25 ธันวาคม 2552

มนุษย์ Multitasking โดย หนูดี วนิษา เรซ

มนุษย์ Multitasking โดย หนูดี วนิษา เรซ

หนูดี-วานิษามีโอกาสไปประชุมเรื่องสมองที่บอสตัน และรับฟังงานวิจัยใหม่หลายชิ้น ที่อธิบายพฤติกรรมหนุ่มสาวออฟฟิศที่ว่า บีซี่ แท้จริงหรืออะไร

เคยเห็นคนที่ทำได้หลายอย่างพร้อมกันไหมคะ พิมพ์งานไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมยังรับประทานอาหารกลางวันไปด้วยก็ยังได้ หรือ ขับรถไปคุยงานไป หรือแม้กระทั่งเรื่องในครอบครัวของการนั่งที่โต๊ะอาหารเช้า กับสมาชิกในครอบครัวและอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย เป็นภาพที่คุ้นชินในละครหลายเรื่อง

ดูเหมือนคนที่ใช้เวลาคุ้มค่า ทำได้หลายอย่างพร้อมกัน เพราะในห้วงเวลาหนึ่งแทนที่จะทำงานเสร็จได้แค่งานเดียวกลับทำได้ตั้งสามสี่งาน

ใครเป็นคนเมืองยุคใหม่ที่มีประโยคติดปากเวลาใครทักว่า “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง” คำตอบคือ “งานยุ่งงงงมากกกก” ก็คงฝึกทักษะนี้จนชินและทำได้เป็นธรรมชาติมาหลายปีแล้ว

หนูดีก็ฝึกจนเก่ง และทำได้โดยไม่รู้สึกประหลาดอะไรเลย เพราะใครก็ทำกัน คนที่ไม่ทำสิ ถึงจะประหลาด แถมบางครั้งยังดูเท่ด้วยซ้ำ เพราะดูเป็นคน “บีซี่” ตลอดเวลา ดูเหมือนใครก็ต้องการเวลาของเรา

บางคนค่อนแคะว่าเป็น "คนเสพติดงาน” ไม่ใช่หรอกค่ะ หนูดีคิดว่า นี่เป็นการ “เสพติดสภาวะยุ่ง” มากกว่า เสพติดงานนะคะ

แล้วสภาวะนี้ ทำให้คุณภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างไรบ้าง บอกได้เลยว่า ลดลงมากค่ะ

ปีนี้หนูดีเพิ่งกลับจากการไปประชุมเรื่องสมองที่บอสตันมา และงานวิจัยใหม่หลายชิ้นให้ความสนใจกับวิถีชีวิตปัจจุบันของคนรุ่นพวกเรา ที่ทำงานยุ่ง เที่ยวเยอะ ออกกำลังกายน้อย (กว่าที่ควร) ทำงานหลายงานพร้อมกัน จัดเวลาได้ไม่ดีเท่าที่ควรเป็น และเฝ้าหน้าจอมากไปนิดหนึ่ง

คุณหมอท่านหนึ่งบรรยายในหัวข้อ “Overbooked, overstretched, and how to handle a crazy busy lifestyle!” เป็นการบรรยายงานวิจัยเรื่องความยุ่งวุ่นวายที่บรรดาผู้เข้าฟังปรบมือและส่งเสียงเฮเป็นระยะ เพราะพูดได้ถูกใจคนงานยุ่งเป็นอย่างยิ่ง

คุณหมอท่านนี้ชื่อ ดร. ฮอลโลเวล เคยสอนที่ภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนออกมาตั้งศูนย์บำบัดเด็ก ADD ของตัวเอง คุณหมอพูดไว้น่าสนใจว่า ผู้ใหญ่ปัจจุบันเป็นโรค “ADD เทียม” กันเยอะมาก จากสภาพแวดล้อมอันแสนยุ่งเหยิงรอบตัว

เรื่องหนึ่งที่คุณหมอรวมถึงนักวิจัยท่านอื่นเน้นในปีนี้ก็คือ การทำงานหลายอย่างพร้อมกันไม่เคยเกิดขึ้นจริงในโลกนี้ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับสมองของเราค่ะ สิ่งที่เราทำโดยไม่รู้ตัวก็คือการสลับไปมาระหว่างสองงาน สามงาน หรือ สี่งานที่เรากำลังทำอยู่

มันจะไม่เป็นไร และไม่เป็นอันตรายหากงานเหล่านั้นไม่สำคัญหรือว่าน่าเบื่อมาก จนเราต้องทำพร้อมกันเพื่อให้กระบวนการนั้นสนุกขึ้น แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เรา “หลุด” แน่ๆ ในกระบวนการ เช่นถ้าเราคุยกับคนสี่คนพร้อมกัน แน่นอนว่า เราต้องหลุดข้อความสำคัญแน่ หรือ ดูโทรทัศน์สี่จอพร้อมกัน ถ้าเราบอกว่า ทำได้ หมายความว่า เราเก่งมากในเรื่องการแทรกข้อมูลที่หายไปด้วยตัวเราเอง

แต่ถ้างานนั้นสำคัญ มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดลึกซึ้ง หรือต้องใช้ความคิดมากเป็นพิเศษ การ “มัลติกาสก์” ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยค่ะ

เหมือนที่ ดร.ฮอลโลเวล เล่าว่าภรรยาเขาเป็นจิตแพทย์และมีคนไข้เป็นทนาย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาช่วยให้ลูกความสรุปข้อตกลงทางกฎหมายที่ได้เปรียบอีกฝ่ายมากอย่างไม่น่าเชื่อ จนทุกคนต้องถามเขาว่า “ทำได้อย่างไร” ทนายคนนั้นบอกว่า “ไม่เห็นยากเลย ก็ผมเป็นคนเดียวในห้องประชุมนั้นที่ไม่ได้ใช้แบล็คเบอรี่ตลอดเวลาที่เราคุยข้อตกลงกัน”

การ “มัลติทาสก์” ดูเหมือนดีค่ะ แต่เป็นแค่ระดับผิวเผินเท่านั้น แต่ทุกครั้งที่เราทำ เราเสียมากกว่าได้เสมอหากงานนั้นต้องการสมองของเราอย่างลึกซึ้ง โลกยุคใหม่สะดวกก็จริง แต่ก็มีหลุมพรางเยอะให้เราเดินไปตกโดยไม่รู้ตัว ถึงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ก็เสียสมองเปล่าไปโดยไม่มีประโยชน์แท้จริงขึ้นมา

วันนี้ใครยังภูมิใจกับการทำอะไรได้หลายอย่างพร้อมกัน ลองเปลี่ยนมาเป็นทำทีละอย่างให้เสร็จโดยให้ความสนใจสิ่งนั้นอย่างเต็มร้อยไหมคะ แล้วจะพบว่า ชีวิตเรามีคุณภาพขึ้นอีกมากมาย


20 ธันวาคม 2552

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

เงิน 20 บาท มีค่ามากสำหรับคนบางคน

ใน ขณะที่ใครหลายๆ คนกินอิ่ม นอนหลับอยู่ในบ้านที่แสนสบาย ใช้เงินฟุ่มเฟือยเต็มสูบไม่มีจำกัด อยากได้อะไรซื้อ อยากกินอะไรกิน ทิ้งๆ ขว้างๆ บ้างตามประสาคนเหลือกินเหลือใช้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง...กลับมีคนที่ยอมเดินด้วยเท้า จากจังหวัดอุบลราชธานี ไปยังจังหวัดอยุธยา ด้วยระยะทางไกลมากว่า 600 กิโลเมตร เพียงเพื่อเงินวันละ 20 บาท

เรื่องที่ทางทีมงานจะขอนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่เพื่อนสมาชิกเว็บไซต์ พันธ์ทิพย์ดอทคอม ประสบ เหตุการณ์ด้วยตัวเอง และอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ได้ฟัง ซึ่งเขาก็เล่าว่า ... ผมและครอบครัวได้เดินทางไปเที่ยวจังหวัดอยุธยา ระหว่างทางก่อนที่จะถึงจุดหมาย ผมได้มองไปข้างทางและเห็นชายแก่คนหนึ่งใส่เสื้อสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำเงิน กำลังเดินอยู่ข้างทางแบกถุงปุ๋ย พร้อมห่อผ้าขาวม้า 1 ห่อ เดินกลางแดดกลางวันร้อนๆ ยามบ่าย ผมจึงให้แฟนจอดรถและลงไปถามชายชราคนนั้นว่า

ผม : ตาจะไปไหน ทำไมมาเดินตากแ ดดแบบนี้เล่า

ตา : (ยิ้ม) จะไปอยุธยา

ผม : ตาจะไปทำไมที่อยุธยา ไปหาใครเหรอ

ตา : ไปรับจ้างเลี้ยงวัว มีคนเขาบอกว่าที่อยุธยา มีคนเขาหาคนเลี้ยงวัว

ผม : เขาจ้างวันละเท่าไหร่ ตารู้จักเขาเหรอ

ตา : เขา จ้างวันละ 20 บาท มีที่พักให้ด้วย (ตาหมายถึงนอนกับวัวเลย) ตาไม่รู้จักเขาหรอก ที่ไปนี้ก็ต้องไปถามเขาอีกทีว่าใครจะจ้างตาเลี้ยงวัวบ้าง

ผม : แล้วใครบอกตาว่าที่อยุธยาเขาหาคนเลี้ยงวัว

ตา : คนแถวบ้านตาบอก เขาพูดกันว่าที่อยุธยามีคนเขาหาคนเลี้ยงวัวเยอะ

ผม : ตามาจากไหนละ มาคนเดียวเหรอ แล้วยายไปไหนล่ะ

ตา : ตามาจากอุบลฯ ตามาคนเดียว เพราะยายตายแล้ว

ผม : ลูกๆ ไม่มีเหรอตา

ตา : มีลูก 2 คน ชายคน หญิงคน มีครอบครัวกันหมดแล้ว ไม่เคยเห็นหน้ามาหลายปีแล้ว ยายตายนี่พวกมันยังไม่รู้เลย

ผม : แล้วทำไมตาไม่อยู่บ้าน หางานแ ถวบ้านทำล่ะ

ตา : ตา ไม่มีบ้าน พอยายตาย พี่น้องยายเขาก็ไม่ให้อยู่ในที่ของเขา งานแถวบ้านมี แต่เขาไม่จ้างตาทำ เขาบอกว่าตาแก่แล้ว ทำอะไรช้าไม่ทัน เขาก็ไม่จ้างตา

ผม : แล้วตามาถึงที่นี่ได้อย่างไง

ตา : ตาเดินมาเรื่อยๆ

ผม : เดินมาจากอุบลฯ นะเหรอตา ทำไมไม่นั่งรถเมล์มาล่ะ

ตา : (ยิ้ม) ตาไม่มีตังค์ (ควักเงินออกมาให้ดู ซึ่งในมือตามีเงิน 15 บาท เหรียญ 5 บาท 1 เหรียญ ที่เหลือเป็นเหรียญบาทเก่าๆ สีเขียว)

ผม : แล้วตาออกจากอุบลฯ มาวันไหน

ตา : หลังสงกรานต์ 2 วัน (ยิ้ม)

ผม : แล้วตาเอาอะไรมาด้วย นี่ห่ออะไรที่ตาถือมา

ตา : อ๋อ ห่อกระดูกยาย กับถุงเสื้อผ้าตา

ผม : แล้วตากินอะไรอยู่

ตา : เดินผ่านร้านที่เขาขายมันต้ม แม่ค้าเขาเลยให้ตามากินฟรีๆ ไม่เอาตังค์ตาด้วย

ผม : (สายตาของผมมองไปที่เท้าของตา เห็นรองเท้าของตามีกระดาษติดที่ส้น) กระดาษติดที่เท้าตานะ ระวังหกล้ม

ตา : (ยิ้ม) อ๋อ ตาเอามันมารองที่เท้าตาเอง เพราะส้นรองเท้ามันขาดแล้ว เวลาเดินมันร้อนส้นเท้า

ผม : แล้วนั่นน้ำอะไรจ๊ะตา (เห็นน้ำสีน้ำตาลในขวดสีขาวขุ่นมากๆ วางอยู่ข้างๆ ตา)

ตา : น้ำกินตาเอง

หลัง จากนั่งคุยกับตาแกไปเ??ื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า ตา อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผมดันลืมถามชื่อแกมา รู้แต่ว่าสิ่งที่ได้สังเกตเห็นตลอดเวลาคือ เนื้อตัวค่อนข้างเลอะ มีรอยยุงกัดตามตัวเยอะมาก เพราะแกบอกว่าอาศัยนอนข้างถนน นอนศาลา และดวงตาของแกฝ้ามัวมาก เหมือนมีเส้นใยบางๆ ในดวงตา และอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือ "รอยยิ้ม" ที่ เห็นฟัน 1 ซี่ ของแกมีมาให้ตลอดเวลาระหว่างที่สนทนากัน ทำให้ผมรู้สึกว่าตาเป็นคนอารมณ์ดี จากนั้นผมจึงได้ส่งร่มในมือที่ถือก่อนลงจากรถให้แกไว้ใช้ พร้อมเงินอีก 190 บาท (เพราะมีอยู่แค่นั้น) ซึ่งตอนที่แกได้ร่ม ตาแกดีใจมาก ยิ้มตลอดเวลา ในใจแกคงคิดว่าต่ อไปนี้แกคงไม่ต้องเดินร้อนแล้วล่ะ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมตาแกไม่ไปบวช หรือขอข้าววัดกิน เรื่องนี้พวกเราคุยกันว่า ตาแกยังคงอยากทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ไม่อยากจะขออาศัยวัดกิน มีมือมีเท้าก็อยากทำให้เกิดประโยชน์บ้าง …

...และนี่คือตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีคนอีกจำนวนมากต้องปาดกัดตีนถีบเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง รู้แบบนี้แล้วทำไมไม่ลองมองย้อนมาดูตัวเอง ว่าวันนี้คุณ "พอเพียง" แค่ไหนกัน ? ทั้ง นี้ผู้เล่าประสบการณ์ คิดได้ว่า เขาโชคดีเหลือเกินที่มีกินมีใช้ เกิดมาไม่ลำบาก มีพ่อแม่ มีเงินให้ใช้ แต่หลังจากเจอตาแล้วทำให้เขาคิดได้ว่า ต่อไปนี้เขาต้องรู้จักใช้เงิน รู้คุณค่าของเงินมากขึ้น เผื่อวันหน้าจะได้ไม่ลำบาก


18 ธันวาคม 2552

อย่าจม อยู่กับอดีต

อย่าจม อยู่กับอดีต

ความหนักอกหนักใจ เหนื่อยใจในชีวิตของเราทั่วๆ ไป
อีกประการหนึ่งก็คือ การคิดในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา

ไม่ใช่ว่าจะห้ามเสียเลย หามิได้
คิดได้ แต่ว่าต้องคิด ด้วยปัญญา
รื้อมันด้วยปัญญา สร้างขึ้นด้วยปัญญาตลอดเวลา
อย่างนั้นสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน
ไม่เป็นความเสียหายในการที่เราจะคิด
เพราะเอามาศึกษาค้นคว้าในเรื่องอย่างนั้น
ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไปในสภาพอย่างไร
เราจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของเราต่อไป
คิดแบบวิเคราะห์วิจัยอย่างนี้ไม่เสียหาย
แต่ว่าโดยมากหาได้คิดในรูปนั้นไม่ เอามาคิดในรูป
ที่มันจะสร้างปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น
คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา ในเรื่องอะไรต่างๆ
เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนาน แล้ว
แต่เราก็เอามาคิด พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบาย
ใจเป็นทุกข์ขึ้นมาก็เพราะเรื่องอย่างนั้น

บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล
แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้วฉันเศร้าใจเหลือเกิน...
ก็มันเรื่อง อะไรที่ไปคิดให้เศร้าใจ
อยู่ดีๆ ไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน
ที่คนโบราณเขาว่า เอามือไป ซุกหีบ
มือมันอยู่ดีๆ ไม่ชอบ เอาเข้าไปซุกในหีบ
แล้วก็ปิดฝาหีบลงไปโดนมือเจ็บปวดไปเปล่าๆ
นี่มันไม่ได้เรื่องอะไร ทำไมจึงชอบคิดในเรื่องอย่างนั้น
เรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาไม่ชอบปล่อยชอบวาง ไม่ชอบทิ้งเรื่องนั้นออกไปเสีย

ในหลักธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ท่านวางหลักในเรื่องนี้ไว้ว่า
“อตีตํ นานวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ”
บอกว่า อย่าคิดถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว อย่าคิดถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง
สิ่งใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ให้เพ่งพิจารณาในเรื่องนั้น
เพื่อให้รู้ชัดเห็นชัดตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ อันนี้เป็นหลักการอันหนึ่ง
ซึ่งเราน่าจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา

เพราะว่าคนเราทั่วๆ ไป ที่มีความทุกข์ระทมตรมใจอะไรต่างๆ นั้น
ส่วนมากก็เป็นเรื่องเก่าๆ ที่มันผ่านพ้นมาแล้ว
ของหายไปตั้งสองเดือนแล้ว ก็ยังเอา มาคิดถึงอยู่
คือ บางทีก็พูดกับใครๆ ว่า แหมนึกถึงเรื่องนั้นทีไรแล้วแสนจะกลุ้มใจ
รู้ว่ากลุ้มใจ แต่ว่าทำไมไปคิดถึงเรื่องนั้น
นี่เขาเรียกว่าเผลอไป ประมาทไป
ไม่ได้ระมัดระวังควบคุมความคิดของตัว
แล้วก็ไปคิดถึงเรื่อง ที่ทำให้เศร้าใจ
ให้เสียใจเป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยประการต่างๆ
นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าๆ แก่ๆ ทั้งนั้น
เอามานั่งคิด นั่งฝันไป ไม่ได้เรื่องอะไร
อย่างนั้นไม่ควรคิด เพราะมันผ่านพ้นไปแล้ว

เรื่องเวลานี้มันมีสามกาละคือว่า ปัจจุบัน อดีต อนาคต
สามกาลนี้มันนิดเดียวเท่านั้นเอง
ตัวปัจจุบันนี่ก็นิดเดียว แล้วมันก็กลายเป็นอดีตไป
แล้วอนาคตก็ย่างเข้ามา กลายเป็นตัวปัจจุบัน แล้วก็เป็นอดีตต่อไป
ถ้าหากว่าเราถือหลักว่าเวลานี้มันไม่คงที่
มันมาถึงเราแล้วก็ผ่านพ้นไปๆ วินาทีนั้นผ่านพ้นไป
วินาทีใหม่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านพ้นไป
คล้ายๆ กับภาพยนตร์ เวลาเราดูหนัง
ภาพต่างๆ มันผ่านสายตาเราไปในรูปต่างๆ กัน
นั่นคือความเปลี่ยนแปลงของภาพอยู่ตลอดเวลา
ภาพมันถี่ยิบเพราะความหมุนของเครื่องแล้วฟิล์มมันก็หมุนไป
เราก็เห็นว่าเป็นภาพวิ่งแสดงอย่างนั้นแสดงอย่างนี้
ปรากฏแก่สายตายของเรา ทำให้เราเห็นว่ามันเป็นจริงๆ จังๆ
เป็นเรื่องเป็นราว บางทีดูด้วยความเพลิด เพลิน
บางทีดูแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ เวลาจบเรื่องลงไปก็พลอยเศร้าไปกับพระเอก
หรือว่านางเอกที่ต้องพบชะตากรรมที่ไม่นึกฝัน
ว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ที่จริงภาพเหล่านั้นมันเป็นมายา
ที่มาหลอกตาเราชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ว่าภาพมันติดต่อกัน เลยเห็นเป็นเรื่อง เดียวกันตลอดเวลา
อย่างนี้มันก็ผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง

อะไรๆ มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หยุดอยู่
แต่ว่าเรานั้นเป็นผู้ทำผิด ทำผิดในเรื่องอย่างไร
ทำผิดคือไปเก็บเอาสิ่งนั้นไว้มาใส่ในใจ
ใส่ไว้ในห้วงนึกในความคิดของเรา
เก็บเรื่อยไปไม่รู้ว่าอะไรต่ออะไร เรียกว่าเป็น คนชอบเก็บ
ชอบสะสม ลักษณะของจิตมันก็อย่างนั้นอยู่ด้วยเหมือนกัน
คือว่า ชอบสะสมอารมณ์ประเภทต่างๆ ที่ผ่านมาเข้ามา
แล้วมันก็เก็บไว้ แล้วเอามานั่งคิด นั่งนึกให้เกิดความทุกข์ความเศร้าใจ
ไม่มีเรื่องอะไรจะคิดก็ไปเอาเรื่องที่มันเศร้าใจไม่สบายใจมาคิด
บางทีไปคิดในเวลาใกล้จะนอน เลยกระทบอารมณ์ นอนไม่หลับ
หรือบางทีไปคิดเวลารับประทานอาหาร
เลยเกิดเบื่ออาหารขึ้นมา ไม่อยากจะรับประทานแล้ว ใจมันไม่สบาย

ใจมันไปคิดในเรื่องครั้งกระโน้น เก่าไม่รู้สักกี่สิบปี แล้ว
ถ้าเป็นวัตถุก็เรียกว่าบูดแล้ว เน่าแล้ว เปื่อยแล้ว
เราอุตส่าห์เอามาสร้างเป็นโครงร่างขึ้นมาใหม่ ไปเก็บ
เอาขี้เถ้ามันมาเสกสรรปั้นแต่งให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว
นั่งดูด้วยความเศร้าโศกใจ นี่เรียกว่า ความเขลาหรือความฉลาด
ขอให้เราคิดดูสักเล็กน้อย

สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ปล่อยไป ช่างมันเถอะผ่านพ้นไปแล้ว
เราจะไปคิดถึงสิ่งนั้นทำไมให้มันเป็นอดีตไป
อดีตมันก็ผ่านพ้นไปแล้วปัจจุบันมันก็ผ่านพ้นไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง
แต่ถ้ามาถึงเข้า เราก็พิจารณาต่อไปด้วยปัญญาว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแก่เรา
แต่ว่าสิ่งนี้มันไม่เที่ยงมันมีความเปลี่ยนแปลง
คอยดูว่ามันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไป
ให้เราทำตนเป็นคนดูด้วยปัญญา อย่าดูด้วยความยึดมั่นถือมั่น
อย่าดูด้วยความหลงผิดในเรื่องนั้นๆ
จิตใจเราก็จะสบายขึ้นไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นี้เป็นประการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหา คือความไม่ สบายใจ
หรือว่าความเหน็ดเหนื่อยใจที่เกิดขึ้น
ให้พอคลายไปได้ จากการคิดนึกในรูปอย่างนี้


บทเรียนดีๆ ของกบ

...บทเรียนดีๆ ของกบ...

