My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
27 ตุลาคม 2568
25 ตุลาคม 2568
กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI (MSCI All Country World Index)
การลงทุนใน กองทุนดัชนี MSCI ACWI (MSCI All Country World Index) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก เนื่องจากดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางจากประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทั่วโลก
ความน่าสนใจของการลงทุนใน MSCI ACWI
- ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง: ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งดัชนี มีความโดดเด่น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ในระยะยาว (อ้างอิงข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2025) ซึ่งแสดงถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
- ต้นทุนต่ำ: โดยปกติ กองทุนที่อ้างอิงดัชนี (Index Fund) เป็นการลงทุนแบบ Passive ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี ทำให้มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนประเภท Active โดยทั่วไป
- การกระจายความเสี่ยง: ดัชนีนี้กระจายการลงทุนไปใน หุ้นทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และครอบคลุม หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นการลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของประเทศหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้อย่างดี
นักลงทุนในไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในดัชนี MSCI ACWI ได้อย่างสะดวกง่ายดายผ่าน กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่จัดตั้งโดย บลจ. ในประเทศ โดยมีข้อดีและข้อเสียเมื่อเทียบกับการไปลงทุนต่างประเทศเอง สรุปได้ดังนี้:
1. ความสะดวก
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: ลงทุนง่ายผ่าน Mobile Application/เว็บไซต์ของ บลจ. หรือธนาคาร
- ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศและจัดการเรื่องโอนเงินด้วยตนเอง
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีเอกสารอัปเดตข้อมูลกองทุนรวม (Fund Fact Sheet) เป็นภาษาไทยและเป็นมาตรฐาน
- ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างประเทศทั้งหมด
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (Hedging) ให้ โดยส่วนใหญ่จะมีนโยบายป้องกัน 100% หรือบางส่วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
- ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินด้วยตนเอง (หรือยอมรับความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน)
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: กำไรจากการขาย (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี
- ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: เสียภาษี Capital Gain
5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่เรียกเก็บโดย บลจ. เพิ่มเติมประมาณ 0.5% - 1.0% ต่อปี
- ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการแบบการลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย
กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI
1. กองทุน K-WORLDX
- บลจ กสิกรไทย
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.6324% ต่อปี
2. กองทุน K-WORLDXRMF
- บลจ กสิกรไทย
- ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.5960% ต่อปี
3. กองทุน KKP PGE-UH
- บลจ เกียรตินาคินภัทร
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
- ค่าธรรมเนียม: 0.6770% ต่อปี
4. กองทุน KKP PGE-H
- บลจ เกียรตินาคินภัทร
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.6810% ต่อปี
5. กองทุน KKP PGE RMF-UH
- บลจ เกียรตินาคินภัทร
- ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
- ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
- ค่าธรรมเนียม: 0.6741% ต่อปี
6. กองทุน KKP PGE RMF-H
- บลจ เกียรตินาคินภัทร
- ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.7120% ต่อปี
7. กองทุน LHGEQP
- บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 2.1493% ต่อปี
8. กองทุน LHGEQRMF
- บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
- ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 2.4653% ต่อปี
9. กองทุน KF-WORLD-INDX-A
- บลจ กรุงศรี
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 1.0447% ต่อปี
10. กองทุน KF-WORLD-INDXRMF
- บลจ กรุงศรี
- ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.9951% ต่อปี
11. กองทุน KTGEQA
- บลจ กรุงไทย
- ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
- ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
- ค่าธรรมเนียม: 0.6729% ต่อปี
15 ตุลาคม 2568
โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)
โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)
การยืมเงินเพื่อน คือวิธีเสียเพื่อนที่เร็วที่สุด เงินทำลายมิตร !
"จากเพื่อนรักสู่เจ้าหนี้! ระวัง 6 พฤติกรรมการเงินที่อาจพังความสัมพันธ์ ยืมเงินเพื่อนเสี่ยงเสียเพื่อนมากที่สุด"
มิตรภาพเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แต่รู้หรือไม่ว่า เงิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนเพื่อนรักให้กลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา? หลายคนอาจคิดว่า “แค่ยืมเงินนิดเดียว คงไม่เป็นไรหรอก” แต่ความจริงแล้ว เงินสามารถสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้อย่างคาดไม่ถึง มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่เงินสามารถทำลายมิตรภาพได้ พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงก่อนสายเกินไป!
