มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น
## มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น ## : คนจนสุขง่าย คนรวยสุขยาก จริงหรือ??
ย้อนเวลากลับไปเมื่อ10ปีก่อน ผมได้ออกจากงานประจำ และหันเหสู่ธุรกิจส่วนตัว
ด้วยความเชื่อที่ว่าหากจะเหนื่อยก็ขอเหนื่อยเพื่อตัวเอง หากจะแพ้ก็ต้องแพราะตัวเอง
และหากชนะก็ขอชนะเพื่อตัวเอง การก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่ตนเองไม่มีความรู้มาก่อน จึง
ต้องอาศัยความขยันและอดทน มีความมุมานะไม่ท้อถอย การพกพาเงินทุนแต่เพียง
อย่างเดียวนั้น หากประสบความสำเร็จ ก็ถือว่ามีโชคเข้าข้าง แต่สำหรับผมเรื่องโชค
เรื่องดวง มักจะเป็นเส้นขนานเสมอ
ครั้งแรกของการลงทุนทำธุรกิจนั้น ก็ไม่ต่างกับการสวมหัวโขนตัวใหม่ จากที่เคย
รับผิดชอบเฉพาะเวลา แปดโมงเช้าจนถึงห้าโมงเย็น ตลอดระยะเวลา5วัน กลายมา
เป็นรับผิดชอบตั้งแต่ตื่นนอน จนถึงเข้านอน ตลอดระยะเวลา7วัน วันที่จะได้พักผ่อน
มีเพียงอยู่ไม่กี่วัน วันดังกล่าว คือ วันที่ไม่สบาย
เสื้อเชิ้ตแขนยาว เนคไท รองเท้าหนัง กลับกลายเป็น เสื้อคอกลม ขาสั้น รองเท้า
แตะ หยาดเหงื่อหยดแรกที่เคยหยดเฉพาะเวลาเดินไปทานอาหารกลางวันข้างนอก
บริษัท กลับเริ่มหยดตั้งแต่แปดโมงเช้า และหยดตลอดทั้งวัน
รางวัลแห่งความมุ่งมั่น ได้สะท้อนออกมาในรูปแบบของกำไร และ รางวัลที่
ยิ่งใหญ่กว่าก็คือ ความภูมิใจที่ทำได้ และได้ดีกว่าที่คาดหวังไว้
****************************
คนไม่เคยล้ม แสดงว่า ไม่เคยวิ่ง
คนไม่เหนื่อยหอบ แสดงว่า ยืนอยู่เฉยๆ
****************************
หลังจากที่เปิดกิจการมาได้สักระยะเวลาหนึ่ง เมื่อความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองมีสูง
การลงทุนทำอะไรต่างๆ ย่อมเต็มที่ เต็มกำลัง รายได้ที่ได้รับ ผลกำไรที่งอกเงย ขยับเพิ่ม
ขึ้นต่อเนื่อง แต่เหตุใด จึงรู้สึกว่า ไม่ปลดปล่อย ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอารมณ์ขัน
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นมาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งได้ไปเยี่ยมอาการป่วยของ
ลูกน้องที่ห้องพักคนงาน ระหว่างขับรถเดินทางนั้น ในใจก็ครุ่นคิดว่า คนงานลาป่วย
ฝ่ายผลิตคงผลิตสินค้าไม่ทันแน่นอน แล้วจะทำอย่างไรดี จะให้ทำวันอาทิตย์งั้นหรือ
สักพัก ลูกน้องก็หันมาบอกว่า“ถึงแล้วครับเฮีย ที่พักคนงาน” ผมจอดรถแล้วเดินเท้าเข้าไป
เมื่อเดินผ่านตู้ยาม ผมชำเรืองเห็น รปภ. กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอเปลี่ยนกะ
ผมยิ้มทักทาย แล้วคิดในใจว่า วันนี้เขาแต่งตัวสีสันสดใสดี คงจะไปงานเลี้ยงสังสรรค์ที่
ไหนสักแห่ง ผมเดินต่อไปจนถึงห้องพักคนงานทางด้านทิศเหนือ หลังจากเยี่ยมไข้เสร็จ
เรียบร้อย ก็เดินลงบันได้อีกทางทางด้านทิศใต้ พอลงมาที่ห้องโถงชั้นล่าง ก็ได้เห็นลูก
น้องที่บริษัท คนขับรถส่งของที่บริษัท ยาม แม้กระทั่งแม่บ้าน กำลังง่วนอยู่กับการจัด
เตรียมอาหารแบบง่ายๆบนพื้นห้องโถง บางคนก็ทดสอบเสียงด้วยการร้องเพลงคารา
โอเกะ เด็กๆก็วิ่งเล่นตามประสา เมื่อทุกคนเห็นผม ก็วิ่งเข้ามาทักทาย แต่ก็ไม่ได้ชักชวน