นิทานอีสปเคยกล่าวเอาไว้ว่า...

จงพอใจในวาสนาของท่าน เรามิอาจเป็นเลิศในทุกสิ่งได้

คนไม่พอใจในตัวเองจะเป็นทุกข์ตลอดไป...

.....นานมาแล้วมีกบตัวหนึ่งอาศัยใกล้กุฎิพระ
ตอนเช้าเห็นพระบิณฑบาตได้อาหารมาอย่างสบายทุกวัน

เจ้ากบก็ปรารถนาอยากเป็นพระกับเขาบ้าง คงจะดีนะ
ต่อมาเมื่อพระฉันเสร็จก็เอาข้าวสุกโปรยให้ไก่กิน

เจ้ากบก็คิด เป็นไก่ดีกว่าไม่ต้องออกแรงเลย ไม่อยากเป็นพระอีกแล้ว

ขณะนั้นเอง หมาตัวหนึ่งแย่งไก่กินอาหาร
ไก่กลัวหมามากจึงหนีเอาตัวรอดอย่างน่าอนาถ

เจ้ากบก็คิด เป็นหมาดีกว่าดูเป็นวีรบุรุษดี ไม่อยากเป็นไก่แล้ว

มีชายคนหนึ่งเห็นเข้าจึงเอาไม้ไล่ตีหมา จนหมาวิ่งหนีร้องลั่นไป

เจ้ากบจึงคิดว่าทำไมเราไม่เกิดเป็นคนหนอ สามารถขับไล่หมาไปได้

จากนั้นเอง ชายผู้นี้ ก็มานั่งริมสระน้ำ
แล้วเจ้าแมลงวันก็บินมาตอมจนชายผู้นั้นรำคาญ และลุกหนี

พร้อมบ่นว่า "รำคาญแมลงวันจริงโว้ย"

เจ้ากบได้ยินเสียงดังนั้น ก็นึกคิดว่าเกิดเป็นแมลงวันดีกว่านะ
เพราะเก่งมากจนทำให้คนรำคาญได้

บังเอิญแมลงวันบินมาเกาะที่จมูก มันจึงแลบลิ้นแผลบกินแมลงวัน

เจ้ากบจึงค้นพบสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ ว่า เป็นอะไรก็ไม่ดีเท่าตัวเราเอง

ความทุกข์จึงเกิดจากความไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่

"เราแทบไม่คิดว่า เรามีอะไรบ้าง

แต่เราคิดเพียงว่า เราขาดอะไรบ้างเท่านั้นเอง"


11 ธันวาคม 2552

เลื่อนตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง

เลื่อนตัวเองขึ้นแต่อย่าลดคนอื่นลง

อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า "เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ"

ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุตนั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า "เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ"

อาจารย์เขกหัวศิษย์เบาๆ แล้วบอกว่า "คนที่คิดจะยกตนเองให้สูงขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้นไม่ใช่วิธีที่ดี ดังนั้นถ้าเลือกใช้วิธีนี้ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนา ทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง"

แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดูด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า "จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรู แต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่ง แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหน ไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม"

นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง ดังนั้นเมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำ ก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้อง ฟ้องนาย และขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม กับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่นได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้น ย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะ แต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลง เธออาจเป็นผู้ชนะ พร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเองด้วย เป็นสังคมแห่งความสำเร็จบนพื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้

from http://variety.teenee.com/saladharm/21268.html


บทเรียน 16 ข้อจาก Anthony Bolton สุดยอด VI ของอังกฤษ


บทเรียน 16 ข้อจาก Anthony Bolton สุดยอด VI ของอังกฤษ

บทเรียนเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ในการเป็นผู้จัดการกองทุนมานาน 25 ปีของผม

1. เข้าใจความได้เปรียบเชิงแข่งขันและคุณภาพของบริษัท

คุณจะต้องรู้ฐานะการแข่งขันของบริษัทและรู้ว่าบริษัททำผลกำไรได้ด้วยวิธีการใด ธุรกิจที่ผมชอบคือ ธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืนเป็นระยะเวลายาวนาน สิ่งที่ผมจะถามก็คือ : ในอีก 10 ปีข้างหน้า บริษัทนี้จะยังอยู่หรือไม่และบริษัทน่าจะมีมูลค่าสูงกว่านี้หรือเปล่า ?

2. เข้าใจตัวแปรสำคัญๆ ที่เป็นตัวผลักดันธุรกิจ

ระบุตัวแปรหลัก ๆ ที่จะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรที่บริษัทควบคุมไม่ได้อย่างเช่น ค่าเงิน, อัตราดอกเบี้ย และภาษี สำหรับผม ธุรกิจที่ดีคือ ธุรกิจที่สามารถควบคุมชะตากรรมส่วนใหญ่ของตัวเองได้

3. สนใจธุรกิจที่เข้าใจได้ง่ายมากกว่าธุรกิจที่ซับซ้อน

ธุรกิจที่ซับซ้อนจะวิเคราะห์ได้ยากว่ามีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนหรือเปล่า สำหรับผมแล้ว ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจ ธุรกิจที่ใช้เงินลงทุนสูง ๆ ในการดำเนินธุรกิจจะมีความน่าสนใจน้อยกว่า

4. ฟังข้อมูลจากผู้บริหารโดยตรง

ผมชอบผู้บริหารที่ตรงไปตรงมาและไม่ขี้โม้ ผมอยากได้ยินทั้งข่าวดีและข่าวร้าย

5. หลีกเลี่ยงบริษัทที่มีผู้บริหารไม่ซื่อสัตย์และไม่มีความน่าเชื่อถือในทุกกรณี

6. พยายามคิดล้ำหน้ากว่าคนอื่น ๆ ไปสองก้าว

ดูว่าอะไรถูกมองข้ามไปในปัจจุบัน แต่มันจะสร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุนในอนาคตได้ โดยทั่วไปแล้ว ตลาดหุ้นไม่ได้มองอะไรไกล ๆ นัก ดังนั้น หากเรามองไกลกว่าคนอื่น ๆ เราจะทำกำไรได้

7. เข้าใจความเสี่ยงในงบดุล

การลงทุนเป็นการจำกัดความเสี่ยงและการหลีกเลี่ยงความหายนะ คุณต้องวิเคราะห์งบดุลอย่างละเอียด ดูเรื่องหนี้สินของบริษัทให้ดี

8. เสาะหาความคิดจากหลายๆแหล่ง

ยิ่งคุณมีแหล่งความคิดหลากหลายขึ้นเท่าไร คุณก็จะมีโอกาสหาหุ้นเด็ด ๆ ได้สูงขึ้นเท่านั้น แหล่งความคิดที่ชัดเจนที่สุดอาจจะไม่ใช่แหล่งที่ดีที่สุดเสมอไป ผมจะชอบแหล่งข้อมูลที่คนอื่น ๆ ไม่ค่อยใช้กัน

9. ดูการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารบริษัทด้วย

มันไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ถูกต้องเสมอไป แต่มันก็มีประโยชน์มาก ดูจำนวนรายการที่เกิดขึ้น การซื้อจะบอกอะไรได้มากกว่าการขาย และผู้บริหารบางคนจะน่าสนใจกว่าคนอื่น ๆ

10. ตรวจสอบเหตุผลในการลงทุนของคุณเป็นระยะ ๆ

การซื้อหุ้นต้องมีเหตุผลรองรับ และคุณต้องตรวจสอบเหตุผลเหล่านั้นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม อย่าปล่อยให้ความเชื่อมั่นพัฒนากลายเป็นความดื้อรั้น

11. ลืมต้นทุนของคุณซะ

ราคาที่คุณซื้อหุ้นมาไม่มีความเกี่ยวข้องเลย มันแค่มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาเท่านั้น เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปในเชิงลบ อย่างลังเลที่จะตัดขาดทุน

12. ผลงานที่ผ่านมาไม่ได้บ่งบอกถึงอนาคต

อย่างไรก็ตามคุณต้องวิเคราะห์ความผิดพลาดของคุณและเรียนรู้จากมัน

13. ใส่ใจกับมูลค่าเฉพาะของบริษัทนั้น ๆ ไม่ใช่ดูแต่มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ

หากคุณดูแต่มูลค่าเชิงเปรียบเทียบ คุณอาจจะซื้อหุ้นตัวที่แพงน้อยกว่ามาซึ่งมันจะทำให้คุณขาดทุนอยู่ดี

14. ใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นตัวบ่งชี้เพิ่มเติม

ผมจะใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยกำหนดขนาดการซื้อหุ้นของผม หากปัจจัยทางเทคนิคช่วยยืนยันการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ผมจะซื้อหุ้นในปริมาณที่มากขึ้น แต่ถ้าไม่ ผมจะซื้อหุ้นอยู่ดีแต่จะซื้อในปริมาณที่ลดลง เมื่อไรก็ตามที่ปัจจัยทางเทคนิคชี้ว่าหุ้นกำลังอ่อนแอ ผมจะตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ผมพบว่ามันจะมีประโยชน์สำหรับหุ้นขนาดใหญ่มากกว่า

15. หลีกเลี่ยงการทำนายทิศทางตลาดและการลงทุนตามเศรษฐกิจมหภาค

ผมจะลงทุนในบริษัทที่ผมคิดว่ามีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน

16. จงสวนกระแส

หากคุณรู้สึกสบายใจที่จะลงทุนในหุ้น คุณอาจจะเข้ามาสายไปแล้ว
จงลงทุนสวนกระแสฝูงชน อย่ารู้สึกมั่นใจสูงขึ้น เมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น
เวลาที่ทุกคนปราศจากความกังวลจะเป็นเวลาที่น่ากลัวที่สุด
เวลาที่ทุกคนกังวลอย่างมาก ความกังวลมันจะไปสะท้อนในราคาแล้ว


Warren Buffet

warren buffet story


ชายแก่คนนั้นทำงานในบริษัท แต่เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ ไม่มีคนขับรถ ขับรถคันเก่าไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง

เขาไม่ใช่คนยากไร้ ตรงกันข้ามเขาเป็นคนร่ำรวยอันดับที่หนึ่งของโลก ( จัดโดยนิตยสารฟอร์บส์ ปี 2007 ) ประมาณว่าความร่ำรวยราวห้าหมื่นสองพันล้านดอลลาร์ ด้วยเงินของเขาสามารถซื้อเครื่องบินส่วนตัวได้หลายลำ แต่เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมที่เขาซื้อเมื่อครึ่งศตรรษที่แล้ว กินอาหารง่ายๆ ใช้ชีวิตง่ายๆ การหย่อนใจของเขาคือนอนดูโทรทัศน์รายการโปรดบนโซฟา กินข้าวโพดคั่วที่ทำเอง

เขาไม่ใช่คนขี้เหนียว ตรงกันข้ามเขาเพิ่งบริจาคเงิน 83 เปอร์เซ็นต์ของเขาให้องค์กรการกุศล (ประมาณสามหมื่นล้านดอลลาร์) เป็นเงินบริจาคที่สูงที่สุดก้อนหนึ่งในประวัติศาสตร์ ชายแก่คนนั้นชื่อ วอร์เรน บัพเฟตต์

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เริ่มทำงานครั้งแรกกับพ่อตอนอายุสิบเอ็ดขวบ เป็นงานนายหน้าค้าหุ้น ปีนั้นเขาซื้อหุ้นตัวแรก คือหุ้น ซิตีส์ เซอร์วิสเซส หุ้นละ 38.25 เหรียญ เขาขายเมื่อหุ้นขึ้นถึง 40 เหรียญ และไม่กี่ปีต่อมามันขึ้นถึง 200 เหรียญ สิ่งนี้สอนให้เขาเห็นค่าของการลงทุนกับหุ้นที่ดีในระยะยาว

อายุสิบ สี่ เขาซื้อที่ดิน 40 เอเคอร์ ราคา 1,200 เหรียญ แล้วให้ชาวนาเช่า ตอนเป็นนักเรียนมัธยมปลาย เขากับเพื่อนซื้อเครื่องเล่นพินบอลราคา 25 เหรียญ ตั้งในร้านตัดผม ภายในสามเดือนพวกเขามีเครื่องสามเครื่องในร้านต่างๆ เมื่ออายุสิบหก เขามีเงินเก็บถึงห้าพันเหรียญ

เขารู้สึกว่าการเรียนในวิทยาลัยเป็นความสูญเปล่า แต่ก็ยอมเรียนต่อเพราะพ่อขอไว้ และเป็นนักศึกษาระดับต้นๆ ด้วยคะแนนสูงลิ่ว

เมื่อ เรียนจบ เขาก็ไปทำงานไม่กี่ปีก็ก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ในวัยยี่สิบหก สร้างตัวมาจากความไม่มีด้วยสองมือ จนกลายเป็นซีอีโอของบริษัทขนาดยักษ์ ( Berkshire Hathaway )

เงินเดือนทั้งปีของเขาในปี 2549 คือ หนึ่งแสนเหรียญ จัดว่าน้อยมากสำหรับหมายเลขหนึ่งของบริษัท ซีอีโอทั่วไปมีรายได้ต่อปีเฉลี่ยเก้าล้านดอลลาร์

เขาบอกว่า สหรัฐอเมริกาจ่ายเงินให้นักมวยสิบล้านเพื่อที่จะน็อกคู่ต่อสู้ให้ล้มในเวลา สิบวินาที แต่ไม่สามารถจ่ายเงินดีแก่ครูที่เก่งที่สุด พยาบาลที่ดีที่สุด เป็นการจ่ายที่ไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง เขาเห็นคุณค่าของการทำงานที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้เขาจึง ไม่คิดจะย้ายบ้านที่อยู่มาตั้งแต่หนุ่มไปอยู่คฤหาสน์ที่ไหนสักแห่ง เขาบอกว่า ซื้อบ้านใหม่ทำไม ในเมื่อเขามีทุกอย่างที่ต้องการในบ้านหลังนี้แล้ว การย้ายบ้านเพียงเพื่อให้ 'สมฐานะ' ของตัวเองเป็นเรื่องเหลวไหล

หลาย ปีก่อนเคยมีการสัมภาษณ์มหาเศรษฐีชั้นนำของโลกจำนวนหนึ่ง และพบว่ามหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจริงๆ ล้วนเป็นคนมัสยัสถ์อย่างยิ่ง ใช้เงินเท่าที่จำเป็น เพราะพวกเขาเห็นว่าเงินทองไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต

โลก เราเต็มไปด้วยคนรวยกลวงๆ คนที่พยายามทำตัวให้ดูรวย เมื่อไม่มีเงินก็พยายามกู้เงินมา ด้วยค่านิยมที่ว่า "คนที่กู้เงินได้คือคนที่มีเครดิต"

คนรวยเช่น วอร์เรน บัฟเฟตต์ กลับบอกว่า จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตไปไกลๆ

ที่ แตกต่างจากคนอื่นก็คือ ลูกหลานของเขาจะไม่ได้รับมรดกมากเท่าส่วนบริจาค เขาบอกว่า "ผมต้องการให้ลูกหลานของผมมากพอที่พวกเขารู้สึกว่าสามารถทำอะไรก็ได้ แต่ไม่มากพอที่ทำให้พวกเขาไม่ทำอะไรเลย"

เมื่อมองทะลุวัตถุนิยม ก็เริ่มแลเห็นความหมายและคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

มีรายการสัมภาษณ์หนึ่งชั่วโมงของสถานีโทรทัศน์ CNBC สัมภาษณ์ วอร์เรน บัพเฟตต์มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริจาคเงินให้การกุศล 31,000 ล้านดอลล่าร์ ต่อไปนี้คือแง่มุมบางส่วนที่น่าสนใจยิ่งจากชีวิตของเขา:

1) เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

2) เขาซื้อไร่เล็กๆ เมื่ออายุ 14 โดยใช้เงินเก็บจากการส่งหนังสือพิมพ์

3) เขายังอาศัยอยู่ในบ้านเล็กหลังเดิมขนาด 3 ห้องนอน กลางเมืองโอมาฮา ที่ซื้อไว้
หลังแต่งงานเมื่อ 50 ปีก่อน เขาบอกว่ามีทุกสิ่งที่ต้องการในบ้านหลังนี้ บ้านเขาไม่มีรั้วหรือกำแพงล้อม

4) เขาขับรถไปไหนมาไหนต้วยตนเอง ไม่มีคนขับรถหรือคนคุ้มกัน

5) เขาไม่เคยเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว แม้จะเป็นเจ้าของบริษัทขายเครื่องบินส่วน
ตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

6) บริษัท เบิร์กไช แฮทะเวย์ ของเขามีบริษัทในเครือ 63 บริษัท เขาเขียนจดหมายถึง
ซีอีโอของบริษัทเหล่านี้เพียงปีละฉบับเดียว เพื่อให้เป้าหมายประจำปี เขาไม่เคยนัดประชุมหรือโทรคุยกับ
ซีอีโอเหล่านี้เป็นประจำ

7) เขาให้กฎแก่ ซีอีโอ เพียงสองข้อ
กฎข้อ 1 อย่าทำให้เงินของผู้ถือหุ้นเสียหาย
กฎข้อ 2 อย่าลืมกฎข้อ 1

8 ) เขาไม่สมาคมกับพวกไฮโซ การพักผ่อนเมื่อกลับบ้าน คือทำข้าวโพดคั่วกินและดู
โทรทัศน์

9) บิล เกตส์ คนที่รวยอันดับสองของโลก เพิ่งพบเขาเป็นครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อน บิล เกตส์คิดว่า
ตนเองไม่มีอะไรเหมือนวอร์เรน บัพเฟตต์เลย จึงให้เวลานัดไว้เพียงครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อบิล เกดส์ได้พบ
บัฟเฟตต์จริงๆ ปรากฏว่าคุยกันนานถึงสิบชั่วโมง และบิล เกตส์กลายเป็นผู้มีศรัทธาในตัววอร์เรน
บัพเฟตต์

10) วอร์เรน บัพเฟตต์ ไม่ใช้มือถือ และไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน

11) เขาแนะนำเยาวชนคนหนุ่มสาวว่า: จงหลีกห่างจากบัตรเครดิตและลงทุนในตัวคุณเอง


ที่สุดของชีวิต คือ มีปัจจัย๔ อย่างเพียงพอนั่นเอง

มหาเศรษฐีหรือยาจก กินข้าวแล้วก็อิ่ม1มื้อ เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีเสื้อผ้ากี่ชุด ก็ใส่ได้ทีละชุด เท่ากัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก มีบ้านหลังใหญ่แค่ไหน พื้นที่ที่ใช้จริงๆ ก็เหมือนกันคือ ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัวเหมือนกัน
มหาเศรษฐีหรือยาจก จะมียารักษาโรคดีแค่ไหน ยื้อชีวิตไปได้นานเพียงไร สุดท้ายก็ต้องตาย เหมือนกัน