เปิด 6 วิธีที่เงินทำลายมิตรภาพ
3. ไม่คืนเงินที่เพื่อนช่วยเหลือ
ถ้าเพื่อนช่วยเหลือคุณในยามลำบาก และคุณกลับละเลยหรือไม่คืนเงินให้ในเวลาที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นการทำลายความเชื่อใจอย่างร้ายแรง ถ้าไม่สามารถคืนเงินตรงเวลา ควรสื่อสารให้เพื่อนรับรู้ และแสดงความรับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ความเงียบทำให้ความสัมพันธ์จบลงแบบไม่มีวันกลับมา
4. หลอกเพื่อนเพื่อให้ยืมเงิน
ถ้าคุณเคยโกหกเพื่อให้เพื่อนยืมเงิน เช่น บอกว่าต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่สุดท้ายกลับไปช้อปปิ้งหรือเที่ยวหรู แน่นอนว่าเพื่อนคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ บอกความจริงตรง ๆ ดีกว่า การโกหกอาจทำให้คุณได้สิ่งที่ต้องการในระยะสั้น แต่จะสูญเสียมิตรภาพในระยะยาว
5. ค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน
ฟังดูเหมือนการช่วยเหลือเพื่อนที่ดีใช่ไหม? แต่การค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนอาจทำให้คุณต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัว ถ้าเพื่อนจ่ายไม่ตรงเวลา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแทน แถมยังส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของคุณอีกด้วย ก่อนตัดสินใจค้ำประกันอะไรให้ใคร คิดให้รอบคอบและดูความเสี่ยงให้ดี
6. คืนเงินช้าเกินไปจนเพื่อนต้องทวง
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการต้องคอยทวงเงินจากเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก การทำให้เพื่อนต้องรอโดยไม่จำเป็นจะสร้างความไม่พอใจและความกดดันในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเป็นฝ่ายยืมเงิน ควรคืนให้ตรงเวลา หรือถ้าติดปัญหาจริง ๆ ก็ควรแจ้งเพื่อนล่วงหน้า การนิ่งเฉยไม่ใช่ทางออกและอาจทำให้มิตรภาพพังได้ง่าย ๆ
เงินกับมิตรภาพ—เรื่องที่ต้องคิดให้ดี!
เงินอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สามารถส่งผลกระทบมหาศาลต่อความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องให้เพื่อนยืมเงินหรือขอยืมเงินจากเพื่อน คิดให้รอบคอบและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน มิตรภาพที่ดีมีค่ามากกว่าเงินเสมอ ดังนั้น อย่าปล่อยให้เงินเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิตของคุณ!
มิตรภาพเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แต่รู้หรือไม่ว่า เงิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนเพื่อนรักให้กลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา? หลายคนอาจคิดว่า “แค่ยืมเงินนิดเดียว คงไม่เป็นไรหรอก” แต่ความจริงแล้ว เงินสามารถสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้อย่างคาดไม่ถึง มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่เงินสามารถทำลายมิตรภาพได้ พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงก่อนสายเกินไป!
เปิด 6 วิธีที่เงินทำลายมิตรภาพ
1. ให้เพื่อนยืมเงินแล้วไม่ได้คืน
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้มิตรภาพพังลง ถ้าคุณให้เพื่อนยืมเงิน แล้วเขา “ลืม” คืน หรือเลื่อนแล้วเลื่อนอีก บอกเลยว่าความสัมพันธ์อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญในมิตรภาพ และเมื่อมันถูกทำลายไป โอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยากมาก ทางออกที่ดีที่สุดคือ ถ้าจะให้เพื่อนยืมเงิน ให้คิดไปเลยว่าเป็นเงินที่คุณอาจไม่ได้คืน ถ้าให้แล้วต้องมานั่งเครียด เสียเพื่อน เสียใจ แบบนี้ไม่คุ้มแน่นอน!
2. ปฏิเสธที่จะให้ยืมเงิน
อีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงิน ก็อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน บางครั้งเพื่อนอาจกำลังเดือดร้อน และถ้าคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มันอาจทำให้เขารู้สึกแย่และห่างเหินจากคุณไปตลอด ทางออกที่ดีคือ อธิบายเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา หรือถ้าคุณอยากช่วยจริง ๆ อาจให้เป็นจำนวนที่คุณสามารถให้ได้โดยไม่เดือดร้อน และอย่าคาดหวังว่าจะได้รับคืน
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้มิตรภาพพังลง ถ้าคุณให้เพื่อนยืมเงิน แล้วเขา “ลืม” คืน หรือเลื่อนแล้วเลื่อนอีก บอกเลยว่าความสัมพันธ์อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญในมิตรภาพ และเมื่อมันถูกทำลายไป โอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยากมาก ทางออกที่ดีที่สุดคือ ถ้าจะให้เพื่อนยืมเงิน ให้คิดไปเลยว่าเป็นเงินที่คุณอาจไม่ได้คืน ถ้าให้แล้วต้องมานั่งเครียด เสียเพื่อน เสียใจ แบบนี้ไม่คุ้มแน่นอน!
