้นๆ ให้ไม่มีผลใดๆ
- ปุ่ม สร้างใหม่, เปลี่ยนชื่อ และ ลบ
มีไว้สำหรับสร้าง, เปลี่ยนชื่อ หรือลบไฟล์ Config ซึ่งสามารถเลือกเมนู ไฟล์ Config เพื่อจัดการตรงนี้ได้เช่นกัน ดังภาพล่าง
ในการสร้างไฟล์ Config ใหม่ ให้เลือกเมนู ไฟล์ Config > สร้างไฟล์ Config ใหม่ หรือกดปุ่ม สร้างใหม่ ก็ได้
จากนั้น จึงใส่ชื่อไฟล์ลงไป แล้วกด ตกลง
เมื่อได้ไฟล์ใหม่มาแล้ว ให้เราไปที่ Tab ด้านข้าง "ปรับแต่งตัวเลือก" จะพบหน้าต่างนี้
ซึ่งเราสามารถปรับแต่งได้ตามใจชอบ ว่าจะใช้ปุ่มใดบ้าง
สำหรับเกม MapleStory แล้ว ไม่แนะนำให้เลือก "เพิ่มการตั้งค่าปุ่ม D-Pad ในแนวเฉียง" เนื่องจากเวลาใช้งานจริง อาจจะกดปุ่มพลาดได้
ในส่วนของ "ปรับความแม่นยำในการใช้คันโยกจอย Analog" นั้น เป็นการเพิ่มความแม่นยำเมื่อใช้คันโยก
ซึ่งควรปรับแล้วทดลองดูในเกมว่า ที่ระดับนี้ สามารถโยกคันโยกได้ดี ไม่มีความผิดพลาด
(พลาดไปโดนทิศทางอื่น) หรือไม่ เนื่องจากในส่วนของคันโยกนั้น ไวต่อการใช้งานมาก
ในส่วนของ "จำนวนการตั้งค่า Joystick ที่ต้องการใช้" นั้น ถ้าเราใช้งานโดยทั่วไป ก็ให้ปรับไว้ที่ 1
แต่สำหรับเกม MapleStory แล้ว เราต้องมีการแมพปุ่ม เพราะปุ่มอาจจะไม่พอใช้
ดังนั้น ให้ตั้งค่าไว้ที่ 2 เพื่อนำไปใช้แมพปุ่ม ตามที่จะกล่าวด้านล่าง (ในส่วนของแท็บ อื่นๆ ของการตั้งค่าปุ่ม)
จากนั้น ให้กลับมาที่หน้าต่าง "ตั้งปุ่ม Joystick" ซึ่งจะพบหน้าต่างแบบนี้
เราสามารถตั้งค่า แล้วนำไปทดสอบการกดได้บนโปรแกรมต่างๆ เพื่อแสดงผลดูว่า ปุ่มนี้คือปุ่มอะไรได้
เมื่อเราทราบว่า ปุ่มนี้อยู่ตรงไหนแล้ว ก็เริ่มตั้งค่าได้ โดยดับเบิลคลิกที่ชื่อปุ่มนั้นๆ จะพบกับหน้าต่างนี้
โดยเริ่มต้นแล้ว ปุ่มจะถูกตั้งค่าไม่ให้ใช้งาน ให้เรากดแท็บด้านบนเพื่อเลือกการใช้งานปุ่มนี้ได้ โดยมีดังต่อไปนี้
1.แป้นคีย์บอร์ด มีไว้ตั้งค่าให้จอยปุ่มนี้ เปรียบเสมือนการกดปุ่มบนคีย์บอร์ด
ซึ่งเราสามารถตั้งการกดปุ่มได้ 3 ปุ่มคีย์บอร์ด ต่อ 1 ปุ่มจอยสติกเลยทีเดียว โดยโปรแกรมจะกดปุ่มที่อยู่บนสุดไล่ลงมาตามลำดับ
(ดังนั้น สามารถตั้งให้อาชีพนักธนูกระโดดยิงได้ง่ายๆเลยทีเดียว โดยการใส่ปุ่มยิงที่ช่องแรก และปุ่มกระโดดที่ช่องสอง)
ในส่วนของ "กดรัว" นั้น จะมีผลเมื่อเรากดปุ่มค้างไว้ ก็สามารถกำหนดได้ว่า ถ้ากดไว้ 1 วินาที จะทำการกดปุ่มคีย์ที่ตั้งไว้กี่ครั้ง
ซึ่งสามารถตั้งได้ตั้งแต่ 1 ครั้ง/วินาที จนถึง 30 ครั้ง/วินาที เลยทีเดียว
ส่วน "ปุ่มพิเศษ" จะมีดังต่อไปนี้
--- 1.1 ปุ่มเปิด/ปิดคันจิ สามารถใช้ได้กับคีย์บอร์ดภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น ดังนั้น ปุ่มนี้จึงไม่ต้องสนใจ
--- 1.2 Shift/Ctrl/Alt แยกซ้ายและขวา ทำให้เราตั้งค่าได้หลากหลายมากขึ้น เพราะบางโปรแกรม การกดปุ่มคนละข้าง ก็ส่งผลต่างกันด้วย
ถ้าต้องการใช้ปุ่มพิเศษ ก็ให้เลือกปุ่้มที่ต้องการ แล้วกด "เซ็ตปุ่มพิเศษ" ได้เลย
2.เมาส์ มีไว้ตั้งค่าให้จอยปุ่มนี้ เปรียบเสมือนการขยับหรือคลิกเมาส์
โดยการขยับซ้าย-ขวา / ขึ้น-ลง นั้น สามารถปรับแถบเลื่อนได้ตามใจชอบ โดยการขยับจะมีหน่อยเป็น Pixel
และเราสามารถตั้งให้คลิกรัวได้เช่นเดียวกับกดคีย์บอร์ดรัวเช่นกัน
(ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ เวลาต้องกดที่ NPC เพื่อแย่งห้อง Party Quest)
3.คำสั่งพิเศษ ในแท็บนี้ ยังไม่สามารถใช้งานได้กับ Joy2key 3.74 นี้
4.อื่นๆ มีไว้ตั้งค่าเพื่อให้เวลากดจอยปุ่มนี้ จะส่งผลต่อความเร็วเมาส์ และไฟล์ Config
ในส่วนนี้ แบ่งเป็น
--- 4.1 กดจอยปุ่มนี้ค้าง เพื่อปรับความเร็วเมาส์ จะทำให้ความเร็วของเมาส์ เพิ่ม หรือลด ในขณะที่เรากดค้างไว้เท่านั้น
ซึ่งสามารถนำไปใช้บังคับเมาส์ในเวลาไป Free Market ได้เป็นอย่างดี
--- 4.2 กดจอยปุ่มนี้ค้าง เพื่อใช้การตั้งค่า JoyStick อื่น ตรงนี้แหละ ที่เราจะนำมาแมพปุ่ม
สมมติว่า ตั้งให้ปุ่ม L1 ใช้งานการตั้งค่า Joystick 2
และตั้งปุ่ม R1 ในเวลาปกติเป็น "ยิงธรรมดา" / R1 ใน Joystick 2 เป็น "กระโดดยิง" / L1 ใน Joystick 2 เป็น "เก็บของ"
เมื่อเรากดปุ่ม จะให้ผลลัพท์ดังนี้
L1 เฉยๆ = เก็บของ (เพราะ L1 ในโหมดปกติสั่งให้ใช้ Joystick 2 ดังนั้น มันจึง "เก็บของ" ตามที่เราตั้งไว้ใน Joystick 2"
R1 เฉยๆ = ยิงธรรมดา
L1+R1 = กระโดดยิงพร้อมทั้งเก็บของ!!! เพราะมันจะถือว่าเรากดทั้ง L1 และ R1 ด้วย
ซึ่งเราสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานได้ตามใจชอบในส่วนนี้
--- 4.3 เปลี่ยนไปใช้ Config อื่นเมื่อกดจอยปุ่มนี้ จะทำให้เราสับเปลี่ยน Config เป็นอีกอันทันที เมื่อกด (ไม่ใช่กดค้าง)
เพียงเท่านี้ เราก็สามารถใช้งานโปรแกรม Joy2Key ได้อย่างราบรื่นแล้ว...
from
http://nintendo8.com/genre/platform/
http://upload.neteasyweb.com/view.aspx?ItemID=ea69f4c6-8ee4-dd11-a411-00e08127749e
http://www.maple2.net/UKNOW/j2k.php
คิตตี้ยอดมนุษย์
from http://fwmail.teenee.com/etc/34709.html
อย่าสอนลูกให้ขี้เกียจ..........ว. วชิรเมธี
ในยุค 2010 คุณเป็นพ่อแม่ชนิดบรมโง่เขลามาก หรือเปล่า
มีด้วยหรือ ? ที่พ่อแม่จะสอนลูกให้ขี้เกียจ ? ตอบว่า “มี” และมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย บางทีท่านที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหละ ถ้าท่านมีลูก ท่านก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยสอน หรือกำลังสอนลูกให้ขี้เกียจอยู่ ! ลองพิจารณาดูทีรึ ว่าจะเป็นความจริงไหม ?