อะไร อาจจะคิดว่าไม่เหมาะสม ผมจึงได้ทักทายและถามกลับไปว่า
“วันนี้วันเกิดของใครหรือจึงได้เลี้ยงสังสรรค์กัน”
แม่บ้านจึงรีบตอบว่า
“สามีดิฉัน เขาได้เลื่อนตำแหน่งและได้ขึ้นเงินเดือนค่ะ”
เด็กๆที่วิ่งอยู่แถวนั้น พูดแทรกว่า
“พ่อได้เงินเดือนเพิ่มอีกเดือนละ1500ครับ ผมจะได้ ค่าขนมเพิ่มด้วยครับ”
แม่บ้านหันไปตวาดลูกเล็กน้อยว่า
“อยากพูดแซงแบบนี้ นิสัยเสียจริงๆ” แล้วหันมาขอโทษแทนลูกชาย
ผมยินดีกับแม่บ้านแล้วเดินหันหลังกลับไปที่รถยนต์ที่จอดอยู่หน้าตึก ระหว่างทางกลับบ้าน
นั้น มีประกายความคิดบางอย่างวิ่งเข้ามาในสมอง
**ทำไมเสียงหัวเราะจึงไม่เกิดขึ้นกับเรา ในเมื่อเรามีพร้อมทุกสิ่ง มีเงินพอที่จะซื้ออะไรก็ได้
ธุรกิจก็ไปได้ด้วยดีราบรื่น**
**แล้วเหตุใด เพียงเงินเดือน1500บาทที่สามีของแม่บ้านได้รับเพิ่มขึ้นทุกเดือน จึงทำ
ให้เกิดความสุข สนุนสนานต่อคนรอบข้าง ได้ถึงเพียงนี้**
*****คนจนสุขง่าย คนรวยสุขยากงั้นหรือ*****
ความพอดี คำเดียวเท่านั้น ที่จะเข้าถึงสภาวะนี้ เหตุที่ยอดขายและผลกำไรของ
ธุรกิจดีวันดีคืน กลับไม่สามารถสร้างความพอใจได้ เพราะเราไม่รู้จักคำว่าพอดี ต้องการ
ผลกำไรที่มากกว่านี้ สุดท้าย ไม่มีความสุข เพราะ ได้น้อยกว่าที่หวัง และหวังจะได้มากๆ
แม้คนงานป่วย จิตใจก็มัวแต่ครุ่นคิดว่า งานจะผลิตไม่ทัน ส่งของไม่ทัน ก็เพราะ
ทัศนคติที่คิดห่วงแต่ยอดขาย กลัวสินค้าไม่มีขาย ขาดความพอดี ไม่รู้จักคำว่าพอดี
**เมื่อเราตัดคำว่า อยากได้มากๆ มาเป็นคำว่า พอประมาณแบบพอดี
ทุกครั้งที่ล้มเพราะวิ่ง เกิดบาดแผลก็เพียงแค่ถลอก แต่ไม่ถึงขาหัก เพราะ รู้จักคำว่า พอดี
**เมื่อเราตัดคำว่า ลุกลี้ลุกรน มาเป็นคำว่า กระตือรือร้น
ทุกครั้งที่เหนื่อยหอบ เพราะไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ จะเป็นเพียงแค่หอบเหนื่อย ไม่ถึงกับหอบ
จนหมดสติ เพราะ รู้จักคำว่า พอดี
รอยยิ้มผมเริ่มกลับมาเพราะผมค้องการให้คนรวยสุขง่ายเช่นกัน
จากวันนั้นสู่วันนี้ วันที่เดินก้าวเข้ามาสู่ตลาดหลักทรัพย์ วันที่ได้ค้นพบและรู้จักคำว่า
กำไรและขาดทุน รู้จักคำว่า กำไรมาก กำไรน้อย ขาดทุนมาก ขาดทุนน้อย
ได้นำชีวิตจริง
ที่คิดได้มาตอบคำถามให้กับตนเอง
กำไรมาก ขาย แล้วหุ้นขึ้นต่อ ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
กำไรน้อย ขาย แล้วหุ้นขึ้นต่อ ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
ขาดทุนมาก ขาย แล้วหุ้นเด้งขึ้น ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
ขาดทุนน้อย ขาย แล้วหุ้นเด้งขึ้น ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
กำไร ขายแล้วหุ้นลง ไม่ได้ซื้อกลับ เสียดาย ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
ขาดทุน ขายแล้วหุ้นลงต่อ ไม่ได้ซื้อกลับ เสียดาย ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
กำไร ขาย แล้วหุ้นลง ซื้อกลับ หุ้นลงต่อ ซื้อเร็วไป เจ็บใจ ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
ขาดทุน ขาย แล้วหุ้นลงต่อ ซื้อกลับ หุ้นลงต่อ ซื้อเร็วไป เจ็บใจซ้ำ ไม่มีความสุข เล่นหุ้นทำไม
**กำไร ก็ไม่มีความสุข ขาดทุน ก็ไร้ซึ่งความสุข แล้วจะทรมานร่างกายและจิตใจไป
เพื่ออะไร !!!
