30 พฤศจิกายน 2568

บริจาคเงิน e-donation โรงพยาบาลอุดรธานี ลดหย่อนภาษี 2 เท่า

 บริจาคเงิน e-donation โรงพยาบาลอุดรธานี ลดหย่อนภาษี 2 เท่า

 สำหรับเป็นค่านำ ค่าไฟฟ้า บำรุงรักษาเรือนพักญาติ

ธนาคารกรุงไทย บัญชีเงินฝากออมทรัพย์

เลขที่บัญชี 401-3-639-483 


 

 

 

 

24 พฤศจิกายน 2568

อะไรเอ่ย… มาก่อนวิกฤติตลาดหุ้น - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นเทคโนโลยีและตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงเร็ว ๆ นี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันว่าหุ้นและตลาดกำลังเกิด “ฟองสบู่” และในไม่ช้าก็จะ “แตก” และตลาดหุ้นก็จะเกิด “วิกฤติ” ดังนั้น เราควรมาดูกันหน่อยว่าตลาดหุ้นในรอบนี้จะเกิดวิกฤติหรือไม่?

มองจากประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นผมพบว่า ก่อนการเกิดวิกฤตินั้น ภาวะของตลาดมักจะมี 2 แบบที่อยู่กันคนละขั้ว คือแบบแรก ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรุ่งเรืองสดใสมากและนำโดยภาคเศรษฐกิจ “ยุคใหม่” ที่จะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง คนก็เริ่มตระหนักและเทขายหุ้นจนกลายเป็นวิกฤติ

และแบบที่สองก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ปกติ แต่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการกระทำของรัฐหรือองค์กรหรือสถาบัน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำหรือสภาพคล่องทางงการเงินมีปัญหารุนแรงมาก จนทำให้คนขาดความมั่นใจเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำจนเป็นวิกฤติ

เริ่มจากวิกฤติครั้งใหญ่ของโลกหรือ “The Great Depression” ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ตกลงมาจาก 380 จุดเหลือเพียง 43 จุด ในปี 1932 หรือตกลงมาประมาณ 90% ภายในเวลา 3 ปี และใช้เวลาประมาณ 25 ปี ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาเท่าเดิม และในช่วงที่เลวร้ายที่สุดนั้น คนตกงานมากกว่า 20% ของคนทำงานทั้งหมด

แต่ก่อนวันวิกฤตินั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกากำลังรุ่งเรืองสุดยอด สหรัฐกำลังกลายเป็นประเทศ “มหาอำนาจ” ของโลกเพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแรง อุตสาหกรรมกำลังเติบโตและแซงประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปที่เป็นมหาอำนาจเดิม นอกจากนั้น อเมริกากำลังก้าวหน้าและนำในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะยุโรปต่างก็บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในขณะที่อเมริกาสงบและทำแต่เรื่องค้าขายกับประเทศเหล่านั้นเป็นหลัก

อุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองที่สุดอย่างหนึ่งก็คือรถยนต์ซึ่งกำลังเติบโตมหาศาลเพราะคนอเมริกันเริ่มใช้รถยนต์กันมากขึ้น ถนนหนทางที่เคยมีแต่รถม้าเริ่มเต็มไปด้วยรถยนต์ของบริษัท General Motor หรือ GM ที่กลายเป็นผู้ชนะ หุ้นของ GM ที่เคยมีราคา 9.6 เหรียญในต้นทศวรรษปรับตัวขึ้นไปเป็น 97.9 เหรียญหรือปรับขึ้น 10 เท่าตอนสิ้นปี 1928

แต่ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันคือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี “เปลี่ยนโลก” คือหุ้นRCA หรือ Radio Corporation of America บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรวิทยุที่ขายทั้งเครื่องรับวิทยุและเป็นเจ้าของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่เป็นเครื่องมือสื่อสารใหม่ที่จะ “เปลี่ยนโลก” ไปอย่างสิ้นเชิง

RCA กลายเป็น “หุ้น 100 เด้ง” และในช่วงปี 1926 ถึง 1929 ก่อนวิกฤติ 2-3 เดือน ราคาก็ขึ้นจาก 43 เหรียญเป็น 568 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3-4 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็เป็นยุคแห่งการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจาก 68.4 จุดในปี1921 กลายเป็น 380.3 ในปี 1929 หรือเพิ่มขึ้น 456% ในเวลา 8 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 22.4% เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปสูงและแพงมาก คิดเป็นค่า PE น่าจะประมาณ 30-40 เท่าขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนกลัวกันว่าหุ้นอาจจะตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” แต่ “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Irving Fisher ในช่วงก่อนวิกฤติเพียง 2-3 เดือนกลับ “ยอมรับ” ว่า ตลาดหุ้นคราวนี้ “ไม่เหมือนเดิม” และ “หุ้นก็จะราคาสูงแบบนี้อย่างถาวร” แล้ว

วิกฤติใหญ่ครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติในปี 1973-74 ซึ่งเป็นวิกฤติแบบที่ 2 คือ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก อานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้นเนื่องจากประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งควบคุมการผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกประกาศแซงชั่นไม่ขายน้ำมันให้อเมริกาที่หนุนอิสราเอลในสงคราม Yom Kippur ระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 300% และส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เรียกว่า “Stagflation”

อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟดเพิ่มขึ้นสูงลิ่วกว่า 10% จากระดับ 3-4% ก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดลดลงไปมากและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงไปประมาณกว่า 40% ในเวลา 2 ปี และใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี กว่าดัชนีจะกลับมาที่เดิม

วิกฤติครั้งที่ 3 คือ วิกฤติ “ดอทคอม” ในปี 2000 ที่หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล-อินเตอร์เน็ต เจริญเติบโตขึ้นในโลก อินเตอร์เน็ตที่แต่เดิมเป็นของรัฐบาลนั้น กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ได้ และหลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์สารพัดชนิดก็เกิดขึ้น โลกทั้งโลกเชื่อมต่อกันได้ภายในเสี้ยววินาที “โลกใหม่” กำลังเกิดขึ้น ชีวิตของคนทั่วโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” และบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำอย่างเช่น อะมาซอน จะครองโลก ราคาหุ้นเทคโนโลยีทั้งหลายวิ่งขึ้น “ทะลุฟ้า” แม้ว่าจำนวนมากยังไม่มีกำไรและมีรายได้น้อยมาก ขอให้มีชื่อต่อท้ายว่า “ดอทคอม” ก็พอ

ดัชนีหุ้น Nasdaq ปรับตัวขึ้นจาก 1,614 จุดในช่วงปลายปี 1998 ขึ้นเป็น 4,963 ในช่วงต้นปี 2000 หรือเพิ่มขึ้น 207% ในเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือน ก่อนที่จะเกิดวิกฤติและดัชนีตกลงมาเหลือเพียง 1,687 จุดในปี 2001 หรือลดลงถึง 66% ในเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยที่หุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นอะมาซอนตกลงมากว่า 90% และหุ้นจำนวนที่มากกว่ากลายเป็น 0