สมมุติว่า ลูกเรากำลังอยู่ในวัยเรียน อายุตั้งแต่ 3 หรือ 8 ขวบขึ้นไป ในวัยนี้เราสามารถที่จะให้ลูกช่วยเราทำงานบ้านได้ตั้งหลายอย่าง แต่พ่อแม่ส่วนมากก็มักจะไม่ให้ทำ ไม่ใช้ให้ทำ หรือไม่บังคับให้ทำ เช่น
- ลูกควรตื่นนอนเวลา 05.00 น. หรือ 06.00 น. พ่อแม่รู้ว่า ถ้าลูกตื่นในช่วงนี้แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชามเสร็จก็จะได้เวลาไปโรงเรียนพอดีๆ
แต่พ่อแม่บางคนหาได้ปลุกลูกในช่วงนี้ไม่ ไปปลุกเอาหลัง 06.00 น. หรือ 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะออกจากบ้านไปโรงเรียนแล้ว เลยต้องรีบทำอะไรๆ อย่างรีบด่วนไปหมด ขาดๆ ตกๆ ต้องเอะอะโวยวายลั่นบ้าน ให้เสียสุขภาพจิตของตนเองและลูก เพราะมีเวลาน้อย
ตามปกติ ธรรมชาติย่อมสร้างความสมดุลแล้ว ไม่ว่าในการกิน การนอน การสืบพันธ์ หรือการออกกำลังกาย ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องก็ย่อมจะไม่เกิดปัญหา ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาว
- งานกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม รดน้ำต้นไม้ ดายหญ้า ทำความสะอาดบริเวณบ้าน เก็บกวาดเศษขยะต่างๆ ล้วนแต่ลูกในวัยนี้ช่วยได้ ทำแทนได้เกือบทั้งหมด แต่พ่อแม่ส่วนมากก็ไม่ใช้ให้ทำ
- ถ้ามีรถส่วนตัว งานเช็ดรถ ล้างรถ ทำความสะอาดรถ ลูกในวัยนี้ก็ทำได้สบายมาก เป็นการช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกายที่ดี ดีกว่าไปเล่นกีฬา และได้ประสบการณ์ด้วย คือ ช่วยให้ลูกทำงานคล่อง ทำงานเป็นและทำงานได้เรียบร้อย แต่พ่อแม่บางคนก็ไม่ใช้ให้ทำ
- ลูกเล่นของเล่นต่างๆ แล้วทิ้งไว้เกลื่อนบ้าน แล้วพ่อแม่หรือคนใช้เก็บให้ แทนที่จะให้ลูกช่วยตัวเอง ก็กลับให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น เป็นการสร้างนิสัยมักง่าย ความเห็นแก่ตัวสะสมขึ้นเรื่อยๆ
- พ่อแม่มีงานบ้านเต็มมือจนหาเวลาว่างไม่ได้ แต่ปล่อยให้ลูกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หรืออยู่ในบ้านก็ไม่ให้ช่วยแบ่งเบาภาระ ปล่อยให้นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี หรือวีดิโอ หรือเล่นอะไรไปตามประสา
สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าพ่อแม่สอนให้ลูกขี้เกียจหรือไม่ ?
ถ้ามองดูอย่างผิวเผิน พ่อแม่อาจนึกภูมิใจว่าตนเองรักลูก เมตตาลูก จึงไม่อยากเห็นลูกลำบากหรือเหนื่อย แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นพ่อแม่ชนิดนี้บรมโง่เขลามาก เพราะนอกจากพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกขี้เกียจแล้ว ยังเป็นการสะสมความเห็นแก่ตัวให้แก่ลูกอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทั้งพ่อแม่และลูกก็โง่พอๆ กัน
แต่สำหรับพ่อแม่นั้นดูจะโง่มากกว่าลูกเสียอีก เพราะการที่พ่อแม่ได้สร้างตัวมาจนบัดนี้ ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากความเกียจคร้าน แต่สร้างขึ้นมาได้ด้วยความขยัน แต่กลับไปปล่อยหรือยอมให้ลูกขี้เกียจ นี่ถ้าไม่เป็นเพราะบาปมันมาบังใจพ่อแม่แล้วมันจะเกิดจากอะไร ? ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ไม่มีใครร่ำรวยขึ้นมาได้จากความเกียจคร้าน แต่พ่อแม่ก็กำลังสร้างลูกให้เกียจคร้านอยู่ แล้วอนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะอยู่เลี้ยงลูกจนตลอดชีวิตของลูก ?
ลูกเราถึงจะมีความรู้ดี มีปริญญายาวเป็นหางว่าว มีความสามารถสูง แต่ถ้ามันขี้เกียจหรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอย่างเดียวแล้ว เขาจะเอาตัวก็ไม่รอด ! อย่าได้ไปคิดหวังว่า เขาจะเป็นที่พึ่งให้แก่พ่อแม่เลย
ว่ามาถึงตรงนี้แล้ว พ่อแม่บางคนอาจเถียงว่า “ก็ฉันไม่ได้สอนให้เขาขี้เกียจนี่นา เขาขี้เกียจเอง ฉันเบื่อที่จะเคี่ยวเข็ญ ก็เลยต้องปล่อยเขาไป จะมาโทษฉันได้อย่างไร ? จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่อยากจะเห็นลูกขี้เกียจ ?”
การที่เราไม่ใช้ ไม่บังคับ และไม่ทำโทษลูก นั่นแหละคือ การสอนให้ลูกขี้เกียจละ เพราะเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า ผลแห่งความเกียจคร้านมันจะเป็นอย่างไร ? แต่พ่อแม่นั้นย่อมจะรู้ดี จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ลูกขี้เกียจ การอ้างแต่เพียงว่า ลูกมันไม่เอาหรือไม่ทำเอง หาได้เป็นข้ออ้างที่พ้นตัวไม่ ก็เราเป็นพ่อแม่เขา ถ้าเราบังคับลูกหรือเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้แล้วเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้อย่างไร ?
ขนาดลูกเราตัวเล็กๆ เรายังบังคับหรือสอนเขาไม่ได้ แล้วท่านแน่ใจหรือว่า เมื่อเขาโตแล้วเราจะสอนเขาได้ ? อย่าหวังเสียให้ยากเลย ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายกว่าไม้แก่ฉันใด ? การไม่ดัดนิสัยขี้เกียจของลูกในยามเล็ก โดยหวังจะให้เขาไปขยันเอาเมื่อโตนั้น ก็ย่อมจะยากเย็น ฉันนั้น !
มาดูตัวอย่างภาพฟ้องให้เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม เลี้ยงลูกให้ขี้เกียจ หรือเลี้ยงลูกให้เป็นขโมย นั่นคือ พ่อแม่ต้องป้อนข้าวลูกหรือให้ลูกกินข้าวไปในรถ ขณะที่พาลูกไปส่งโรงเรียน ที่ลูกตื่นกินข้าวไม่ทันเพราะอะไร ?
มีนิทานจีนชวนคิดเรื่องหนึ่ง เจ้าหน้าที่กำลังนำนักโทษคนหนึ่งจะไปประหาร แม่ได้เดินตามนักโทษไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง นักโทษไม่ได้เสียใจหรือร้องไห้ แต่ได้เรียกให้แม่มาหา พอแม่เข้ามาใกล้เอียงหูมาจะฟังลูกพูด พอได้จังหวะ ลูกก็กัดใบหูของแม่เข้าเต็มแรง แม่ทั้งเจ็บทั้งตกใจ ร้องเสียงหลง เลือดไหลเป็นทาง
ลูกนักโทษตะโกนใส่แม่ด้วยความแค้นว่า “เป็นเพราะแม่คนเดียวเชียว ที่ทำให้ฉันจะต้องถูกประหาร ฉันได้ลักเล็กขโมยน้อยเรื่อยมาแต่เด็กแม่ก็ไม่เคยห้าม จึงทำให้ฉันเสียนิสัย เลยต้องกลายเป็นนักโทษ ถ้าแม่สั่งสอนหรือห้ามปรามฉันเสียแต่เล็กๆ ไฉนฉันจะต้องมาถูกประหารด้วยเล่า ?”
แม่ก็ได้แต่เดินก้มหน้าเสียใจ ว่าตนเลี้ยงลูกผิดไปแล้ว จากข้อคิดนี้ ถ้าพ่อแม่เห็นลูกได้อะไรติดมือมาจากโรงเรียน หรือที่ไหนก็ตาม ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจที่ลูกบอกว่าเก็บได้ หรือเพื่อนให้เสมอไป ลูกอาจจะไปลักของใครมาก็ได้ มันอาจจะเป็นทุกขลาภในภายหน้า ถ้าพ่อแม่ไม่สอบสวนให้ถ่องแท้เสียก่อน ควรสอนลูกให้ตระหนักไว้ว่า เมื่อเก็บของได้ในโรงเรียนก็ควรเอาไปให้ครูทุกครั้งไป ไม่ควรจะถือเอามาเป็นส่วนตัว เพราะอาจจะถูกหาว่าเป็นขโมยก็ได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม มีภาพลักษณ์ทางลบเกี่ยวกับแม่และลูก ประทับใจผู้เขียนอยู่ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่ยังทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ควบคุมถุงไปรษณียภัณฑ์อยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง กทม.