มองทะลุวัตถุนิยม และเห็นความหมายที่แท้จริงของชีวิต



from http://growth.exteen.com/20081024/entry-1, http://growth.exteen.com/20081024/entry


วอร์เรน บัฟเฟตต์ คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก

“วอร์เรน บัฟเฟตต์ คนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลก” สำหรับคอลัมน์ มองบุคคลโลก หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์


ผมขอนำเรื่องของมหาเศรษฐีคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จและสร้างฐานะจากการเล่น หุ้นจนกลายมาเป็นคนเล่นหุ้นที่รวยที่สุดในโลกขณะนี้ เรื่องนี้มีความน่าสนใจอยู่มากเพราะข้อเท็จจริงที่เราต่างทราบกันดีคือไม่ ได้หมายความว่าคนที่เล่นหุ้นจะรวยเช่นเขาทุกคน หลาย ๆท่านที่ลงทุนในตลาดหุ้นต้องลงทุนอย่างมีหลักการและเหตุผล อย่าทำตัวเป็นเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟหรือทุ่มทุนสร้างเพราะคิดว่ามัน เหมือนกับการเล่นการพนันชนิดหนึ่ง เพราะโอกาสเสี่ยงมีสูงมาก แต่เป็นเพราะเขามีบางสิ่งบางอย่างที่โดดเด่นและแตกต่างจากคนอื่นจึงทำให้ เขาประสบความสำเร็จได้

ผมมองว่าสังคมโลกยุคปัจจุบันเราพบว่า หากใครก็ตามที่ดำเนินธุรกิจอยู่และต้องการระดมทุนเพื่อนำมาขยายธุรกิจ ตลาดหุ้นเป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่นักธุรกิจต้องการ ตามการเติบโตและพัฒนาของโลกอย่างไร้ขอบเขต จนทำให้หลาย ๆ ประเทศมีขนาดของตลาดหุ้นเท่ากับขนาดของเศรษฐกิจของประเทศ มีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาลทุกวัน เมื่อเราดูข่าวไม่ว่าจะผ่านสื่อใด ๆ จะต้องมีการนำเสนอถึงความเป็นไปของตลาดหุ้นไปพร้อม ๆ กันจนสามารถถือได้ว่าตลาดหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปโดยปริยาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย ผมมองว่าตลาดหุ้นเป็นเสมือนบ่อนการพนันที่ถูกกฎหมายไปและได้รับการยอมรับ อย่างสูง เพราะมีหลายต่อหลายคนกลายเป็นมหาเศรษฐีจากการลงทุนในตลาดหุ้น ในขณะเดียวกันก็มีมหาเศรษฐีหลาย ๆ คน ที่เดินออกมาจากตลาดหุ้นในฐานะยาจก มีคนจำนวนมากมีชีวิตอยู่กับตลาดหุ้นจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และอยู่ในตลาดหุ้นทั้งที่รู้ว่าบางครั้งมันเป็นเหมือนสวรรค์และเหวนรกในเวลา เดียวกันสิ่งนี้เป็นสัจธรรม

สำหรับผมก็เหมือนคนเล่นหุ้นทั่วไป เพราะโดยส่วนตัวมีหุ้นของบมจ. อมตะในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยผมเก็บหุ้นของตัวเองไว้ ไม่เคยขายหุ้นของตัวเองออกไปเลยแม้แต่หุ้นหนี่ง บางช่วงที่ผมมีกำไรจากการทำธุรกิจผมกลับนำเงินนั้นมาซื้อหุ้นของอมตะเพิ่ม ขึ้นเสียอีก ปัจจุบันนี้ผมมั่นใจจนสามารถบอกกับคนอื่นได้ว่า ผมไม่เคยขายหุ้นอมตะออกจากบัญชีของผมเลย เพราะผมไม่ใช่คนเล่นหุ้น เป็นแต่เพียงคนลงทุนในตลาดหุ้นเท่านั้น เป็นเรื่องบังเอิญมากเมื่อผมมาได้ทราบวิธีการของวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่เขาลงุทนนั้นช่างมีความคล้ายคลึงกับหลักการ วิธีทำของผมเพราะเขาเป็นนักลงทุนที่มีหลักการ ซึ่งแนวทางการลงทุนที่ว่านี้ผมมองว่า

อันที่จริงแล้วก็ไม่ใช่หลักการที่ยากนัก เพียงแต่เรามองดูผู้บริหารองค์กรนั้น ๆ ว่าบริหารงานอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมและซื้อสัตย์ดีพอหรือไม่ และองค์กรนั้นจะต้องมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นธุรกิจที่มีความต้องการของตลาดสูง ไม่ใช่ธุรกิจที่ซับซ้อนเข้าใจยาก หรือหวือหวาอย่างธุรกิจสินค้าไฮเทค การลงทุนสำหรับหุ้นตัวนี้ จะเป็นเหมือนการลงทุนระยะยาว เพราะลักษณะนี้เป็นการลงทุนอย่างชญฉลาด เพราะเป็นการพิจารณาจากตัวหุ้นโดยตรง

วอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นผู้หนึ่งที่ใช้วิธีการลงทุนแบบที่ผมกล่าวมาข้างต้น และด้วยระยะเวลา 49 ปีนับจากวันแรกที่เขาเริ่มเล่นหุ้น จนถึงปัจจุบันนี้ เขาได้กลายมาเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยจากการเล่นหุ้นมากที่สุดของโลกได้ เป็นเพราะเขามีหลักการในการเล่นหุ้นอย่างเป็นขั้นตอน มีเหตุมีผล และด้วยการตัดสินใจที่ดีของตัวเขาเอง ด้วยวัย 76 ปีในปัจจุบัน ชายคนนี้ได้นำทรัพย์สินกว่า 3,700 ล้านเหรียญของเขาบริจาคให้กับสาธารณะกุศล เพราะเขามั่นใจว่าเงินที่เขาบริจาคนี้ จะเกิดประโยชน์มากกว่าการที่เขาจะมอบให้กับลูก ๆ ของเขา และเขาก็มั่นใจในตัวคนที่เขามอบเงินให้ว่าจะสามารถทำในสิ่งที่เขาปราถนาและ ตามเจตนารมย์ที่เขาตั้งไว้ เพราะเขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มาก็มาจากสังคม และเมื่อเขาประสบความสำเร็จและมีเงินมากมายมหาศาลก็ควรที่จะคืนให้กับสังคม

วอร์เรน บัฟเฟตต์ คิดเสมอว่าเขาอายุมากแล้ว คงจะใช้เงินไปอีกไม่ได้มาก เขายังมีเงินเหลือเก็บอีกเยอะและพร้อมที่จะนำเงินที่เหลือใช้ไปก่อให้เกิด ประโยชน์แก่สาธารณะชนก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไป เพื่อทำให้เขารู้สึกภูมิใจว่า ในชีวิตนี้ของเขา เขาได้ทำประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ นับว่าเป็นมหาเศรษฐีที่เศรษฐีน้อยเศรษฐีใหญ่ที่เหลือในโลกนี้ควรเอาเยี่ยง อย่างนะครับ



ประวัติ

วอร์เรน บัฟเฟตต์ มีชื่อเต็มว่า วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ เขาเกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 1930 (ค.ศ. 1930) ที่เมืองโอแมฮา ในรัฐเนแบรสกา พ่อของเขาชื่อโฮเวิร์ด บัฟเฟตต์ เป็นวุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกัน และยังเป็น Stock Broker อีกด้วย ส่วนมารดาของเขามีชื่อว่าไลล่า บัฟเฟตต์ เขามีพี่น้องอยู่ 2 คน คือดอริส และเบอร์ตี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ชอบหมกมุ่นกับตัวเลขตั้งแต่อายุยังน้อย และมีความจำอันดีเลิศ เขาสามารถจดจำจำนวนประชากรของเมืองใหญ่ในสหรัฐได้อย่างมากมาย

ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาได้จ่ายเงิน 25 เซนต์ซื้อโค๊กจำนวน 6 แพ็ค และนำมาขาย ในราคา กระป๋องละ หนึ่งเหรียญ และเมื่ออายุ 11 ขวบ เขาทำหน้าที่เป็นเด็กจดกระดานในบริษัทหุ้นของพ่อของเขา และในปีเดียวกันนั้น เขาเริ่มซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก ด้วยเงินอันน้อยนิด เขาสามารถซื้อได้แค่ 3 หุ้น หุ้น Cities Service Preferred ในราคาหุ้นละ 38 เหรียญ เมื่อซื้อแล้วราคาได้ตกมา 27 เหรียญ แต่เมื่อหุ้นกลับขึ้นมาอีกที เขาก็ขายไปที่ 40 เหรียญ นั่นเป็นการทำกำไรครั้งแรกในชีวิต ของเขา ได้มาเน็ต ๆ แค่ 5 เหรียญ หลังจากนั้นต่อมาไม่ทราบว่าใช้เวลานานนานเท่าไร หุ้นนั้นทะยานไปถึงหุ้นละ 200 เหรียญ

นอกจากการเล่นหุ้นแล้ว เขายังทำงานพิเศษอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเร่ขายของเคาะประตูตามบ้าน ส่งหนังสือพิมพ์ จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี เขาสามารถเก็บหอมรอมริบได้ เงินจำนวนถึง 1200 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากเลยทีเดียวในสมัยนั้น และเขาได้ทำเงินก้อนนี้ไปซื้อที่ดินราว ๆ 100 ไร่ เพื่อให้คนเช่าทำการเกษตร

ต่อมาเขาได้เข้าเรียนระดับมัธยมที่ Woodrow Wilson High School ในกรุงวอชิงตันดีซี และเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่วิทยาลัยการเงินวอร์ตัน ของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย ระหว่างปี 1947 – 1949 แต่จากนั้นก็ย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา ซึ่งที่นี่เองที่เขาได้มีความสนใจด้านการลงทุนเพราะได้แรงบันดาลใจจากการ อ่านหนังสือของ Benjamin Graham ที่มีชื่อว่า The Intelligent Investor หนังสือเล่มนี้เปรียบเสมือนคัมภีร์ของ value investors และเขาก็ได้รับความรู้มากมายจากหนังสือเล่มนี้

เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี เขาได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และได้เรียนหนังสือกับปรมาจารย์ในใจเขาคือ Benjamin Graham และเขาได้รับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ. 1951

หลังจากเรียนจบ เขาก็กลับบ้านเกิดและเข้าทำงานเป็นเซลล์แมนในบริษัทของพ่อตัวเอง ระหว่างปี 1951 – 1954 พอมาปี 1954 – 1956 เขาก็ทำงานเป็นนักวิเคราะห์ความเสี่ยงของบริษัท Graham-Newman Corp. ที่กรุงนิวยอร์ก

ในปี 1957 เขากลับมาถิ่นเกิดอีกครั้ง และเริ่มก่อตั้งบริษัทลงทุนที่มีชื่อว่า Buffett Partnership, Ltd. มีนักธุรกิจมากมายใส่เงินร่วมทุน จุดประสงค์ของเขาก็คือต้องการเอาชนะดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งเขาก็ทำได้ผลในปี 1969 อัตรากำไรที่บริษัทเขาทำได้นั้นสูงถึง 29.5 % เปรียบเทียบกับดัชนีดาวโจนส์ แค่ 7.4 % เท่านั้น

ในปี 1962 เขาได้เข้าไปซื้อกิจการของบริษัทสิ่งทอ Berkshire Hathaway ในราคาไม่ถึง 8 เหรียญต่อหุ้น เขาได้ขายโรงทอผ้าทิ้งไป แปลงโฉมบริษัทเป็น Holding Company และนี่เองที่เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของบริษัทที่ต่อมายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และในขณะเดียวกันเขาก็ได้แต่งงานกับ ซูซาน ทอมป์สันในปี ค.ศ. 1952 และมีลูก 3 คน คือซูซี่ โฮเวิร์ด และปีเตอร์ แต่ชีวิตสมรสของทั้งคู่ก็ต้องแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 1977 โดยที่ไม่มีการหย่าร้าง และภรรยาของเขาก็เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2004

ชีวิตส่วนตัวของเขาเรียบง่ายและสมถะมาก เขายังคงขับรถเก่าๆ ไปทำงาน บ้านที่อยู่ก็บ้านเก่า และเขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดิมในเมืองโอมาฮา เนบราสกา ซึ่งเป็นบ้านที่เขาซื้อมาด้วยราคา 31,500 เหรียญ เมื่อปี ค.ศ. 1958 หรือตั้งแต่ 49 ปีที่แล้ว อาหารที่กินประจำยังเป็นแมคโดนัลด์กับโค้ก ซึ่งเขากินวันละหลายๆ กระป๋องประมาณ 15 กระป๋องต่อวัน เนื่องจากเป็นสินค้าของกิจการที่เขาลงทุนอยู่ มูลค่าหุ้นของเขาเป็นล้านล้านบาท แต่เขากลับจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองเพียงปีละ 1-2 แสนดอลลาร์เท่านั้นเอง และไม่เคยขายหุ้นของตัวเองเลยตลอดชีวิต เขาขับรถเก่ายี่ห้อ Lincoln Town ไปทำงานเอง ไม่มีเลขาหน้าห้อง บนโต๊ะทำงานไม่เคยมีเครื่องคอมพิวเตอร์ดูราคาหุ้น ชอบใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และคิดถึงผู้ถือหุ้นเป็นอันดับแรก และยังชอบเล่นไพ่บริดจ์กับบิลล์ เกตส์ อยู่เสมอๆ

เงินที่เขาหาได้ เขาเอามาใช้น้อยมาก ความสุขของเขาอยู่ที่การลงทุน เขาไม่ต้องการเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่ให้ผลตอบแทนหรือให้ผลตอบแทนน้อย เขาคิดว่าเงินถ้าอยู่กับเขาแล้วจะโตเร็วมากและมีประโยชน์กว่า เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ได้บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากนัก แต่ในที่สุดเขาก็บริจาคเงินให้กับมูลนิธิบิล –มิรินดา เกตส์เพื่อนของเขา เขาถือเป็นแบบอย่างของคนที่รู้จักความพอดีในการใช้ชีวิต รู้และสำนึกได้ด้วยตัวเองว่า จุดความพอดีของตัวเองนั้นอยู่ที่ไหน และเมื่อไหร่ที่จะปล่อยวางจากทุกสิ่งทุกอย่าง

ความร่ำรวยส่วนใหญ่ของเขานั้นสั่งสมในบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทเวย์ ซึ่งมีผลกำไรหลากหลายนับจากธุรกิจการประกันภัย อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและการเช่าเครื่องบิน และบริษัทเบอร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ของเขาไม่มีสินค้าอะไรเลย ไม่มีการขายสินค้า ไม่มีการผลิตการบริการใดๆ รายได้จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งหมดมาจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับฉายาว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก เขาสามารถเพิ่มราคาหุ้นกองทุน Berkshire ของเขาถึง 3600 เท่า และเน้นย้ำเฉพาะการลงทุนแบบ Value Investor เท่านั้น

หุ้นของเบอร์กไชร์นั้นจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก และเป็นหุ้นตัวใหญ่ที่แปลกประหลาด นอกจากไม่มีการผลิตสินค้าและบริการใดๆ เลย ซื้อขายหุ้นอย่างเดียว ยังเป็นหุ้นที่ไม่เคยมีการจ่ายปันผลมาหลายสิบปี ทั้งๆ ที่มีกำไรมหาศาลทุกปี ทำให้บริษัทมีสินทรัพย์มากขึ้นเรื่อยๆ ราคาหุ้นของเบอร์กไชร์ทะลุหลักล้านบาทไปแล้ว คนที่ถือหุ้นบริษัทเขาตั้งแต่วันแรก ก็ยังถือมาจนถึงปัจจุบัน พวกเขาเชื่อในตัวบัฟเฟตต์มากๆ หุ้นบริษัทเขาจึงมีสภาพคล่องต่ำมาก ซึ่งเป็นผลดีกับกิจการ เนื่องจากจะไม่มีคนที่เล่นหุ้นวันต่อวันมาป่วนราคา บริษัทของเขาจะเลือกลงทุนในหุ้นในกิจการที่เยี่ยมยอดเพียงไม่กี่ตัว โดยซื้อเมื่อตอนราคาถูกและยุติธรรม แล้วเก็บไว้ให้นานที่สุด หรือเก็บไปตลอดชีวิตเลย

สำหรับพอร์ทการลงทุนของเขาจะมีแต่กิจการที่ดีของโลก เช่น บริษัทโค้ก ยิลเลท ดิสนีย์แลนด์ เป็นต้น หุ้นที่เขาจะซื้อ จะต้องมีพื้นฐานกิจการที่ดี และเขาจะต้องรู้จักและเข้าใจว่ากิจการสามารถสร้างรายได้มาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หุ้นกลุ่มไฮเทค จะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย แม้แต่ไมโครซอฟต์ เพราะเขาบอกว่า ถ้าเขาไม่รู้ว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะเป็นอย่างไร เขาก็จะไม่ซื้อหุ้นบริษัทนั้น ซึ่งหุ้นไฮเทคจะมีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วมาก จึงไม่อยู่ในข่ายลงทุน

สิ่งที่บัฟเฟตต์ยึดถือในการลงทุน นอกจากคุณค่าของกิจการแล้วคือ ผู้บริหารต้องมีความซื่อสัตย์ ยึดผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นหลัก ฉะนั้นการบริหารงานของบัฟเฟตต์จึงทำอย่างโปร่งใส และยึดถือประโยชน์ของทุกคนเป็นที่ตั้ง เขาไม่เคยเอาเปรียบผู้ถือหุ้นรายย่อยแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการบริจาคเงินของบริษัท



หลักการเลือกลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์:

1. เป็นธุรกิจหรือบริษัทที่ไม่ซับซ้อน กิจการประเภทง่ายๆ ไม่วุ่นวายนี้ จะสามารถบริหารจัดการได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องใช้เทคนิคบุคคลากรพิเศษมากมายนัก

2. เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมแข็งแกร่ง เช่นมียี่ห้อหรือตราสินค้าที่แข็งแกร่ง มีการบริการเป็นพิเศษที่หาจากที่อื่นไม่ได้

3. สามารถคาดเดาได้ คือสามารถคาดเดาผลการดำเนินงานได้ค่อนข้างแน่นอน เนื่องจากการที่ไม่ซับซ้อนของธุรกิจนี่เอง

4. ผลตอบแทนจากส่วนของเงินลงทุนสูง (ROE) อย่างน้อย 12 %

5. มีกระแสเงินสดที่ดี

6. มีผู้บริหารที่ดี เห็นแก่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ธุรกิจที่ดี มีธรรมชาติของธุรกิจที่ดี



จากการศึกษาวอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาให้ความสนใจลงทุนในธุรกิจ 5 กลุ่มด้วยกัน คือ

1) ธุรกิจเครื่องดื่ม เช่น โค้ก

2) กลุ่มการเงินที่เกี่ยวกับรายย่อย เช่น บริษัทอเมริกันเอ็กเพรส

3) กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค

4) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารของแคลิฟอร์เนีย

5) หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์



กรณีหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์วอร์เรน บัฟเฟต เข้าลงทุนเมื่อ 1974 จำนวน 11 ล้านเหรียญสหรัฐ 30 ปีผ่านไปได้ผลตอบแทน 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 15% ที่ผ่านมาเขามีหนังสือออกมาสามเล่มด้วยกัน คือ 101 เหตุผลที่คุณจะเป็นเจ้าของกิจการ เล่มที่ 2 ชื่อ บัฟเฟตต์ ซีอีโอ แต่ด้วยเนื้อหาที่ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มขึ้น ทำให้ ต้องมีเล่มที่สาม ซึ่งใช้ชื่อว่า “WARREN BUFFETT WEALTH” หรือ วอร์เรน บัฟเฟต ผู้มั่งคั่ง สำหรับหนังสือเล่มที่ 3 นี้จะใช้ภาษาเขียนที่เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น มีการยกตัวอย่างประกอบ ซึ่งเนื้อหาได้มาจากการศึกษาเกี่ยวกับนายวอร์เรน บัฟเฟต และบริษัทของเขา ตลอดจนได้มีการสอบถามจากผู้ใกล้ชิดของเขา และล่าสุดชื่อ The New Buffetology ซึ่งมีชื่อเป็นไทยว่า ลงทุนอย่าง...วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งรายละเอียดในหนังสือนั้นที่สำคัญคือ The Warren Buffett Way ที่เป็นเหมือนกลยุทธ์การลงทุนพื้นฐานสไตล์บัฟเฟตต์