คำว่าพอดี สามารถนำมาใช้กับการลงทุนได้ หากนักลงทุนรู้จักใช้ เมื่อวางแผน
การลงทุนไว้เช่นไร ผลลัพธ์ที่ออกมาจะมารูปแบบไหน ต้องรู้จักพอ
กำไร ตัดสินใจขายด้วยความเชื่อมั่น แม้หุ้นจะขึ้นต่อ มีความสุข เพราะ พอเพียง
ขาดทุน ตัดสินใจหยุดขาดทุน รักษาเงินต้น แม้จะเด้งขึ้น แต่มีความสบายใจ มีความสุข
เพราะ เจ็บพอแล้วเท่านี้
ยามใดที่นึกถึงแม่บ้านท่านนั้น ทำให้ผมต้องรู้จักคำว่าพอดี พอเพียง พอใจ เพื่อจะ
ได้ไม่ต้องมาพบเจอคำว่า “มาเล่นหุ้นทำไม กำไรก็ไม่สุข ขาดทุนก็เกิดทุกข์”
และต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "คนรวยก็สุขง่ายเช่นกัน"
## มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น ## : ใบเลื่อย2ใบ กับมุมมอง2วัย
ใบเลื่อย2ใบ กับมุมมอง2วัย
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ผมได้มีโอกาสที่จะต้องย้ายบ้าน ไปอยู่อีกฟากถนนหนึ่ง เนื่องจากบ้านเดิมนั้นเล็ก
และคับแคบมาก ในการย้ายบ้านครั้งนี้ทำให้ผมต้องทยอยโยกย้ายของใช้ภายในบ้าน ระหว่างที่ย้ายข้าว
ของนั้น ได้พบเจอเครื่องไม้เครื่องมือ ในการทำงานเก่าๆในห้องเก็บของ จึงคิดที่จะนำเครื่องมือดังกล่าว
ออกมาทำความสะอาด เพื่อที่จะได้นำมาใช้งาน ซึ่งผมได้วางแผนที่จะทำการสร้างโต๊ะเก้าอี้ไม้ชุด
ไว้ใช้งานในบ้านหลังใหม่ หลังจากทำความสะอาดเครื่องมือ ผมก็ได้จัดเตรียมอุปกรณ์นั่นก็คือ
ใบเลื่อย ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปในท้องตลาด ผมซื้อมา2ใบ เผื่อไว้หากใบหนึ่งหัก จะได้มีสำรองไว้ใช้งานได้
การประดิษฐ์โต๊ะเก้าอี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง ผมเตรียมความพร้อมต่างๆ หา
ซื้อไม้หลากประเภทหลายขนาดมาเพื่อใช้ประกอบโต๊ะเก้าอี้ ผมได้นำใบเลื่อยที่ซื้อมา มาประกอบ
เข้ากับตัวโครงเลื่อย เพื่อใช้สำหรับเลื่อยไม้ให้ออกมาตามขนาดที่ต้องการ การประกอบโต๊ะเก้าอี้
ได้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นและพิถีพิถัน ไม้ท่อนแรกได้ถูกตัดแบ่งครึ่ง ไม้ท่อนที่สองก็เช่นกัน
จนกระทั่งมาถึงไม้ท่อนที่สาม ระหว่างที่ทำการเลื่อยอยู่นั้น ใบเลื่อยสะดุดและด้วยแรงกระชาก
ทำให้ใบเลื่อยใบนั้นหัก ผมจึงได้แต่ตัดพ้อด้วยความเสียดายใบเลื่อยที่ซื้อมาใหม่นั้นว่า
ยังใช้งานได้ไม่คุ้มค่า ซึ่งโดยปกติ ต้องเลื่อยและใช้งานได้อย่างน้อยเป็น100ครั้ง
ความครุ่นคิดด้วยความเสียดายใบเลื่อยดังกล่าว ทำให้การประดิษฐ์โต๊ะเก้าอี้ เป็นไปด้วย
ความล่าช้า ผมได้นำใบเลื่อยสำรองออกมาใช้งาน และได้ทำโต๊ะเก้าอี้ดังกล่าว ออกมาจน
เสร็จเรียบร้อย โดยที่ใบเลื่อยใบสำรองนั้นไม่หักเสียหายเลย
แม้ว่างานจะเสร็จเรียบร้อย แต่ในใจก็มัวคิดแต่เรื่องใบเลื่อยใบแรกที่เสียหายไป ทำไม
จึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะด้วยความเสียดายว่า หากระมัดระวังในการใช้งาน ใบเลื่อยสำรองก็คงไม่
ต้องนำออกมาใช้ ใบเลื่อยใบแรกก็คงยังอยู่และสามารถนำไปใช้งานในครั้งถัดไปได้อีก
กว่าที่จะลืมเรื่องใบเลื่อยใบแรก ความงดงามของโต๊ะเก้าอี้ ความสำเร็จของการย้ายบ้านก็ลด
ความสำคัญลง จนทำให้ไม่รู้สึกว่ามีความสุขกับสองสิ่งดังกล่าวข้างต้นเลย
จนกระทั่งมาปัจจุบันนี้ วัยที่มากขึ้นทำให้ต้องมองย้อนกลับไปช่วงเวลานั้น อดีตมีไว้ให้
ศึกษา ทำไมช่วงเวลานั้น เราไม่คิดที่จะมองเป้าหมายของสิ่งที่ทำอยู่ ว่าเราทำสำเร็จหรือไม่
ความสูญเสียระหว่างทางไปสู่เป้าหมายนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ลองนึกย้อนกลับไป หากใบเลื่อย
ใบแรกนั้นสามารถใช้งานได้จนเสร็จงาน แล้วใบเลื่อยที่สองนั้นหายไป หลังจากนั้น1ปี อารมณ์
ความครุ่นคิด ระหว่าง โต๊ะเก้าอี้สำเร็จ และความเสียดายใบเลื่อยที่สองก็คงถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ใบเลื่อย2ใบ ถูกใช้งานในลักษณะเดียวกัน อายุการใช้งาน2ใบรวมกันเท่ากัน แต่กรณีแรก
ใบที่1หักเสียหายอย่างรวดเร็ว กับกรณีที่สอง ใบเลื่อยที่2 หายไปหลังจากใช้งานเสร็จเรียบร้อย
อารมณ์ที่ได้รับแตกต่างกัน ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมอง และเลือกที่จะมอง
หากคนมองที่เป้าหมาย ก็จะไร้ซึ่งความกังวลกับเหตุการณ์ต่างๆที่เข้ามากระทบ
หากมองที่เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าดีหรือร้าย ก็จะทำให้เรากังวล มั่นใจ หวาดกลัว กล้าหาญ