ในวันนั้นมีอาจารย์หญิงรุ่นอายุเลขตัวหน้าเกิน 4 กว่าๆ ไปมากแล้ว ได้มาส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์หญิงของ รร.เตรียมอุดมศึกษา เป็นผู้สนใจธรรมะและรู้จักผู้เขียนที่กุฏิของหลวงตาแพรเยื่อไม้
ผู้เขียนจึงตามขึ้นไปคุยด้วยบนรถไฟขบวนเชียงใหม่ อากาศวันนั้นค่อนข้าง อบอ้าว และไปรถไฟชั้นสามด้วยทั้งแม่และลูกต่างก็เหงื่อไหลเต็มใบหน้า พอนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วแม่ก็เอาพัดเล็กๆ ที่ติดตัวมาพัดให้ลูกอย่างเร็ว โดยที่ไม่พัดให้ตัวแม่เองเลยส่วนลูกก็ทำเฉยปล่อยให้แม่พัดให้ ผู้เขียนเห็นแล้วก็สลดใจ เพราะคิดไม่ถึง ที่จริงลูกน่าจะพัดให้แม่มากกว่า
นี่แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม คิดเดาเอาเองว่า ถ้าอยู่ที่บ้านแม่คงจะทำอะไรให้ลูกสาวหมด แม้แต่กางเกงในก็คงซักให้ด้วย และก็คงจะยังไม่ได้ทำให้อยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นกระมัง ! และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ผู้เขียนก็ไม่ติดต่อกับอาจารย์คนนั้นอีกเลยจนบัดนี้ เพราะผู้ที่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอย่างถูกวิธีแล้ว เขาย่อมจะไม่เลี้ยงลูกให้เป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” เช่นนี้อย่างแน่นอน
การเลี้ยงลูกให้ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็พ่อแม่นั่นแหละ จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ทั้งเข้มและทั้งแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
แน่นอน, พ่อแม่บางคนเป็นคนใจอ่อน พอเห็นลูกเศร้าซึมหรือน้ำตาออกก็ใจแป้ว ไม่อาจจะบังคับหรือทำโทษลูกได้ ก็เลยยอมไม่ให้ลูกทำอะไรๆ ไปหมดทุกอย่าง บางคนลูกโตจนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ยังซักเสื้อผ้าไม่เป็น เพราะแม่ทำให้หมด ที่ยังไม่ได้ทำให้ก็เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือยังไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นแหละ !
ลูกโง่ๆ บางคนอาจนึกภูมิใจ ที่ตนมีพ่อแม่ที่ตามใจไปหมดทุกอย่าง (โตแล้วไปโรงเรียนก็ยังต้องรับส่งกันอยู่) ไม่ว่ากิจในบ้านหรือนอกบ้าน ลูกไม่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วยเลย วันเสาร์อาทิตย์หยุดเรียนก็นั่งเล่นนอนเล่น หรือเที่ยวไปตามสบาย พ่อแม่มีเงินให้ใช้ไม่ข้องขัด
ลูกทั้งหลายโปรดรับรู้ไว้เถิดว่า เธอไม่ใช่คนมีบุญหรอก มันเป็นบาปของเธอต่างหากที่ต้องมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ชนิดนี้ เพราะการที่เธอไม่ทำอะไร โตขึ้นก็จะทำอะไรไม่เป็น และคนที่ ไม่ทำงานออกแรงร่างกายก็ย่อมจะอ่อนแอ มักจะเจ็บออดๆ แอดๆ ถูกแดดถูกฝนนิดหน่อยก็เป็นหวัดง่ายเพราะร่างกายไม่แข็งแรง
บางคนอาจแย้งว่า จะปลุกลูกแต่ดึกได้อย่างไร ? ก็ลูกมันเพิ่งจะนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะทีวีเพิ่งปิด ถ้าปล่อยให้ลูกนอนตอนทีวีปิด ปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้อาจารย์ทีวีเขาแก้ให้สิ ! พ่อแม่บางคนก็เฮี๊ยบกับลูกมากจนเกินไป ใช้ให้ลูกทำงานที่เสี่ยงต่ออันตรายมาก และหนักเกินไปจนลูกไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างนี้มันก็ตึงเกินไป
ทางที่ถูกนั้นควรจะพบกันครึ่งทาง คือ ไม่ควรจะหย่อนยานจนลูกขี้เกียจ และก็ไม่ควรจะตึงจัดจนลูกเครียด อยู่ในระหว่างกลางๆ หรือมัชฌิมานั่นแหละเป็นดีที่สุด
from http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N9785973/N9785973.html
มีด้วยหรือ ? ที่พ่อแม่จะสอนลูกให้ขี้เกียจ ? ตอบว่า “มี” และมีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย บางทีท่านที่กำลังอ่านหนังสือเล่มนี้อยู่นี่แหละ ถ้าท่านมีลูก ท่านก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยสอน หรือกำลังสอนลูกให้ขี้เกียจอยู่ ! ลองพิจารณาดูทีรึ ว่าจะเป็นความจริงไหม ?
สมมุติว่า ลูกเรากำลังอยู่ในวัยเรียน อายุตั้งแต่ 3 หรือ 8 ขวบขึ้นไป ในวัยนี้เราสามารถที่จะให้ลูกช่วยเราทำงานบ้านได้ตั้งหลายอย่าง แต่พ่อแม่ส่วนมากก็มักจะไม่ให้ทำ ไม่ใช้ให้ทำ หรือไม่บังคับให้ทำ เช่น
- ลูกควรตื่นนอนเวลา 05.00 น. หรือ 06.00 น. พ่อแม่รู้ว่า ถ้าลูกตื่นในช่วงนี้แล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ กินข้าวเสร็จล้างถ้วยชามเสร็จก็จะได้เวลาไปโรงเรียนพอดีๆ
แต่พ่อแม่บางคนหาได้ปลุกลูกในช่วงนี้ไม่ ไปปลุกเอาหลัง 06.00 น. หรือ 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่จะออกจากบ้านไปโรงเรียนแล้ว เลยต้องรีบทำอะไรๆ อย่างรีบด่วนไปหมด ขาดๆ ตกๆ ต้องเอะอะโวยวายลั่นบ้าน ให้เสียสุขภาพจิตของตนเองและลูก เพราะมีเวลาน้อย
ตามปกติ ธรรมชาติย่อมสร้างความสมดุลแล้ว ไม่ว่าในการกิน การนอน การสืบพันธ์ หรือการออกกำลังกาย ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องก็ย่อมจะไม่เกิดปัญหา ไม่ว่าระยะสั้นหรือระยะยาว
- งานกวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างถ้วยชาม รดน้ำต้นไม้ ดายหญ้า ทำความสะอาดบริเวณบ้าน เก็บกวาดเศษขยะต่างๆ ล้วนแต่ลูกในวัยนี้ช่วยได้ ทำแทนได้เกือบทั้งหมด แต่พ่อแม่ส่วนมากก็ไม่ใช้ให้ทำ
- ถ้ามีรถส่วนตัว งานเช็ดรถ ล้างรถ ทำความสะอาดรถ ลูกในวัยนี้ก็ทำได้สบายมาก เป็นการช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกายที่ดี ดีกว่าไปเล่นกีฬา และได้ประสบการณ์ด้วย คือ ช่วยให้ลูกทำงานคล่อง ทำงานเป็นและทำงานได้เรียบร้อย แต่พ่อแม่บางคนก็ไม่ใช้ให้ทำ
- ลูกเล่นของเล่นต่างๆ แล้วทิ้งไว้เกลื่อนบ้าน แล้วพ่อแม่หรือคนใช้เก็บให้ แทนที่จะให้ลูกช่วยตัวเอง ก็กลับให้เป็นภาระแก่ผู้อื่น เป็นการสร้างนิสัยมักง่าย ความเห็นแก่ตัวสะสมขึ้นเรื่อยๆ
- พ่อแม่มีงานบ้านเต็มมือจนหาเวลาว่างไม่ได้ แต่ปล่อยให้ลูกไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน หรืออยู่ในบ้านก็ไม่ให้ช่วยแบ่งเบาภาระ ปล่อยให้นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี หรือวีดิโอ หรือเล่นอะไรไปตามประสา
สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าพ่อแม่สอนให้ลูกขี้เกียจหรือไม่ ?
ถ้ามองดูอย่างผิวเผิน พ่อแม่อาจนึกภูมิใจว่าตนเองรักลูก เมตตาลูก จึงไม่อยากเห็นลูกลำบากหรือเหนื่อย แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นพ่อแม่ชนิดนี้บรมโง่เขลามาก เพราะนอกจากพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกขี้เกียจแล้ว ยังเป็นการสะสมความเห็นแก่ตัวให้แก่ลูกอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทั้งพ่อแม่และลูกก็โง่พอๆ กัน
แต่สำหรับพ่อแม่นั้นดูจะโง่มากกว่าลูกเสียอีก เพราะการที่พ่อแม่ได้สร้างตัวมาจนบัดนี้ ก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากความเกียจคร้าน แต่สร้างขึ้นมาได้ด้วยความขยัน แต่กลับไปปล่อยหรือยอมให้ลูกขี้เกียจ นี่ถ้าไม่เป็นเพราะบาปมันมาบังใจพ่อแม่แล้วมันจะเกิดจากอะไร ? ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า ไม่มีใครร่ำรวยขึ้นมาได้จากความเกียจคร้าน แต่พ่อแม่ก็กำลังสร้างลูกให้เกียจคร้านอยู่ แล้วอนาคตของลูกจะเป็นอย่างไร จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่จะอยู่เลี้ยงลูกจนตลอดชีวิตของลูก ?