อย่างไรก็ตาม ข่าวคราวที่สร้างความโด่งดังให้แก่วอร์เรน บัฟเฟตต์ มากที่สุดในชีวิตของเขาก็คือการที่เขายกทรัพย์สินถึง 85 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณสามหมื่นเจ็ดพันล้านเหรียญ ให้แก่มูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาโดยสองสามีภรรยาเกตส์เพื่อนเก่าแก่ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังผลให้มูลนิธินี้กลายเป็นมูลนิธิที่ร่ำรวยที่สุดในโลก นับว่าเป็นการรวมตัวทางการเงินเพื่อทำการกุศลยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ บิล เกตส์ และเมอลินดา ภริยา บอกว่า มูลนิธิหวังจะใช้ของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไปใช้วิจัยหาวัคซีนสยบโรคเอดส์ ร่วมกับอีก 20 โรคร้ายแรง ที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกปีละไม่รู้กี่ล้าน ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มียารักษา

เงินจำนวนนี้ถือเป็นเงินบริจาคที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกที่เคยมีมา เงินนี้วอร์เรน บัฟเฟตต์หามาเองเกือบทั้งสิ้นตลอดชีวิตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุดใน โลก และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักธุรกิจตัวอย่าง ที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม และไม่ฟุ้งเฟ้อ เขาเชื่อว่าเงินที่เขาได้มานั้น เขาต้องการที่จะทำในสิ่งที่มีประโยชน์และทำให้เขารู้สึกภูมิใจ และเขายังคาดหวังว่า การตัดสินใจบริจาคทรัพย์สมบัติครั้งนี้ จะเป็นแบบอย่างแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายให้ทำบุญสร้างกุศล โดยการบริจาคให้มูลนิธิต่าง ๆ ที่มีอยู่ โดยไม่ต้องแข่งกันตั้งมูลนิธิขึ้นมาใหม่ ส่วนการที่เขาบริจาคให้กับมูลนิธิของบิล เกตส์ เพราะเชื่อมั่นในนโยบายช่วยเหลือคนด้อยโอกาสจริง ๆ

บัฟเฟตต์พูดอยู่เสมอว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากเขากล่าวไว้ว่า “ผมรู้สึกอยู่เสมอว่าควรจะตอบแทนสังคม และครอบครัวของผมก็เห็นด้วยกับผม คำถามก็คือว่า จะตอบแทนอย่างไร” และ“ผมไม่ใช่คนที่ปรารถนาในความมั่นคั่งอย่างราชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทางเลือกหนึ่งยังมีคนอีกจำนวน 6,000 ล้านคน ยังจนกว่าที่เรามีอยู่มาก”



โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ


25 พฤศจิกายน 2552

เหมืองข้อมูล ยิ่งขุดยิ่งรวย

เหมืองข้อมูล ยิ่งขุดยิ่งรวย

เคยเจอปัญหาเรื่องหา 'ของเก่า' ไม่เจอบ้างไหม พวกช่างเก็บเล็กผสมน้อย จะเจอสถานการณ์นี้อยู่บ่อยๆ

เพราะสมบัติเก่าใหม่มีเยอะจัด แต่เวลานึกอยากจะขุดของเหล่านี้มาใช้ในชั่วโมงเร่งด่วน กลับหาไม่เจอจนโมโห

โดยเฉพาะ 'ข้อมูล' ที่เก็บไว้ในไฟล์โน้น โฟลเดอร์นี้ จนลืม สร้างความเสียหายให้หน้าที่การงานและโอกาสทางธุรกิจอยู่บ่อยๆ

แต่ถ้ามี 'Data Minning หรือ การทำเหมืองข้อมูล' ความผิดพลาดต่างๆ อาจน้อยลง

เหมืองข้อมูลคืออะไร จำกัดความแบบง่ายที่สุดก็คือ การสืบค้นข้อมูลเก่าที่มีอยู่ออกมาใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ

หน่วยงานทุกที่ไม่ว่าจะเป็นของเอกชน บริษัท ห้างร้านค้า โชว์ห่วย หรือหน่วยงานราชการ ล้วนมีข้อมูลอยู่ในคลังเป็นจำนวนมหาศาล ข้อมูลเหล่านี้เปรียบเหมือนเหมืองทองขนาดใหญ่ เป็นขุมทรัพย์ที่ต้องขุดถึงจะเจอแร่ทองคำอันมีค่า

มีการสำรวจกันแล้วว่า ข้อมูลที่มีมากมายอยู่บนโลกนี้ ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้เพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงมีคนหัวใส เขียนโปรแกรมจัดระเบียบข้อมูลเสียใหม่ให้มีประสิทธิภาพเต็ม 100 และสามารถวิเคราะห์ลงเชิงลึกแบบละเอียดได้ด้วย

จากงานสัมมาชื่อเดียวกัน ที่วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร.กมล เกียรติเรืองกมลา อธิบายไว้ว่า การนำเทคนิคเหมืองข้อมูลในปัจจุบัน จะมีแต่บรรดาห้างร้านและองค์กรระดับยักษ์ใหญ่เท่านั้น ที่ได้นำมาปรับใช้กัน เช่น บริษัทมือถือ ห้างสรรพสินค้า บริษัทไฟแนนซ์ และธนาคาร รวมไปถึงโลกไซเบอร์แหล่งศูนย์รวมของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก

แต่ ดร.กมล กลับคิดว่าธุรกิจเล็กๆ หรือตามห้างร้านที่ไม่ใหญ่มาก ก็สามารถที่จะนำมาปรับใช้ได้ และอยากให้ลองนำไปปรับใช้กันให้แพร่หลาย เพื่อในอนาคตอาจจะมีโปรแกรมที่ถูกเขียนโดยคนไทยออกมารองรับก็เป็นได้ เพียงแต่ร้านหรือองค์กรธุรกิจขนาดเล็กอาจจะมีข้อเสียเปรียบในด้านเรื่องต้น ทุนอยู่บ้าง แต่หัวใจของธุรกิจจริงๆนั้น อยู่ที่การบริการและความจริงใจเป็นสำคัญ

สำหรับคนที่ยังนึกภาพตามไม่ออก ดร.กมล ยกตัวอย่างรายการโปรโมชั่นต่างๆ ผ่านสื่อและโบรชัวร์แผ่นพับ ที่มีการแยกย่อยลงรายละเอียดแบบเจาะลึก เช่น โปรโมชั่นของโทรศัพท์ที่ทยอยออกมาให้เลือกใช้ทุก 3 เดือน ทั้งช่วงโทรเวลากลางวัน กลางคืน คุยน้อยคุยมาก รายการสินค้าตามห้างใหญ่ที่จัดรายการทุกเดือนในรูปแบบที่หลากหลาย จนผู้บริโภคแอบคิดในใจว่า...ทำไมช่างรู้ใจเราเสียเหลือเกิน

ผลจากการใช้เทคนิคเหมืองข้อมูล ดร. กล่าวว่ามีหลายบริษัทใหญ่ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า มีความคุ้มค่าในการลงทุน อย่างน้อยทำให้ผลประกอบการดีขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ส่วนโปรแกรมการทำเหมืองข้อมูลนั้น ดร. เฉลยว่า

“มีทั้งที่ราคาแพง และ ไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาท แต่การใช้งานสำหรับฟรีโปรแกรม ก็อาจจะยุ่งยากสักเล็กน้อย เพราะชาวต่างชาติเป็นผู้คิดขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับยากจนเกินไป ปัจจุบันได้มีร้านค้าเล็กๆได้ทดลองนำไปใช้ ซึ่งก็ได้ผลดีระดับหนึ่ง” แต่ทั้งนี้การทำเหมืองข้อมูลนั้นจะต้องมีพื้นฐานความรู้เรื่องวิชาสถิติมา บ้างเล็กน้อย

ความต่างของเหมืองข้อมูลกับวิชาสถิติคือ สถิติเป็นการจำลองข้อมูลออกมาเพื่อวิเคราะห์ความน่าจะเป็น ส่วนเหมืองข้อมูล เป็นการรวบรวมข้อมูลที่มีอยู่แล้วทั้งหมด รวมถึงหาข้อมูลปัจจุบันมาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“ถ้าคุณแวะเข้าร้านค้า ร้านแรก กล่าวสวัสดี มีอะไรให้รับใช้ครับ ต้องการสินค้าอะไรเพิ่มเติมอีกไหมครับ กับร้านที่สอง เมื่อเข้าไป พนักงานร้านสามารถกล่าวสวัสดีทักทายชื่อเราได้ถูกต้อง บอกเราว่าสินค้าที่คุณอยากได้เมื่อคราวก่อนมาถึงแล้วนะครับ และมีสินค้าที่เกี่ยวข้องอีกสองรายการเข้ามาใหม่ด้วย ไม่ทราบว่าสนใจอยากจะลองชมสักนิดไหมครับ” ดร.กมล ตั้งคำถามโดยไม่ต้องการคำตอบว่า ร้านไหน 'ได้ใจ' ไปมากกว่ากัน

ประโยชน์ของการนำเหมืองข้อมูลมาใช้ผล ยังครอบคลุมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์ความเสี่ยง รวมทั้งตรวจจับการโกงหรือการใช้ที่ผิดปกติ เช่น สินเชื่อทางธนาคารในการอนุมัติเงินกู้ บัตรเครดิต การตรวจสอบภาษี ฯลฯ

เหมืองทอง เหมือนเพชร กระทั่งบ่อน้ำมัน ต่อให้มากมายแค่ไหนก็ย่อมมีวันหมด แต่ 'เหมืองข้อมูล' ถ้าใช้ให้ถูกและเป็น ยิ่งขุดยิ่งเค้นก็รังแต่จะงอกเงย

องค์ประกอบพื้นฐานในการจัดเตรียมทำเหมืองข้อมูลเบื้องต้น มีดังนี้

การสร้างฐานข้อมูล (Database) คือการเตรียมข้อมูลทั้งเก่าและการสอบถามข้อมูลใหม่จากฐานลูกค้าเดิมเพิ่ม เติมให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด

การใช้เทคโนโลยี (Electronics Software) คือการเลือกสรรค์โปรแกรมที่เหมาะสมกับขนาดของหน่วยงาน เช่น ถ้าเป็นหน่วยงานเล็กๆ อาจหาโปรแกรมที่ยังไม่ต้องเสียสตางค์มาใช้ก่อน โดยเข้าไปดาวน์โหลดโปรแกรมที่เวบไซท์นี้มาลองใช้งาน http://www.cs.waikato.ac.nz/ml/weka/ ชื่อโปรแกรมว่า Weka 3

การกำหนดโปรแกรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ (Action)คือการนำโปรแกรมมาประมวลข้อมูล จัดระเบียบให้เป็นหมวดหมู่ และลงรายละเอียดในเชิงลึก

รักษาลูกค้า คือการนำข้อมูลที่ผ่านการจัดระเบียบด้วยโปรแกรมมาวิเคราะห์ เพื่อตอบโจทย์กลยุทธ์ทางการตลาด และสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า

องค์ประกอบพื้นฐานทั้ง 4 ข้อนี้ สามารถปรับเปลี่ยนจากฐานข้อมูลลูกค้ามาเป็น ข้อมูลของลูกจ้างพนักงานในบริษัทได้ด้วย เพื่อตรวจสอบความผิดปกติว่า พนักงานในบริษัทมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทิศทางใด มีความพึงพอใจและจงรักภักดีต่อบริษัทลดลงหรือไม่ สามารถจัดอันดับเป็นกลุ่มก้อนได้อย่างชัดเจน

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/hi-life/20091125/87963/%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5-%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2.html


16 พฤศจิกายน 2552

Begin with the end - ชีวิต เริ่มต้น ที่ตอนจบ โดย หนูดี วนิษา เรซ

Begin with the end - ชีวิต เริ่มต้น ที่ตอนจบ โดย หนูดี วนิษา เรซ

หุ้น การลงทุน หาเงิน ออนไลน์ stock money set หนูดี วนิษา เวซ หางาน MLM amway giffarine แอมเวย์ กิฟฟารีนมีคนชอบถามหนูดีว่า จะใช้สมองอย่างไรถึงจะคุ้มค่า จะใช้ชีวิต ใช้เวลาอย่างไรถึงจะถือว่าสมองของ
เราไม่ได้สูญเปล่า ด้วยความที่หนูดีเรียนมาด้านสมองและทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ
จึงถูกถามในเรื่องนี้เป็นประจำ และก็เป็นคำถามที่ทำให้หนูดีสนุกมากที่จะตอบเสมอ เพราะคำถามชนิด
นี้ มีคำตอบได้มากมาย ไม่เคยตายตัว ใครตอบก็ไม่มีวันซ้ำกัน

วันนี้ลองมาฟังนักวิจัยด้านสมองตอบคำถามนี้ดูกันเล่น ๆ ไหมคะ

สมัยที่หนูดีเรียนอยู่ที่อเมริกา เคยถูกให้ทำแบบฝึกหัดหนึ่งซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตหนูดี
ไปตลอดกาลเลย คือ เกม " เริ่มต้นที่ตอนจบ " โดยเกมนี้เล่นไม่ยาก แต่ใช้เวลาพอสมควร
หนูดีเคยนำมาฝึกกับลูกศิษย์ของหนูดีบ่อย ๆ มีคนนั่งหลับตาไป ร้องไห้ไป มาหลายคนแล้ว เพราะ
เป็นเกมที่ทำให้เราได้ย้อนหลังกลับไปมองชีวิต ไม่ใช่แต่ต้นจนอวสาน แต่ว่ามองจากอวสาน มา
ตอนต้น

ถ้าพูดเปรียบเทียบเป็นภาษานักธุรกิจก็ต้องบอกว่า Begin with the end in
mind. ก็คือ การเริ่มต้นมาจากการมองเห็นภาพตอนจบ หรือสัมฤทธิผลของเรื่อง

เกมนี้เริ่มที่ หนูดีจะขอให้ผู้อ่าน ลองหาเวลาเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง ในตอนที่
เราไม่มีเรื่องรีบร้อนอันใดต้องไปทำ แล้วให้นั่งลง หลับตาจินตนาการภาพตัวเรา ตอนอายุสัก
แปดสิบ

โดยให้สมมติว่า เราจะต้องตายตอนอายุสักแปดสิบ และตอนนั้น เราเจ็บป่วย นอนอยู่บนเตียง
หลังจากนั้น ให้เราลองจินตนาการ ย้อนกลับไปมองทั้งชีวิตของเราว่า ที่ผ่านมา เราได้ใช้มันไปอย่างไร
บ้าง เราใช้เวลาของเราทำอะไรไป เราวิ่งตามอะไร เราวุ่นวายกับอะไร เรารักใคร
เราไม่รักใคร ความสุข ความทุกข์ของเราเป็นผลจากอะไร
แต่สองคำถามที่สำคัญที่สุดก็คือ เราจะเสียดายที่สุด หากเราตายไปโดยไม่ได้ทำ
อะไร .. เราจะเสียดายที่สุด หากเราไม่ได้ใช้เวลากับใคร

หากเราตอบคำถามเหล่านี้ได้ อย่างกระจ่างชัด ก็จะมีเวลาบางช่วงที่เราจะ
ไม่ใช้ไปอย่างที่เราใช้อยู่ จะมีกิจการบางกิจการ ที่เราไม่เลือกจะก่อตั้ง มีเพื่อนบางคนที่เราอาจจะเลิก
คบ มีเงินบางก้อนที่เราจะปฏิเสธไม่รับสารพัดของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเรามีเวลาถอยออกมาจาก
ชีวิต แล้วย้อนกลับไปมองเหมือนกับว่า เรากำลังดูหนังวิดิโอชีวิตของคนอื่นอยู่ แล้วก็วิจารณ์ว่าเขาคนนั้น
ตอนยังมีชีวิตอยู่ น่าจะทำอะไรที่ควรทำ

ทั้งหมดนี้ เป็นเทคนิคที่ง่ายดายและลึกซึ้ง เมื่อหนูดีลองทำแล้ว เป็น
ประโยชน์อย่างยิ่งถึงขั้นหนูดีเปลี่ยนอาชีพ เปลี่ยนชีวิต เพราะจากที่เคยคิดอย่างเด็กอายุยี่สิบ
หนูดีกระโดดข้ามไปคิดแบบแปดสิบได้ ตอนนี้เลยเหมือนย้อนกลับมาใช้ชีวิตรอบสอง โดยอายุยังไม่ครบ
สามสิบเลย เหมือนมีสองชีวิตเลยค่ะ

เมื่อก่อนหนูดีเคยคิดว่า ความสำเร็จในชีวิตก็เหมือนกับการหาของใส่กล่อง คน
เก่งกว่าก็ใช้เวลาเป็น ใช้ชีวิตคุ้ม ก็หาของมาใส่กล่องได้เร็วและมากกว่าคนอื่น แต่อีกปัจจัยที่ทำ
ให้กล่องเต็มได้ ที่หนูดีไม่เคยคิดมาก่อนจะเล่นเกมนี้ก็คือ แค่เราเปลี่ยนขนาดกล่องให้เล็กลงซะ มันก็เต็ม
ได้โดยไม่ยากเย็นเลย

ดังนั้น การใช้สมองให้เต็มที่ คุ้มค่า เพื่อให้ชีวิตมีสุขได้ครบด้านและง่ายดาย น่าจะ
อยู่ที่ศักยภาพในการถอยออกมาแล้วมองชีวิตจากมุมห่างออกไปอีกหน่อย มองย้อนกลับจากวันสุดท้ายของชีวิ
ตก็เป็นความท้าทายที่น่าสนุกอีกแบบหนึ่ง มันเปลี่ยนชีวิตหนูดีมาแล้ว ในทางที่ดีขึ้นอย่างมหัศจรรย์
ด้วยคำถามง่าย ๆ ไม่กี่คำถาม

แล้ววันนี้ ท่านผู้อ่านของหนูดีคิดว่า ชีวิตนี้ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะเสียดายที่สุดคะ และไม่ได้ใช้เวลา
กับใครแล้วจะเสียดายที่สุดคะ

from http://www.oknation.net/blog/007hotnews/2009/01/27/entry-1


ความฉลาดสำหรับโลกอนาคต ..โดย หนูดี...วนิษา เรซ

ความฉลาดสำหรับโลกอนาคต ..โดย หนูดี...วนิษา เรซ

รลงทุน หาเงิน ออนไลน์ stock money set หนูดี วนิสา เวซ
5 ความฉลาดสำหรับโลกอนาคต
โดย หนูดี...วนิษา เรซ

เคย สงสัยไหมคะว่า คนที่จะอยู่ต่อไปในโลกอย่างดีในโลกยุคหน้า ต้องมีคุณสมบัติ หรือลักษณะอย่างไรบ้าง...และเราจะเตรียมลูกของเราอย่างไรให้เขาดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่แค่อยู่รนอดได้นะคะ แต่อยู่ได้อย่างสง่างาม ประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขามุ่งหวัง แถมยังมีความสุข และเหลือเวลาพร้อมด้วยทรัพย์สินที่จะช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้อีกต่างหาก ...หนูดีว่า นี่คือสิ่งมุ่งหวังของพ่อแม่ทุกๆ คน

แต่เราจะทำอย่างไรดีคะ ที่จะให้เด็กๆ ของเรามีความพร้อมที่จะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ ในเวลาที่เราไม่ได้อยู่ดูแลเขาอีกต่อไปแล้ว

คำ ถามนี้ มีคนๆ หนึ่งลองตอบได้น่าสนใจมาก...ท่านอาจารย์คนเก่งของหนูดีเอง ที่ฮาร์วาร์ด ชื่อ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ เพิ่งเขียนหนังสือเล่มใหม่เอี่ยม ชื่อ Five Mind for the Future ซึ่งท่านเซ็นชื่อหน้าปกและส่งมาอ่านให้หนูดีอ่านเล่นที่บ้าน แทนคำขอบคุณที่หนูดีส่ง ?ผ้าพันคอไหมไทย? ไปให้ท่านสวมหน้าหนาว ...ซึ่งจริงๆ แล้ว ผ้าผืนนั้น เป็นผ้าปูโต๊ะขนาดเล็กและยาวค่ะ หนูดีเห็นท่านพันคอไปแล้วเลยไม่กล้าแก้ความเข้าใจผิดกับท่าน...แต่แอบเอามา เขียนถึงดีกว่าค่ะ แก้คิดถึง

หนังสือเล่มนี้สนุกมาก...อ่านเพลิน เลย เพราะอาจารย์หนูดีชวนคุยว่าในโลกยุคหน้า คนเราต้องเก่งด้านไหนบ้าง ต้องคิดถึงให้ได้แบบไหนบ้างถึงจะอยู่รอดอย่างประสบความสุขความสำเร็จสูงที่ สุดด้วย ถึงแม้ท่านจะเป็นเจ้าของทฤษฎีเรื่องอัจฉริยภาพหลายประการ แต่ท่านไม่ได้พูดถึงอัจฉริยภาพเป็นเรื่องใหญ่เลย