2. ปฏิเสธที่จะให้ยืมเงิน
อีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงิน ก็อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน บางครั้งเพื่อนอาจกำลังเดือดร้อน และถ้าคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มันอาจทำให้เขารู้สึกแย่และห่างเหินจากคุณไปตลอด ทางออกที่ดีคือ อธิบายเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา หรือถ้าคุณอยากช่วยจริง ๆ อาจให้เป็นจำนวนที่คุณสามารถให้ได้โดยไม่เดือดร้อน และอย่าคาดหวังว่าจะได้รับคืน
3. ไม่คืนเงินที่เพื่อนช่วยเหลือ
ถ้าเพื่อนช่วยเหลือคุณในยามลำบาก และคุณกลับละเลยหรือไม่คืนเงินให้ในเวลาที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นการทำลายความเชื่อใจอย่างร้ายแรง ถ้าไม่สามารถคืนเงินตรงเวลา ควรสื่อสารให้เพื่อนรับรู้ และแสดงความรับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ความเงียบทำให้ความสัมพันธ์จบลงแบบไม่มีวันกลับมา
4. หลอกเพื่อนเพื่อให้ยืมเงิน
ถ้าคุณเคยโกหกเพื่อให้เพื่อนยืมเงิน เช่น บอกว่าต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่สุดท้ายกลับไปช้อปปิ้งหรือเที่ยวหรู แน่นอนว่าเพื่อนคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ บอกความจริงตรง ๆ ดีกว่า การโกหกอาจทำให้คุณได้สิ่งที่ต้องการในระยะสั้น แต่จะสูญเสียมิตรภาพในระยะยาว
5. ค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน
ฟังดูเหมือนการช่วยเหลือเพื่อนที่ดีใช่ไหม? แต่การค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนอาจทำให้คุณต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัว ถ้าเพื่อนจ่ายไม่ตรงเวลา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแทน แถมยังส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของคุณอีกด้วย ก่อนตัดสินใจค้ำประกันอะไรให้ใคร คิดให้รอบคอบและดูความเสี่ยงให้ดี
6. คืนเงินช้าเกินไปจนเพื่อนต้องทวง
ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการต้องคอยทวงเงินจากเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก การทำให้เพื่อนต้องรอโดยไม่จำเป็นจะสร้างความไม่พอใจและความกดดันในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเป็นฝ่ายยืมเงิน ควรคืนให้ตรงเวลา หรือถ้าติดปัญหาจริง ๆ ก็ควรแจ้งเพื่อนล่วงหน้า การนิ่งเฉยไม่ใช่ทางออกและอาจทำให้มิตรภาพพังได้ง่าย ๆ
เงินกับมิตรภาพ—เรื่องที่ต้องคิดให้ดี!
เงินอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สามารถส่งผลกระทบมหาศาลต่อความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องให้เพื่อนยืมเงินหรือขอยืมเงินจากเพื่อน คิดให้รอบคอบและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน มิตรภาพที่ดีมีค่ามากกว่าเงินเสมอ ดังนั้น อย่าปล่อยให้เงินเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิตของคุณ!
11 ตุลาคม 2568
ทดลอง DCA กองทุนรวม RMF ACWI (MSCI All Country World Index)
การลงทุนในดัชนี ACWI (MSCI All Country World Index) ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้น แต่คือการได้เป็นเจ้าของกิจการชั้นนำระดับโลกกว่า 2,900 บริษัท ครอบคลุมทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ รวม 47 ประเทศ คิดเป็น 85% ของมูลค่าตลาดหุ้นโลก เท่ากับว่าคุณกำลังลงทุนในธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Apple, Samsung, Sony และอีกมากมาย!
นี่คือการกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เพราะคุณไม่ได้ผูกติดอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า
สถิติย้อนหลัง ณ เดือนตุลาคม 2025:
- ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 10 -13%
- 10 ปีอยู่ที่ 8 - 11%
- และ 20 ปีอยู่ที่ 7 - 9%
การ DCA คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย ยังไง?
DCA (Dollar-Cost Averaging) คือกลยุทธ์การลงทุนแบบ "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" โดยทยอยลงทุนด้วย จำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหน่วยลงทุนหรือภาวะตลาด
ข้อดี:
ข้อเสีย:
การลงทุนในกองทุนรวม RMF ดียังไง?
RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือตัวช่วยวางแผนเกษียณที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีข้อดีต่างๆ ดังนี้
กลยุทธ์ DCA 10 ปี สู่เงิน 1.5 - 2 ล้านบาท
หากผมตั้งใจใช้กลยุทธ์ DCA ในกองทุนรวม RMF ACWI เดือนละ 10,000 บาท (ปีละ 120,000 บาท) เป็นเวลา 10 ปี:
ข้อดี:
- สร้างวินัยการออม ให้มีเงินเก็บต่อเนื่อง
- ตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด
- ลดความเสี่ยง ที่จะเข้าซื้อในราคาสูงสุด (ติดดอย) เพราะเป็นการเฉลี่ยต้นทุน
ข้อเสีย:
- อาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่า หากสามารถจับจังหวะซื้อในราคาต่ำสุดได้แม่นยำ (แต่แทบไม่มีใครทำได้)
- ต้องมีวินัย ในการลงทุนให้ต่อเนื่องตามแผน
การลงทุนในกองทุนรวม RMF ดียังไง?
RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือตัวช่วยวางแผนเกษียณที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีข้อดีต่างๆ ดังนี้
- ลดหย่อนภาษีได้ ตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนด
- สร้างวินัยการออมระยะยาว เพื่อเป้าหมายเกษียณ เพราะมีเงื่อนไขการถือครองต่อเนื่อง (อย่างน้อย 5 ปี และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์)
- เลือกลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้
กลยุทธ์ DCA 10 ปี สู่เงิน 1.5 - 2 ล้านบาท
หากผมตั้งใจใช้กลยุทธ์ DCA ในกองทุนรวม RMF ACWI เดือนละ 10,000 บาท (ปีละ 120,000 บาท) เป็นเวลา 10 ปี:
- เงินลงทุนรวม ที่สะสมไปคือ 10,000 × 120 เดือน = 1,200,000 บาท
- เป้าหมาย 1.5 - 2 ล้านบาท หมายความว่าผมต้องทำผลตอบแทนให้ได้เฉลี่ยประมาณ 5% - 8% ต่อปี
- จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนีหุ้นโลก (ACWI) ซึ่งมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 8% ต่อปีในระยะยาว ทำให้ การคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้านบาทดูเป็นไปได้จริง สำหรับแผน 10 ปีนี้
- ผมตั้งใจจะเริ่มต้นลงทุนเดือน มกราคม 2026 และคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้าน ภายในเดือน ธันวาคม 2035 ครับ (^_^)
06 ตุลาคม 2568
ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คุณกินยาเม็ดสีแดงหรือสีน้ำเงิน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในปี 1999 ภาพยนตร์เรื่อง “The Matrix” ดังมาก ฉากสำคัญในหนังที่เป็นที่จดจำและคนนำมาพูดต่อจนกลายเป็นกระแสและเป็นปรัชญาชีวิตในด้านต่าง ๆ ก็คือ การกินยาเม็ดของนักแสดงนำคือ “Neo” ก่อนเข้านอนที่มีให้เลือกว่าจะเอาสีแดงหรือสีน้ำเงิน
ถ้ากินเม็ดสีแดง คุณก็จะตื่นขึ้นมาพบกับ ความจริงและสิ่งที่เป็นความจริงที่คุณต้องประสบ ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน จาก “The Matrix” หรือ “ภาพลวง” ที่คุณอยู่ก่อนกินยา และเมื่อคุณกินยาเม็ดสีแดงนี้ คุณจะไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้เลย พูดง่าย ๆ คุณไม่สามารถ “ถอน” สิ่งที่คุณเห็นแล้วว่าเป็นจริง คุณกลับไป “หลอกตนเอง” ไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าคุณกินยาเม็ดสีน้ำเงิน นั่นแปลว่าคุณเลือกความสบายใจและ “ภาพลวงตา” หรือมายา คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตามปกติ และก็ไม่เคยรู้หรือตระหนักเลยว่า “Matrix” หรือ “ภาพลวง” หรือมายานั้นมีอยู่
พูดอย่างสั้นที่สุดก็คือ ยาเม็ดสีแดงนั้นแทน ความตระหนักรู้ สัจจธรรม และความเป็นจริงของโลกที่โหดร้าย และไม่มีทางหวนกลับ ส่วนยาเม็ดสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความไม่รู้ ความสะดวกสบายใจ และความปลอดภัย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านั้น
หลังจากการฉายหนังแล้ว คนในวงการต่าง ๆ ก็นำแนวคิดนั้นไปใช้เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างความจริงที่อาจจะเจ็บปวด กับความหลอกลวงที่อาจจะทำให้สบายใจ และอยู่กับมายาคติอย่างที่เป็นมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และในหลาย ๆ กรณีก็ยังดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยการเปลี่ยนและเพิ่มสีของยาเม็ดเข้าไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ในทางสังคมและการเมืองที่มีการพูดถึงยาเม็ดสีดำว่า เป็นยาที่แทนความสิ้นหวัง เชื่อว่าความเป็นจริงก็คือความสิ้นหวังหดหู่และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ สีขาวคือการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง คือเห็นความจริงและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสีม่วงที่อยู่ตรงกลางคือต้องการความจริงแต่ก็ต้องสบายใจด้วย
ว่าที่จริงผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงหนึ่งเมื่อซัก 20 ปีมาแล้วที่เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่ากับคนชั้นนำในเมืองและก็เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ของกลุ่มคนที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาบางคนที่ “รวยมาก” ที่ผมรู้จักได้พูดกับผมว่า เขาเหมือนกับดาราในหนัง Matrix คือเลือกกินยาเม็ดสีแดง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย แต่เขากลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
กลับมาที่ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่ามีการใช้อุปมาอุปมัยเกี่ยวกับยาเม็ดของหนัง The Matrix แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบ เพราะตัวผมเองนั้น เมื่อมาคิดดู หลังจากที่ผมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวเกือบ 30 ปีมาแล้ว ผมก็ได้เลือกกินยาเม็ดสีแดงก่อนเข้านอนและตื่นขึ้นมาในโลก “ใบใหม่” ที่ผมพบกับความจริงและความเป็นจริงของตลาดหุ้นและการลงทุน