ลูกเราถึงจะมีความรู้ดี มีปริญญายาวเป็นหางว่าว มีความสามารถสูง แต่ถ้ามันขี้เกียจหรือเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอย่างเดียวแล้ว เขาจะเอาตัวก็ไม่รอด ! อย่าได้ไปคิดหวังว่า เขาจะเป็นที่พึ่งให้แก่พ่อแม่เลย
ว่ามาถึงตรงนี้แล้ว พ่อแม่บางคนอาจเถียงว่า “ก็ฉันไม่ได้สอนให้เขาขี้เกียจนี่นา เขาขี้เกียจเอง ฉันเบื่อที่จะเคี่ยวเข็ญ ก็เลยต้องปล่อยเขาไป จะมาโทษฉันได้อย่างไร ? จะมีพ่อแม่คนไหนบ้างที่อยากจะเห็นลูกขี้เกียจ ?”
การที่เราไม่ใช้ ไม่บังคับ และไม่ทำโทษลูก นั่นแหละคือ การสอนให้ลูกขี้เกียจละ เพราะเด็กเขาไม่รู้หรอกว่า ผลแห่งความเกียจคร้านมันจะเป็นอย่างไร ? แต่พ่อแม่นั้นย่อมจะรู้ดี จึงไม่ควรที่จะปล่อยให้ลูกขี้เกียจ การอ้างแต่เพียงว่า ลูกมันไม่เอาหรือไม่ทำเอง หาได้เป็นข้ออ้างที่พ้นตัวไม่ ก็เราเป็นพ่อแม่เขา ถ้าเราบังคับลูกหรือเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้แล้วเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีของลูกได้อย่างไร ?
ขนาดลูกเราตัวเล็กๆ เรายังบังคับหรือสอนเขาไม่ได้ แล้วท่านแน่ใจหรือว่า เมื่อเขาโตแล้วเราจะสอนเขาได้ ? อย่าหวังเสียให้ยากเลย ไม้อ่อนย่อมดัดง่ายกว่าไม้แก่ฉันใด ? การไม่ดัดนิสัยขี้เกียจของลูกในยามเล็ก โดยหวังจะให้เขาไปขยันเอาเมื่อโตนั้น ก็ย่อมจะยากเย็น ฉันนั้น !
มาดูตัวอย่างภาพฟ้องให้เห็นว่าพ่อแม่เลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม เลี้ยงลูกให้ขี้เกียจ หรือเลี้ยงลูกให้เป็นขโมย นั่นคือ พ่อแม่ต้องป้อนข้าวลูกหรือให้ลูกกินข้าวไปในรถ ขณะที่พาลูกไปส่งโรงเรียน ที่ลูกตื่นกินข้าวไม่ทันเพราะอะไร ?
มีนิทานจีนชวนคิดเรื่องหนึ่ง เจ้าหน้าที่กำลังนำนักโทษคนหนึ่งจะไปประหาร แม่ได้เดินตามนักโทษไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง นักโทษไม่ได้เสียใจหรือร้องไห้ แต่ได้เรียกให้แม่มาหา พอแม่เข้ามาใกล้เอียงหูมาจะฟังลูกพูด พอได้จังหวะ ลูกก็กัดใบหูของแม่เข้าเต็มแรง แม่ทั้งเจ็บทั้งตกใจ ร้องเสียงหลง เลือดไหลเป็นทาง
ลูกนักโทษตะโกนใส่แม่ด้วยความแค้นว่า “เป็นเพราะแม่คนเดียวเชียว ที่ทำให้ฉันจะต้องถูกประหาร ฉันได้ลักเล็กขโมยน้อยเรื่อยมาแต่เด็กแม่ก็ไม่เคยห้าม จึงทำให้ฉันเสียนิสัย เลยต้องกลายเป็นนักโทษ ถ้าแม่สั่งสอนหรือห้ามปรามฉันเสียแต่เล็กๆ ไฉนฉันจะต้องมาถูกประหารด้วยเล่า ?”
แม่ก็ได้แต่เดินก้มหน้าเสียใจ ว่าตนเลี้ยงลูกผิดไปแล้ว จากข้อคิดนี้ ถ้าพ่อแม่เห็นลูกได้อะไรติดมือมาจากโรงเรียน หรือที่ไหนก็ตาม ก็อย่าเพิ่งหลงดีใจที่ลูกบอกว่าเก็บได้ หรือเพื่อนให้เสมอไป ลูกอาจจะไปลักของใครมาก็ได้ มันอาจจะเป็นทุกขลาภในภายหน้า ถ้าพ่อแม่ไม่สอบสวนให้ถ่องแท้เสียก่อน ควรสอนลูกให้ตระหนักไว้ว่า เมื่อเก็บของได้ในโรงเรียนก็ควรเอาไปให้ครูทุกครั้งไป ไม่ควรจะถือเอามาเป็นส่วนตัว เพราะอาจจะถูกหาว่าเป็นขโมยก็ได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม มีภาพลักษณ์ทางลบเกี่ยวกับแม่และลูก ประทับใจผู้เขียนอยู่ครั้งหนึ่ง ในสมัยที่ยังทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ควบคุมถุงไปรษณียภัณฑ์อยู่ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง กทม.
ในวันนั้นมีอาจารย์หญิงรุ่นอายุเลขตัวหน้าเกิน 4 กว่าๆ ไปมากแล้ว ได้มาส่งลูกสาวไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อาจารย์หญิงของ รร.เตรียมอุดมศึกษา เป็นผู้สนใจธรรมะและรู้จักผู้เขียนที่กุฏิของหลวงตาแพรเยื่อไม้
ผู้เขียนจึงตามขึ้นไปคุยด้วยบนรถไฟขบวนเชียงใหม่ อากาศวันนั้นค่อนข้าง อบอ้าว และไปรถไฟชั้นสามด้วยทั้งแม่และลูกต่างก็เหงื่อไหลเต็มใบหน้า พอนั่งลงที่เก้าอี้ แล้วแม่ก็เอาพัดเล็กๆ ที่ติดตัวมาพัดให้ลูกอย่างเร็ว โดยที่ไม่พัดให้ตัวแม่เองเลยส่วนลูกก็ทำเฉยปล่อยให้แม่พัดให้ ผู้เขียนเห็นแล้วก็สลดใจ เพราะคิดไม่ถึง ที่จริงลูกน่าจะพัดให้แม่มากกว่า
นี่แสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงลูกไม่ถูกธรรม คิดเดาเอาเองว่า ถ้าอยู่ที่บ้านแม่คงจะทำอะไรให้ลูกสาวหมด แม้แต่กางเกงในก็คงซักให้ด้วย และก็คงจะยังไม่ได้ทำให้อยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นกระมัง ! และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป ผู้เขียนก็ไม่ติดต่อกับอาจารย์คนนั้นอีกเลยจนบัดนี้ เพราะผู้ที่ศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอย่างถูกวิธีแล้ว เขาย่อมจะไม่เลี้ยงลูกให้เป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” เช่นนี้อย่างแน่นอน
การเลี้ยงลูกให้ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย แต่ที่สำคัญจริงๆ ก็พ่อแม่นั่นแหละ จะต้องเป็นพ่อแม่ที่ทั้งเข้มและทั้งแข็งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
แน่นอน, พ่อแม่บางคนเป็นคนใจอ่อน พอเห็นลูกเศร้าซึมหรือน้ำตาออกก็ใจแป้ว ไม่อาจจะบังคับหรือทำโทษลูกได้ ก็เลยยอมไม่ให้ลูกทำอะไรๆ ไปหมดทุกอย่าง บางคนลูกโตจนเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ยังซักเสื้อผ้าไม่เป็น เพราะแม่ทำให้หมด ที่ยังไม่ได้ทำให้ก็เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือยังไม่ได้ล้างก้นให้เท่านั้นแหละ !