เหตุผลของวิกฤติก็คือ ราคาหุ้นสูงเกินไป และแม้จะมีสตอรี่ว่ารายได้และกำไรจะโตแบบระเบิดเมื่อมีผู้ใช้มากขึ้นและมี “Network Effect” ที่สามารถยึดกุมลูกค้าไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รายได้และกำไรกลับมาไม่ทัน ทำให้คนคิดว่าหุ้นแพงเกินไปมาก ตลาดโดยรวมมีค่า PE สูงมากระดับน่าจะเกิน 40 เท่า นักลงทุนก็ขาดความมั่นใจเทขายหุ้นทำให้หุ้นตกลงมาแรงทำให้คนอื่นที่ต่างก็เป็นนักเก็งกำไรขายตาม กลายเป็น “Snowball Effect” หรือเหมือน “หิมะถล่ม” และนี่ก็เป็นกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ “ดีเกินไป” ที่ก่อให้เกิดวิกฤติแบบที่ 1

วิกฤติสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ วิกฤติ “ซับไพร์ม” ในปี 2008 ที่เกิดขึ้นจาก “ระบบ” และเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ไม่ใช่ดัชนีตลาดที่สูงหรือเศรษฐกิจที่ดีเกินไป หรือเป็นวิกฤติแบบที่ 2

ก่อนวิกฤติ 2-3 ปี เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก ตลาดหุ้นวัดโดยดัชนี S&P ก็ทรง ๆ มาเป็นปี ๆ แล้ว ที่ประมาณ 1,300-1,400 จุด เงินในตลาดส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรเป็นหลัก แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็มี “นวัตกรรมการเงิน” ใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า CDO (Credit Default Swaps) ที่สามารถแปลงหนี้ลูกหนี้เงินกู้ซื้อบ้านที่มีคุณภาพต่ำ (Sub Prime) ให้เป็นตราสารการเงินที่มี “คุณภาพสูง” เอาไปขายให้กับนักลงทุนสถาบันรวมถึงธนาคารต่าง ๆ

ตราสารได้รับการยอมรับและมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่างก็เข้ามาซื้อบ้านเพราะแบ้งค์ก็อยากปล่อยกู้เพราะสามารถนำไปขายต่อเพื่อทำเป็น CDO ได้ นั่นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูและราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ส่งผลให้คนซื้อบ้านมีกำไรทั้ง ๆ ที่ผ่อนต่อไม่ไหว

แต่แล้ว ในที่สุด อัตราการเป็นหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นจนระบบและการทำ CDO รับไม่ไหว ราคาของตราสารตกลงมาจนทำให้สถาบันการเงินที่เข้ามาลงทุนหรือเกี่ยวข้องด้วยล้มละลายเป็นจำนวนมาก ผลกระทบส่งถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างแรงและทำให้ตลาดหุ้นวิกฤติตามมา

ดัชนี S&P 500 ร่วงลงจากประมาณ 1,300 จุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2008 เหลือเพียง 750 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 42% ในเวลาเพียง 7 เดือน อานิสงค์จากการที่เงินหรือสภาพคล่องในระบบที่หายไปทันทีจากการ “ล่มสลาย” ของสถาบันการเงินจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การทำ QE หรือการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลในเวลาต่อมา ได้ทำให้ดอกเบี้ยลดลงมาเหลือใกล้ 0% และทำให้หุ้นฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน

ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งนำโดยหุ้นไฮเทคที่ร้อนแรงเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปรากฎขึ้นของ AI ที่มีความฉลาด “เหนือมนุษย์” และกำลังจะมา “เปลี่ยนโลก” อย่างที่เราจะไม่เคยเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือเรื่องแรก
ประเด็นที่ 2 ก็คือ ดัชนี Nasdaq ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมา 100% แล้วและทำให้ค่า PE สูงกว่า 30 เท่า ตลาดหุ้นเองก็ร้อนแรงมากและเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ใช้มาร์จินในการลงทุนน่าจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อ 3 ก็คือ หุ้นที่ร้อนแรงมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ TESLA ซึ่งผลิตรถไฟฟ้าที่กำลังขับเคลื่อนบนท้องถนนด้วยตนเอง คล้าย ๆ กับหุ้น GM ในปี 1929 เช่นเดียวกับหุ้น NVIDIA ที่ร้อนยิ่งกว่าเพราะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนโลกใหม่คล้ายกับหุ้น RCA และผมคงไม่ต้องพูดว่าหุ้นทั้งสองตัวนั้นเป็นหุ้นกี่เด้งไปแล้ว?

แต่ “เซียน” จำนวนมากก็บอกว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะบริษัท “เทคนางฟ้า” ทั้ง 7 มีกำไรรองรับเพียงพอ คล้าย ๆ กับพูดว่า หุ้นไม่ได้แพงและ “ราคาหุ้นก็คงขึ้นมาอย่างถาวรแล้ว” ไม่ตกลงไปแบบวิกฤติเดิมหรอก ไม่ว่าจะเป็นปี 1929 หรือ 2000
แต่ผมเองก็รู้สึก “หนาว” เพราะคำว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” ในความคิดของผมกลับเป็นว่า เพราะครั้งนี้เรายังมีเรื่องการ “เปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรครั้งใหญ่” ที่อาจจะเป็นเหตุของวิกฤติแบบที่ 2 ที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงด้วย 

 

 

 from https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/712-nivate-what-comes-before-a-stock-market-crisis 

17 พฤศจิกายน 2568

ปิดตำนานบัฟเฟตต์ - หมดยุค VI - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ภายในสิ้นปี 2025 นี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งอายุ 95 ปีแล้วก็จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ เบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ ที่เขาบริหารมาแทบจะตลอดชีวิตการลงทุนของเขา และทำให้เขากลายเป็น “ตำนาน VI” ที่ยังมีชีวิตที่ได้เผยแพร่ “หลักการ VI” ที่เริ่มก่อตั้งโดย เบน เกรแฮม ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นเทคนิคการลงทุนที่สุดยอดและเหนือกว่าหลักการอื่น ๆ โดยผลงานการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทบต้นระยะยาวที่เกือบ 20% ต่อปี ซึ่งทำให้เงินลงทุนเริ่มต้น 100 ดอลลาร์ กลายเป็นเงินประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 163 ล้านบาท ในเวลา 60 ปี

หลักการหรือเรื่องราวของ “VI” นั้น เริ่มต้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ซึ่งได้ทำให้นักลงทุนแทบทั้งตลาดเสียหายล้มละลายแทบหมดตัว และเป็นจุดที่เบน เกรแฮม ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มคิดถึงหลักการวิเคราะห์หุ้นและการลงทุนที่เป็นระบบและเป็นวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนและ “ ไม่เสี่ยง”

หลักการใหญ่ ๆ ของเบน เกรแฮมถูกรวมอยู่ในหนังสือ 2 เล่มคือ “Securities Analysis” ที่เขียนร่วมกับ David Dodd ลูกศิษย์ที่เรียนปริญญาเอกกับเขาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1934 กับ “The Intelligent Investor” ที่เขียนขึ้นเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปได้อ่านในปี 1949 ซึ่งทั้ง 2 เล่มนี้กลายเป็น “ไบเบิล” ของนักลงทุนแบบ VI ทั่วโลก