มาดูกันไหมคะว่า มีความฉลาดอะไรบ้างที่เราน่าฝึกลูกๆ (และรวมถึงตัวเราด้วย) ให้เก่งกาจ...แต่ดูแล้ว ให้ยึดหลักกาลามสูตรนะคะ ว่าอย่าเชื่อไปทั้งหมด ในห้าความคิดนี้ อาจจะมีด้านที่หก ที่คนเขียนมองพลาดไปแล้วลืมเขียน อาจจะมีด้านไหนที่ไม่จำเป็น หรืออาจจะไม่น่าจะจำเป็นทั้งห้าด้านเลยก็ได้ค่ะ...การอ่านไป ตั้งคำถามไป เป็นนิสัยที่หนูดีถูกอาจารย์ท่านนี้ล่ะค่ะ ฝึกมาตลอดปีเลยว่า ห้ามเชื่อทฤษฎีไหนง่ายๆ แค่เพราะมันน่าเชื่อ อย่าเชื่อแค่เพราะอาจารย์เราเป็นคนบอก อย่าเชื่อแค่เพราะคนพูดเป็นคนดัง ฯลฯ... เพราะหากเราฝึกคิดแบบนี้ แล้วเห็นช่องโหว่ได้...วันหนึ่งเราเอง ก็อาจเป็นคนคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ มาอุดช่องโหว่นั้นเองก็ได้นะคะ



1. Disciplined Mind สมองคิดเก่งในสาขาที่เราเลือก

ความ คิด ความเก่ง และทักษะแรกนี้จำเป็นมากค่ะ...เมื่อเราเลือกเรียนอะไร เลือกทำอาชีพอะไร เราจำเป็นต้องเก่งและรู้รอบในสาขาวิชาชีพเราให้มากและดีที่สุด เช่น ถ้าเราเลือกเป็นหมอ ก็ให้เป็นหมอที่เก่งมากๆ เลือกเป็นคนขายต้นไม้ ก็ต้องเชี่ยวชาญรู้จักต้นไม้ทุกชนิดทุกพันธุ์ รู้จักการเลี้ยงดู การเพาะ ให้ครบถ้วน เพราะในการที่เราจะเก่งรอบด้านได้ เราต้องเก่งลึกก่อน คือ รู้ให้หมด ในสิ่งที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

ดังนั้นตอนเลือกหนแรก ที่นี่ล่ะค่ะที่สำคัญ เพราะนี่คือบ้านหลังแรกของเราเป็นบ้านที่เราต้องดูแลให้ดีที่สุด..และการ เลือกสาขาที่จะเรียนนี้เราก็ต้องย้อนมาดูที่ความชอบหรือความถนัดของเราว่า มันคืออะไร ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลค่ะ บางคนบอกว่า การค้นหาตัวเองเป็นเรื่องยากนั้น มักเป็นคนที่เลือกวิธีผิด คือการวิ่งไปมา ทุกที่เพื่อหาตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเขาก็อยู่ที่นั่น รอเขาอยู่ตลอดเวลา

ดัง นั้น หน้าที่แรกที่เราต้องฝึกให้ลูกก็คือ การนิ่งและมองให้ดีว่าอัจฉริยภาพที่เรามีติดตัวมาคืออะไร และเราจะพัฒนาเขาต่อไปได้อย่างไร มันอาจจะเป็นด้านดนตรี ภาษา ธรรมชาติ ฯลฯ หรืออาจจะหลายด้านรวมกันก็ได้ค่ะ



2. Synthesizing Mind สมองคิดสังเคราะห์ข้อมูล

นั่น แน่...เก่งด้านเดียวไม่พอแล้วสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ เพราะว่าคำว่า ?รู้อะไรกระจ่างแม้อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล? หนูดีต้องขอต่ออีกหน่อยว่า รู้ให้กระจ่างสักสองสามอย่างจะดีกว่าค่ะ สมองของเราไหว สบายอยู่แล้ว...โดยเฉพาะสมองเด็กๆ เพราะเขาชอบเชื่อมโยงข้อมูลเข้าหากัน

ในโลกยุคหน้า คนทำงานส่วนใหญ่จะมีโอกาสเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพเฉลี่ยคนละห้าครั้ง เชียวนะคะ เราเรียนจบมาด้านไหน หลายคนก็ไม่ได้ทำงานด้านนั้น หรืองงานหลายอาชีพก็ต้องใช้ความรู้หลายสาขาวิชามารวมกัน ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างหนูดีเลยค่ะ อาชีพหนูดีเป็นสาขาใหม่เรียนว่า Mind, Brain, and Education จะว่าหนูดีเป็นหมอ ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว จะวาหนูดีเป็นนักจิตวิทยา ก็ไม่เชิง จะว่าเป็นนักการศึกษา ก็ไม่ใช่ทั้งหมด... และนี้เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากค่ะฝนยุคนี้ คือ การเกิดอาชีพใหม่ๆ จากการนำอาชีพดั้งเดิมมาผสมกัน ซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลที่พวกเราสะสมกันไว้ในฐานะมนุษยชาตินั้นเยอะมาก การจำกัดตัวเองไว้ในกรอบวิชาเดียว จึงเป็นการจำกัดศักยภาพมนุษย์ ดังนั้น คนเก่งยุคหน้า เลยควรรู้หลายสาขาเพื่ออุดช่องโหว่ของสาขาวิชาเดียว...ในโลกยุคของลูกเรา เราคงได้เห็นอาชีพแปลกๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ...น่าตื่นเต้นดีนะคะ



3. Creating Mind สมองคิดสร้างสรรค์ สิ่งใหม่ๆ

รู้ รอบหลายสาขาวิชา... ที่สำคัญที่สุด คือ การคิดค้นสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ๆ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้ค่ะ เพราะการรู้อย่างเดียว...รู้แล้วความเก่งจบลงแค่ที่ตัวเราก็น่าเสียดาย แต่ถ้าหากเราสามารถนำความเก่งนั้น มาสร้างสรรค์อะไรดีๆ ให้โลกได้ คงคุ้มค่าน่าดูค่ะ ...เพราะฉะนั้น หากเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราอาจคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้วงการศิลปะก็ได้ เช่น หนูดีเพิ่งเห็นนักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่ง คิดค้นนำขยะดีๆ มาผลิตเป็นกระเป๋าดีไซน์สวย น่าใช้เชียว... นี่ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคิดไดเยี่ยมสำหรับโลกยุคหน้าค่ะ

เพราะ ถ้าแค่รู้ข้อมูล... เราก็ฝึกลูกหรือลูกศิษย์ให้เป็นได้ก็แค่เพียงผู้บริโภคข้อมูล แต่ข้อมูลจะมีคุณค่ามากกว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ถูกเสพก็เมื่อเราสามารถเอา สมองของเราเป็นเครื่องแปลและแปรข้อมูลได้ เปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่สร้างสรรค์แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน



4. Respectful Mind สมองคิดให้เกียรติคน

ฉลาด แล้ว ทักษะเยี่ยมแล้ว... ไม่น่าจะพอแน่ๆ สำหรับโลกยุคหน้า เพราะ การให้เกียรติคนและการถ่อมตัว เป็นนิสัยที่อัจฉริยะทุกคนต้องฝึกให้มีค่ะ... หนูดีเข้าเรียนฮาร์วาร์ดวันแรก สิ่งแรกที่ได้ยินคือปีนี้ขอให้นักเรียนใหม่ทุกคน ฝึกนิสัยให้เป็นคนถ่อมตัว เพราะคนเก่งที่ให้เกียรติใครไม่เป็น... ในที่สุดแล้วไม่มีใครอยากให้เกียรติเขา และผลงานดีๆ ก็จะมีออกมาไม่ได้ เพราะหาเพื่อนเก่งๆ ดีๆ ร่วมทำงานวิจัยด้วยไม่ได้เป็นคำสอนที่มีค่ามาก... เพราะวันหนึ่งที่เราเป็นคนเก่งมาก ก็จะมีคนชมมาก หากเราไม่รู้จักการประมาณใจให้ถ่อมตัวเสมอ เราก็จะเหลิงและลืมไปว่าทุกคนในโลกนี้คืออัจฉริยะทั้งนั้น ทุกคนเก่งทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เขาเก่งด้านไหนเท่านั้นเอง... ว่าไปแล้ว บทเรียนการถ่อมตัวถ่อมใจ เป็นหนึ่งในบทเรียนที่หนูดีถือว่ามีค่าที่สุดจากฮาร์วาร์ดค่ะ



5. Ethical Mind สมองคิด มีคุณธรรม เห็นความเชื่อมโยงถึงการกระทำของเรากับผู้อื่น

คน เก่งทีได้รับการกล่าวถึงอย่างชื่นชมในยุคนี้ ไม่ใช้คนที่แค่ประสบความสำเร็จเรื่องงาน หาเงินได้เยอะเท่านั้นนะคะ แต่คนที่ใครๆ รักและชื่นชม มักเป็นคนเก่งที่คิดถึงสังคมโดยรวมเป็น... บางคนเรียกทักษะนี้ว่า ?คุณธรรม? แต่หนูดีชอบเรียกว่า ?การเห็นว่า พฤติกรรมของเรามีผลกระทบได้ทั้งทางดีลางร้ายกับผู้อื่น?

การคิดแบบ ให้เกียรตินั้น เรามักจะทำกับอื่นอีกคนเดียว แต่การคิดแบบ ?คุณธรรม? จะเป็นการคิดถึงคนเป็นร้อย เป็นหมั่น เป็นล้านเลยทีเดียวว่า การกระทำของเราจะกระทบกับคนอื่นอย่างไร....เช่น หากวันหนึ่ง เราได้เป็นเจ้าของโรงงานน้ำตาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราจะทำอย่างไรกับน้ำเสียของโรงงาน หากเราได้เป็นนักการเมือง เราจะทำอะไรกับเงินภาษีปีละเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน

คนเก่งแบบนี้ มีตัวอย่างที่ดีคือ คุณบิล เกตส์ ซึ่งรวยอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันหลายผี แต่ทุกวันนี้ ชีวิตของเราเป็นการกุศลและมีเป้าหมายว่า อยากบริจาคเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้ ทำเป็นโครงการต่างๆ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น... น่าทึ่งมากนะคะ ที่คนๆ หนึ่ง สร้างอาณาจักรมหึมานี้มาจากศูนย์ และวันหนึ่งจะนำเงินจากแหล่งนี้กลับคืนให้โลก

โลกยุคหน้า คงไม่ใช่โลกที่น่าอยู่นัก หากแต่ละคนคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว

ใน การเป็นพ่อแม่ที่ดี คงไม่ใช่แค่การสอนให้ลูกเก่งวิชา สอบได้เกรดสี่เท่านั้น แต่เป็นการสอนให้เขาใช้สมองเขาได้เต็มคุณค่า และรู้ว่าจะใช้สมองนั้นไปทำไมทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อสังคม... เป็นโจทย์ที่ไม่ง่ายเลยนะคะ แต่หนูดีว่า การเลี้ยงลูกให้ดี เป็นการให้ของขวัญที่ดีที่สุดกับโลกแล้วค่ะ... นี่เป็นคำที่หนูดีได้ยินเสมอจากแม่ของหนูดีว่า หนูดีเป็นของขวัญมีค่าที่สุดที่แม่มอบให้โลก... และหนูดีเชื่อว่า พ่อแม่คนไหนคิดได้แบบนี้ไม่มีทางที่จะเลี้ยงลูกผิดพลาดค่ะ และเด็กคนนั้นจะมีความสุขมากกับความเก่งของเขา



Brain Tips

เทคนิค สนุกๆ อันหนึ่งของการสอนลูกให้ถ่อมตัว คือ การให้เขาลองเรียนอะไรใหม่ๆ ทุกปี โดยอาจจะคงกิจกรรมด้วยเดิมไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากเขาเรียนบัลเลย์อยู่ก็ให้เรียนต่อเนื่อง แต่ปีนี้อาจให้เพิ่มเรียนศิลปะ ปีหน้าให้ลองเรียนเต้นละติน อีกปีให้ลองเรียนเทควันโด.. เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บ้างค่ะ เพราะเด็กๆ จะไดใช้กล้ามเนื้อมัดที่แปลกออกไป ได้ลองก้าว ลองหมุนตัวแบบที่ไม่เคยหมุน... แต่ประโยชน์ที่แท้จริงคือ การที่เขาจะรู้ว่า โลกนี้ยังมีคนเก่งอีกเยอะแยะ มากมายหลายแบบ...และเราไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เก่ง...ถ้าทำได้แบบนี้ เขาจะมีคนให้ทึ่งใหม่ๆ ทุกปี ว่า ครูคนนี้ปั้นดินเก่งจัง โอ้โห เพื่อนใหม่คนนี้ หมุนตัวตามจังหวะซัลซ่าได้ตั้งสามรอบ ในขณะที่เขาหมุนแล้วเซทั้งๆ ที่ในห้องบัลเลย์เขาคือ เด็กเก่งที่สุด...ให้เด็กลองด้วยตัวเองแบบนี้ รับรอง ถ่อมตัวอย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติแน่นอนค่ะ

from http://www.liveinbangkok.com/forum/index.php?topic=8154.0


15 พฤศจิกายน 2552

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง โดย หนูดี - วนิษา เรซ

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง โดย หนูดี - วนิษา เรซ

หนูดี วนิสา เวซ หางาน MLM  แอมเวย์ กิฟฟารีน 01 หุ้น ลงทุน การลงทุน set stock indexความล้มเหลวในการเลือกวิถีชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องเป็นตราบาปเสมอไป วันนี้หนูดีมีนิทานมาเล่าให้ฟังสองเรื่องค่ะ ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นนานพอสมควรแล้ว

และ หนูดีได้ฟังครั้งแรกในห้องเรียนความสุขที่มหาวิทยาลัยเพราะเป็นกฎว่า ทุกครั้งที่เข้าห้องเรียนเราต้องผลัดเวียนกันเอาเรื่องดีๆ มาเล่าแบ่งปันกัน เรื่องนี้เพื่อนชื่อ ‘ ชิพ ‘ นำมาเล่าและให้พวกเราทายกันว่า ‘ สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร ‘ ผู้อ่านลองอ่านไปทายไปด้วยกันนะคะ และคำเฉลยอยู่ตอนท้าย มีกฎง่ายๆ ว่า อย่าแอบดูเฉลยก่อนเพราะจะไม่ตื่นเต้นค่ะ

เรื่องเล่าที่ 1
นาน มาแล้ว อัลคาโปน เจ้าพ่อมาเฟียค้ายาเสพติดชื่อดังครองเมืองชิคาโกแทบจะทั้งเมือง เขามีชื่อเสียงที่แสนร้ายกาจในเรื่องการค้าขายเหล้าเถื่อน ขายยาเสพติด ขายผู้หญิงและเป็นผู้บงการการฆาตกรรมจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยถูกจับได้ ไม่เคยต้องติดคุกเลยจากความผิดที่เขาเป็นผู้ก่อ โชคดีอันมหาศาลนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับ ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ ทนายความคนเก่งของเขาที่ว่าความและใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายปกป้องอัลคาโปนจาก เงื้อมมือของตำรวจและกระบวนการตุลาการได้เสมอมา ด้วยเหตุแห่งความเก่งนี้เอง ส่งผลให้อัลคาโปนตอบแทนเขาอย่างจุใจด้วยค่าจ้างที่แพงลิบลิ่วแถมด้วยสิทธิ ประโยชน์อีกมากมาย รวมถึงแมนชันพักอาศัยขนาดใหญ่กลางเมืองชิคาโกที่กินพื้นที่ถึงหนึ่งช่วงถนน ใหญ่ๆ แม่บ้านประจำบ้านเพื่อดูแลเขาและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ มีชีวิตที่สะดวกสบายเกินมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ในเมือง แต่ท่ามกลางความสุขสบายนี้ เขากลับมีจุดอ่อนอยู่หนึ่งแห่ง

ลูกชายของ เขานั่นเอง เด็กชายอยู่ชั้นประถมและได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะบันดาลได้ทั้ง การศึกษาที่ดี รถยนต์คันใหญ่ ของเล่นมากมายและเสื้อผ้าหรูหรา สิ่งเดียวที่ ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ ไม่สามารถให้กับลูกชายได้ คือ ชื่อเสียงที่ดีและตัวอย่างที่สมควรดำเนินรอยตาม

สิ่งนี้ทรมาน ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ อยู่อย่างเจ็บปวดภายใน และหลังจากตรองด้วยความลึกซึ้งเป็นเวลานานแล้ว เขาก็ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจและถูกกันไว้เป็นพยานในเหตุการณ์สะเทือน ขวัญหลายเรื่องที่อัลคาโปนและแก๊งมาเฟียของเขาได้ก่อขึ้น การกลับตัวกลับใจครั้งนี้ เขาตั้งใจกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกชายได้เห็นในเรื่องของศักดิ์ศรีและ ความซื่อสัตย์ แต่ในกระบวนการนี้ เขาต้องให้การเป็นปฏิปักษ์กับอัลคาโปนและมาเฟียในแก๊งจำนวนมาก เขารู้ดีว่า การตัดสินใจครั้งนี้คือคำสั่งประหารชีวิตตัวเอง…แต่เขาไม่ต้องการทางเลือก อื่นใด…ลูกชายมีค่ากว่าชีวิตของเขาเอง

หนึ่งปีให้หลังจากการมอบตัว และให้ปากคำ ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ เสียชีวิตจากการลอบกระหน่ำยิงในถนนแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโกในตอนที่เขาเดิน กลับบ้านตามลำพัง ร่างของเขามีรอยกระสุนหลายสิบรอยและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ เขาตายแต่ทิ้งตัวอย่างอันยิ่งใหญ่ไว้ให้ลูกชาย เมื่อตำรวจมาเก็บศพเพื่อนำกลับไปทำคดีนั้น พวกเขาพบไม้กางเขนและภาพทางศาสนาในกระเป๋าเสื้อของ ‘ อีซี่เอ็ดดี้ ‘ และกลอนที่ตัดมาจากหนังสือเขียนว่า

‘ นาฬิกาแห่งชีวิตหมุนเพียงครั้งเดียว และไม่มีมนุษย์คนไหนมีอำนาจในการที่จะบอกว่า เข็มจะหยุดเดินเมื่อใด เราจะมีเวลามากหรือน้อยเพียงใด เวลาในปัจจุบันนี้คือสิ่งเดียวที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง จงใช้ชีวิต จงรัก จงทำงานด้วยการมีเป้าหมาย และอย่าเชื่อมั่นว่าเวลาจะคงอยู่ตลอดไป เพราะเข็มอาจจะหยุดเดินได้ก่อนที่คุณจะคาดคิดถึง ‘

เรื่องเล่าที่ 2
สงคราม โลกครั้งที่ 2 สร้างฮีโร่จำนวนมาก แต่น้อยคนจะได้รับเกียรติเท่ากับนักบินรบท่านหนึ่ง คือ บุช โอแฮร์ ซึ่งเป็นนักบินรบที่ถูกส่งไปรบยังแปซิฟิกใต้ร่วมกับทีมเรือสงครามเล็กซิงตัน ในภารกิจหนึ่งซึ่งทีมเครื่องบินรบทั้งทีมของเขาจำนวนสิบกว่าลำกำลังออก ปฏิบัติการกลางอากาศ โอแฮร์สังเกตว่าถังน้ำมันของเขาไม่ได้เติมจนเต็ม ดังนั้น เขาจะไม่มีน้ำมันมากเพียงพอที่จะอยู่ร่วมจนครบภารกิจ หัวหน้าทีมนักบินรบจึงให้สัญญาณโอแฮร์กลับไปรอยังเรือรบและเติมน้ำมัน ….ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งแต่มิอาจขัดขืนคำสั่งได้ เขาจึงบินออกจากกลุ่มและหันเหเส้นทางการบินกลับสู่เรือรบ แต่ในระหว่างทางกลับนั้นเอง เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เลือดทั้งร่างกายของเขาจับตัวเย็นเฉียบ