ลูกโง่ๆ บางคนอาจนึกภูมิใจ ที่ตนมีพ่อแม่ที่ตามใจไปหมดทุกอย่าง (โตแล้วไปโรงเรียนก็ยังต้องรับส่งกันอยู่) ไม่ว่ากิจในบ้านหรือนอกบ้าน ลูกไม่ต้องรับผิดชอบอะไรด้วยเลย วันเสาร์อาทิตย์หยุดเรียนก็นั่งเล่นนอนเล่น หรือเที่ยวไปตามสบาย พ่อแม่มีเงินให้ใช้ไม่ข้องขัด
ลูกทั้งหลายโปรดรับรู้ไว้เถิดว่า เธอไม่ใช่คนมีบุญหรอก มันเป็นบาปของเธอต่างหากที่ต้องมาเกิดเป็นลูกของพ่อแม่ชนิดนี้ เพราะการที่เธอไม่ทำอะไร โตขึ้นก็จะทำอะไรไม่เป็น และคนที่ ไม่ทำงานออกแรงร่างกายก็ย่อมจะอ่อนแอ มักจะเจ็บออดๆ แอดๆ ถูกแดดถูกฝนนิดหน่อยก็เป็นหวัดง่ายเพราะร่างกายไม่แข็งแรง
บางคนอาจแย้งว่า จะปลุกลูกแต่ดึกได้อย่างไร ? ก็ลูกมันเพิ่งจะนอนได้ไม่กี่ชั่วโมงเพราะทีวีเพิ่งปิด ถ้าปล่อยให้ลูกนอนตอนทีวีปิด ปัญหานี้ก็แก้ไม่ได้ก็ต้องปล่อยให้อาจารย์ทีวีเขาแก้ให้สิ ! พ่อแม่บางคนก็เฮี๊ยบกับลูกมากจนเกินไป ใช้ให้ลูกทำงานที่เสี่ยงต่ออันตรายมาก และหนักเกินไปจนลูกไม่มีเวลาไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างนี้มันก็ตึงเกินไป
ทางที่ถูกนั้นควรจะพบกันครึ่งทาง คือ ไม่ควรจะหย่อนยานจนลูกขี้เกียจ และก็ไม่ควรจะตึงจัดจนลูกเครียด อยู่ในระหว่างกลางๆ หรือมัชฌิมานั่นแหละเป็นดีที่สุด
from http://www.pantip.com/cafe/family/topic/N9785973/N9785973.html
E-book จริงหรือที่ว่ามันคืออนาคตของการอ่าน ?
หมายเหตุ: บทความนี้จะเป็นการสรุปเนื้อหาที่ผมเตรียมไปพูดแบบ #ignite ในงาน Ignite Bangkok (www.ignitebangkok.com) ในวันที่ 3-4 มีนาคมที่จะถึงนี้ที่ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC – เอ็มโพเรียม สุขุมวิท) ห้อง Auditorium ดังนั้นจึงจะมีการอัพเดทเป็นระยะจนกว่าจะเขียนเสร็จ (ซึ่งก็คงใกล้วันงานพอดี) สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักการพูดแบบ ignite ก็เข้าไปดูที่เว็บดังกล่าวได้ สรุปสั้นๆก็คือให้พูดเรื่องอะไรก็ได้ แต่มีเวลาแค่ 5 นาทีและ 20 สไลด์ โดยสไลด์จะเปลี่ยนเองทุกๆ 15 วินาที เนื้อหาจึงต้องกระชับ ไม่เยิ่นเย้อ ตามสโลแกนที่ว่า “enlighten us, but make it quick”
เนื้อหาโดยย่อ: ถึงตอนนี้ใครๆก็เริ่มตื่นเต้นกับเครื่องอ่าน e-book ในสารพัดรูปแบบที่กำลังจะออกมาให้ใช้กัน ไม่ว่าจะเป็น iPad, Kindle, Nook, G-Tablet หรืออื่นๆ แต่อนาคตของ e-book จะเป็นอย่างไร และมันจะทำให้เราเลิกอ่านหนังสือบนกระดาษกันได้จริงๆหรือ ประเด็นสำคัญอยู่ตรงไหนกันแน่ ในฐานะของคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างหนังสือกับเทคโนโลยี คือเป็นทั้งคนทำหนังสือด้าน IT และอยู่ในแวดวงหนังสือมานับสิบปี ขอรวบรวมข้อมูลและข้อคิดเห็นล่าสุดจากหลายมุมมองมาเล่าสู่กันฟัง
16 เรื่องที่คุณควรรู้เกี่ยวกับ E-book
1. E-book เริ่มมีมานานแล้วบน PC/Mac แต่เพิ่งจะเริ่มได้รับความสนใจมากเมื่อเร็วๆนี้
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะแต่เดิม E-book เป็นแบบที่ต่างคนต่างทำ มีหลากรูปแบบ หลายมาตรฐาน บางรายทำแบบ proprietary กันมานาน แต่ละคนมี tool ของตัวเอง บางคนก็ใช้ไฟล์แบบ PDF เพื่อให้เปิดได้ทุกที่ บางคนก็ทำโดยใช้โปรแกรมอย่าง Adobe Flash เพื่อเน้น effect ทางด้าน multimedia ผสมกับวิดีโอ แต่ที่เหมือนกันคือส่วนมากจะทำให้อ่านบนเครื่องคอมพิวเตอร์ จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ที่มือถือแบบ Smartphone ซึ่งมีจอขนาดใหญ่ได้รับความนิยมแพร่หลาย จึงมีคนทำทั้งโปรแกรมอ่านและตัวหนังสือ E-book เองให้อ่านได้บนมือถือเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น เครื่องอ่าน E-book ของ Amazon ที่เรียกว่า Kindle มีโปรแกรมที่ทำให้อ่านไฟล์แบบเดียวกันได้บน Smartphone หลายๆ ค่าย
2. ในปีนี้ (2010) จะมีผู้ผลิตเครื่อง E-book reader ออกมามากมายในรูปแบบของ Tablet computer
ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีต่างๆ เริ่มจะเข้าที่และดีพอที่จะทำเครื่องออกมา และแต่ละรายก็พยายามหาจุดขายที่เป็นได้มากกว่าเครื่องอ่าน E-book เฉยๆ กลายเป็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวในรูปแบบใหม่ ที่ฮือฮาที่สุดก็คงไม่พ้น Apple ที่เปิดตัว iPad ก่อนใคร (อ่านเรื่อง “iPad: ฤาจะเป็นแพลทฟอร์มนี้ที่เปลี่ยนโลก” ได้ใน D+Plus ฉบับที่แล้ว) และตามมาติดๆด้วย G-Tablet (ชื่อยังไม่เป็นทางการ) ของ Google ที่น่าจะใช้ระบบปฏิบัติการกึ่งบราวเซอร์อย่าง Chrome (ของกูเกิ้ลเอง ซึ่งมีหน้าตาแบบเดียวกับบราวเซอร์ Chrome ที่กูเกิ้ลแจกฟรีให้ใช้กันอยู่) ออกมาด้วย ทั้งหมดนี้ทำเอาค่ายที่ขายหนังสือและ E-book reader เป็นหลักอยู่อย่าง Amazon ที่ขาย Kindle ต้องปรับตัวขนานใหญ่ หรือแม้แต่ Barnes and Noble เชนร้านหนังสือใหญ่ของอเมริกา ต้องเปิดตัวเครื่องอ่าน E-book ของตนในชื่อ Nook ออกมาสู้ ส่วนอีกทางหนึ่งบรรดาผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งหลายเช่น Acer, HP, Dell ก็ต้องออก Tablet computer โดยใช้ระบบปฏิบัติการทชั้หลากหลาย มีทั้ง Chrome ของ Google หรือ Windows 7 ของไมโครซอฟท์มาเอี่ยวด้วย ทั้งหมดนี้มากพอจะทำให้ตลาดอุปกรณ์สายพันธ์ใหม่นี้เดือดได้ทีเดียว
3. ทำไม E-book reader ถึงแห่กันมาออกปีนี้ (1)? เพราะจอภาพเริ่มดีพอที่จะเทียบได้กับการอ่านบนกระดาษ + แสดงภาพสี เล่นวิดีโอ ฯลฯ
สาเหตุหนึ่งก็เพราะ เทคโนโลยีของจอแสดงผลได้พัฒนามาถึงจุดที่สามารถจะทำอุปกรณ์ให้อ่านสบายตาพอที่จะแข่งกับการอ่านตัวอักษรที่พิมพ์ด้วยหมึกบนกระดาษอย่างที่ใช้กันอยู่เดิมได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นความละเอียดคมชัด ความนิ่งสนิทของภาพ สีสัน ทั้งหมดนี้อาจไม่ดีไปกว่า แต่ก็ไม่ด้อยกว่าการพิมพ์บนกระดาษแล้ว จะมีต่างกันก็แค่ว่ายังมีเทคโนโลยีหลายแบบให้เลือก บางแบบแสดงภาพนิ่งสนิทเหมือนหมึกพิมพ์ เช่น e-ink ที่ใช้ในเครื่อง Kindle ของ Amazon แต่ไม่สามารถแสดงภาพสี (มีแต่ขาวดำ) และไม่เก่งเรื่องแสดงภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอ ในทางตรงกันข้าม จอภาพบางแบบก็เก่งเรื่องสี แต่พอเป็นภาพนิ่งแล้วไม่นิ่งเท่า e-ink เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องไม่กินไฟมากไป คือยังสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ที่พกพาหรือถือลอยๆ ไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องเสียบปลั๊กได้นานนับสิบชั่วโมง