ข้อคิดสำคัญที่เป็นหัวใจของหลักการของเบน เกรแฮม ที่ต่อมาคนเรียกว่า “Value Investing” หรือการลงทุนแบบที่ “เน้นความถูก” ของหุ้น นั้นกล่าวว่า

1 บริษัทหรือหุ้นนั้นมี “มูลค่าที่แท้จริง” หรือ Intrinsic Value ซึ่งอิงอยู่กับทรัพย์สิน กำไรและกระแสเงินสด ที่สามารถประเมินหรือประมาณการได้
2 การซื้อหุ้นนั้น จะต้องมี “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” หรือ Margin of Safety นั่นก็คือ ราคาหุ้นต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอเพื่อที่จะป้องกันความผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3 ตลาดหุ้นนั้นมักจะขึ้นลงรุนแรงและทำให้หุ้นแต่ละตัวขึ้นลงรุนแรงได้มากกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ซึ่งเบน เกรแฮมเรียกว่า “Mr. Market” หรือ “นายตลาด”

ดังนั้น เราสามารถฉกฉวยทำกำไรได้จากความแตกต่างนี้ คือ “ซื้อถูก-ขายแพง”
วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นนักศึกษาในชั้นเรียน ของเบน เกรแฮมที่ทำคะแนนสูงระดับ A+ รวมถึงได้ฝึกและทำงานในบริษัทจัดการลงทุนของเขา และต่อมาก็มาบริหารกองทุนที่ตนเองตั้งขึ้นซึ่งสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์

ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น “สุดยอด” และถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ จากผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเมืองเล็กเหมือน “ต่างจังหวัด” อย่างโอมาฮา ชื่อเขาก็ดังระเบิดจากหนังสือของ George Goodman ชื่อ “Supermoney” ในปี 1972 ที่มีบทหนึ่งกล่าวถึงบัฟเฟตต์โดยเฉพาะ และตั้งแต่นั้นมา ชื่อวอเร็น บัฟเฟตต์ และ Value Investing ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุนสุดยอดที่ทุกคนต่างก็ยอมรับและเรียนรู้เพื่อที่จะสามารถลงทุนได้อย่าง “ชาญฉลาด”

หลักการ กลยุทธ และชุมชนคน VI เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ บัฟเฟตต์เองนั้น เริ่มจากการลงทุนตามแนวของเบน เกรแฮม จนถึงปี 1972 เมื่ออายุได้ 42 ปี และพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก เขาก็เริ่มเปลี่ยนแนวทางไปอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การหันมาลงทุนในหุ้นที่โดดเด่น มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ถือหุ้นในอัตราส่วนที่มากหรือทั้งหมดของบริษัทแบบที่เรียกว่าเป็น “เจ้าของ” และถือหุ้นยาวมากแทบจะตลอดไป แทนที่จะซื้อหุ้นถูกและขายไปเมื่อหุ้นแพงและมีกำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วในสไตล์ของเบน เกรแฮม

โดยหุ้นที่เขาลงทุนเป็นตัวแรกตามคำแนะนำของชาลี มังเกอร์ก็คือ หุ้นขายช็อกโกแล็ต “ซีแคนดี” ในปี 1972 ตามด้วยหุ้นหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ปี 1973 หุ้นใหญ่อย่างหุ้นประกัน GEICO ในปี 1976 หุ้นโคคาโคลา ปี 1988 หุ้นมีดโกนยิลเล็ต และอื่น ๆ รวมถึงหุ้นไอบีเอ็มและหุ้นแอปเปิลในช่วงหลัง ๆ นี้ ที่เป็นกิจการทั้งโดดเด่นและใหญ่โตระดับประเทศและโลก โดยที่หุ้นเหล่านั้นไม่ใช่หุ้นถูก ขอให้เป็นหุ้นที่มี “ราคายุติธรรม” ก็พอ เพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าหุ้นเหล่านั้นจะโตไปเรื่อย ๆ จนทำให้ราคาที่เขาจ่ายในวันแรกนั้น “ต่ำมาก”

ตัวอย่างเช่น เขาซื้อซีแคนดี้ทั้งบริษัทด้วยเงินเพียง 25 ล้านเหรียญ ในปี 1972 แต่ ถึงวันนี้เขาได้รับเงินสดคืนมาถึง 2,000 ล้านเหรียญหรือ 80 เท่าแล้วจากเงินปันผลในเวลา 50 ปี เช่นเดียวกับหุ้นแอปเปิลที่เขาเริ่มซื้อมาในปี 2016 ที่ราคาหุ้นละประมาณ 35 เหรียญ ด้วยเงิน 1 พันล้านเหรียญ แต่ถึงวันนี้เขาน่าจะมีกำไรประมาณ 175 พันล้านเหรียญ คำนวณจากราคาหุ้นที่ประมาณ 185 เหรียญต่อหุ้นที่เขาขายไปบ้างแล้วบางส่วน

การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธและแนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสร้างผลงานการลงทุนระดับสุดยอดให้กับการลงทุน “แบบ VI” ได้ยาวนานจนถึงวันนี้ เพราะถ้าเขายังยึดหลักการแบบ เบน เกรแฮม อยู่ เขาก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักตั้งแต่ประมาณปี 1972 มาจนถึงวันนี้

เพราะตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณปี 1973-1974 ที่ตลาดหุ้นอเมริกาประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอานิสงค์จากสงครามเวียตนาม วิกฤติราคาน้ำมันและเงินเฟ้อครั้งใหญ่ จนถึงปี 1976 ก่อนที่เบน เกรแฮมจะตายนั้น เขาได้เริ่มแสดงความเห็นและให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์และวารสารการลงทุนว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เขาไม่เชื่อแล้วว่าการลงทุน “แบบ VI ดั้งเดิม” จะสามารถเอาชนะตลาดได้สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่” พูดง่าย ๆ มันคือ “อวสานของ VI” แล้วในสายตาของเบน เกรแฮม

เหตุผลก็คือ 1) นักลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสถาบันเก่งขึ้นเรื่อย ๆ และมีจำนวนมาก 2) ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นกระจายไปสู่สาธารณะอย่างรวดเร็วและทุกคนเข้าถึงได้เท่ากันโดยที่แทบจะไม่มีต้นทุน ดังนั้น ราคาหุ้นทุกตัวก็สะท้อนกับข่าวสารทันที ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นที่ “ราคาถูก” ได้ต่อเนื่องยาวนาน หรือก็คือ “ตลาดมีประสิทธิภาพ” ตามที่นักวิชาการได้เสนอทฤษฎีและพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีใคร รวมถึง VI ที่จะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้

ผมเองก็เชื่อว่า ถ้ายังลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในระยะสั้นหรือแม้แต่ในระยะกลาง 2-3 ปี วิธีแบบ VI ของเบน เกรแฮมก็อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยหรือเวียตนามที่หลายคนบอกว่าตลาดยัง “ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ” นัก