เครื่อง บินรบ ‘ ซีโร่ส์ ‘ กลุ่มใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นกำลังบินเข้าหาเรือเล็กซิงตัน และในเมื่อฝูงเครื่องบินรบอเมริกันทั้งหมดได้ออกปฏิบัติภารกิจในที่ไกลออกไป เกินกว่าจะบินกลับมาช่วยได้ทัน ก็เท่ากับว่าเรือรบอเมริกันจะกลายเป็นเป้านิ่งให้กองทัพญี่ปุ่นยิงถล่มเข่น ฆ่าทหารได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเรื่องสวัสดิภาพของตนเองแม้แต่วินาทีเดียว โอแฮร์ตัดสินใจบินเดี่ยวเข้าใส่ฝูงเครื่องบินรบญี่ปุ่น และเริ่มต้นการยิงต่อสู้ แน่นอนว่า เครื่องบินรบที่มีปืนกล 50 กระบอกของเขานั้นทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นประหลาดใจไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะยิงฝ่ายตรงข้ามทิ้งได้ทุกลำกระสุนของเขาก็หมดลง แต่ถึงกระนั้น โอแฮร์ก็ไม่ได้หมดกำลังใจ….แม้ไม่มีกระสุนเหลือ แต่เขาก็ตัดสินใจเอาเครื่องบินของตนเองพุ่งเข้าชนฝ่ายญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว ด้วยความหวังว่าจะทำลายปีกหรือหางของเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เกิดความ เสียหายจนบินต่อไม่ได้และหล่นลงทะเลไปบ้าง

ในที่สุดฝูงบินญี่ปุ่นจึง ตัดสินใจล้มเลิกภารกิจการโจมตีกลางคันและบินหนีไป ท่ามกลางความโล่งใจของโอแฮร์เขาหันเครื่องบินกลับสู่เรือรบเล็กซิงตันและ รายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา กล้องวิดีโอที่ติดกับปืนกลประจำเครื่องบินรบได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้ และแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกไปถึง 5 ลำ เรื่องนี้ทำให้โอแฮร์ได้เป็นฮีโร่คนแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับเหรียญแสดงความกล้าหาญระดับสูงจากรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นนักบินรบจากกองทัพเรือคนแรกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญประเภทนี้ 1 ปีถัดมา บุช โอแฮร์ เสียชีวิตจากการต่อสู้ระยะประชิดทางอากาศด้วยวัยเพียง 29 ปี

ชาวเมืองชิคาโกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาไม่ยอมให้เรื่องราวของ ฮีโร่คนนี้หายไปจากความทรงจำของทุกคนอย่างง่ายดายนัก ดังนั้น ชาวเมืองชิคาโกจึงตัดสินใจนำชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อของสนามบินนานาชาติ สร้างใหม่ประจำเมืองชื่อว่า ‘ สนามบินนานาชาติ ชิคาโก โอแฮร์ ‘ และพวกเขาได้สร้างรูปปั้นของ บุช โอแฮร์ ประดับด้วยเหรียญกล้าหาญของเขาไว้ที่ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสารที่ 1 และที่ 2 ซึ่งทุกวันนี้หากคุณเดินทางไปอเมริกาและต้องเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนี้ ก็ยังสามารถแวะไปเยี่ยมชมรูปปั้นได้เสมอค่ะ


คำถาม: เรื่องเล่า 2 เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร

หลาย คนอาจทายว่า ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นที่เมืองชิคาโกเหมือนๆ กัน ซึ่งหนูดีและบรรดาเพื่อนๆ ที่ฟังก็ทายเช่นนี้ แต่คำตอบที่แท้จริงก็คือ ‘ บุช โอแฮร์ เป็นลูกชายแท้ๆ ของทนาย อีซี่เอ็ดดี้ ‘
ใช่แล้วค่ะ… ความ ล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ใช่ตราบาปที่เราแก้ไขไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่มุมมองของเราและการกล้าลงมือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรียนรู้จาก สิ่งที่เราได้ทำพลาดไป… และมีใครทายถูกบ้างคะ

แบ่งปันให้อ่านหวังว่าคงชอบกัน
ด้วยรัก
จาก…หนูดี


14 พฤศจิกายน 2552

สิ่งมีค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น

สิ่งมีค่าที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น

เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...

'ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อย..ได้มั๊ยคะ'
คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น..

เมื่อห่อผ้าน้อย ๆ ......................อยู่ในอ้อมกอดเธอ เธอค่อย ๆ คลี่ผ้าที่ห่อออก..
เพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ ......................

กรี๊ดดดด.....เธอกรีดร้อง
หมอต้องอุ้มเด็ก..ออกไปอย่างรวดเร็ว

**เด็กทารกที่ เกิดมา...ไม่มีใบหู**
และแล้ว...กาลเวลาพิสูจน์ว่า.
การได้ยินของเจ้าหนู..ไม่มีปัญหา

ปัญหา..มีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอก คือ....ใบหูที่หายไป

หลายครั้ง..ที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียน แล้ววิ่งมาบอกแม่


เธอรู้ว่า...หัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...
เจ้าหนูพูดโพล่งออกมา..อย่างน่าเศร้า
'พวกเด็กตัวโต ..พวกมันล้อผมว่า
..
--ไอ้ตัวประหลาด--'

จนกระทั่ง... เจ้าหนูเติบโตขึ้น..หล่อเหลา..
เป็นที่รักของเพื่อน ๆ..
เค้ามีพรสวรรค์ ในด้านอักษรศาสตร์.. วรรณคดี..และดนตรี..
เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น
...

แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น... ทำให้เค้า..ไม่อยากเจอใคร

'ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก' แม่กล่าว..ด้วยความสงสารลูก

พ่อของเด็กชาย.. ปรึกษากับหมอประจำครอบครัว
และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...
'ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้ครับ ถ้ามีผู้บริจาค..แต่ใครล่ะ..
จะเสียสละใบหู..เพื่อเด็กน้อยคนนี้' คุณหมอกล่าว

จนกระทั่ง ......................2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย..
'ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ พ่อกับแม่..หาคนบริจาคใบหู

ที่ลูกต้องการได้แล้ว...
แต่นี่เป็นความลับ'


การผ่าตัด..สำเร็จด้วยดี และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น..

....เค้ากลายเป็น..ผู้มีพรสวรรค์...
เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย
จนเป็นที่กล่าวขานกัน..รุ่นต่อรุ่น

ต่อมาได้แต่งงาน... และทำงาน.. เป็นข้าราชการในสถานทูต

วันหนึ่ง.. ชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า.

'พ่อครับ.. ใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา ใครช่างให้ผมได้มากมาย..
แต่ผมไม่เคยทำอะไร.. เพื่อเค้าได้เลยสักนิด'

'พ่อไม่เชื่อว่า.. ลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอก..
เรื่องนี้......................เป็นความลับ เราตกลงกั นแล้ว'
พ่อตอบ..

หลายปีผ่านไป....
มันยังคงเป็นความลับ

และแล้ว..วันนึง..วันที่มืดมิดที่สุด.. ผ่านเข้ามา..ในชีวิตของลูกชาย


แม่เค้าได้เสียชีวิตลง.

เค้ายืนข้าง ๆ พ่อ... ใกล้หีบศพของแม่

พ่อเรียกเค้า..
'มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ ๆ นี่'
พ่อลูบผมแม่อย่างช้า ๆ..และนุ่มนวล

ผมสีน้ำตาลแดง...ถูกเสยขึ้น จนมองเห็นใบหน้า..
ที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ




...และแล้ว.. สิ่งที่ทำให้ลูกชาย..ถึงกับต้องตะลึง..
...ใบหูของแม่...หายไป!..

แม่ไม่มีใบหู...
'นี่เป็นคำตอบ.. ที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต'...
พ่อกระซิบผ่านลูกชาย

'แม่บอกพ่อว่า..เธอดีใจ....................... ที่ได้ทำอย่างนี้..ตั้งแต่วันผ่าตัด..

แม่ไม่เคยตัดผมอีกเลย..
ไม่มีใคร..มองเห็นว่า.. เธอไม่สวยจริงมั๊ย?
- - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - -

จงจำไว้..

~สิ่งมีค่า.....................ที่แท้จริง~
ไม่ได้อยู่ที่..การมองเห็น.. หากแต่อยู่ที่..
~สิ่งที่เรา..มองไม่เห็น~
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

~ความรัก..ที่แท้จริง~

ไม่ได้อยู่ที่.. เราได้ทำอะไร.. แล้วมีคน..รับรู้..

หากแต่อยู่ที่.. สิ่งที่เรา..กระทำ..แล้วไม่มีใคร..รับรู้ ..
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

~ความรัก~

บางครั้ง.. ไม่จำเป็น.. ต้องพูดพร่ำเพรื่อ..

หากแต่อยู่ที่....การกระทำ.. ซึ่งเรา..อาจรับรู้..

เพียงแค่..ฝ่ายเดียว..


08 พฤศจิกายน 2552

ความสุขไม่ใช่ของต้องหา วนิษา เรซ

ความสุขไม่ใช่ของต้องหา วนิษา เรซ

วนิษา เรซ - หนูดี มีภาพลักษณ์ของผู้หญิงฉลาด+อัจฉริยะ แต่เธอเองยอมรับว่า หลายเรื่องเธอไม่ฉลาด หลายเรื่องที่เธอกลัว แต่เธอก็เอาชนะได้

ผู้บริหารบริษัท อัจฉริยะสร้างได้ จำกัด ยอมรับว่า มีหลายเรื่องที่เธอไม่รู้ ภายนอกที่ถูกมองว่าเป็นผู้หญิงฉลาด เป็นเพราะเธอ "รู้ดี" ในสาขาที่เรียนเท่านั้น แต่ไม่ได้ฉลาดไปกว่าคนอื่น

"หนูดีว่า ทุกคนในโลกควรลงทุนอะไรอย่างหนึ่งให้ตัวเอง ลงทุนทำตัวให้เก่งที่สุดในสาขาที่ตัวเองเลือก ทันทีที่คุณเก่งที่สุดเรื่องหนึ่ง คุณจะกล้าพอที่จะโง่ในทุกเรื่องที่เหลือในโลก ตรงกันข้ามมันเปิดโอกาสให้เราเรียนรู้อะไรเยอะมาก"

ความโง่ของหนูดีเธอหมายถึง ความรู้ในเรื่องใหม่เรื่องหนึ่งเท่ากับ "ศูนย์"

เธอยกตัวอย่าง เมื่อไม่นานมานี้ไปเรียนเรื่องแฟชั่นที่กรุงปารีส เมืองหลวงของแฟชั่นโลก เธอบอกว่า ความรู้เรื่องแฟชั่นของเธอเท่ากับ "ศูนย์" และบอกกับอาจารย์ตรงๆ ว่าไม่มีความรู้เรื่องแฟชั่น

"ถ้าหนูดีไปเรียน หรือไปสถานที่ใหม่ และไปเจอในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หนูดีไม่กลัวที่จะถามว่า 'ขอโทษนะคะ หนูดีไม่รู้เรื่องนี้เลย มันทำยังไง มันเป็นยังไง อธิบายให้หนูดีฟังหน่อยค่ะ'

ปกติ ถ้าอยู่เมืองไทยเธอจะได้รับการอธิบายให้เข้าใจในสิ่งที่ไม่รู้ แต่ที่นี่คือ ปารีสแห่งฝรั่งเศส เมืองแฟชั่นที่ใครจะมาทำตาแป๋วอินโนเซ้นต์บอกไม่รู้

เรื่องไม่ได้เด็ดขาด การเดินทางไปเที่ยวกึ่งแสวงหาประสบการณ์ใหม่ออกจาก 'comfort zone' ที่ปารีสเมื่อไม่นานมานี้เลยได้ความรู้ใหม่เพิ่มมาอีกอย่าง

"เราอยู่เมืองไทยเราก็คิดแบบผู้หญิงไทย ไปอยู่อเมริกาก็พูดคิดอย่างคนอเมริกัน คุณพ่อเป็นอเมริกัน แต่สองประเทศนี้ไม่ใช่ทั้งโลก มันแค่สอง ไปอยู่ฝรั่งเศสหนึ่งเดือนได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เราแทบจะไม่พร้อมเลยสำหรับเมืองหลวงแห่งแฟชั่นโลก" หนูดีพูดเสียงเน้นหนักแน่น

วันแรกที่วนิษา เรซ เข้าคลาสเรียนแฟชั่น เธอต้องตะลึงกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่แต่งตัวมาอย่างเต็มที่ ขณะที่หนูดีสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ และทุกคนล้วนมีความรู้แฟชั่นติดพกมากันทั้งนั้น

"เราก็งงว่า ทำไมไม่มีใครพูดกับเราเลย เพื่อนไม่ค่อยพูด ครูก็ไม่คุยกับเรา เลยไปถามเพื่อนที่อยู่ปารีสมานาน เพื่อนบอกว่า อยู่ปารีส หนึ่งเราต้องแต่งตัว สองเราต้องบอกว่าเรารู้อะไร พอวันรุ่งขึ้นเราก็แต่งตัวไปเต็มที่ เพื่อนร่วมชั้นก็เริ่มมาพูดด้วย ครูก็พูดด้วย

วิธีการคิดของเขาคือ คนที่ไม่แต่งตัวคือคนไม่ให้เกียรติตัวเอง ถ้าคุณไม่ให้เกียรติตัวเอง ก็จะไม่มีใครให้เกียรติคุณ คุณไม่พูดว่าคุณเก่งอะไรมา คนอื่นจะรู้ได้ยังไงว่าคุณเก่งอะไร หนูดีบอกว่า มันเป็นวิธีคิดที่เราไม่ชินเลย

ถึงจะบอกว่าให้ลงทุนสร้างความเก่งที่สุดในเรื่องหนึ่ง เธอยังแนะว่า ควรเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำอะไรหลายอย่าง เพราะมันเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น ถ้าไม่ได้ลองอะไรหลายอย่างจะไม่มีวันรู้อะไรเพิ่มขึ้น

"หนูดีมักบอกผู้ปกครองว่าให้ลูกไปลองหลายเวทีนะคะ และดูว่าอันไหนเหมาะกับเขามากที่สุด เขาอาจไม่ชอบทุกอัน หนูดีก็ไม่ชอบทุกอัน หนูดีเกลียดเปียโน แต่หนูดีก็ต้องเรียน เพราะอยู่ในเส้นทางที่คุณแม่วางไว้ หนูดีไปเรียนเทควันโดก็ชอบ แต่เหนื่อยหนูดีก็ไม่ไปอีก คุณแม่ให้ไปเรียนการละคร หนูดีก็ไม่ชอบ แต่ดูสิ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตปัจจุบันมาก"

เธอบอกว่า เรื่องที่เธอเกลียดที่สุดอีกเรื่องหนึ่งคือ การพูดต่อหน้าที่ชุมชน เรียกว่าเกลียดเข้ากระดูกดำ แต่ยอมรับด้วยเสียงเริงร่าว่า ทุกวันนี้มันคือเครื่องมือหาเลี้ยงชีพของเธอ และจะไม่มีวันรู้เลยถ้าไม่ได้ลอง

หลายเรื่องถึงจะไม่ชอบ แต่เธอบอกว่าไม่เคยต่อต้าน เพราะโดยนิสัยไม่ใช่เด็กต่อต้านอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้น คุณแม่มีวิธีทำให้ไม่ต่อต้าน คือมีเงื่อนไขที่มีเหตุผลว่า ถ้าเรียนแล้วไม่ชอบก็ไม่ต้องเรียนต่อ แต่ขอให้ลองทุกอย่างในโลกนี้

"คุณแม่บอกว่า ชีวิตหนู หนูจะปฏิเสธอะไรสักอย่างหนูต้องรู้ว่าหนูปฏิเสธอะไรอยู่" หนูดีเล่าสิ่งดีที่ได้จากแม่

นิสัยเปิดรับโอกาสกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวหนูดี และเธอนำมาใช้กับชีวิตประจำวันเวลารับงาน ทำให้เธอต้องดูรายละเอียดทั้งหมดก่อนจะตอบรับหรือปฏิเสธ ไม่ใช่แค่ดูชื่อเรื่อง ดูองค์กร ก่อนกล่าวปฏิเสธหรือตกลง เธอจำเป็นต้องรู้จักรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตก่อนปฏิเสธ มัน

ในฐานะนักวิชาการด้านสมองและอัจฉริยภาพ เธอมองว่าเป็นเรื่องยากมาก ที่จะบอกว่าใครเป็นอัจฉริยะหรือไม่ใช่ เนื่องจากเกณฑ์ตัดสินดังกล่าวยังยืนอยู่กับสถานการณ์ด้วย สำหรับเธอมองว่า สมองมนุษย์เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้พยายามจัดการกับสภาพแวดล้อมให้มีชีวิตรอด ได้ดีที่สุด ได้นานที่สุด

" หนูดีไม่ชอบจำกัดความว่าอัจฉริยะคืออะไร ถึงแม้หนูดีจะ เขียนหนังสืออัจฉริยะสร้างได้ ถ้ามองภาพกว้างโลกนี้มีชาติพันธุ์อยู่มากมาย ทุกสปีชีส์ก็มีสมองของตัวเอง แต่บังเอิญสมองมนุษย์มีความยืดหยุ่นสูงมาก และมีศักยภาพในการแก้ปัญหาเยอะมาก มันก็เลยทำให้เราพยายามคิดจัดกลุ่มว่า สปีชีส์ของมนุษย์มีกลุ่มที่ฉลาดที่สุด ฉลาดปานกลาง ฉลาดน้อยที่สุด"

ตัวเธอเองกลับมองความฉลาด ปัญญา และอัจฉริยะในทางสร้างสรรค์ต่อมนุษยชาติมากกว่า การสร้างอัจฉริยะเฉพาะตนเพียงคนหนึ่ง หนึ่งหน่วยหนึ่ง

"หนูดีว่า ต้องดูภาพรวมทั้งหมดว่า ความฉลาดมวลรวมของโลกมันทำให้โลกนี้ดีขึ้นไหม น่าอยู่ขึ้นไหม อารยธรรมของเราจะอยู่ต่อไปนานไหม จะมีคนฉลาดเพียงหนึ่งคน หรือสิบคนก็ไม่ช่วยแต่ต้องเป็นมวลรวมทั้งหมดที่จะพาให้องค์กรใหญ่ขับเคลื่อน ไปได้"

เธอบอกว่า โชคดีมีครูหลายท่านที่เวลาสอนไม่ได้มองที่ความฉลาดของลูกศิษย์ในห้อง หรือคนแค่คนเดียว ยกตัวอย่าง เช่น ดร.โฮเวิร์ด การ์เนอร์ ที่เขียนหนังสือเรื่องความฉลาดห้าประการ ที่กล่าวว่า ความฉลาดประการสุดท้ายคือ Ethical Mind เป็นการรับผิดชอบต่อสังคมองค์รวม การ์เนอร์เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบัน ฉลาดคนเดียว หรือองค์กรเดียวไม่พอแล้ว สังคมจะไปไม่รอด

เธอเล่าว่า มีโอกาสได้ฟังบรรยายของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ชื่อ จาเร็ด ไดมอนด์ เจ้าของหนังสือเชิงมานุษยวิทยาหลายเล่ม หนึ่งในนั้น ได้รางวัลพูลิเซอร์ชื่อ Guns, Germs and Steel

หนังสือเล่มดังกล่าว สืบสาวถึงปัจจัยที่ช่วยให้คนผิวขาวถึงครองโลก โดยสืบสวนข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์มนุษยชาติจนพบว่า คนขาวไม่ได้ฉลาดกว่าคนเอเชีย หรือคนชาติอื่น แต่คนขาวไปอยู่ในจุดที่เป็นแหล่งกำเนิดเหล็ก และไปอยู่ในจุดที่เอาสัตว์มาเลี้ยงในบ้านเลยติดเชื้อโรคจากสัตว์ทำให้มีภูมิ ต้านทานขึ้นมา สุดท้าย คนขาวเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ดีที่สุดโดยไม่รู้ตัว

"ต่อมา คนขาวจากยุโรปจะไปยึดทวีปอเมริกา ปรากฏว่าคนพื้นเมืองที่มาต่อสู้กับคนขาวเกิดติดเชื้อโรคตายเกือบ 90% เหลืออยู่แค่ 10%ก็ไม่มีจิตใจสู้แล้ว เขาเลยบอกว่าคนขาวไม่ได้ฉลาดที่สุด แต่คนขาวโอกาสดีกว่ามีปืน มีเหล็กเอามาทำปืนได้ "

หนูดียัง ได้อ่านหนังสือเล่มล่าสุดของไดมอนด์ที่ชื่อว่า Collapse เป็นเรื่องของการล่มสลายของอารยธรรมต่างๆ โดยเล่าถึงสาเหตุของการล่มสลายว่าเป็นเพราะมนุษย์ในสังคมและคิดว่าตนเองฉลาด ที่สุด แต่กลับทำในสิ่งที่ทำร้ายตัวเองมากที่สุดภายใต้ความคิดว่าตนเองฉลาด