นอกจากเทคโนโลยีที่ใช้กันอยู่แล้ว ยังมีจอภาพแบบใหม่อีกหลายอย่างอยู่ในคิวการพัฒนา รอที่จะออกมาแข่งกัน ไม่ว่าจะเป็นจอแบบ LEDหรือ AMOLED ที่กินไฟน้อยกว่าที่ใช้กันอยู่ในมือถือรุ่นล่าสุด (มีบางแบบเริ่มใช้แล้วแต่ยังไม่แพร่หลายมากนัก Smartphone ส่วนมากปัจจุบันยังเป็นจอแบบ LCD อยู่ ซึ่งกินไฟมากกว่า) หรือจอภาพแบบใหม่ที่ Amazon เพิ่งไปซื้อกิจการบริษัทที่เป็นต้นคิดมา ที่แสดงภาพได้คมชัดพร้อมรองรับรับการสัมผัสด้วยนิ้วได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าปกติมาก
4. ทำไม E-book reader ถึงแห่กันมาออกปีนี้ (2)? เพราะ E-book reader ปัจจุบันเป็นอุปกรณ์สารพัดนึก ทั้งเครื่องอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เล่นเกม ฯลฯ
ที่ว่าเป็นอุปกรณ์สารพัดนึก คือเป็นทั้งเครื่องอ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ อาจเรียกได้ว่าเป็นจุดบรรจบของโทรศัพท์มือถือจอยักษ์กับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวขนาดเล็ก และยังพ่วงเครื่องดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม (game console) เข้ามาอีก ทำให้เกิดตลาดอุปกรณ์สายพันธ์ใหม่ที่ทุกค่ายปล่อยวางไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาฟาดฟันกัน
การแข่งขันใน segment นี้ของตลาดจะคล้ายๆ โทรศัพท์มือถือ คือแข่งกันในลักษณะของ platform หมายถึงฮาร์ดแวร์ + OS เข้าด้วยกันเป็นชุด ซึ่งก็ขึ้นกับว่าใครจะมีความพร้อมมากกว่ากัน บรรดาผู้เล่นในตลาดนี้ล่าสุดก็มี 3 กลุ่มคือ Apple (iPad ที่ใช้ iPhone OS), Google (G-Tablet ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Chrome) และไมโครซอฟท์ ที่ใช้ Windows 7 (หรืออาจมีที่เอาระบบของมือถือตัวใหม่คือ Windows Phone 7 มาด้วย)
5. ทำไม E-book reader ถึงแห่กันมาออกปีนี้ (3)? เพราะระบบ wireless เช่น 3G หรือแม้แต่ Edge เริ่มมีความเร็วและเสถียรภาพพอ
ปัจจุบันการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สายเริ่มเข้าที่เข้าทางกว่าแต่ก่อนและเป็นมาตรฐานทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น GPRS หรือ Edge ที่มีความเร็วไม่สูงนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับโหลด E-book ที่เป็นข้อความหรือ text ล้วนๆ อย่างที่ใช้ในเครื่องอ่าน Kindle ของ Amazon แต่ถ้าจะโหลดสื่อที่มีรูปกราฟิกหรือมัลติมีเดียอย่างเช่นเสียงหรือวิดีโอก็ต้องรอ 3G หรือ 4G แต่ทั้งหมดนี้เริ่มหาได้ในประเทศต่างๆ หรือหาก 3G ยังไม่ครอบคลุม ก็ยังมีทางเลือกคือระบบเน็ตไร้สาย Wi-Fi ที่หาได้ในเมืองใหญ่ทั่วไปตามเขตชุมชน ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนตามบ้านในเขตที่ลากสาย ADSL ไปถึง
6. E-book จะแพร่หลายเมื่อคนรุ่นใหม่คุ้นชินกับการอ่านจากหน้าจอเป็นหลัก และกระดาษเป็นรองมากขึ้น
เรื่องนี้คงต้องใช้เวลา แต่เมื่อผู้อ่านพบว่าการอ่าน E-book เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เท่ห์ สะดวก ก็จะเริ่มให้ความสนใจและรับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ อายุน้อย หรือแม้แต่คนรุ่นเก่ากว่าที่อ่านหนังสือบนกระดาษอยู่เดิม E-book ก็เป็นการเพิ่มทางเลือกในการอ่านให้หลากหลายขึ้น อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าหนังสือบนกระดาษจะยังไม่น่าจะหมดไปง่ายๆ เพราะกระดาษเป็นอะไรที่เชื่อถือได้ที่สุด ไม่ใช้พลังงานหรือเทคโนโลยีในการอ่าน จึงไม่มีข้อผิดพลาดในการทำงานที่จะทำให้เปิดแล้วอ่านไม่ได้ เช่น แบตเตอรีหมด เครื่องแฮงก์ แม้แต่ทำตกเก็บขึ้นมาก็ยังอ่านได้ ถึงแม้จะเยินไปบ้าง ในขณะที่เครื่องอ่าน E-book นั้นตกแล้วน่าจะพังเลย อย่างไรก็ตาม หนังสือที่เป็นกระดาษอาจจะมีปริมาณจะลดลงบ้าง ขึ้นกับชนิดของเนื้อหาและความสะดวกของผู้ใช้เป็นหลักว่านิยมอ่านจากไหนมากกว่ากัน เช่น อะไรที่ต้องอ่านกันอย่างเป็นจริงเป็นจังยาวๆ อาจจะอยู่บนกระดาษได้นานหน่อย แต่อะไรที่อ่านเป็นชิ้นย่อยๆ เช่นหนังสือพิมพ์ วารสาร น่าจะกระทบหรือหายไปก่อน (ดูข้อถัดไป)
7. ความจริงสื่อดิจิตอลที่เป็นข้อความ เช่นเว็บไซท์ มีผลกระทบกับวงการหนังสือมาก่อน E-book เสียอีก
ข้อนี้ต้องยกตัวอย่าง หนังสือพิมพ์รายวัน หรือวารสาร IT ของต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้ถูกแทนที่ด้วย E-book, E-newspaper หรือ E-magazine แต่ถูกแทนที่หรือแย่งตลาดด้วยเว็บไซท์มานานหลายปีแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ E-book ยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายด้วยซ้ำไป เพราะในการอ่านสิ่งเหล่านี้ คนอ่านไม่ได้ต้องการอ่านทั้งฉบับทั้งเล่มพร้อมกัน แต่เป็นความสะดวกหรือคุ้มค่าของระบบการพิมพ์ที่นำมารวมไว้เป็นเล่มแล้วนำเสนอพร้อมกัน เช่น รวบรวมข้อมูลเป็นฉบับ แยกเป็นหนังสือพิมพ์กรอบเช้า กรอบบ่าย เท่านั้น ดังนั้นเมื่อมีสื่อชนิดใหม่คือเว็บไซท์ที่สามารถอัพเดทข้อมูลได้ตลอดเวลาเข้ามา ก็ทำให้คนอ่านเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่อ่านทั้งหมดในครั้งเดียว แต่อ่านทีละเล็กทีละน้อย เช่นเฉพาะข่าวที่ตนสนใจแทน ซึ่งจะมีผลกระทบถึงวิธีนำเสนอ content ในอนาคตเป็นอย่างมาก (มีรายงานวิจัยว่าคนอายุต่ำกว่า 35 ไม่ซื้อหรือถือหนังสือพิมพ์ไปอ่านอีกแล้ว แต่จะอ่านจากเน็ตเป็นหลัก พลอยทำให้คนอายุเกินก็ไม่กล้าถือไปด้วย กลัวคนรู้อายุจริง
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คนในวงการหนังสือมักไม่เห็นผลกระทบชัดเจน จนกว่ายอดขายหนังสือจะกระทบจังๆ หรือเริ่มลดลง เพราะตอนที่มันเริ่มมีผลแรกๆ นั้นอาจเห็นแค่อัตราการเติบโตที่ลดลง หรือแทนที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นกลับโตแค่คงที่เท่าเดิม ทำให้ไม่รู้ตัวและไม่ได้เตรียมตัวรับผลกระทบล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ดี
8. คนทำหนังสือกลัว E-book จะทำให้หนังสือถูก copy ง่ายเหมือนเพลง MP3 – แต่ไม่ว่าจะกันยังไงก็ copy ได้อยู่ดี
อันนี้ก็เป็นอีกปัญหาโลกแตกที่แก้ไม่ได้ อาการเดียวกับค่ายเพลงกลัว MP3, ค่ายหนังกลัว MP4 นั่นเอง ซึ่งวงการเพลงได้พิสูจน์มาแล้วว่า“อะไรที่เล่นได้ก็ก๊อปได้” กันยังไงก็ไม่อยู่ หลังจากพยายามมาเกือบสิบปี สุดท้ายก็เลิกป้องกันก๊อปปี้กันไปหมดแล้ว แม้แต่ iTunes Store ของ Apple ก็เปลี่ยนเพลงทั้งหมดมาเป็นแบบที่ไม่ป้องกันการก๊อปปี้ที่เรียกว่า iTunes Plus แล้วตั้งแต่ปี 2009 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่าร้านที่ขายเพลงออนไลน์ถูกกฎหมายเหล่านี้ยังอยู่ได้และเติบโตได้ (แต่ก็เหลือเพียงรายใหญ่ไม่กี่รายซึ่งใหญ่พอที่จะคุ้ม) สรุปสั้นๆ ก็คือ ก๊อปได้ก๊อปไป ถ้าบริการดี มีให้เลือกมากและราคาถูกพอ ความสะดวกในการซื้อและโหลดอย่างถูกต้องยังทำให้คนลงทุนซื้อมากกว่า แต่มีข้อแม้ว่านอกจากบริการดีแล้ว ร้านยังต้องใหญ่จริง มีของให้เลือกมากและหลากหลายพอ เช่น มีเพลงทั้งโลกหรือทั้งประเทศให้เลือก น้อยกว่านั้นอาจจะอยู่ยาก