แต่การลงทุนแบบ VI ในเวอร์ชั่นของบัฟเฟตต์ล่ะ ยังใช้ได้อยู่ไหม? ในวันที่บัฟเฟตต์เองก็กำลังเลิกลงทุน และก็ไม่เคยพูดตรง ๆ ว่า “VI อวสานแล้ว” แบบเดียวกับ เกรแฮม แต่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เขาก็เคยพนันว่า ผลตอบแทน 10 ปี ของ S&P 500 จะชนะผลตอบแทนจากกองทุน Hedge Fund ระดับเซียนได้ และผลก็คือ เขาพูดถูก นอกจากนั้น ในระยะหลัง ๆ เขาเองก็แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีแทนที่จะพยายามเลือกหุ้นและนั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่า “VI จบแล้ว” เหมือนกัน

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ บัฟเฟตต์เองก็คงตระหนักในความจริงเรื่องนี้ เพราะตัวเลขผลตอบแทนรายปีที่เบิร์กไชร์ทำได้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้น แพ้ตลาดมาก ผลตอบแทนทบต้นย้อนหลัง 20 ปี ของบัฟเฟตต์อยู่ที่ประมาณ 4.5% ในขณะที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทน 6% และของ Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นไฮเท็คนั้นสูงถึง 8% ต่อปี และนี่คือช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผ่านวิกฤติในปี 2008 ด้วย

แต่ถ้าคิดย้อนหลังแค่ 10 ปี เพื่อที่จะวัดผลตอบแทนเฉพาะในช่วงปัจจุบันที่เป็นช่วงบูมและไม่มีภาวะวิกฤติจริง ๆ ตัวเลขก็คือ เบิร์กไชร์ให้ผลตอบแทนที่ 13.9% ต่อปี S&P อยู่ที่ 12.7% และ Nasdaq สูงถึง 15.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลักการ VI แบบบัฟเฟตต์นั้น ใช้แทบไม่ค่อยได้แล้วในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา คือผลตอบแทนของ “โคตรเซียน VI” อย่างบัฟเฟตต์ก็แค่เท่า ๆ กับตลาด แต่แพ้ในตลาดของโลกยุคใหม่คือ Nasdaq ค่อนข้างมาก

ความเห็นของผมในฐานะที่เป็น VI ยุคแรกของไทย และเห็นวิวัฒนาการของ VI ไทยมาตลอดคืออะไร?
ผมคิดว่าเราก็คงตามสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ยุคแรกเริ่มและต่อเนื่องไปซัก 10-15 ปี นั้น การลงทุนแบบ VI ดั้งเดิม คือซื้อหุ้นที่ถูกมากและขายหุ้นไปเมื่อแพงหรือราคาหุ้นขึ้นไปมาก ทำผลงานได้ดี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการที่หุ้นตกลงไปมากหลัง “วิกฤติต้มยำกุ้ง” และคนที่เป็น VI ก็ยังมีน้อย ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ หาหุ้นถูกได้เกลื่อนตลาด

ต่อมา การลงทุนแนวหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” เน้นที่หุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน โดยหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกมาก ก็เริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะราคาหุ้นนอกจากปรับตัวขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นแล้ว ค่า PE ก็ปรับตัวขึ้นอย่างมากมายด้วย

แต่ก็คงคล้ายกับบัฟเฟตต์ในช่วง 20 ปีหลัง ตลาดหุ้นไทยในช่วง 5-6 ปี นี้ ก็ตกต่ำลงตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยลง “แบบถาวร” และส่งผลให้หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่าด้อยลงในแง่ของคุณค่าทางธุรกิจ ผลก็คือ หุ้นแบบ VI ทุกประเภทก็ไม่ไปไหนมานานหลายปีหรืออาจจะตลอดไป สำหรับผมแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เรียกว่า “หมดยุค VI” ในตลาดหุ้นไทย และอาจจะเป็นในอเมริกาด้วย

ส่วนคนที่เป็น VI และเปลี่ยนไม่ได้นั้น คงต้องไปลงทุนในตลาดอื่น เช่น เวียตนาม หรืออินเดีย เป็นต้น ที่ตลาดหุ้นอาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพ สามารถหาหุ้นถูกและหุ้นดีแบบ VI ได้

 

 

 From https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/706-nivate-the-end-of-buffetts-era--the-death-of-value-investing 

15 พฤศจิกายน 2568

ลงทุนหุ้นและ ETF ประเทศอเมริกา และอื่นๆ ได้ง่ายๆ ด้วย DR80 จากธนาคารกรุงไทย

 

ลงทุนหุ้นและ ETF ประเทศอเมริกา และอื่นๆ ได้ง่ายๆ ด้วย DR80 จากธนาคารกรุงไทย ไม่ว่าจะเป็น

  •  ETF ดัชนี S&P500
  • หุ้น Apple (AAPL)
  • หุ้น Tesla (TSLA)

และอื่นๆ อีกมากมาย

 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR80: https://krungthai.com/th/content/depositary-receipt

 

 

 

ฉลาดซื้อ พบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางยี่ห้อมีโซเดียมถึง 2,360 มิลลิกรัม

 


ที่มา https://consumerthai.org/consumers-news/consumers-news/product-and-other/4454-630408_cupnoodles.html

10 พฤศจิกายน 2568

ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่น ๆ มาก

การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ NVIDIA นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 7-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย

และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศ ๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐและจีนในแง่ของ GDP พูดง่าย ๆ Market Cap. ของเอนวิเดียใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน

“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเอนวิเดีย หุ้นแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล อะมาซอน บรอดคอม เมตา เทสลา เบิร์กไชร์ และเจพีมอร์แกน มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านเหรียญนับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P ที่61 ล้านล้านเหรียญ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว

พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้

นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือ การเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่า จริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน

ตลาดหุ้นไทย ณ.ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้นเอนวิเดียที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ

ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย

มาดูตลาดหุ้นเกาหลีที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้นซัมซุง หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีทั้งหมด

ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริง ๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านเหรียญ

หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อน ๆ

หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านเหรียญ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้นโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง2.68 แสนล้านเหรียญหรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด

สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วย การเปรียบเทียบต่าง ๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว

หุ้น Top10 10 ตัวที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านเหรียญ ตามด้วย อาลีบาบา และหุ้นอื่น ๆ เช่นแบ้งค์ขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้นปิโตรไชน่าและตบท้ายด้วยหุ้นเสียวหมี่ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นไทย เกาหลี เวียตนาม และอเมริกาที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด

ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด

มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น 

 

 

Source: settrade.com 

03 พฤศจิกายน 2568

ใช้ AI อย่าเพิ่งซื้อหุ้น AI โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร





ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต” แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”

พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก” ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด

ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต


และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา

ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา

สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ

ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก

ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้

ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียตนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง

ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว

คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้

เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน

หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น

และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน

และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”

แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และTESLA

รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน

รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว

ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว

กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น

รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน

ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน

 