จนทำให้ลืมไปว่า เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
ใบเลื่อย2ใบ เกี่ยวอะไรกับการลงทุน
หากเปรียบใบเลื่อยใบหุ้น ที่เราไปหาซื้อแล้วถือไว้ หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะทำงานทำเงินให้
การที่ใบเลื่อยใบแรกหักอย่างรวดเร็ว ก็คือ การที่เราเลือกหุ้นผิด ซื้อแล้วไม่เป็นไปตามที่คิด
ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้ใบเลื่อยหักมีมากมาย สกรูที่ยึดระหว่างโครงเลื่อยกับใบเลื่อยไม่แน่น
การวางท่าทางการเลื่อยผิดรูปแบบ ใบเลื่อยนั้นเป็นของปลอมราคาถูก การออกแรงที่มากไป
ในการเลื่อย เฉกเช่นเดียวกับ ปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้เราเลือกหุ้นผิด นั้นมีมากมายหลายปัจจัย
การขาดความรู้ความเข้าใจในตัวธุรกิจ งบการเงิน ผู้บริหาร ทิศทางอุตสาหกรรม การเลือก
จังหวะการเข้าลงทุนผิดพลาด หุ้นที่มีประวัติไม่ดีถูกแต่งตัวให้ดูดี การมั่นใจในตัวหุ้นจนเกินไป
จนมองไม่เห็นข้อเสียของหุ้นตัวนั้นๆ
เมื่อเราเลือกหุ้นผิด แต่เป้าหมายใหญ่เรายังไม่ผิดพลาด เราจึงไม่ควรที่จะใส่ใจกับสิ่งที่
ผิดพลาด เพราะอารมณ์เราจะถูกกดดันด้วยความผิดพลาดดังกล่าว จนทำให้ลืมเป้าหมายที่แท้
จริงของการลงทุน คือ การสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง ความผิดพลาดจึงเป็นสิ่งที่นำมา
เตือนสติว่า ครั้งนี้เราผิดพลาดเรื่องอะไร หากเราออกแรงเลื่อยมากไป ครั้งหน้า
เราควรจะ
ผ่อนแรงลง หากเราลืมตรวจดูสกรูที่ยึดโครงเลื่อย ครั้งหน้าเราต้องตรวจทุกครั้ง
การลงทุนก็เช่นเดียวกัน มองไปข้าง ตามเป้าหมายใหญ่ และไม่ลืมที่จะทบทวน
ความผิดพลาดที่ผ่านมา การหมกหมุ่นกับความเสียหาย ระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายใหญ่
จะทำให้มองอะไรไม่กระจ่าง ไม่มีความสุขในการลงทุน เช่นเดียวกับการย้ายบ้าน และสร้างชุดโต๊ะเก้าอี้สำเร็จ
การลงทุนนั้นเป็นการลงทุนตลอดชีวิต หากการลงทุนทำให้บรรลุเป้าหมายใหญ่ได้สำเร็จ
เราก็ไม่ควรที่จะตั้งมั่นอยู่ในความประมาท ดีใจได้ มีความสุขกับเป้หมายที่สำเร็จได้ แต่ต้อง
ไม่ลืมว่า เป้าหมายของการลงทุนนั้นมักจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้ตลอดเวลา เป้าหมายนี้สำเร็จ
เป้าหมายใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมก็จะตามมา มันจะวนเวียนอยู่เช่นนี้ไปตลอด ก็ไม่ต่างกับกรณี
ใบเลื่อยๆใบแรกที่สามารถใช้งานได้จนเสร็จสิ้นภารกิจ ความภูมิใจในเป้าหมายได้บังเกิดขึ้น
โต๊ะเก้าอี้สวยงาม แต่หากเราไม่ระมัดระวังในการใช้งานใช้เครื่องมือ ใบเลื่อยสำรองก็อาจ
จะสูญหาย หรือ สูญเสียไปในการใช้งานครั้งถัดไป
ใบเลื่อย2ใบกับมุมมอง2วัย ทำให้ผมได้ฉุกคิด ที่จะถ่ายทอดออกมาเป็นงานเขียนให้ได้
อ่านกัน สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิด หากผมไม่ผ่านช่วงเวลาความสูญเสียใบเลื่อย กับความเสียหายจาก
การลงทุนในหุ้น แม้เรื่องดังกล่าวเหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่ทุกครั้งที่ผมจับใบเลื่อยขึ้นมาทำให้ผม
ไม่ลืมที่จะสู้กับเป้าหมาย โดยไม่กลัวว่าสูญเสียใบเลื่อยนี้ไป หวังว่านักลงทุนหลายคนก็จะไม่กลัว
ความสูญเสียระยะสั้น เพื่อรักษาเป้าหมายที่วางแผนไว้เช่นกัน
## มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น ## : การลงทุนนั้นไม่ยาก การควบคุมอารมณ์นั้นยากกว่า
ยามตลาดหุ้นดูดี ปริมาณการซื้อขายคึกคัก เดินไปทางไหน หันไปทางไหนก็มีแต่คนคุย
เรื่องการลงทุน เรื่องตลาดหุ้น ไม่มากก็น้อยที่คุณอาจจะเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้ อาจจะเป็นเพื่อน
เป็นรุ่นพี่ รุ่นน้อง เป็นญาติ หรือเป็นใครอื่น ด้วยความต้องการที่อยากจะบอกกล่าวบางเรื่องเกี่ยวกับ
การลงทุน จึงได้มีการเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อให้คุณๆเหล่านั้นอ่านและสิ่งที่ให้อ่านนี้ก็
อาจจะเป็นแนวทางสำหรับต้อนรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่จะเดินเข้ามาในสมรภูมิแห่งนี้ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่
ดีที่สุดพอจะเรียกได้ว่า “บทเรียน” และก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลิศพอจะเรียกว่า “กลยุทธ์. แต่สิ่งนี้น่าจะเป็น
เพื่อนร่วมเดินทางที่ดีที่สุดที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย โดยใช้ภาษาคนกันเอง เข้าถึงและเข้าใจง่าย