สำหรับข้อนี้มีประเด็นเพิ่มตรงที่ว่าหนังสือนั้นก๊อปได้ง่ายกว่าเพลง เพราะข้อมูลที่เป็นข้อความนั้นเล็กมาก บีบอัดแล้วกินที่นิดเดียว และหากว่าเป็นเล่มที่มีการพิมพ์ขายบนกระดาษด้วยแล้ว ถึงจะกันก๊อปปี้ตัว E-book ได้แต่ก็ป้องกันการสแกนจากเล่มที่เป็นกระดาษเข้าไปไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะสแกนก่อนแล้วเอาไปแปลงเป็น text อีกทีด้วยโปรแกรมอ่านข้อความหรือ OCR (Optical Character Recognition คือโปรแกรมที่แปลงภาพของตัวอักษรเข้าไปเป็นข้อความ เช่นสแกนได้ ก็แปลงเป็นข้อความ “ABC” เป็นต้น) หากเป็นภาษาที่แพร่หลายและมีโปรแกรมแปลงได้ เช่นภาษาอังกฤษ (ถึงแม้จะไม่ถูกต้อง 100% ก็ตาม) หรือหากแปลงเป็นข้อความไม่ได้ หรือมีรูปภาพในหนังสือมาก ก็ยังจัดเก็บและส่งต่อเป็นไฟล์ภาพถ่ายทั้งหน้าได้อยู่ดี
9. ทางออกของคนทำหนังสือในยุค E-book จะอยู่รอดได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจ (Business model)
จากข้อที่แล้ว หาก E-book แพร่หลายและทำให้คนอ่านมากขึ้น แต่คนซื้อลดลง ทางรอดของคนทำหนังสือก็คือการเปลี่ยนวิธีทำมาหากิน ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าจะออกมาในแนวไหน ลองดูตัวอย่างที่ค่ายเพลงทำกันมาแล้ว ขายซีดีไม่ได้ต้องขาย ring tone หรือทำธุรกิจในการจัด concert แทน คือยังต้องสรรหาและพัฒนาศิลปินใหม่ รวมทั้งโปรโมทให้ดัง แต่ไม่ได้ขายอัลบั้มเป็นหลักอย่างเก่า ถ้าจะเทียบกับสำนักพิมพ์ก็คือยังต้องผลิตเนื้อหาสาระหรือ content อยู่อย่างเดิม แต่หาวิธีขายหรือนำเสนอในรูปแบบใหม่ ดังนั้นต่อไปเราอาจได้เห็นสำนักพิมพ์กลายเป็น content promoter จัดเปิดตัวหนังสือ นักเขียน สัมมนา อบรม ฯลฯ มากขึ้น
10. คนขาย (ร้านหนังสือ) ก็กลัวคนหนีไปซื้อ E-book จากร้านบนเน็ต หรือกลัว copy ต่อๆกันแล้วไม่ซื้อ
เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้เช่นกัน และยากยิ่งกว่ากันการเอาหนังสือไปถ่ายเอกสารทั้งเล่มเสียอีก อย่างที่บอกแล้วว่าการป้องกันก๊อปปี้ไม่มีทาง work 100% แค่ทำให้ยากง่ายมากน้อยในระยะสั้นเท่านั้น และในระยะยาวจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ มีแต่จะทำให้คนไม่สะดวกและไม่ซื้อจากแหล่งที่กันก๊อปปี้ ดังนั้นร้านหนังสือก็ต้องค่อยๆ ปรับตัว คาดว่าการป้องกันก๊อปปี้ในช่วงแรกๆน่าจะยังมีเพื่อซื้อเวลาให้ปรับตัวทัน ที่สำคัญก็คือคนที่ปรับตัวได้แล้ว มีฐานลูกค้าแล้วจะเลิกกันก๊อปปี้ก่อนเพื่อดึงลูกค้าไปหา ทำให้คนอื่นที่ยังปรับตัวไม่ทันถูกบังคับให้ทำตามทันทีทั้งๆที่ยังไม่พร้อม ดังนั้นการปรับตัวให้เร็วที่สุดจึงจำเป็นมาก
11. ทางออกของร้านหนังสือในยุค E-book จะอยู่รอดได้ด้วยการเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจ (Business model)
จากข้อที่แล้ว จะเห็นว่าจุดสำคัญคือการปรับตัวเข้าสู่ยุค E-book ซึ่งถึงจะมาเร็วแต่ก็ยังน่าจะพอมีเวลาปรับตัวอยู่บ้าง เพราะหนังสือเล่มคงไม่หายไปหมดในทันที เหมือนอย่างร้านขายซีดีเพลงหรือ VCD/DVD ที่ปัจจุบันหายากขึ้นทุกที แต่ก็ไม่ถึงกับปิดไปหมด (ในขณะที่ค่ายเพลงใหญ่และแม้แต่ศิลปินอินดี้ยังอยู่ได้) อย่างไรก็ตาม ร้านหนังสือโดยทั่วไปมักดำเนินธุรกิจแบบเดิมที่เคยทำมา จึงปรับตัวค่อนข้างยาก อีกทั้งการปรับตัวที่จำเป็นในครั้งนี้ก็ค่อนข้างจะมากโขอยู่ จากการที่เคยขายหนังสือมาเป็นขาย content ในรูปแบบดิจิตอล จากที่เคยเพียงแค่แข่งกับร้านอื่นๆ ในทำเลใกล้เคียง ก็กลายเป็นแข่งกับทุกร้านทั่วโลกที่ขายหนังสือประเภทเดียวกันบนเน็ตด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ดังนั้นทางออกของร้านก็คือต้องรักษาฐานลูกค้าเก่าที่ยังอ่านหนังสือเล่มและมาซื้อที่ร้านอยู่ให้ได้มากและนานที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องผสมผสานช่องทางและทำเลการขายหนังสือเล่มแบบเดิมที่มีเข้ากับการขายบนเน็ตให้ได้กลมกลืนและยืดหยุ่น คือจะซื้อแบบไหน เป็นเล่มหรือจะโหลด ก็มีให้หมด รวมถึงบริการที่ดีกว่า เช่น รู้จักหนังสือว่าอะไรดีอะไรไม่ดี สามารถให้บริการหรือแนะนำลูกค้าได้อย่างถูกต้องใกล้ชิด เป็นต้น
ท้ายสุดของข้อนี้ มีข้อสังเกตว่า การเปลี่ยน Business model มักจะเป็นเรื่องยากสำหรับ existing player คือคนที่เล่นอยู่เดิม แทนที่ว่าใครทำมาก่อนจะมีความได้เปรียบ กลับกลายเป็นใครเริ่มทำทีหลังกลับได้เปรียบกว่าก็ได้
12. E-book คงไม่สามารถจะทดแทนหนังสือกระดาษได้หมด แต่มากน้อยแค่ไหนอีกเรื่องหนึ่ง
ข้อนี้ถ้าอยากจะทราบว่ามากหรือน้อยแค่ไหน ให้ลองถามตัวเองว่า ระหว่างหนังสือบนกระดาษกับ E-book หรือข้อมูลออนไลน์จากเว็บ อย่างไหนสะดวกกว่ากันในกรณีต่างๆ เช่น
- ไปเลือกหนังสือที่ร้าน เปิดอ่านดูได้ กับเลือกหนังสือจากเน็ต อันไหนสะดวกกว่ากัน (ไม่เหมือนเพลงที่เลือกที่ร้านก็ยังต้องเปิดฟังที่เครื่องในร้าน ถ้ายอมให้ลองฟัง) – คำตอบไม่ตายตัว ขึ้นกับว่าร้านออนไลน์นั้นทำได้ดีแค่ไหน สะดวกและเร็วแค่ไหน
- ค้นหาหนังสือในตู้ที่บ้าน กับค้นจากในเครื่อง Reader หรือที่เก็บไว้ออนไลน์ อย่างไหนสะดวกกว่ากัน – คำตอบก็ไม่ตายตัวเช่นกัน ขึ้นกับว่า Reader แบบนั้นทำได้ดีแค่ไหน เชื่อมต่อกับออนไลน์ได้ดีแค่ไหน (บางบ้านมีหนังสือเยอะเล่มจนใส่ตู้แล้วหาไม่เจอก็มี)
- พกพาหนังสือจำนวนมากไปมา เพื่ออ่านหรือค้นข้อมูลแค่บางส่วนบางจุด อันนี้ E-book น่าจะได้เปรียบ
- พลิกดูผ่านๆ ถ้าสนใจค่อยเปิดดูโดยละเอียดอีกที อันนี้กระดาษเป็นเล่มน่าจะได้เปรียบกว่า
13. การเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุค E-book ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในประเทศทางตะวันตกก่อน แต่อาจเกิดขึ้นในเอเชีย หรือที่ไหนก็ได้
ข้อนี้เป็นเรื่องที่บางคนมองตัวอย่างจากประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรปหรืออเมริกา ว่าเขาก้าวหน้ากว่าเรา แต่ก็ยังไม่เปลี่ยนไปเป็น E-book กันเลย ข้อนี้คงต้องอธิบายว่า เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปเร็วเท่ากันทั้งโลกแล้ว และเทคโนโลยีของ E-book ตัวจริงเพิ่งจะเริ่มออกมา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถ้าจะเกิดก็ไม่ต้องไปรอดูประเทศเหล่านั้น เพราะเขาไม่น่าจะไปก่อนเรา แต่อาจไปพร้อมๆกันมากกว่า พูดสั้นๆก็คือ แม้แต่ต่างประเทศ (จะเป็นฝรั่งหรือชาติอื่นๆก็ตาม) ก็ยังงงๆ ปรับตัวไม่ทันพอๆกับเรา จึงไม่ต้องไปรอดู และไม่น่าจะมีตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงให้ดูก่อนนานนัก