โดยที่ปรัชญาชี้นำในชีวิตผมก็เปลี่ยนเป็นแบบ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมรู้สึกหลุดพ้นจาก “ภาพลวง” ของตลาดหุ้นและการลงทุนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเกิดอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายเป็นช่วง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า “VI” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ เมื่อเป็น VI แล้ว เราก็ต้องเป็นตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปเล่นเก็งกำไรหรือเล่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในการลงทุนนั้นพูดกันว่า ยาเม็ดสีน้ำเงินก็คือ การลงทุนที่คุณเชื่อหรือปฏิบัติการลงทุนดังต่อไปนี้คือ (ซึ่งมักจะเป็นภาพลวงและให้ความสบายใจเวลาทำ)
1) เกาะกลุ่มไปกับฝูงชน หรือที่เรียกกันว่าเล่นหุ้นตามแห่ เพราะนี่จะทำให้เกิดความสบายใจ เพราะหุ้นมักจะวิ่งขึ้นเร็วและแรงและมีสภาพคล่องที่ดี ไม่อยากเล่นหุ้นที่ไม่มีใครเล่น
2) เชื่อว่า ตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้อันตรายถ้าคุณคอยติดตามอย่างใกล้ชิด และราคาหุ้นนั้นสะท้อนพื้นฐานของกิจการ หุ้นขึ้นก็เพราะมันมีข่าวดี หุ้นลงเพราะมีข่าวร้าย การปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นเป็นแบบนั้นอย่างรวดเร็ว
3) มักติดตามและเชื่อนักวิเคราะห์ นักข่าว และ “เซียน” โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าในตลาดหุ้นไทยก็มักจะถูกเรียกว่าเป็น “เม่า”
4) ชอบเล่นหุ้นที่อยู่ในกระแส เป็นหุ้นที่ทุกคนพูดถึงหรือทุกคนเล่นโดยไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงของราคาหุ้นทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ยาเม็ดสีแดงในตลาดหุ้นจะทำให้คน ๆ นั้น เชื่อในหลักการที่เป็นความจริงและสภาพความเป็นจริง เช่น
1) กล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง ฟองสบู่หุ้นและตลาดหุ้น และการปั่นหุ้นที่มีตลอดเวลา
2) ตระหนักว่านักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนแย่กว่าตลาด และอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีผลกระทบต่อการซื้อ-ขายหุ้นและราคาตลาดมาก
3) พร้อมที่จะศึกษาและวิเคราะห์ตลาดและหุ้นด้วยตัวเอง กล้า “สวนกระแส” ทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่หรือฝูงชน ยอมรับความผันผวนของหุ้น ไม่ซื้อ-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นลงรุนแรง
4) กล้าถือหุ้นยาวผ่านช่วงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกกินยาเม็ดสีแดงก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์
ชาลี มังเกอร์ เรย์ ดาลิโอ โฮเวิร์ด มาร์ก และโมนิช พราไบร์ เป็นต้น ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น VI โดยเฉพาะที่เป็น “รุ่นบุกเบิก” ส่วนมาก ผมเชื่อว่าคงกินยาเม็ดสีแดงตอนเข้าตลาดหุ้นอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางแบบ VI แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคในการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้
ยาเม็ดสีแดงที่ผมกินตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 นั้นก็คือ การศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลักการของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเริ่มมีคนเขียน อย่างเช่น เรื่อง The Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม The Warren Buffett Way ของ Robert G. Hagstrom รวมถึง Buffettology ของแมรี่ บัฟเฟตต์ เป็นต้น
ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ของตลาดหุ้นและการลงทุน เริ่มวางแผนการเงินและเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ผมยังจำได้ว่าผมตั้งความหวังที่จะมีเงิน “พันล้านบาทก่อนตาย” โดยที่ผมสามารถที่จะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี แนวคิดว่าผมมี “ตะเกียง 3 ดวง” ที่ผมจะต้องจัดการและดูแล ซึ่งก็คือ 1) เงินต้นที่มีอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 2) ผลตอบแทนการลงทุนที่ผมจะสามารถทำได้ต่อปีแบบทบต้น ซึ่งผมวางไว้ว่าสูงถึง 15% และ 3) ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึง 80 ปี ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นในตอนนั้นซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดหรือพูดถึงมาก่อน
สิ่งที่ผมคิดบนกระดาษในช่วงเวลานั้น ดูในทางทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำได้ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ เหตุผลสำคัญน่าจะอยู่ที่ Mentality หรือความคิดที่ติดตัวผมตั้งแต่เกิดที่ว่า “เราเป็นคนจน” ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็คงทำได้แค่ระดับหนึ่ง ไม่สามารถไปเทียบกับ “คนรวย” ที่เป็นคนจ้างเราทำงานและจ่ายเงินเดือนให้เรามาตลอด ถ้าจะพูดไป ผม “เจียมตัว” มาตลอดชีวิต การที่จะมีเงินพันล้านบาทในช่วงปี 2542-2543 นั้นคือคนที่แทบจะเรียกว่าเป็น “มหาเศรษฐี”