** ก้าวแรกของความอยาก **
ร้อยทั้งร้อยของมนุษย์เรา คือความอยากมี อยากเป็นและอยากได้ ถ้าใครไม่มีใน
สิ่งเหล่านี้ แสดงว่าเป็นคนที่รู้จักพอดี พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ แต่ในความเป็นจริงทุกคน
อยากที่จะมี อยากที่จะเป็น และยิ่งมีเร็วเท่าไรได้ก็ยิ่งทำให้ความฝันบรรลุเร็วมากขึ้น
ช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก ร้อยคนร้อยปากแต่มีพันเรื่องเล่า มีหมื่นเล่าแสน ยิ่งประเทศไทย
อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม ที่มีความอิสระทางการเงินด้วยแล้ว ต่อมความอยากจึงถูกกระตุ้น
ได้ง่ายกว่าประเทศเพื่อนบ้าน … เงินที่ได้มาแสนจะง่ายได้เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์
หรือkey order ส่งคำสั่งซื้อ ส่งคำสั่งขาย การหาเศษเงินที่ตกหล่นในตลาดหุ้นที่วันๆ
Tradeกันระดับหมื่นล้านไม่ใช่เรื่องยาก พันสองพัน หมื่นสองหมื่น มันอยู่แค่เอื้อม
ปลายนิ้วสัมผัส และเมื่อมาคิดว่าการนั่งหลังขดหลังแข็งเพื่อเงินหมื่นต่อเดือนทำให้จิตใจ
ที่มีความอยากอยู่แล้ว อยากมากยิ่งขึ้น
การเข้าสู่สนามรบถ้าเรารู้แต่ว่าเรามีมีด มีดาบที่แหลมคม มีโล่ห์ มีม้าที่แข็งแรงตัวหนึ่ง
แล้วสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด เราต้องรู้ทิศทางลมว่าพัดในทิศทางใด
มีเมฆฝนหรือไม่ ลักษณะพื้นที่ที่จะไปสู้รบ มีหลุมพรางหรือไม่ เรามีแผนที่นำทางหรือเปล่า
และที่สำคัญเราต้องรู้ว่าเราถนัดสู้บนหลังม้าที่มีความเร็ว หรือ ถนัดเดินสู้ หรือตั้งรับสู้ หากจะ
เปรียบเทียบให้เกี่ยวข้องกับการลงทุน นั่นก็หมายถึง หากเรามีแต่เงินทุน ความรู้ มี
เครื่องมือการวิเคราะห์หุ้นอันทันสมัยพร้อมทั้งบทวิเคราะห์ต่างๆมากมาย แต่ไม่รู้ทิศทาง
ของการลงทุนอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าทิศทางขึ้นหรือลง ไม่รู้ข่าวสารเชิงลึก อาวุธที่มีก็อาจ
จะเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น อีกทั้งนักลงทุนยังต้องรู้ด้วยว่าถนัดการลงทุนแบบใด
หุ้นที่เก็งกำไร หุ้นปันผล หุ้นขนาดกลาง หุ้นขนาดใหญ่ ทั้งหลายทั้งปวง นักลงทุนต้อง
รู้จักตนเองเสียก่อน
** คุณจงรีบเข้า(ออกจาก) ตลาดตอนนี้และบัดนี้ **
“คุณมีเงินหรือเปล่า ถ้ามีก็เข้ามาสิ มาใช้บริการของเรา มาเสียค่าธรรมเนียม
นิดหน่อย ถ้าลองแล้วพอใจยินดีแถมเงินให้นำติดตัวกลับบ้าน” บริการแบบนี้มีในโลกด้วยหรือ
มาใช้บริการแล้วยังแถมเงินกลับบ้านด้วย มีแน่นอน นั่นก็คือ การใช้บริการBrokerเพื่อ
ซื้อขายหุ้น หากกำไรก็เอากลับไปแต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณเสียคุณก็จะโดนสองต่อ
คือ ค่าบริการ ค่าไฟเครื่องปรับอากาศ เพิ่มด้วยค่ากาแฟถ้วยละหลายพัน บางคนหลาย
หมื่น … นี่แหละสัจธรรมมนุษย์หุ้น มีสองด้านเสมอ
ทุกคนที่ก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ล้วนหวังจะทำกำไร ถ้าใครคิดเข้ามาในตลาดหุ้นแล้ว
บอกว่า ขอกำไร1แสนบาทแล้วจะออกจากตลาด ปิดบัญชี เลิกการลงทุน คนผู้นั้นกำลัง
พูดเรื่องโกหก หากสามารถทำกำไรได้ก่อนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากขาดทุนก่อนก็คง
คิดอีกแบบตรงกันข้าม ปกติแล้วคนส่วนมากที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้นมักจะมีสิ่งที่พกติดตัวมาด้วย3สิ่ง คือ
กระสุน(เงิน) ความโลภ และความอยาก(เก็งกำไร)
หากนักลงทุนผู้ใดติดตัวมาเพียง3สิ่งนี้ ก็คงต้องเตรียมตัวออกจากตลาดตอนนี้และบัดนี้
ได้เลย … และหากใครก็ตามที่บอกว่า “ถ้าเราไม่ขายหุ้นตัวนั้นตัวนี้ และถือมาจนขณะ
นี้คงได้กำไร100%แล้ว” ตัวนั้นอีก ตัวนี้อีก ก็จงออกไปจากตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน
… การขายหุ้นไปแล้วและหุ้นขึ้นต่อนั้น เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครชนะตลาด
และทำถูกต้อง ถูกทางได้ตลอด คนที่เก่งอย่างผู้บริหารประเทศก็ไม่ได้เก่งไปทุกเรื่อง
เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากนักลงทุนยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ เข้าใจและรับทราบ
ผลแห่งการลงทุนได้ แสดงว่าอารมณ์ของนักลงทุนยังไม่นิ่งพอ การจะดำรงตนอยู่ใน
ตลาดที่มีแต่สภาวะของการเก็งกำไรและเก็งขาดทุนนั้น ต้องมอง ขณะนี้ กับมองไปข้างหน้า …..