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนมากหรือน้อยยังขึ้นกับปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น วัฒนธรรม ความเคยชิน รวมถึง infrastructure ด้าน(ความเร็ว) เน็ตที่ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำเป็นต้องไปในทางเดียวกันหรือด้วยความเร็วเท่ากัน
ที่ยิ่งกว่านั้น บางคนบอกว่าประเทศที่มีวัฒนธรรมการอ่านเข้มแข็ง ฝังรากลึกมานาน เช่นยุโรปหรืออเมริกา อาจยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่าประเทศทางเอเชียก็ได้ แปลว่าเอาเข้าจริงๆ ญี่ปุ่นหรือเกาหลี หรือแม้แต่เมืองไทย อาจเป็นผู้นำในเรื่องของการยอมรับ E-book ไปก่อนฝรั่งเสียอีกก็ได้ เพราะเรามีของเก่า (เปรียบเสมือนน้ำในถ้วย) อยู่น้อย จึงรับอะไรที่รินเติมเข้ามาใหม่ได้ง่ายกว่า
14. การแข่งขันกันเรื่องอุปกรณ์ที่จะเป็น E-book reader ไม่ใช่สาระสำคัญในตัวเอง ประเด็นคือมันเป็นประตูหรือ gateway ที่จะดึงลูกค้าเข้าร้าน E-bookstore ของคนนั้นมากกว่า
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของเครื่องอ่านนั้นไล่ตามกันทันไม่ยาก ของใครใช้ดีกว่าเดี๋ยวคู่แข่งก็เอาไปแกะแล้วทำตามให้ถูกกว่าดีกว่าได้ในเวลาไม่นาน ส่วนซอฟต์แวร์ก็อาจใช้เวลานานกว่าในการตาม เช่น OS ซึ่งประกอบรวมเข้ากับฮาร์ดแวร์กลายเป็น platform แต่ที่สำคัญที่สุดคือระบบของหน้าร้าน รวมไปถึงความเคยชินและติดใจในบริการ จนเกิดเป็นความนิยมของลูกค้าที่จะซื้อจากร้านนั้นๆ ซ้ำอีก ซึ่งต้องสร้างและดูแลอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นตัวสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำในระยะยาว (ดูข้อถัดไป)
15. การแข่งขันในเรื่อง E-bookstore น่าจะรุนแรงมากกว่า Music store เพราะหนังสือมีความหลากหลายกว่า
การที่หนังสือมีความหลากหลายกว่า จึงมีอะไรใหม่ๆ ให้เล่นได้มากกว่า หนังสือดิจิตอลจึงน่าจะเป็นตัวทำกำไรได้มากกว่าเพลง รวมทั้งมากกว่าขายฮาร์ดแวร์ด้วย เพราะในปีหนึ่งๆคนซื้อหนังสือมูลค่ามากกว่าราคาเครื่องอ่านหลายเท่า ถ้าจะย้อนกลับไปดูตัวอย่างคล้ายๆกันจากวงการเพลงที่เปลี่ยนเป็นดิจิตอลด้วยอิทธิพลของ MP3 จะเห็นชัดขึ้น เช่น Apple ขาย iPod ไปนับกว่า 220 ล้านเครื่อง (นับถึงปี 2008) ซึ่งยังไม่รวม iPhone/iPod Touch อีก 78 ล้านเครื่อง (นับถึงปี 2009 – รวมทั้ง iPhone ที่มากกว่า 300,000 เครื่องในเมืองไทย) แต่ขายเพลงให้โหลดผ่าน iTunes store ไปแล้วทะลุหมื่นล้านเพลง (นับถึงกุมภาพันธ์ 2010) ซึ่งในระยะยาวน่าจะกำไรมากกว่าขายเครื่อง ดังนั้นผู้เล่นแต่ละรายในตลาด E-bookstore จึงต้องพยายามสรรหาโมเดลใหม่หรือโมเดลเดิมที่เคยประสบความสำเร็จมาใช้กับ E-bookstore เช่น
- Apple พยายามนำรุปแบบของ iTunes Store ที่ได้ผลดีกับการขายเพลงมาใช้กับ iBooks Store
- Google ก็ไปทางเดียวกัน คือพยายามค้น (และขาย) หนังสือทุกเล่มที่เคยพิมพ์ขึ้นมาบนโลกนี้ โดยการสแกนหรือคีย์ text ของหนังสือทั้งโลกเข้าไป ขั้นต้นให้ search ได้ก่อน ขั้นถัดไปอาจขายแล้วแบ่ง % ให้เจ้าของ (ถ้าหนังสือนั้นกลายเป็นสาธารณะหรือ public domain ไปแล้วแล้วก็ไม่ต้องแบ่ง)
16. สรุปก็คือ E-book กำลังจะเปลี่ยนโลกของการอ่านไปอย่างมาก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ Gutenburg ริเริ่มการพิมพ์ในศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา
จากทุกข้อที่ผ่านมา คำถามจึงไม่ใช่อยู่ที่ว่า E-book จะเป็นอนาคตของการอ่านจริงหรือไม่ (เพราะมันจริงอยู่แล้ว) แต่อยู่ที่ว่ามันจะเปลี่ยนรูปแบบของการอ่านในอนาคตได้เร็วและรุนแรงแค่ไหนต่างหาก ซึ่งพอจะตั้งข้อสังเกตได้ดังนี้
- ถึงหนังสือบนกระดาษจะไม่หายไปหมด แต่ก็คงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง หรือไม่เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร (สมัยก่อนเราเคยดูปริมาณการใช้กระดาษต่อหัวต่อปีเป็นดัชนีวัดความก้าวหน้าของประเทศได้ เช่น ญี่ปุ่นใช้กระดาษมากกว่าไทย 7 เท่า ต่อคนต่อปี แต่ต่อไปคงดูยากขึ้น)
- จุดเปลี่ยน (Trigger point) ที่สำคัญอีกอย่างอยู่ที่ mind set ของคนรุ่นถัดไป เวลาจะหยิบอะไรมาอ่าน ถ้ายังนึกถึงกระดาษเป็นหลัก กระดาษก็ยังอยู่ แต่ถ้าคนรุ่นใหม่มองหน้าจอก่อนว่าเป็นข้อมูลล่าสุด เวลาจะเก็บสำรองอะไรที่เป็นของเก่าค่อยพิมพ์ลงกระดาษ กระดาษก็มีสิทธิไปเร็วขึ้น
เล่ามาตั้งยาวแล้ว ก่อนจบคงไม่มีอะไรจะเสริมอีก นอกจากจะบอกเพียงว่า ขอต้อนรับสู่รุ่งอรุณของยุค E-book ครับ ส่วนที่ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นเร็วแค่ไหน แดดจะร้อนจ้าจนเกรียม หรือแค่อุ่นๆ คงต้องรอดูกันต่อไป
from http://vasinp.wordpress.com/2010/02/19/e-book/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
CJ Group เป็นน้องใหม่ธุรกิจร้านสะดวกซื้อที่ค่อนข้างน่ากลัว โดยจุดเด่นหลักๆ ของ CJ Group คือ Location เยี่ยม คือไปเปิดทำเลติดหรือใกล้ๆ กับ 7-...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
*ดูรีวิว ประกันออมทรัพย์ 10/1 ปีล่าสุดได้ที่ Link ประกันออมทรัพย์ ประกันออมทรัพย์นั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเนื่องจาก 1. สามารถลดหย่อน...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
โครงการ ช้างทองเฮอริเทจพาร์ค จังหวัด เชียงใหม่ รีวิว: Link Facebook: Link Google Map: Link
-
ประกันชีวิตแบบบำนาญ ซัมซุงแฮปปี้บำนาญ55 A100/10 (บำนาญแบบลดหย่อนได้) ซื้อ Online ได้ที่ URL: https://digital.samsunglife.co.th/digital-insu...
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
-
สำหรับร่างกฎกระทรวงใหม่ ของสำนักงานปนะกันสังคม (สปส.) ฉบับนี้ เตรียมมีผลบังคับใช้ 1 ม.ค. 69 หลัก ๆ จะปรับปรุงกำหนดค่าจ้างขั้นสูงที่ใช้เป็นฐ...
-
https://www.youtube.com/watch?v=728hIrzcXqw ที่มา https://www.facebook.com/ZipmexThailand https://www.youtube.com/@Zipmex/videos LINE กลุ...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...
-
โธมัส แอลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) “To invent, you need a good imagination and a pile of junk.” ในการประดิษฐ์คิดค้น คุณจะ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
*คนที่อายุครบ 55 ปี ต้องไปแจ้งรับสิทธิ์ที่สำนักงานประกันสังคมใกล้บ้าน ภายใน 1 ปี ไม่งั้นถือว่าสละสิทธิ์ ที่มา SSO https://www.kwilife.com...