 Source: https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/696-nivate-go-ahead-and-use-ai-but-think-twice-before-buying-ai-stocks 

01 พฤศจิกายน 2568

มหาเศรษฐีอายุยืนถึง 99 ปี แม้ออกกำลังกายน้อย-ชอบกินขนมหวาน ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

มหาเศรษฐีดังระดับโลก อายุยืนถึง 99 ปี แม้จะออกกำลังกายน้อยและชอบกินขนมหวาน แต่ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

ชาร์ลี มังเกอร์ นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นหุ้นส่วนคู่หูของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เสียชีวิตในปลายปี 2023 ด้วยวัย 99 ปี แม้จะอายุมากแล้ว แต่ชาร์ลี มังเกอร์ยังคงมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมและสุขภาพดี แม้จะไม่ค่อยออกกำลังกายและมีความชอบในการทานของหวาน ตามที่เขาเคยบอกกับ CNBC

หลายคนเคยถามถึงเคล็ดลับในการมีอายุยืนและมีความสุข ชาร์ลี มังเกอร์มองว่าเรื่องนี้ง่ายและเรียบง่าย “ผมมั่นใจว่านิสัยการดื่มน้ำอัดลมมากๆ คงทำให้ผมลดอายุขัยไปบ้าง แต่ผมไม่แคร์” มังเกอร์กล่าว ส่วนใหญ่เคล็ดลับของเขามีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเป็นหลัก



หลีกเลี่ยงความเครียดและอารมณ์ลบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า กุญแจสำคัญในการชะลอความชราคือการละทิ้งความอิจฉาริษยา ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อบัณฑิตที่ฮาร์วาร์ดในปี 1986 เขากล่าวว่า ความอิจฉาและสารบางชนิดจะนำไปสู่ความทุกข์ยาก

หลายปีหลังจากนั้น มังเกอร์ยังคงย้ำคำพูดนี้ โดยในที่ประชุมประจำปี 2022 ของ Daily Journal เขากล่าวว่า "โลกไม่ได้ถูกควบคุมโดยความโลภ แต่โดยความอิจฉา"

ในการสัมภาษณ์กับ CNBC ชาร์ลี มังเกอร์แนะนำคนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงความโกรธแค้น ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ในสุนทรพจน์ปี 1986 ต่อบัณฑิตว่า "หากคุณไม่อยากให้ชีวิตลำบาก สิ่งที่ดีที่สุดคืออย่าโกรธหรือหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา"

การศึกษาปี 2018 พบว่า คนที่มักรู้สึกอิจฉาผู้อื่นมักมีสุขภาพจิตที่ไม่ดีและมีความสุขต่ำ ผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจของ NerdWallet กล่าวว่า ความอิจฉามีผลกระทบเสียหายต่อสุขภาพจิต ทำให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลหรือเป็นโรคซึมเศร้า



การรักษาจิตใจให้สดใส

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการลงทุน มังเกอร์ ผ่านช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการหย่าร้าง ความยากจน การสูญเสียลูกชายวัย 9 ขวบจากมะเร็งเม็ดเลือด และการสูญเสียการมองเห็นข้างหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

มังเกอร์มองว่า "การมีความสุข" คือ "การกระทำที่ฉลาดที่ควรรักษาไว้" และเพื่อให้จิตใจสดใส สิ่งสำคัญคือการปล่อยวางอารมณ์ลบ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี 2019 พบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มีทัศนคติเชิงบวกมีอายุยืนยาวขึ้นเฉลี่ย 11–15% ผู้ที่มีความคิดบวกมีความเสี่ยงต่ำกว่าที่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคหัวใจ และการศึกษานี้ยังพบว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมักมีแรงจูงใจมากขึ้นในการดูแลสุขภาพให้ดี



หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาสูบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า พฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่สามารถ "นำพาคนดีๆ ไปสู่ปัญหาหนัก" โดยเฉพาะเมื่อมีการพึ่งพาสารกระตุ้นเหล่านี้มากเกินไป

การศึกษาที่ใช้ข้อมูลจากคนกว่า 100,000 คนในยุโรปพบว่า การติดแอลกอฮอล์สามารถ ลดอายุขัยลงได้ถึง 28 ปี โดยทำลายตับ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และอาจนำไปสู่การเกิดอัมพาต ส่วนการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคและการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่มานาน ผลวิจัยจาก University College London พบว่า แต่ละมวนบุหรี่ สามารถลดอายุขัยเฉลี่ยได้ 20 นาที



ชาร์ลี มังเกอร์ - วอร์เรน บัฟเฟตต์ (ขวา)



มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

มังเกอร์มองว่า การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่น่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษมีส่วนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จและมีความสุข หนึ่งในผู้ที่เขาผูกพันมายาวนานคือลอร์เรน บัฟเฟตต์ ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสก้า สหรัฐอเมริกาในปี 1959 และมีมิตรภาพยาวนานกว่า 60 ปี

การศึกษาที่ดำเนินมา 85 ปีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้คนมีความสุขและอาจทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวขึ้น ดร.โซฟียา มิลแมน รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และพันธุศาสตร์จากสถาบันวิจัยวัยชราแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปีหลายคนมักให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงบวกของความสัมพันธ์รอบตัวต่ออายุขัยของพวกเขา




25 ตุลาคม 2568

กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI (MSCI All Country World Index)

การลงทุนใน กองทุนดัชนี MSCI ACWI (MSCI All Country World Index) เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปทั่วโลก เนื่องจากดัชนีนี้ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางจากประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) และประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทั่วโลก



ความน่าสนใจของการลงทุนใน MSCI ACWI

  • ผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง: ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งดัชนี มีความโดดเด่น โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8% ต่อปี ในระยะยาว (อ้างอิงข้อมูล ณ เดือนกันยายน 2025) ซึ่งแสดงถึงศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
  • ต้นทุนต่ำ: โดยปกติ กองทุนที่อ้างอิงดัชนี (Index Fund) เป็นการลงทุนแบบ Passive ที่มีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี ทำให้มีต้นทุนการบริหารจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนประเภท Active โดยทั่วไป 
  • การกระจายความเสี่ยง: ดัชนีนี้กระจายการลงทุนไปใน หุ้นทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย และครอบคลุม หลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นการลดความเสี่ยงเฉพาะตัวของประเทศหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้อย่างดี



ช่องทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนในไทย ผ่านกองทุนรวมไทย

นักลงทุนในไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในดัชนี MSCI ACWI ได้อย่างสะดวกง่ายดายผ่าน กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่จัดตั้งโดย บลจ. ในประเทศ โดยมีข้อดีและข้อเสียเมื่อเทียบกับการไปลงทุนต่างประเทศเอง สรุปได้ดังนี้:

1. ความสะดวก
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: ลงทุนง่ายผ่าน Mobile Application/เว็บไซต์ของ บลจ. หรือธนาคาร
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศและจัดการเรื่องโอนเงินด้วยตนเอง