หนังสือเล่มดังกล่าว ยังบอกว่าอารยธรรมมนุษย์ปัจจุบันก็จะล่มเพราะอย่างนี้ เพราะเราคิดว่า เราฉลาดมาก แต่ความฉลาดของเราไม่ใช่ความฉลาดมวลรวม มันเป็นความฉลาดของสังคมหนึ่ง องค์กรหนึ่ง คนรวยที่สุดรอด

"ความคิดของไดมอนด์เชื่อว่า อารยธรรมโลกปัจจุบันล่มสลายแน่ในอีก 100-200 ปีข้างหน้า เพราะความฉลาดของคนปัจจุบันเป็นความฉลาดเฉพาะตัว ตัวเขารอด แต่สังคมไม่รอด ในอดีตเป็นอย่างนี้หมด ถ้าเราเข้าไปดูในแต่ละอารยธรรมไม่ว่าจะเป็นอินคา อีสเตอร์ไอสแลนด์ ล่มเพราะอย่างนี้ ล่ม เพราะคนรวยรอดแต่คนในสังคมทั้งหมดไม่รอด เพราะฉะนั้นถ้ามันไม่ใช่ความฉลาดมวลรวม สังคมก็จะล่มสลาย" หนูดีย่อหนังสือให้ฟัง

หนังสือ Collapse ของไดมอนด์มองว่า ทุกอารยธรรมมีจุดที่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างได้ กระนั้น มีจุดหนึ่งที่เป็นเส้นตาย ที่หากก้าวข้ามไปแล้วทุกอย่างมันจะดำเนินไปถึงจุดอวสาน จะย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้ และสรุปว่า สังคมมนุษย์ก้าวผ่านเส้นนี้ไปแล้ว เขาคิดว่าในเด็กในอีกสองรุ่นต่อไปต้องเห็น ได้อยู่ และเป็นพยานต่อการล่มสลาย

นี่คือความเชื่อของเขา ถึงจะมองโลกลบสุดขั้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะไดมอนด์เชื่อว่า มีอยู่ 5-6 วิธีที่ทำได้เพื่อหยุดกระบวนการนี้และย้อนกลับไปหยุดจุดจบอารยธรรมได้ ทว่า ใน 5-6 วิธีการดังกล่าว ทุกคนต้องร่วมมือกัน ทุกคนทุกสังคมในโลกต้องร่วมมือกัน ผู้นำทุกประเทศต้องคุยต้องประชุมกัน และต้องทำให้ประชาชนของตนเองทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อแก้ปัญหานี้

"พอเรามีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลพวกนี้ เราก็มานั่งคิดว่า อืม... ในชั่วชีวิตของเรา เรามองตัวเองเหมือนกับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวโลกคงไม่อยู่จนถึงจุดจบก็ได้ แต่ระหว่างนี้เราทำอะไรได้บ้างที่ช่วย อย่างน้อยถอยกระบวนการนี้กลับไปอีกนิด หรืออย่างน้อยถ้ามันต้องถึงจุดนั้นจริง

หนูดีมี อาจารย์ที่สอนปฏิบัติธรรมแทบทุกคนเชื่อว่า มันไม่ทันแล้วเหมือนกัน ท่านเลยสอนให้เราเตรียมใจ ทำตัวให้ดีที่สุด เตรียมใจ ถ้ามันถึงจุดที่เราไม่มีอาหารกิน หรือถึงจุดที่ทุกคนในสังคมแย่งชิงกัน เราเอาใจให้รอด ถ้าจะตายก็ให้ตายอย่างใจสงบ

มันก็ดีนะคะ เพราะมันทำให้เราไม่ยึดติดในคำจำกัดความใดๆ มากเกินไป และมีความสุขให้มากที่สุด ทำให้ดีที่สุด ทุกข์ให้น้อยที่สุด อะไรพวกนี้แหละคะ แม้จะยอมรับ และฟังอย่างปลงอนิจจัง แต่เนื่องจากเธอถูกสอนมาให้กลับมามองพื้นฐานความจริง ทำให้บางครั้งเธอแย้งกับแนวคิดที่ให้แสวงหาความสุขอยู่ตลอดเวลา เธอเล่าว่า จำคำพูดหนึ่งของอาจารย์ที่สอน Positive Phychology ที่บอกว่า "คนที่คาดหวังจะมีความสุขอยู่ตลอดเวลา จะเป็นคนที่มีความทุกข์มากในที่สุด"

"อาจารย์บอกเลยคะว่า คุณไม่สามารถมีความสุขอยู่ตลอดเวลา เพราะมันเป็นการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานที่ไม่เป็นจริง พอความจริงเข้ามากระทบเดี๋ยวก็ทุกข์ ขับรถไปรถก็ติด มีปัญหานู่น นี่ นั่น คุณก็จะทุกข์เป็นสองเท่า หากเข้าใจเสียว่า การพบกับความทุกข์ หรือผิดหวังเป็นเรื่องปกติ พอเข้าใจว่า ทุกข์ก็ปกติ สุขก็ปกติ ชีวิตก็จะไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง หนูดีชอบวิธีคิดแบบนี้มากกว่า"

เธอบอกว่า หากกลัวความทุกข์น้อยลงคนเราจะมีความสุขมากขึ้น ตัวเธอเองนึกอยู่เสมอว่า ชีวิตคนมันมีคอขวดอยู่ พอเจอคอขวดชีวิตเริ่มตัน เธอเองยอมรับว่าชีวิตเธอก็มีคอขวดเหมือนกัน เป็นเพราะตลอดชีวิตมีคนบอกให้หาความสุข แต่มันไม่ใช่คำตอบสำหรับเธอ

หนูดียก คำสอนของอาจารย์ ติช นัท ฮันห์ ที่สอนว่า A path leading to non fear กล่าวคือ สิ่งที่มนุษย์เรากลัวที่สุดคือ ความทุกข์ หากกล้าเดินไปเผชิญหน้ากับความทุกข์ และรับมือกับความทุกข์ได้ ความสุขมันมาเอง ความสุขไม่ใช่ของต้องหา

"ชีวิตนี้ถ้าไม่กลัวความทุกข์ มันมีอะไรอีกให้กลัว มันไม่มีอะไรให้กลัวเลย" หนูดี เจ้าของผลงานอัจฉริยะสร้างสุขว่า

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20090928/78851/%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B2-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%8B-:-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2.html


โมเดลธุรกิจ...จากใจ โดย หนูดี วนิษา เรซ

โมเดลธุรกิจ...จากใจ โดย หนูดี วนิษา เรซ

เวลาคุยกับนักธุรกิจหรือคนที่ทำอาชีพที่ดูเคร่งเครียดเรื่องตัว เลข ยอดขาย การปิดบัญชี ใครก็มักหันมาหาคนอย่างหนูดีแล้วบอกว่า “อยากป็นครูบ้างจัง

คนจำนวนมากก็มักคิดว่าธุรกิจการศึกษา เป็นเรื่องสบาย เบา ที่เข้ามาเพื่อพักผ่อนสมองจากโลกธุรกิจภาคอื่นที่แข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตาย

วันนี้ หนูดีจะขอพาทุกท่านเข้ามาสู่โลกการศึกษาของ มนุษย์ตัวเล็กที่มองจากภายนอกแล้วดูเหมือนว่าเขาเอาแต่เล่นกันทั้งวัน แถมยังได้นอนหลับหลังอาหารกลางวันอีก คนเป็นครูก็แสนสบายเพราะพอเด็กหลับเราก็ได้พัก ได้คุยกันเล่น รอจนเด็กตื่น ก็ค่อยแต่งตัวแล้วส่งกลับบ้าน

ตรงกันข้าม โลกของชาวโรงเรียนไม่ได้ง่ายเช่นนั้นเลยค่ะ ค่าจ้างของพวกเรานอกเหนือจากเงินเดือนครูก็พอใช้ได้เลยถ้าบริหารเป็น เรายังได้โบนัสเพิ่มเติมอีกด้วยคือ แก้มหอมๆ ตัวอ้วนๆน่าฟัด และคำหวานว่า “รักครูที่สุดในโลกเล้ยยย”

นี่ยังไม่รวมถึงความรู้สึกที่ว่า พวกเรากำลังมีส่วนร่วมในการสร้างโลกยุคต่อไป ที่เงินเท่าไหนก็จ่ายราคานี้ได้ยาก

เวลาเห็นคนเข้ามาเป็น “นักธุรกิจการศึกษา” ที่เอาคำว่าธุรกิจนำ หนูดีก็มักจะรู้สึกเสียใจที่มองเห็นค่าการศึกษาเทียบเท่ากับเงิน แต่พอเห็น “นักการศึกษา” ที่ไม่เป็นธุรกิจแล้ว ทำสถานศึกษาดีที่ไม่ทำกำไร จนในที่สุดเขาแบกรับภาวะตัวแดงต่อเนื่องไม่ไหวต้องยุบกิจการไปพร้อมหัวใจที่ ซึมเศร้าแล้ว หนูดีก็เสียดายไปอีกแบบ

ในโลกการศึกษานั้น ถ้าเรามีนักวิชาการที่ดีบวกกับความเป็นนักธุรกิจที่เก่งกาจ เราก็จะได้โรงเรียนที่ดีและอยู่ได้คงทนนาน สร้างสรรค์ประชากรเก่งได้รุ่นแล้วรุ่นเล่า

หนูดีมีรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดท่านหนึ่ง เรียนจบด้านการศึกษาและร่วมหุ้นกับเพื่อนที่จบด้านการศึกษาเช่น กันจากออกซ์ฟอร์ด เปิดกิจการ ทำซอฟท์แวร์สำหรับให้ครูประถมใช้บันทึกคะแนนเด็กในห้องเรียน ตอนแรกใช้วิธีเขียนขอทุนจากองค์กรใหญ่มาพัฒนาซอฟท์แวร์เพื่อให้โรงเรียนใช้ ฟรี ขอได้บ้างไม่ได้บ้าง ต้องใช้โรงรถเป็นออฟฟิศ

ผ่านไปสองปีในที่สุดทั้งสองคนบอกว่า เราคงต้องเลิกโมเดลธุรกิจแบบไม่แสวงหากำไรแบบนี้แล้ว และเริ่มต้นทำเป็น “ธุรกิจปกติ” แบบจริงจังเลยดีกว่า และแม้ทั้งสองคนจะเริ่มต้นด้วยความ “รังเกียจ” การเป็นนักธุรกิจเพราะ ยังยึดติดกับความคิดที่ว่า “ครูดีต้องจน” แต่เขาก็อยากให้ซอฟท์แวร์ของตัวเองพัฒนาและช่วยครูได้จำนวนมากขึ้น จึงต้องก้าวข้ามความเชื่อเดิมของตัวเองให้ได้

เชื่อไหมคะว่า พอเขาเขียนโมเดลธุรกิจใหม่ และตั้งราคาขายผลิตภัณฑ์ของตัวเองในราคาตลาดที่เป็นกลางและยุติธรรม (ติดจะถูกเสียด้วยซ้ำ) และเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง ภายในปีแรกเท่านั้นเขาก็มีเงินมากพอที่จะเช่าออฟฟิศทั้งชั้นกลางเมือง นิวยอร์คและเพิ่มจำนวนพนักงานจากสิบสองคนเป็นเกือบสองร้อยคน เติบโตกันแบบก้าวกระโดดจนเจ้าของสองคนต้องปรับตัวกันพอควร

วันที่ได้เจอรุ่นพี่มาพูดถึงประสบการณ์นี้ที่ฮาร์วาร์ดก่อนหนูดีเรียนจบ ทั้งสองคนยังแซวกันเล่นว่า นี่ยังไม่ชินกับการเปลี่ยนจากยีนส์และเป้มาเป็นชุดสูทและกระเป๋าแลปทอปหนัง สีดำเท่าไรเลย ที่น่าทึ่งก็คือ ยิ่งเขาขายได้ดีเท่าไร เขาก็ยิ่งช่วยเหลือครูและเด็กได้จำนวนมากเท่านั้น และปริมาณเงินที่เขาทำได้ ก็แค่เป็นตัวแปรตามของปริมาณคนที่เขาช่วยได้เท่านั้นเอง

ทุกวันนี้รุ่นพี่ทั้งสองคงเลิกรู้สึกผิดที่ “รวย” แล้วค่ะ และคงเปลี่ยนความคิดไปเป็นว่า ครูดีๆ ก็ไม่ต้องจนเสมอไป ความจนไม่ใช่มาตรวัดว่าคุณเป็นครูดีแค่ไหนเสียหน่อย

หนูดีว่า ธุรกิจสายนี้เป็นธุรกิจสายพิเศษ เพราะโมเดลทางธุรกิจนั้น ต้องตั้งอยู่บนใจที่คิดจะช่วย คิดที่จะรัก คิดจะพัฒนาให้ประชากรรุ่นต่อไปเติบโตได้อย่างมีคุณภาพที่สุด แล้วครูที่เดินเข้ามาด้วยใจแบบนี้ และมีทักษะความเป็นนักธุรกิจที่ มีคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกเพียงนิดเดียว เขาก็จะเปลี่ยนแปลงโลกได้โดยที่เขาจะรวยทั้งเรื่องเงิน และรวยซ้ำซ้อน เป็นความรู้สึกอิ่มอุ่นในใจว่า

เขาได้ทำในสิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริง

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091031/84131/%E0%B9%82%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88...%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88.html


กล่องความสุขของ หนูดี วนิษา เรซ

กล่องความสุขของ หนูดี วนิษา เรซ

เคล็ดลับเผชิญทุกข์ของ หนูดี วนิษ เรซ ข้อแรก ร้องไห้ ข้อสอง หาแม่ ข้อสาม ตั้งสติแล้วทำใจ ที่สำคัญต้องไม่กลัว

ตอน นี้ หนูดี-วนิษา เรซ กำลังออกไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ นั่งเรียนวิชาแฟชั่นที่ Marangoni ในปารีส อีก 1 เดือนถึงจะกลับเมืองไทย... เป็นกฎอย่างหนึ่งของเจ้าตัวว่า ในแต่ละปีต้องหาเวลาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เมื่อต้นปีหนูดีเพิ่งไปเข้าอบรมหลักสูตรเพาะเห็ดอยู่ 5 วันที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะเคยฝันไว้ว่าอยากเป็นเจ้าของฟาร์มเห็ด ตอนนี้หลังจากทำงานจนพีคสุด เสร็จสิ้นภารกิจวางแผงและเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ลำดับล่าสุด "อัจฉริยะสร้างสุข" เธอเลยให้รางวัลตัวเองรอบใหม่ พักสมองไปเรียนรู้เรื่องแฟชั่นและการแต่งตัว เพราะรู้ตัวดีว่ายังเลือกเสื้อผ้าไม่ค่อยเก่ง

เมื่อเดือนมิถุนายน "อัจฉริยะสร้างสุข" ถูกพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 อีก 50,000 เล่ม หลังจากยอดพิมพ์ครั้งที่ 1 จำนวน 100,000 เล่ม ทั้งๆ ที่เพิ่งจะวางแผงไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว และขึ้นแท่นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับท็อปของร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ...ดูเหมือนว่าแฟชั่น "หิวความสุข" กลายเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในทุกมุมโลก

"หนังสือเล่มนี้อยู่ในใจหนูดีมานาน เพราะว่า คนเราต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความสุข ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก่ง"

หนังสือเล่มนี้อยู่ในหัวมานาน 3 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยยังสะพายเป้ไปเข้าห้องเรียนวิชา "วิทยาศาสตร์แห่งความสุข" ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เธอตั้งใจว่าอยากนำความรู้ที่ค้นพบจากงานวิจัยเกี่ยวกับความสุขและสมองมา เล่าสู่กันฟัง ทำอย่างไรคนธรรมดาๆ ที่ต้องใช้ชีวิตธรรมดาๆ ถึงจะมีความสุขขึ้นได้บ้าง คิดอย่างไรจึงจะทำให้สมองสร้างความสุขได้ดีกว่าเดิม เราจะฝึกสมองของเราอย่างไรดี ฯลฯ

เธอหวังว่า อย่างน้อยที่สุดคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ น่าจะกลัวความทุกข์น้อยลง หันมาปรับขนาดกล่องความสุข พอใจในสิ่งธรรมดาที่สุดว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและพิเศษที่สุดในชีวิตแล้ว เพียงเท่าที่เรามีอยู่ในชีวิต นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างความสุข

"จากจุดเริ่มต้นของเม็ดทรายที่หลุดเข้ามาในเปลือกหอยมุก เคยเป็นสิ่งแปลกปลอมที่น่ารำคาญ หอยมุกจึงสร้างเคลือบมันวาวออกมาห่อหุ้มเม็ดทรายจนในที่สุดกลายเป็นไข่มุก เม็ดงาม ถ้าเราเรียนรู้และค้นพบ เปลี่ยนความอึดอัดในชีวิตให้กลายเป็นสิ่งสวยงามได้เหมือนกับไข่มุกย่อมเป็น สิ่งที่ดี"

หนังสือเล่มนี้เล่าถึงคู่มือดูแลสมองให้ฉลาดและความสุข แต่สำหรับความทุกข์แล้ว หนูดีมีวิธีจัดการความทุกข์ของตัวเองอย่างไร

เธอหัวเราะอารมณ์ดี บอกว่า เวลาทุกข์ใจอย่างแรกเลยคือ ร้องไห้ไว้ก่อน

"สิ่งหนึ่งที่เป็นความโชคดี คือหนูดีได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรม สายที่ฝึกเป็นสายที่พยายามไม่ยึดติดสุข ขณะเดียวกันก็ไม่กลัวทุกข์ เป็นการฝึกปล่อยวาง แต่แน่นอนว่าเรายังไม่ได้บรรลุขนาดนั้น ถ้ามีความทุกข์อันดับแรกเลยคือร้องไห้ก่อน

"อันดับที่สองคุยกับแม่ อันดับต่อมาคือตั้งสติแล้วก็ทำใจ (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว ชีวิตหนูดีเคยเจออะไรที่เรียกว่าเป็นความทุกข์มาเยอะมากนะคะ แต่ถ้ามองย้อนชีวิตในวัยที่เปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไป เลยกลัวความทุกข์น้อยลง เอาแค่ไม่กลัวความทุกข์ หนูดีว่าชีวิตก็มีความสุขแล้วนะ" เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเช่นเคย

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/society/20090710/58602/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A9%E0%B8%B2.html


โลกลับของหนูดี โดย หนูดี วานิษา เรซ

โลกลับของหนูดี โดย หนูดี วานิษา เรซ

หนูดีมีโลกใบเล็กที่หนูดีรักมากซ้อนอยู่กับโลกใหญ่ใบนี้มานานมาก แล้ว และคนที่เปิดประตูเชื้อเชิญหนูดีเข้ามาสู่โลกใบนี้ คือแม่ของหนูดีเองค่ะ

โลกใบนี้เป็นโลกลับๆ ที่เวลาเดินเข้ามาแล้วเหมือนกับดินแดนมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย

ใลกใบนี้ คือโลกแห่งหนังสือค่ะ

ช่วงปิดเทอมเป็นช่วงเวลาพิเศษของหนูดี แม้จะเรียนจบมาหลายปีแล้วและไม่มีสิ่งที่สามารถเรียกอย่างเต็มปากได้ว่า “ปิดเทอม” อีกต่อไป เพราะคนทำงานก็ต้องทำงานทั้งปี แต่ปิดเทอมก็เป็นเวลาพิเศษเสมอเพราะว่าเรามีงานสัปดาห์หนังสือ และมีเวลานั่งลงอ่านหนังสือเล่นได้เป็นวันๆ

ตั้งแต่เด็กจนโตบ้านหนูดีมีกฎจำง่ายสองข้อเกี่ยวกับทรัพยากรคือ สิ่งที่ไม่ต้องประหยัดในบ้านมีอาหารกับหนังสือ ขอให้กินให้หมดและอ่านให้หมดเท่านั้น แล้วจะขอเท่าไรก็ได้ กฎนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนูดีและน้องกลายเป็นเด็กฟุ่มเฟือย แต่กลับทำให้เรารู้สึกอิ่ม เต็ม และกลายเป็นเด็กที่ติดหนังสือที่สุด เราไม่เคยรู้สึกอดอยาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำหรับร่างกายหรืออาหารสำหรับความคิดสร้างสรรค์

บ้านของเราไม่ดูโทรทัศน์ เพราะถึงแม้จะมีเครื่องรับโทรทัศน์ตั้งอยู่ แต่ด้วยความเคยชินตั้งแต่วัยเด็กก็ทำให้เราไม่เคยเปิดโทรทัศน์ดูเลยในช่วง เย็นเวลากลับถึงบ้าน ดังนั้น สิ่งที่เข้ามาทดแทนเสียงโทรทัศน์ในบ้านนี้คือ เสียงพลิกหน้าหนังสือและเสียงพูดคุยกัน