การมองย้อนกลับไป แล้วโทษตัวเองนั้น เป็นการบั่นทอนความคิดดีๆที่จะเกิดขึ้นใหม่ให้
เกิดขึ้นได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนมัวแต่กลุ้มใจกับการขายหุ้นแล้วและ
หุ้นขึ้นต่อ หรือ เสียใจกับการขาดทุนในหุ้น จะทำให้การลงทุนในครั้งถัดไปของนักลงทุน
ซวนเซไร้ทิศทางตามไปด้วย การลงทุนทุกครั้งต้องนับหนึ่งเสมอ มองข้างหลังเป็น
บทเรียนสอนใจ ไม่ควรนำมาเป็นบทลงโทษที่คอยทำร้ายประกายความคิด
… มองความเป็นปัจจุบันให้มากที่สุด และตอบคำถามกับตัวเองว่า พอใจกับผลการลงทุน
ในปัจจุบันหรือไม่ หากพอใจ แม้ว่าได้กำไรเพียง10%ก็พอแล้ว หากนักลงทุนยังคงโทษ
ตัวเองเรื่องการขายหุ้นแล้วหุ้นขึ้นต่อ คุณก็จะต้องพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ตลอดไป
และไม่มีวันสิ้นสุด การลงทุนก็จะไร้ซึ่งความสุข ดังนั้นจงตอบคำถามตนเองทุกครั้ง
หลังจากที่การลงทุนเสร็จสิ้นแล้วว่า พอใจหรือไม่ หากพอใจก็ถือว่าเสร็จสิ้นการลงทุน
รอบนั้น แล้วเริ่มการลงทุนรอบใหม่ด้วยอารมณ์ที่เข้าใจในสภาวะของการลงทุน
## มนุษย์หุ้น ชีวิตต้องหุ้น ## : เรื่องจริงที่ควรรู้ก่อนการซื้อขาย (หุ้น)
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาช่วงเวลาแห่งความสดใสและช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์
ของนักลงทุนทั้งรายเล็กและรายใหญ่นั้น ทำให้หลายๆคนคงจะมีแนวคิดและวิถีทางแห่ง
การลงทุนที่มีรูปแบบเฉพาะของแต่ละคน บ้างประสบความสำเร็จและบ้างก็ผิดพลาด
แต่ในท้ายที่สุดแล้วนิยามของการลงทุนก็คือ การซื้อในราคาที่ต่ำและขายเมื่อราคาปรับ
ขึ้นจนมีกำไรแทบทั้งสิ้น
การลงทุนในหุ้นเปรียบได้กับการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่ต้องการผลตอบแทนในรูป
ของกำไร นักลงทุนบางคนอาจจะมีรายได้หลักมาจากการลงทุนในหุ้น แต่ส่วนมากแล้ว
นักลงทุนจะมีงานประจำ มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ธุรกิจครอบครัว มีรายได้หลักมาจากตัวธุรกิจ
มีรายได้เสริมมาจากการลงทุนในหุ้น
แต่….จะมีสักกี่คน ที่คิดว่าการซื้อขายหุ้นในแต่ละครั้งนั้นเป็นการทำธุรกิจ
บ่อยครั้งของการซื้อขายหุ้นจะถูกครอบงำด้วยความโลภและความกลัว ซึ่งแตกต่างกัน
โดยสิ้นเชิงกับรูปแบบการทำธุรกิจ
การทำธุรกิจ อาทิเช่น การซื้อของมาแล้วขายของไปแบบร้านค้าปลีก หรือ
การลงทุนทำธุรกิจซื้อมาขายไปของสินค้าอื่นๆ ยังต้องมีการวางแผนทางการเงิน
มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของธุรกิจ หรือแม้แต่อุตสาหกรรมการผลิต ก็ยังต้อง
มีการวางแผนการผลิต การคำนวณและควบคุมต้นทุน การดูจุดคุ้มทุน
ในโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีนักลงทุนหลายท่านที่ซื้อขายหุ้นโดยใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง
และถูกกดดันโดยภาวะตลาด บังคับและเร่งให้ทำการซื้อขาย
เงินจำนวน1ล้านบาทในการทำธุรกิจนั้น กว่าที่จะเริ่มลงทุนได้ยังต้องมีการประเมินหลายด้าน
เช่น กำลังซื้อ แนวโน้มของธุรกิจ ทิศทางของอุตสาหกรรมนั้นๆว่าอยู่ในทิศทางใด
ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
แต่เหตุใด ทำไมการซื้อขายหุ้น1ล้านบาท ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงในการตัดสินใจ
บางคนอาจจะเพียงแค่5นาทีเท่านั้น สิ่งเหล่านี้น่าคิด …
หากวิเคราะห์และประเมินง่ายๆ เหตุผลก็คือ
สภาพคล่องในการเปลี่ยนจากเงินเป็นสินค้า จากสินค้าเป็นเงิน
การลงทุนทำธุรกิจ
หากลงทุนไปแล้ว การจะเปลี่ยนใจเลิกลงทุนในทันทีนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยากและใช้ระยะ
เวลา เงินลงทุนต่างๆนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งของต่างๆ ในรูปแบบ ค่าเช่า เครื่องใช้ อุปกรณ์
ตกแต่ง รวมถึงสินค้า ดังนั้นการตัดสินใจทำอะไรจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วน คิดระยะเวลาผลตอบแทน