2. การศึกษาข้อมูล
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีเอกสารอัปเดตข้อมูลกองทุนรวม (Fund Fact Sheet) เป็นภาษาไทยและเป็นมาตรฐาน
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่างประเทศทั้งหมด

3. ความเสี่ยงค่าเงิน (Currency Risk)
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีการป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน (Hedging) ให้ โดยส่วนใหญ่จะมีนโยบายป้องกัน 100% หรือบางส่วนขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงจากค่าเงินด้วยตนเอง (หรือยอมรับความเสี่ยงค่าเงินเต็มจำนวน)

4. ภาษี Capital Gain (กำไรจากการขาย)
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: กำไรจากการขาย (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี 
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: เสียภาษี Capital Gain

5. ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย: มีค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่เรียกเก็บโดย บลจ. เพิ่มเติมประมาณ 0.5% - 1.0% ต่อปี
  • ลงทุนในกองทุนต่างประเทศโดยตรง: ไม่มีค่าธรรมเนียมการจัดการแบบการลงทุนผ่านกองทุนรวมไทย



กองทุนรวมดัชนี Index Fund ไทย ที่ลงทุนใน MSCI ACWI

1. กองทุน K-WORLDX
  • บลจ กสิกรไทย
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6324% ต่อปี

2. กองทุน K-WORLDXRMF
  • บลจ กสิกรไทย
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.5960% ต่อปี

3. กองทุน KKP PGE-UH
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6770% ต่อปี

4. กองทุน KKP PGE-H
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6810% ต่อปี

5. กองทุน KKP PGE RMF-UH
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ไม่ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6741% ต่อปี

6. กองทุน KKP PGE RMF-H
  • บลจ เกียรตินาคินภัทร
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.7120% ต่อปี

7. กองทุน LHGEQP
  • บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 2.1493% ต่อปี

8. กองทุน LHGEQRMF
  • บลจ แลนด์แอนด์เฮาส์
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 2.4653% ต่อปี


9. กองทุน KF-WORLD-INDX-A

  • บลจ กรุงศรี
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 1.0447% ต่อปี

10. กองทุน KF-WORLD-INDXRMF
  • บลจ กรุงศรี
  • ประเภท กองทุนรวม RMF (ลดหย่อนภาษีได้)
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.9951% ต่อปี


11. กองทุน KT­GEQ­A

  • บลจ กรุงไทย
  • ประเภท กองทุนรวมทั่วไป
  • ป้องกันความเสี่ยงค่าเงินตามดุลพินิจผู้จัดการกองทุน
  • ค่าธรรมเนียม: 0.6729% ต่อปี






15 ตุลาคม 2568

โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)

โปรแกรมคำนวณค่าบำนาญ ประกันสังคมสูตร CARE (สูตรใหม่)

link

การยืมเงินเพื่อน คือวิธีเสียเพื่อนที่เร็วที่สุด เงินทำลายมิตร !

"จากเพื่อนรักสู่เจ้าหนี้! ระวัง 6 พฤติกรรมการเงินที่อาจพังความสัมพันธ์ ยืมเงินเพื่อนเสี่ยงเสียเพื่อนมากที่สุด"

มิตรภาพเป็นสิ่งที่ล้ำค่า แต่รู้หรือไม่ว่า เงิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนเพื่อนรักให้กลายเป็นศัตรูได้ในพริบตา? หลายคนอาจคิดว่า “แค่ยืมเงินนิดเดียว คงไม่เป็นไรหรอก” แต่ความจริงแล้ว เงินสามารถสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้อย่างคาดไม่ถึง มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้างที่เงินสามารถทำลายมิตรภาพได้ พร้อมวิธีหลีกเลี่ยงก่อนสายเกินไป!



เปิด 6 วิธีที่เงินทำลายมิตรภาพ

1. ให้เพื่อนยืมเงินแล้วไม่ได้คืน

นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้มิตรภาพพังลง ถ้าคุณให้เพื่อนยืมเงิน แล้วเขา “ลืม” คืน หรือเลื่อนแล้วเลื่อนอีก บอกเลยว่าความสัมพันธ์อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความไว้ใจเป็นสิ่งสำคัญในมิตรภาพ และเมื่อมันถูกทำลายไป โอกาสจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมนั้นยากมาก ทางออกที่ดีที่สุดคือ ถ้าจะให้เพื่อนยืมเงิน ให้คิดไปเลยว่าเป็นเงินที่คุณอาจไม่ได้คืน ถ้าให้แล้วต้องมานั่งเครียด เสียเพื่อน เสียใจ แบบนี้ไม่คุ้มแน่นอน!



2. ปฏิเสธที่จะให้ยืมเงิน

อีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณไม่ให้เพื่อนยืมเงิน ก็อาจเป็นปัญหาได้เช่นกัน บางครั้งเพื่อนอาจกำลังเดือดร้อน และถ้าคุณปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย มันอาจทำให้เขารู้สึกแย่และห่างเหินจากคุณไปตลอด ทางออกที่ดีคือ อธิบายเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา หรือถ้าคุณอยากช่วยจริง ๆ อาจให้เป็นจำนวนที่คุณสามารถให้ได้โดยไม่เดือดร้อน และอย่าคาดหวังว่าจะได้รับคืน



3. ไม่คืนเงินที่เพื่อนช่วยเหลือ

ถ้าเพื่อนช่วยเหลือคุณในยามลำบาก และคุณกลับละเลยหรือไม่คืนเงินให้ในเวลาที่ตกลงกันไว้ นี่เป็นการทำลายความเชื่อใจอย่างร้ายแรง ถ้าไม่สามารถคืนเงินตรงเวลา ควรสื่อสารให้เพื่อนรับรู้ และแสดงความรับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ความเงียบทำให้ความสัมพันธ์จบลงแบบไม่มีวันกลับมา



4. หลอกเพื่อนเพื่อให้ยืมเงิน

ถ้าคุณเคยโกหกเพื่อให้เพื่อนยืมเงิน เช่น บอกว่าต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่สุดท้ายกลับไปช้อปปิ้งหรือเที่ยวหรู แน่นอนว่าเพื่อนคงรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง ความไว้วางใจเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ บอกความจริงตรง ๆ ดีกว่า การโกหกอาจทำให้คุณได้สิ่งที่ต้องการในระยะสั้น แต่จะสูญเสียมิตรภาพในระยะยาว



5. ค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน

ฟังดูเหมือนการช่วยเหลือเพื่อนที่ดีใช่ไหม? แต่การค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อนอาจทำให้คุณต้องแบกรับภาระหนี้ก้อนโตโดยไม่รู้ตัว ถ้าเพื่อนจ่ายไม่ตรงเวลา คุณจะต้องเป็นคนรับผิดชอบแทน แถมยังส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตของคุณอีกด้วย ก่อนตัดสินใจค้ำประกันอะไรให้ใคร คิดให้รอบคอบและดูความเสี่ยงให้ดี



6. คืนเงินช้าเกินไปจนเพื่อนต้องทวง

ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการต้องคอยทวงเงินจากเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก การทำให้เพื่อนต้องรอโดยไม่จำเป็นจะสร้างความไม่พอใจและความกดดันในความสัมพันธ์ ถ้าคุณเป็นฝ่ายยืมเงิน ควรคืนให้ตรงเวลา หรือถ้าติดปัญหาจริง ๆ ก็ควรแจ้งเพื่อนล่วงหน้า การนิ่งเฉยไม่ใช่ทางออกและอาจทำให้มิตรภาพพังได้ง่าย ๆ



เงินกับมิตรภาพ—เรื่องที่ต้องคิดให้ดี!

เงินอาจเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่สามารถส่งผลกระทบมหาศาลต่อความสัมพันธ์ ถ้าคุณต้องให้เพื่อนยืมเงินหรือขอยืมเงินจากเพื่อน คิดให้รอบคอบและกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน มิตรภาพที่ดีมีค่ามากกว่าเงินเสมอ ดังนั้น อย่าปล่อยให้เงินเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ที่สำคัญในชีวิตของคุณ!




11 ตุลาคม 2568

ทดลอง DCA กองทุนรวม RMF ACWI (MSCI All Country World Index)


ACWI (MSCI All Country World Index) น่าสนใจยังไง?

การลงทุนในดัชนี ACWI (MSCI All Country World Index) ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้น แต่คือการได้เป็นเจ้าของกิจการชั้นนำระดับโลกกว่า 2,900 บริษัท ครอบคลุมทั้งในตลาดพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ รวม 47 ประเทศ คิดเป็น 85% ของมูลค่าตลาดหุ้นโลก เท่ากับว่าคุณกำลังลงทุนในธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง Apple, Samsung, Sony และอีกมากมาย!

นี่คือการกระจายความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด เพราะคุณไม่ได้ผูกติดอยู่กับเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง และมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า

สถิติย้อนหลัง ณ​ เดือนตุลาคม 2025:
  • ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปีอยู่ที่ประมาณ 10 -13%
  • 10 ปีอยู่ที่ 8 - 11% 
  • และ 20 ปีอยู่ที่ 7 - 9%



การ DCA คืออะไร มีข้อดี ข้อเสีย ยังไง?

DCA (Dollar-Cost Averaging) คือกลยุทธ์การลงทุนแบบ "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" โดยทยอยลงทุนด้วย จำนวนเงินที่เท่ากันอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับราคาหน่วยลงทุนหรือภาวะตลาด

ข้อดี: 
  • สร้างวินัยการออม ให้มีเงินเก็บต่อเนื่อง
  • ตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับจังหวะตลาด
  • ลดความเสี่ยง ที่จะเข้าซื้อในราคาสูงสุด (ติดดอย) เพราะเป็นการเฉลี่ยต้นทุน

ข้อเสีย: 
  • อาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่า หากสามารถจับจังหวะซื้อในราคาต่ำสุดได้แม่นยำ (แต่แทบไม่มีใครทำได้)
  • ต้องมีวินัย ในการลงทุนให้ต่อเนื่องตามแผน



การลงทุนในกองทุนรวม RMF ดียังไง?

RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ คือตัวช่วยวางแผนเกษียณที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีข้อดีต่างๆ ดังนี้
  • ลดหย่อนภาษีได้ ตามเงื่อนไขที่สรรพากรกำหนด
  • สร้างวินัยการออมระยะยาว เพื่อเป้าหมายเกษียณ เพราะมีเงื่อนไขการถือครองต่อเนื่อง (อย่างน้อย 5 ปี และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์)
  • เลือกลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์ ตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ 
การลงทุนใน RMF ACWI จึงเป็นการผสานการออมระยะยาวพร้อมลดหย่อนภาษี ในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงอย่างหุ้นทั่วโลก



กลยุทธ์ DCA 10 ปี สู่เงิน 1.5 - 2 ล้านบาท

หากผมตั้งใจใช้กลยุทธ์ DCA ในกองทุนรวม RMF ACWI เดือนละ 10,000 บาท (ปีละ 120,000 บาท) เป็นเวลา 10 ปี:
  • เงินลงทุนรวม ที่สะสมไปคือ 10,000 × 120 เดือน = 1,200,000 บาท
  • เป้าหมาย 1.5 - 2 ล้านบาท หมายความว่าผมต้องทำผลตอบแทนให้ได้เฉลี่ยประมาณ 5% - 8% ต่อปี
  • จากสถิติผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนีหุ้นโลก (ACWI) ซึ่งมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่า 8% ต่อปีในระยะยาว ทำให้ การคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้านบาทดูเป็นไปได้จริง สำหรับแผน 10 ปีนี้
  • ผมตั้งใจจะเริ่มต้นลงทุนเดือน มกราคม 2026 และคาดการณ์ว่าจะมีเงิน 1.5 - 2 ล้าน ภายในเดือน ธันวาคม 2035 ครับ (^_^) 

06 ตุลาคม 2568

ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น คุณกินยาเม็ดสีแดงหรือสีน้ำเงิน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในปี 1999 ภาพยนตร์เรื่อง “The Matrix” ดังมาก ฉากสำคัญในหนังที่เป็นที่จดจำและคนนำมาพูดต่อจนกลายเป็นกระแสและเป็นปรัชญาชีวิตในด้านต่าง ๆ ก็คือ การกินยาเม็ดของนักแสดงนำคือ “Neo” ก่อนเข้านอนที่มีให้เลือกว่าจะเอาสีแดงหรือสีน้ำเงิน

ถ้ากินเม็ดสีแดง คุณก็จะตื่นขึ้นมาพบกับ ความจริงและสิ่งที่เป็นความจริงที่คุณต้องประสบ ไม่ว่ามันจะเจ็บปวดรวดร้าวแค่ไหน จาก “The Matrix” หรือ “ภาพลวง” ที่คุณอยู่ก่อนกินยา และเมื่อคุณกินยาเม็ดสีแดงนี้ คุณจะไม่สามารถกลับไปที่เดิมได้เลย พูดง่าย ๆ คุณไม่สามารถ “ถอน” สิ่งที่คุณเห็นแล้วว่าเป็นจริง คุณกลับไป “หลอกตนเอง” ไม่ได้อีกต่อไป

ถ้าคุณกินยาเม็ดสีน้ำเงิน นั่นแปลว่าคุณเลือกความสบายใจและ “ภาพลวงตา” หรือมายา คุณจะตื่นขึ้นมา แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่เป็นตามปกติ และก็ไม่เคยรู้หรือตระหนักเลยว่า “Matrix” หรือ “ภาพลวง” หรือมายานั้นมีอยู่

พูดอย่างสั้นที่สุดก็คือ ยาเม็ดสีแดงนั้นแทน ความตระหนักรู้ สัจจธรรม และความเป็นจริงของโลกที่โหดร้าย และไม่มีทางหวนกลับ ส่วนยาเม็ดสีน้ำเงินเป็นตัวแทนของความไม่รู้ ความสะดวกสบายใจ และความปลอดภัย อย่างที่เคยเป็นมาตลอดก่อนหน้านั้น