หนูดีไม่ได้ต่อต้านวงการโทรทัศน์เพราะหนูดีก็เป็นพิธีกรเองด้วย แต่สำหรับนาทีที่เดินเข้าบ้านแล้ว หนูดีคิด ว่า การไม่เปิดโทรทัศน์ทำให้ครอบครัวได้ใกล้ชิดกันและทำให้เราได้ทำกิจกรรมอื่น ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้มากมาย ทำให้ความรักในครอบครัวเบ่งบานได้อย่างนึกไม่ถึง

จำได้ว่า วันหนึ่งตอนอายุประมาณสิบขวบ แม่ส่งหนังสือนิยายให้เล่มหนึ่งชื่อ “วิมานมะพร้าว” นางเอกนอกแนวทอมๆ จบวิศวะ และมีอาชีพเป็นช่างซ่อมบำรุง ซึ่งเท่มากในสายตาเด็กประถมแบบหนูดี และมีตัวเดินเรื่องเป็นวิญญาณปู่ของพระเอก

หนังสือเล่มนั้น ส่งผลให้หนูดีเริ่มติดนิยายแบบเอาจริงเอาจัง ทำให้ฝันอยากเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เด็กทั้งที่ไม่รู้เลยว่าจะเขียนอะไร และทำให้หนูดีเริ่มสะสมงานเขียนของ “แก้วเก้า” และ “ว.วินิจฉัยกุล” ซึ่งเป็นคนผู้ประพันธ์ ทุกเล่มตั้งแต่วันนั้น

ทุกครั้งที่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ใจหนูดีจะเต้น รอไม่ไหวที่จะได้เปิดอ่าน และทุกครั้งที่กลับจากสัปดาห์หนังสือในสมัยเด็ก หนูดีก็จะเก็บตัวอยู่กับบ้านไม่ออกไปไหนเลยเกือบสัปดาห์ ตื่นเช้าขึ้นมาก็อ่านหนังสือ กินอาหาร กินขนม ไม่พูดไม่จากับใครเป็นวันๆ ในช่วงปิดเทอม หลงหายเข้าไปอยู่ในโลกของนิยายแต่ละเรื่อง ตัวละครแต่ละตัว ที่พาเราเข้าไปในสถานที่ที่หลายครั้งเกินกว่าเราจะจินตนาการไปถึงได้

หนูดีอ่าน “ปลายเทียน” ที่เป็นเรื่องของตัวเอกสมมติ “สร้อยสุมาลี” ที่เป็นพี่น้องกับ “สร้อยฟ้า” ในเรื่องขุนช้างขุนแผนแล้วหนีออกมาในโลกยุคปัจจุบัน ตื่นเต้นไปกับถ้อยคำภาษาที่ตัวละครพูดกันเป็นกลอนโบราณ และอ่าน “พิมมาลา” ที่นางเอกเป็นผู้ชายเจ้าชู้ที่ถูกสาปให้กลายเป็นสาวแสนสวยจนกว่าจะกลับใจได้ เป็นนิยายที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก “อิลราชคำฉันท์”

จากนั้นหนูดีได้ อ่าน “สูตรเสน่หา” ที่นางเอกเป็นนักแสดงสาวสวยเอาแต่ใจที่อยากเป็นพิธีกรรายการทำอาหาร และพระเอกเป็นเชฟ และอ่าน “จงกลกิ่งเทียน” ที่เป็นเรื่องของนางเอกลูกคนรวยใจดีที่ถูกสามีฆ่าตายเพราะหวังสมบัติ แล้วบังเอิญวิญญาณได้ไปเข้าร่างของเจ้านางทางเหนือ เธอเลยได้มีชีวิตใหม่อีกครั้งเพื่อกลับมาทวงความยุติธรรม

เรื่องนี้อ่านแล้วหวาดเสียวแทนตัวร้ายของเรื่อง “อัพภันตร์” ที่ร้ายจริงๆ และกรรมก็ตามสนองแบบเห็นทันตาไม่ต้องรอชาติหน้า แถมด้วย “ลมพัดผ่านดาว” นิยายเล่มโปรดล่าสุด ที่มีหนึ่งนางเอกและสองพระเอกที่แตกต่างกันสุดขั้ว ในเล่มหนึ่งนางเอกเลือกแต่งงานกับคนหนึ่ง แต่ไม่ถูกใจคนอ่าน ผู้เขียนจึงแต่งต่อมาอีกสองเล่มเพื่อสมมติให้เห็นว่า หากนางเอกเลือกแต่งงานกับเบอร์หนึ่งหรือเบอร์สองแล้ว ชีวิตจะแตกต่างกันเช่นไร

โลกแห่งหนังสือนี้ หากใครได้ลองหลุดเข้าไปแล้วจะพบว่า เสพติดกันได้งอมแงมยิ่งกว่ายาเสพติด ตัวหนูดีนั้นเป็นคนไม่ชอบชอปปิ้ง แต่ลงได้เข้าร้านหนังสือเมื่อไรก็หายไปได้เป็นชั่วโมงๆ ในโลกนี้มีคนเหงามากมาย แต่ในโลกลับของคนชอบอ่านหนังสือ หนูดียังไม่เคยเห็นใครเหงาได้ในโลกนี้ เพราะเรามีเพื่อนทางความคิดแบบไม่จำกัดจำนวน ยิ่งอ่าน ยิ่งได้คิด ยิ่งอ่าน ยิ่งสร้างสรรค์

โลกลับเล็กๆ นี้ หนูดียินดีแบ่งปันกับเพื่อนนักอ่านจำนวนมาก ที่เราเจอกันเป็นประจำทุกปีในงานสัปดาห์หนังสือ และในปีนี้ หนูดีจะ ไปแจกลายเซ็นที่ศูนย์สิริกิติ์เช่นเคย ในวันเสาร์ที่ 17 ตุลาคมที่บูทอัมรินทร์ และวันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคมที่บูทซีเอ็ด 2552 ในช่วงบ่ายค่ะ

ปีนี้ได้เวลาไปเลือกหาหนังสือถูกใจเพื่อกลับไปนอนอ่านเล่นที่บ้านกันแล้ว และพบกันที่งานค่ะ

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/health/20091013/80958/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%B5.html


28 ตุลาคม 2552

แผนการตลาด Amway

แผนการตลาด Amway

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X7440749/X7440749.html
ละเอียดดี


เคล็ดองค์กรพันล้านกิฟฟารีน

เคล็ดองค์กรพันล้านกิฟฟารีน

ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยหลายต่อหลายครั้ง แม้ในบางช่วงเวลาที่ยากลำบากของการทำธุรกิจ

แต่เมื่อสอบถามไปยัง คุณหมอนลินี หรือ พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ผู้สร้างอาณาจักร "กิฟฟารีน" กลับได้คำตอบว่า "ยังเติบโต"

ความสำเร็จที่เกิดขึ้นนับจากจุดสตาร์ทในปี 2539 กับยอดขาย 348 ล้านบาท และทะยานขึ้นเป็น 1,500 ล้านบาท ในปี 2540 ปีที่ใครๆ ก็ออกปากว่า เหนื่อย และยากยิ่งต่อการนำพาองค์กรให้เติบโต แต่สำหรับ นลินี กลับพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความสำเร็จที่ได้มานั้นไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่เกิดจากบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ และเดินไปในแบบฉบับของตัวเอง

การเป็นองค์กรขายตรงทำให้ต้องทำงานกับคนหมู่มาก 600 คน ที่เป็นพนักงานประจำในส่วนออฟฟิศ และอีก 800 คน ที่ประจำในโรงงานผลิต นับรวมถึงนักธุรกิจอิสระ ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าใช้เอง ไม่นับรวมถึงคู่ค้า ล้วนเป็นกลุ่มคนจำนวนมากที่ นลินี ต้องทำงานด้วย

เมื่อต้องทำงานกับคนหมู่มาก สิ่งหนึ่งที่ นลินี นำติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นสูตินรีแพทย์ คือ พยายามคิดตลอดเวลาว่าคนที่อยู่ด้วยต้องการอะไร และเราจะตอบสนองด้วยวิธีใดได้บ้าง

"อาจจะเพราะเป็นหมอ วิเคราะห์คนไข้ อ่านใจคนไข้จนเป็นนิสัย ทำให้เราพยายามอยู่ในมุมของคนอื่นมากกว่าจะอยู่ในมุมของตัวเอง ดังนั้น การปกครองจึงไม่ค่อยเหมือนนักธุรกิจคนอื่น เพราะไม่ได้มองเรื่อง Benefit แต่มองเรื่องความสุขของการอยู่ร่วมกันมากกว่า เรียกว่าเป็นสุขนิยมก็ได้"

เพราะเชื่อว่า ความสุขขององค์กรจะนำมาซึ่งตัวเงิน นลินี จึงใช้กระบวนคิดและการจัดการหลายอย่าง เพื่อเป้าหมายสร้างสุขให้เกิดขึ้นในองค์กร

องค์กรแม้จะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ถูกจัดโครงสร้างตามลำดับชั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และที่สำคัญ นลินี บอกว่า เปิดกว้างให้ทุกคนเข้ามาปรึกษา พูดคุย พร้อมกับบ่นให้ฟังถึงปัญหาในการทำงานได้ตลอดเวลา

เธอ บอกว่า ด้วยความเป็นคนอารมณ์ดีทำให้ไม่ใช่เรื่องยากที่ลูกน้องตั้งแต่ระดับกลางถึง ระดับล่างจะกล้าเข้ามาพูดคุยด้วย เพื่อสร้างบรรยากาศการมีส่วนร่วม และใกล้ชิดระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน

"ทำงานจะมอนิเตอร์ตลอด เป็นคนที่คุยกับลูกน้องแต่ละแผนก ฟังความคิดเห็นของเค้า เวลาเจอพนักงานระดับกลางและล่างก็กล้าพูด แสดงความคิดเห็น กล้าบ่นให้ฟัง เพราะเราอยู่แบบครอบครัว น้องๆ จะรู้ว่าไม่ใช่คนดุ แต่จะเป็นคนที่รับฟัง"

นอกจากระบบที่เปิดกว้าง การสร้างขวัญและกำลังใจให้กับ "คน" ในองค์กร เป็นอีกกลไกสำคัญที่ นลินี ให้ความสำคัญและพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เป็นวัฒนธรรมหลักแห่ง "กิฟฟารีน" ให้ได้ นั่นคือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ

สิ่งที่ นลินี ย้ำกับคนในองค์กรมาตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้ง คือ ทำให้ทุกคนเชื่อว่า เขาคือส่วนหนึ่งขององค์กร เขาคือเจ้าของ นี่ต่างหากที่เป็นกลยุทธ์หลักของกิฟฟารีน

"บอกทีมงานว่าทำขึ้นเพื่อพัฒนากิฟฟารีน นี่คือ บ้านของพนักงาน บ้านของสมาชิก เพราะคนที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจแล้ว จะทำงานต่างกับลูกจ้าง"

เธอ ยกตัวอย่าง นักธุรกิจอิสระเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมที่ศูนย์ จะช่วยกันปิดไฟ เก็บเก้าอี้กันเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับแม่บ้าน นี่เป็นวัฒนธรรมของเรา

ถึงวันนี้ นลินี บอกว่า กิฟฟารีน เข้มแข็งอย่างมากเรื่องความจงรักภักดีของคนต่อองค์กร และมีอัตราการเทิร์นโอเวอร์ต่ำมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีคนใครออก

นอกจากการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กร การจะมีสุขในการทำงานได้ยังต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาคน และกำหนดผลตอบแทนในระดับที่พึงพอใจด้วย

นลินี บอกว่า ทุกครั้งที่มีอบรมสัมมนาดีๆ จะมีพนักงานกิฟฟารีนเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้นด้วย เพราะตัวเธอเองเชื่อในเรื่องของการพัฒนาคน

ที่สำคัญ "คนที่ทำงานที่นี่ นอกจากทำงานแล้ว ยังมีหน้าที่ต้องทำให้ตัวเองเก่งขึ้นด้วย"

ในส่วนของผลตอบแทน นลินี บอก วัดได้จากตัวกิฟฟารีนเองจะมีมาร์จินไม่เยอะมาก ขณะที่ทุกคน หมายถึงพนักงาน สมาชิก นักธุรกิจอิสระ ฯลฯ มีรายได้ดีหมด ยกเว้นบริษัท

การสร้างบรรยากาศการทำงานให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ดีในองค์กรนั้นยังคงเป็น สิ่งที่ นลินี บอก "ต้องทำอย่างต่อเนื่อง" ท่ามกลางการทำงานในปีนี้ที่ต้องเข้มข้น และรอบคอบขึ้นกว่าเดิม

แนวทางบริหารต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพ ก้าวขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆ ของการบริหารธุรกิจกิฟฟารีนในปีนี้ หลัง นลินี ประเมินสถานการณ์โดยรวม และกำลังซื้อของประชาชนแล้ว ว่า มีแนวโน้มหดตัว

"ที่เป็นจริงแล้วคือกำลังซื้อหดตัว ผู้ประกอบการจะเพิ่มยอดขายอัตราการเติบโตแบบพรวดพราดไม่ได้ จึงต้องหันมามองถึงต้นทุนเป็นหลัก"

หลังประเมินตลาดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา สิ่งที่ นลินี ค้นพบ กลับสวนทางจากสิ่งที่เคยคิดไว้ตั้งแต่ต้น

แรกๆ คิดว่ากำลังซื้อที่หดตัวลงจะทำให้สินค้าที่มีราคาสูงขายยากกว่าสินค้าที่มี ราคาขายต่ำกว่าร้อยบาท แต่ตรงกันข้าม สินค้าราคาต่ำกว่าร้อยบาทกลับขายได้น้อยลง ขณะที่สินค้าราคา 200-300 ขึ้นไป กลับขายได้จำนวนชิ้นมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจจะส่งผลตรงถึงกำลังซื้อในระดับรากหญ้า มากกว่า แต่สำหรับคนชั้นกลางยังอยู่ในขั้นดีอยู่

เมื่อกำลังซื้อส่งสัญญาณ นลินี เริ่มที่จะแอ็คชั่นแล้วกับการเดินหน้าทำแผนกระตุ้นตลาดรากหญ้าที่เริ่มหดตัว ให้กลับมามีชีวิตชีวาในการจับจ่าย ในภาวะเช่นนี้ที่เห็นผลน่าจะเป็นการลดแลกแจกแถม

ส่วนคนชั้นกลางซึ่งเป็นตลาดที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็อยู่ระหว่างทำแผนโปรโมทถึงคนกลุ่มนี้ให้ขึ้นมากขึ้น โดยเน้นเนื้อหาให้เห็นถึงคุณค่าของสินค้าที่จะไปตอบโจทย์ความต้องการเป็น หลัก

ปัจจุบัน กิฟฟารีน มีฐานการบริโภคในระดับคนชั้นกลาง 40% รายได้น้อย 30-40% และผู้บริโภคที่สมัครสมาชิก เพื่อซื้อใช้เองอีก 20%

เมื่อเศรษฐกิจที่ถดถอยส่อเค้าถึงกำลังซื้อ นอกจากโฟกัสถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มแล้ว การจะเพิ่มยอดขายให้โตกว่า 4,160 ล้านบาทที่ทำได้ในสิ้นปี 2551 ยังต้องพึ่งพาฐานสมาชิกใหม่ ที่คาดว่าจะต้องทำเพิ่มให้ได้อีก 10-20% ในปีนี้ จาก 4.9 แสนรหัส ในปี 2551 โดยที่จำนวนนี้มีนักธุรกิจที่แอ็คทีฟยอดขายทั้งสิ้น 3 แสนราย

"แม้กำลังซื้อจะลดลง แต่ในปัจจุบันถือว่าค่อนข้างดีอยู่ เพราะยิ่งวิกฤติ คนจะสนใจหารายได้พิเศษมากขึ้น ทำให้เราประคองอัตราการเติบโตได้"

แม้จะทำในหลายส่วนคู่ขนานกันไปกับการตลาด และหาฐานสมาชิกเพิ่ม แต่มีอีกสิ่งที่ นลินี เน้นย้ำ คือ Internal Branding

"นอกจากกระตุ้นให้ทุกคนรักองค์กรแล้ว ในการคุมคอร์สที่ไม่จำเป็นก็เป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมาเราไม่โฟกัสมาก เรียกว่า สุรุ่ยสุร่ายด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้บอกเพื่อให้ทุกคนร่วมมือ เชื่อว่าต้นทุนจะลดลงได้มาก หลังเริ่มทำตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว"

นลินี บริการต้นทุนใหม่ตั้งแต่ ต้นทุนเทรนนิ่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่สูงสำหรับธุรกิจขายตรง แต่เพียงปรับมุมมองใหม่ด้วยการปรับเนื้อหาบางอย่างที่ไม่จำเป็น กรณีที่เคยใช้โรงแรมก็หันมาใช้พื้นที่ในสำนักงานแทน หรือให้หลายๆ ส่วนที่เคยต่างคนต่างอบรมมาเป็นอบรมที่ศูนย์เดียว เพื่อลดต้นทุนวิทยากร เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ทุกส่วนของการปรับลดต้นทุน นลินี เลือกใช้วิธีดึงพนักงานในทุกส่วนงานให้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และพร้อมใจที่จะปรับลดค่าใช้จ่ายในงานของตัวเองลง

วิธีนี้นอกจากระดมสมอง และสร้างความมีส่วนร่วม นลินี ยังย้ำว่า ที่แน่ๆ ทุกคนพอใจ และไม่กระทบกับความสุขในการทำงาน และรายได้ที่เคยได้รับ

ภาพรวมแล้ว นลินี มีเป้าหมายในใจต้องการลดคอร์สลงให้ได้ 20% จากค่าใช้จ่ายเดิมทั้งหมด

เธอว่า "ที่ผ่านมา เราไม่เคยทำเรื่องคอร์ส จะบอกว่าเมื่อก่อนเราสุรุ่ยสุร่ายด้วยซ้ำไป แต่ถึงวันนี้คงไม่ได้แล้ว" แนวทางการปรับลดต้นทุนดังกล่าว นลินี บอกว่า ยังไม่เคร่งเครียดเกินไปนักสำหรับ กิฟฟารีน เพราะเป็นเพียงการเข้าไปดูแล และจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีอีกหลายงบที่ยังไม่ตัด หากสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อถดถอยลงกว่าเดิม ยังมีอีกหลายส่วนที่สามารถตัดลดงบประมาณลงได้โดยที่ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ เพียงแต่ว่าขณะนี้ สถานการณ์ยังเดินไปไม่ถึงจุดนั้น

"จะพยายามไม่เสี่ยง และไม่เอากิฟฟารีนไปอยู่ในจุดอันตราย"

นลินี กล่าวแสดงความมั่นใจ เพราะนับแต่ปี 2540 ถึงวันนี้ เรียกได้ว่า กิฟฟารีน ยังไม่เคยเจอ crisis โดยมีการวางรากฐานการเงินที่มั่นคงไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

"เราเข้มแข็ง และไม่มีปัญหาทางการเงิน เพราะไม่เคยกู้เงินนับตั้งแต่เริ่มทำธุรกิจ"

นลินี บริหารความเข้มแข็งทางการเงิน และบริหารความเสี่ยงแบบเป็น 0% เพราะเธอเอง บอกว่า ไม่เก่งเรื่องตัวเลข การเลี่ยงที่จะกู้เงิน และบริหารเงินเพื่อชำระดอกเบี้ย จึงเป็นเรื่องยากและเสี่ยงเกินไป คิดแค่เพียงใช้เงินเท่าที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยใช้สถิติปัญญา และความสามารถ

เงินหลักพันล้านจึงเป็นเพียงการเริ่มต้น แต่การขยับขยายธุรกิจ การสร้างโรงงาน และอื่นๆ จึงมาจากกระแสเงินสดล้วนๆ

"ผลกำไรจากการทำธุรกิจในปีที่ผ่านมา จะถูกนำมาทำธุรกิจในปีนี้ โดยจะไม่นำเงินในอนาคตมาใช้"

การเดินอยู่บนหลักการทำอะไรไม่เกินตัว และไม่เสี่ยง

เมื่อผนึกกับความเชื่อที่ว่า คนมีสุขจะส่งผลให้งานดี และความสุขจะสร้างความยั่งยืนได้

ก่อเป็นพลังที่ นลินี ขับเคลื่อน กิฟฟารีน ไปถึงเป้าหมายยอดขาย 5 พันล้านบาท ในปี 2554 เป้าหมายที่ดีเลย์ออกไปจากปี 2553 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปีนี้

และคาดว่าไม่เกินปี 2559 กิฟฟารีนทำสถิติถึง 10,000 ล้านบาทได้ ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้ต้องสะดุดลง

from http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20090215/16219/%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99.html


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)