ว่าจะคืนทุน คุ้มค่ากับดอกเบี้ยและค่าเสียโอกาสหรือไม่
ตรงกันข้าม กับการซื้อขายหุ้น เมื่อนักลงทุนตัดสินใจซื้อ-ขายไปแล้ว หากนักลงทุนต้องการ
เปลี่ยนแปลงการลงทุน ก็สามารถที่จะทำรายการแก้ไขได้ทันที คือขาย-ซื้อ การแปรเปลี่ยน
ระหว่างเงินสดกับหุ้นนั้น เป็นเรื่องง่ายและคล่องตัว ด้วยสาเหตุนี้จึงทำให้การตัดสินใจในการ
ลงทุนเป็นไปอย่างรวดเร็ว และ เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความโลภกับความกลัวด้วยแล้ว ก็เป็น
ตัวเร่งอย่างดีที่ทำให้เกิดการซื้อขายที่เร็วขึ้น ถี่ขึ้น
นักลงทุนจึงควรเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น เสมือน การลงทุนทำธุรกิจ
การเปลี่ยนทัศนคตินี้จะช่วยให้นักลงทุนรู้จัก คำว่า ความเสี่ยง ความพอดีในการลงทุน
ความสมดุลในการซื้อขายและการมองโลกด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่สิ่งเพ้อฝัน
วิธีการง่ายๆในการปรับเปลี่ยนมุมมองทัศนคติด้านนี้ คือ
** การลงทุนในแต่ละครั้ง ย่อมมีความผิดพลาดได้เสมอ ไม่มีผู้ใดสามารถทำได้อย่าง
ครบถ้วน ถูกต้อง ถูกจังหวะตลอดเวลา การประเมินทิศทางของเศรษฐกิจ การประเมิน
บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยรวมเป็นสิ่งสำคัญ นักลงทุนต้องเชื่อและปฏิบัติตามสิ่งที่ได้
รับจากประเมิน การคิดเข้าข้างตนเองแบบมีอคติ และใช้ความคาดหวังแบบเพ้อฝันมาเป็น
ที่ตั้งนั้น คือความผิดพลาดอย่างร้ายแรง จุดนี้สำคัญมากที่สุด เพราะความผิดพลาดส่วนใหญ่
ของนักลงทุนมักเกิดจากการที่นักลงทุน ไม่ยอมรับสภาพสิ่งที่เป็นอยู่จริง พยายามฝืนตลาด
มีความต้องการที่จะเอาชนะอย่างเดียว โดยไม่มองด้านแพ้ ทำให้เกิดการประมาทและขาด
ความยั้งคิด ผลที่ตามมาก็คือความเสียหายด้านทรัพย์สิน เวลา และบางครั้งกระทบถึงสภาพจิตใจ
เมื่อนักลงทุนเข้าใจในสิ่งต่างๆที่กำลังเผชิญอยู่แล้ว สิ่งที่นักลงทุนต้องมีต่อไปนั้น ก็คือ
** การรู้จักรอคอย รอคอยโดยใช้สติ รู้จักอดทนกับทุกสภาวะที่หลั่งไหลเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสาร บรรยากาศการลงทุน การรอคอยที่ดีนั้น ไม่ใช่การรอคอย
แบบเป็นผู้รับ ต้องรอคอยแบบเป็นผู้รุก นั่นก็คือ
ช่วงเวลาระหว่างการรอคอยโอกาสต่างๆนั้นต้องมีการเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง
หมั่นศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมต่างๆที่สนใจ และ กรองข่าวสารต่างๆที่หลั่ง
ไหลเข้ามาว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน อย่างไร มีความเป็นไปได้หรือไม่
เหล่านี้คือการรอคอยแบบรุก เสริมสร้างอาวุธให้พร้อม เมื่อใดโอกาสดีมาถึง นักลงทุน
ก็จะมีความพร้อมที่จะลงทุนและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นเพราะมีการเสริมสร้างความรู้ไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อนักลงทุนเข้าใจเรื่องความเสี่ยง การรู้จักรอคอยโอกาส และ การเตรียมความ
พร้อมให้กับตนเองแล้ว ก่อนที่จะเริ่มทำการลงทุน ควรจะปฏิบัติตัวให้เหมือนกับการลงทุน
ทำธุรกิจทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น
หากเราเปิดร้านค้าปลีก เราต้องเลือกสินค้าที่ขายง่าย เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคและ
มีหลากหลายในตัวสินค้า มีสินค้า ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ เฉกเช่น
กับการลงทุนในตลาดหุ้น เราต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่อง ซื้อขายคล่องตัว ทุกครั้งที่เรา
ต้องการจะขาย ก็มีคนพร้อมที่จะรับซื้อ หุ้นที่นักลงทุนเลือกควรมีความหลากหลาย
เป็นการกระจายความเสี่ยง และที่สำคัญคือ ควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่มีข่าวมากระทบ
ในด้านลบ หรือ มีการเปลี่ยนแปลงในด้านพื้นฐานของบริษัทอย่างชัดเจน บริษัทเหล่านี้