แต่ในตอนนั้น ตัวเลขจากการคำนวณบอกว่าถ้าผมรักษาเงินต้นและเพิ่มพูนมันขึ้นไปโดยการทำงานไปเรื่อย ๆ และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และลงทุนแบบที่ผมเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวซึ่งก็คือการลงทุนในแบบ VI อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมรักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บหรือตายก่อน 80 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ ผมก็จะต้องรวยเป็น “มหาเศรษฐี” ทั้ง ๆ ที่มีเงินเพียงหลักสิบล้านบาทในวันเริ่มต้น
หลังจากเวลาที่เริ่มกินยาเม็ดสีแดงในวันนั้นแล้ว ก็อย่างที่รู้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเกือบ 20 ปีแรก กลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนของผมดีมาก แทบจะเรียกว่า “ระดับโลก” เป้าหมายความมั่งคั่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สามารถบรรลุไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือชั้น เพราะนักลงทุนคนอื่นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “VI” ตาม “กระแส VI” ที่กำลังโด่งดัง กลับ “ดีกว่า” และทำให้เกิด “เศรษฐีพันล้าน” เกลื่อนตลาด
แต่แล้ว ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีก แต่ในทางที่แย่ลง ตลาดหุ้นย่ำแย่มายาวนานเป็น 10 ปี หลักการและวิธีการลงทุนแบบ VI เริ่มใช้ไม่ได้ผล นักลงทุนจำนวนมากที่เคยรวยมาก เดี๋ยวนี้รวยน้อยลงไปมาก บางคนกลายเป็นคนเคยรวย ผลตอบแทนที่ลดลงในตลาดหุ้นไทยอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเลิกไปเลย จำนวนมากหันไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเลิกความคิดแบบ VI ไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ได้ หลายคนกลับไปใช้เทคนิคเดิมที่คุ้นเคย
ผมเองก็ต้องปรับตัว พยายามลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเลือกไม่ค่อยได้เนื่องจากความรู้ในตัวหุ้นจำกัด บางครั้งผมก็คิดว่าเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะผมกินยาเม็ดสีแดงไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ตอนนี้ก็เลยเก็บแต่เงินสดไปเรื่อย ๆ คงจะรอจนกว่าหุ้นจะเข้าข่ายเป็น VI คือคุณภาพดี ราคาถูก ถึงจะซื้อ
ถ้ากินเม็ดสีแดง คุณก็จะตื่นขึ้นมาพบกับ ความจริงและสิ่งที่เป็นความจริงที่คุณต้องประสบ ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน จาก “The Matrix” หรือ “ภาพลวง” ที่คุณอยู่ก่อนกินยา และเมื่อคุณกินยาเม็ดสีแดงนี้ คุณจะไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้เลย พูดง่าย ๆ คุณไม่สามารถ “ถอน” สิ่งที่คุณเห็นแล้วว่าเป็นจริง คุณกลับไป “หลอกตนเอง” ไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าคุณกินยาเม็ดสีน้ำเงิน นั่นแปลว่าคุณเลือกความสบายใจและ “ภาพลวงตา” หรือมายา คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตามปกติ และก็ไม่เคยรู้หรือตระหนักเลยว่า “Matrix” หรือ “ภาพลวง” หรือมายานั้นมีอยู่
พูดอย่างสั้นที่สุดก็คือ ยาเม็ดสีแดงนั้นแทน ความตระหนักรู้ สัจจธรรม และความเป็นจริงของโลกที่โหดร้าย และไม่มีทางหวนกลับ ส่วนยาเม็ดสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความไม่รู้ ความสะดวกสบายใจ และความปลอดภัย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านั้น
หลังจากการฉายหนังแล้ว คนในวงการต่าง ๆ ก็นำแนวคิดนั้นไปใช้เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างความจริงที่อาจจะเจ็บปวด กับความหลอกลวงที่อาจจะทำให้สบายใจ และอยู่กับมายาคติอย่างที่เป็นมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และในหลาย ๆ กรณีก็ยังดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยการเปลี่ยนและเพิ่มสีของยาเม็ดเข้าไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ในทางสังคมและการเมืองที่มีการพูดถึงยาเม็ดสีดำว่า เป็นยาที่แทนความสิ้นหวัง เชื่อว่าความเป็นจริงก็คือความสิ้นหวังหดหู่และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ สีขาวคือการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง คือเห็นความจริงและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสีม่วงที่อยู่ตรงกลางคือต้องการความจริงแต่ก็ต้องสบายใจด้วย
ว่าที่จริงผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงหนึ่งเมื่อซัก 20 ปีมาแล้วที่เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่ากับคนชั้นนำในเมืองและก็เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ของกลุ่มคนที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาบางคนที่ “รวยมาก” ที่ผมรู้จักได้พูดกับผมว่า เขาเหมือนกับดาราในหนัง Matrix คือเลือกกินยาเม็ดสีแดง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย แต่เขากลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว
กลับมาที่ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่ามีการใช้อุปมาอุปมัยเกี่ยวกับยาเม็ดของหนัง The Matrix แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบ เพราะตัวผมเองนั้น เมื่อมาคิดดู หลังจากที่ผมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวเกือบ 30 ปีมาแล้ว ผมก็ได้เลือกกินยาเม็ดสีแดงก่อนเข้านอนและตื่นขึ้นมาในโลก “ใบใหม่” ที่ผมพบกับความจริงและความเป็นจริงของตลาดหุ้นและการลงทุน
โดยที่ปรัชญาชี้นำในชีวิตผมก็เปลี่ยนเป็นแบบ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมรู้สึกหลุดพ้นจาก “ภาพลวง” ของตลาดหุ้นและการลงทุนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเกิดอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายเป็นช่วง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า “VI” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ เมื่อเป็น VI แล้ว เราก็ต้องเป็นตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปเล่นเก็งกำไรหรือเล่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในการลงทุนนั้นพูดกันว่า ยาเม็ดสีน้ำเงินก็คือ การลงทุนที่คุณเชื่อหรือปฏิบัติการลงทุนดังต่อไปนี้คือ (ซึ่งมักจะเป็นภาพลวงและให้ความสบายใจเวลาทำ)
1) เกาะกลุ่มไปกับฝูงชน หรือที่เรียกกันว่าเล่นหุ้นตามแห่ เพราะนี่จะทำให้เกิดความสบายใจ เพราะหุ้นมักจะวิ่งขึ้นเร็วและแรงและมีสภาพคล่องที่ดี ไม่อยากเล่นหุ้นที่ไม่มีใครเล่น
2) เชื่อว่า ตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้อันตรายถ้าคุณคอยติดตามอย่างใกล้ชิด และราคาหุ้นนั้นสะท้อนพื้นฐานของกิจการ หุ้นขึ้นก็เพราะมันมีข่าวดี หุ้นลงเพราะมีข่าวร้าย การปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นเป็นแบบนั้นอย่างรวดเร็ว
3) มักติดตามและเชื่อนักวิเคราะห์ นักข่าว และ “เซียน” โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าในตลาดหุ้นไทยก็มักจะถูกเรียกว่าเป็น “เม่า”
4) ชอบเล่นหุ้นที่อยู่ในกระแส เป็นหุ้นที่ทุกคนพูดถึงหรือทุกคนเล่นโดยไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงของราคาหุ้นทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ยาเม็ดสีแดงในตลาดหุ้นจะทำให้คน ๆ นั้น เชื่อในหลักการที่เป็นความจริงและสภาพความเป็นจริง เช่น
1) กล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง ฟองสบู่หุ้นและตลาดหุ้น และการปั่นหุ้นที่มีตลอดเวลา
2) ตระหนักว่านักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนแย่กว่าตลาด และอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีผลกระทบต่อการซื้อ-ขายหุ้นและราคาตลาดมาก
3) พร้อมที่จะศึกษาและวิเคราะห์ตลาดและหุ้นด้วยตัวเอง กล้า “สวนกระแส” ทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่หรือฝูงชน ยอมรับความผันผวนของหุ้น ไม่ซื้อ-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นลงรุนแรง
4) กล้าถือหุ้นยาวผ่านช่วงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น
ตัวอย่างของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกกินยาเม็ดสีแดงก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์
ชาลี มังเกอร์ เรย์ ดาลิโอ โฮเวิร์ด มาร์ก และโมนิช พราไบร์ เป็นต้น ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น VI โดยเฉพาะที่เป็น “รุ่นบุกเบิก” ส่วนมาก ผมเชื่อว่าคงกินยาเม็ดสีแดงตอนเข้าตลาดหุ้นอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางแบบ VI แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคในการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้
ยาเม็ดสีแดงที่ผมกินตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 นั้นก็คือ การศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลักการของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเริ่มมีคนเขียน อย่างเช่น เรื่อง The Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม The Warren Buffett Way ของ Robert G. Hagstrom รวมถึง Buffettology ของแมรี่ บัฟเฟตต์ เป็นต้น
ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ของตลาดหุ้นและการลงทุน เริ่มวางแผนการเงินและเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ผมยังจำได้ว่าผมตั้งความหวังที่จะมีเงิน “พันล้านบาทก่อนตาย” โดยที่ผมสามารถที่จะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี แนวคิดว่าผมมี “ตะเกียง 3 ดวง” ที่ผมจะต้องจัดการและดูแล ซึ่งก็คือ 1) เงินต้นที่มีอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 2) ผลตอบแทนการลงทุนที่ผมจะสามารถทำได้ต่อปีแบบทบต้น ซึ่งผมวางไว้ว่าสูงถึง 15% และ 3) ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึง 80 ปี ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นในตอนนั้นซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดหรือพูดถึงมาก่อน
สิ่งที่ผมคิดบนกระดาษในช่วงเวลานั้น ดูในทางทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำได้ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ เหตุผลสำคัญน่าจะอยู่ที่ Mentality หรือความคิดที่ติดตัวผมตั้งแต่เกิดที่ว่า “เราเป็นคนจน” ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็คงทำได้แค่ระดับหนึ่ง ไม่สามารถไปเทียบกับ “คนรวย” ที่เป็นคนจ้างเราทำงานและจ่ายเงินเดือนให้เรามาตลอด ถ้าจะพูดไป ผม “เจียมตัว” มาตลอดชีวิต การที่จะมีเงินพันล้านบาทในช่วงปี 2542-2543 นั้นคือคนที่แทบจะเรียกว่าเป็น “มหาเศรษฐี”
แต่ในตอนนั้น ตัวเลขจากการคำนวณบอกว่าถ้าผมรักษาเงินต้นและเพิ่มพูนมันขึ้นไปโดยการทำงานไปเรื่อย ๆ และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และลงทุนแบบที่ผมเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวซึ่งก็คือการลงทุนในแบบ VI อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมรักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บหรือตายก่อน 80 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ ผมก็จะต้องรวยเป็น “มหาเศรษฐี” ทั้ง ๆ ที่มีเงินเพียงหลักสิบล้านบาทในวันเริ่มต้น
หลังจากเวลาที่เริ่มกินยาเม็ดสีแดงในวันนั้นแล้ว ก็อย่างที่รู้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเกือบ 20 ปีแรก กลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนของผมดีมาก แทบจะเรียกว่า “ระดับโลก” เป้าหมายความมั่งคั่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สามารถบรรลุไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือชั้น เพราะนักลงทุนคนอื่นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “VI” ตาม “กระแส VI” ที่กำลังโด่งดัง กลับ “ดีกว่า” และทำให้เกิด “เศรษฐีพันล้าน” เกลื่อนตลาด
แต่แล้ว ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีก แต่ในทางที่แย่ลง ตลาดหุ้นย่ำแย่มายาวนานเป็น 10 ปี หลักการและวิธีการลงทุนแบบ VI เริ่มใช้ไม่ได้ผล นักลงทุนจำนวนมากที่เคยรวยมาก เดี๋ยวนี้รวยน้อยลงไปมาก บางคนกลายเป็นคนเคยรวย ผลตอบแทนที่ลดลงในตลาดหุ้นไทยอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเลิกไปเลย จำนวนมากหันไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเลิกความคิดแบบ VI ไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ได้ หลายคนกลับไปใช้เทคนิคเดิมที่คุ้นเคย
ผมเองก็ต้องปรับตัว พยายามลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเลือกไม่ค่อยได้เนื่องจากความรู้ในตัวหุ้นจำกัด บางครั้งผมก็คิดว่าเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะผมกินยาเม็ดสีแดงไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ตอนนี้ก็เลยเก็บแต่เงินสดไปเรื่อย ๆ คงจะรอจนกว่าหุ้นจะเข้าข่ายเป็น VI คือคุณภาพดี ราคาถูก ถึงจะซื้อ
01 ตุลาคม 2568
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
คำนวณ IRR ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์และแบบบำนาญแบบง่ายๆ ตัวอย่างไฟล์: https://docs.google.com/spreadsheets/d/1jhRjXjpdj-U5liRK594f2cxJT9u3jMblH...
-
LTF คืออะไร กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Longterm Equity Fund (LTF) คือ กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีวินัยในการลงทุน โดย...
-
ตารางรถไฟจากกรุงเทพไปหัวหิน ตารางรถไฟจากหัวหินไปกรุงเทพ บรรยากาศสวยๆ บริเวณสถานีรถไฟหัวหิน บรรยากาศชายหาดหั...
-
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว...
-
ที่มา https://consumerthai.org/consumers-news/consumers-news/product-and-other/4454-630408_cupnoodles.html
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายไ...
-
ตารางรถไฟจากกรุงเทพไปหัวหิน ตารางรถไฟจากหัวหินไปกรุงเทพ บรรยากาศสวยๆ บริเวณสถานีรถไฟหัวหิน บรรยากาศชายหาดหั...
-
ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่! คนรวย (อาจ) ไม่ได้เก่งเท่าที่คุณคิด พวกเขาแค่ ‘โชคดี’ กว่า เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ถ้าเก่งจริงทำไมไม่รวย?’ หรือเปล่...
-
คำนวณ IRR ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์และแบบบำนาญแบบง่ายๆ ตัวอย่างไฟล์: https://docs.google.com/spreadsheets/d/1jhRjXjpdj-U5liRK594f2cxJT9u3jMblH...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...