ก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกซื้อสินค้าเน่า กระป๋องบุบ หมดอายุเข้ามาขายในร้าน
… จะเห็นได้ว่าการเลือกลงทุนนั้นไม่ยาก หากนักลงทุนตั้งสติแล้วเข้าใจการดำเนินไป
ของการซื้อขายหุ้น โดยการเปรียบเทียบกับการทำธุรกิจจริงๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักลงทุน
ได้รู้ว่าเงินทองนั้นสามารถสร้างผลกำไรให้เป็นกอบเป็นกำ ไม่ว่าจะลงทุนในธุรกิจจริงๆ
หรือลงทุนในหลักทรัพย์ …
ประการสุดท้าย
** การประกอบธุรกิจใดๆ หรือลงทุนในอะไรก็ตาม ต้องรู้จักแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วนๆ
ทยอยลงทุน นักลงทุนไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่า ทุกครั้งที่ทำการลงทุนไปนั้นจะเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด
การแบ่งเงิน ทยอยลงทุน จะทำให้นักลงทุน ไม่พลาดโอกาสที่ดีที่สุด และเป็นการป้องกัน
ความเสี่ยง หากเกิดความผิดพลาดๆใด นักลงทุนก็ยังคงเหลือเงินลงทุนบางส่วนอยู่
ตราบใดที่การลงทุนนั้นยังคงเปิดกว้าง นักลงทุนไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ลงทุน ทุกคน
มีโอกาสได้ลงทุนทุกเวลา ทุกสถานที่ แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องกลัวก็คือ เมื่อถึงคราวที่น่า
ลงทุนจริงๆ จะไม่มีเงินลงทุนเหลือให้ลงทุนต่างหาก ดั่งสุภาษิตที่ว่า เจอไม้งามเมื่อขวานบิ่น
จะเห็นได้ว่า ก่อนที่นักลงทุนจะเริ่มต้นทำการซื้อขายหุ้นได้นั้น นักลงทุนต้องมีมุมมอง
เกี่ยวกับธุรกิจให้ถ่องแท้เสียก่อนแล้วนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในหุ้นเพื่อให้ทุกครั้ง
ของการลงทุนนั้น เป็นการลงทุนที่มีค่า และผ่านการกลั่น
กรองโดยความคิด
ไม่ใช่ โดยอารมณ์ จงตระหนักว่า นักลงทุนกำลังใช้เงินเพื่อการลงทุนจริงๆเสมือนการทำธุรกิจ
ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกันหากไม่มีการประเมินในทุกๆด้าน การทำธุรกิจหากผิดพลาดยัง
พอมีสินทรัพย์พอขายทอดตลาดได้ แต่การลงทุนในหุ้นหากผิดพลาดแล้ว มีแต่ทุนหาย
ความเสี่ยงจึงมากกว่า แต่ไม่มีอะไรในโลกนี้ยากเกินกว่ามนุษย์จะทำได้ ดังนั้นการมีทัศนคติ
ที่ถูกต้องเกี่ยวกับการลงทุน จะทำให้ทุกครั้งของการลงทุนของนักลงทุน มีเหตุผลมากยิ่งขึ้น
และจะเข้าใจในธรรมชาติของคำว่ากำไรและขาดทุนว่าเป็นสิ่งที่คู่กัน ทุกครั้งที่นักลงทุนกำไร
ก็จะมีอีกหนึ่งนักลงทุนที่ขาดทุน ไม่ว่าจะเป็นการขาดทุนจริงๆหรืออาจจะเป็นการขาดทุนกำไร
(กำไรน้อยกว่าที่ควรจะได้รับ)
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คงเป็นเพียงเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่ควรรู้ก่อนการซื้อขายหุ้นเท่านั้น
ยังคงมีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับการลงทุน อาทิ เช่น การเลือกว่าจะลงทุนอะไร ปัจจัยใดที่ต้องนำ
มาพิจารณาให้ความสำคัญในการลงทุน เทคนิควิธีการซื้อขาย ซึ่งทั้งหมดนี้ยังต้องรอการเข้า
มาศึกษาของบรรดานักลงทุนเพิ่มเติม แต่การเริ่มต้นที่ดีย่อมเสมือนการเตรียมความพร้อม
ก่อนเข้าสู่สนามการลงทุน ให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นักลงทุนไม่ควรละเลยที่จะให้ความสำคัญ
กับการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
มุมมองทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผมพยายามนำเสนอ เพื่อให้นักลงทุนได้ฉุกคิดแล้วมีมุมมองในด้าน
บวกต่อการลงทุน การลงทุนเสมือนนักลงทุนร่วมทำธุรกิจ ไม่ใช่ เข้ามาลงทุนเพื่อ การวัดดวง
รอการทำราคาหุ้น เพียงแค่นักลงทุนปรับเปลี่ยนมุมมองได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเดียวก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามแล้ว
from http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I7863649/I7863649.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น