หลังจากการฉายหนังแล้ว คนในวงการต่าง ๆ ก็นำแนวคิดนั้นไปใช้เพื่อจะเปรียบเทียบระหว่างความจริงที่อาจจะเจ็บปวด กับความหลอกลวงที่อาจจะทำให้สบายใจ และอยู่กับมายาคติอย่างที่เป็นมา ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงและไม่ต้องรับรู้อะไรทั้งสิ้น และในหลาย ๆ กรณีก็ยังดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์โดยการเปลี่ยนและเพิ่มสีของยาเม็ดเข้าไปด้วย

ตัวอย่างเช่น ในทางสังคมและการเมืองที่มีการพูดถึงยาเม็ดสีดำว่า เป็นยาที่แทนความสิ้นหวัง เชื่อว่าความเป็นจริงก็คือความสิ้นหวังหดหู่และไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ สีขาวคือการมองโลกในแง่ดีและมีความหวัง คือเห็นความจริงและเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านบวกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ และสีม่วงที่อยู่ตรงกลางคือต้องการความจริงแต่ก็ต้องสบายใจด้วย

ว่าที่จริงผมยังจำได้ถึงเหตุการณ์ทางการเมืองของไทยช่วงหนึ่งเมื่อซัก 20 ปีมาแล้วที่เกิดการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนที่อยู่ต่างจังหวัดที่มีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่ากับคนชั้นนำในเมืองและก็เกิดสถานการณ์ที่เรียกว่า “ตาสว่าง” ของกลุ่มคนที่อยู่ต่างจังหวัด ผู้นำทางจิตวิญญาณของเขาบางคนที่ “รวยมาก” ที่ผมรู้จักได้พูดกับผมว่า เขาเหมือนกับดาราในหนัง Matrix คือเลือกกินยาเม็ดสีแดง และตื่นขึ้นมาพบกับความจริงที่โหดร้าย แต่เขากลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้แล้ว

กลับมาที่ “การลงทุน” ซึ่งแน่นอนว่ามีการใช้อุปมาอุปมัยเกี่ยวกับยาเม็ดของหนัง The Matrix แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก อย่างไรก็ตาม ผมเองก็ชอบ เพราะตัวผมเองนั้น เมื่อมาคิดดู หลังจากที่ผมเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัวเกือบ 30 ปีมาแล้ว ผมก็ได้เลือกกินยาเม็ดสีแดงก่อนเข้านอนและตื่นขึ้นมาในโลก “ใบใหม่” ที่ผมพบกับความจริงและความเป็นจริงของตลาดหุ้นและการลงทุน

โดยที่ปรัชญาชี้นำในชีวิตผมก็เปลี่ยนเป็นแบบ Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผมรู้สึกหลุดพ้นจาก “ภาพลวง” ของตลาดหุ้นและการลงทุนก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และหลังจากนั้น ผมก็กลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกต่อไปแม้ว่าจะเกิดอุปสรรคและสิ่งเลวร้ายเป็นช่วง ๆ ตลอดมาโดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ดูเหมือนว่า “VI” อาจจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปในตลาดหุ้นไทย พูดง่าย ๆ เมื่อเป็น VI แล้ว เราก็ต้องเป็นตลอดชีวิต ไม่สามารถกลับไปเล่นเก็งกำไรหรือเล่นไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ในการลงทุนนั้นพูดกันว่า ยาเม็ดสีน้ำเงินก็คือ การลงทุนที่คุณเชื่อหรือปฏิบัติการลงทุนดังต่อไปนี้คือ (ซึ่งมักจะเป็นภาพลวงและให้ความสบายใจเวลาทำ)

1) เกาะกลุ่มไปกับฝูงชน หรือที่เรียกกันว่าเล่นหุ้นตามแห่ เพราะนี่จะทำให้เกิดความสบายใจ เพราะหุ้นมักจะวิ่งขึ้นเร็วและแรงและมีสภาพคล่องที่ดี ไม่อยากเล่นหุ้นที่ไม่มีใครเล่น
2) เชื่อว่า ตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้อันตรายถ้าคุณคอยติดตามอย่างใกล้ชิด และราคาหุ้นนั้นสะท้อนพื้นฐานของกิจการ หุ้นขึ้นก็เพราะมันมีข่าวดี หุ้นลงเพราะมีข่าวร้าย การปั่นหุ้นหรือเก็งกำไรถ้ามีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นเป็นแบบนั้นอย่างรวดเร็ว
3) มักติดตามและเชื่อนักวิเคราะห์ นักข่าว และ “เซียน” โดยไม่ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถ้าในตลาดหุ้นไทยก็มักจะถูกเรียกว่าเป็น “เม่า”
4) ชอบเล่นหุ้นที่อยู่ในกระแส เป็นหุ้นที่ทุกคนพูดถึงหรือทุกคนเล่นโดยไม่สนใจเรื่องความถูกความแพงของราคาหุ้นทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่าราคาหุ้นสูงเกินไป

ยาเม็ดสีแดงในตลาดหุ้นจะทำให้คน ๆ นั้น เชื่อในหลักการที่เป็นความจริงและสภาพความเป็นจริง เช่น
1) กล้าเผชิญกับความเป็นจริงที่โหดร้ายเกี่ยวกับความเสี่ยง ฟองสบู่หุ้นและตลาดหุ้น และการปั่นหุ้นที่มีตลอดเวลา
2) ตระหนักว่านักลงทุนส่วนใหญ่ลงทุนแย่กว่าตลาด และอารมณ์ความรู้สึกนั้น มีผลกระทบต่อการซื้อ-ขายหุ้นและราคาตลาดมาก
3) พร้อมที่จะศึกษาและวิเคราะห์ตลาดและหุ้นด้วยตัวเอง กล้า “สวนกระแส” ทำตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่หรือฝูงชน ยอมรับความผันผวนของหุ้น ไม่ซื้อ-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นลงรุนแรง
4) กล้าถือหุ้นยาวผ่านช่วงวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างของนักลงทุนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกกินยาเม็ดสีแดงก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์
ชาลี มังเกอร์ เรย์ ดาลิโอ โฮเวิร์ด มาร์ก และโมนิช พราไบร์ เป็นต้น ส่วนในตลาดหุ้นไทยนั้น VI โดยเฉพาะที่เป็น “รุ่นบุกเบิก” ส่วนมาก ผมเชื่อว่าคงกินยาเม็ดสีแดงตอนเข้าตลาดหุ้นอย่างน้อย 20 ปีที่ผ่านมา ที่ผมคิดว่าถึงวันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและแนวทางแบบ VI แม้ว่าจะประสบกับอุปสรรคในการลงทุนในช่วงหลัง ๆ นี้

ยาเม็ดสีแดงที่ผมกินตั้งแต่หลังวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 นั้นก็คือ การศึกษาหลักการลงทุนแบบ VI อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะหลักการของบัฟเฟตต์ที่เพิ่งเริ่มมีคนเขียน อย่างเช่น เรื่อง The Intelligent Investor ของเบน เกรแฮม The Warren Buffett Way ของ Robert G. Hagstrom รวมถึง Buffettology ของแมรี่ บัฟเฟตต์ เป็นต้น

ผมเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาตร์ของตลาดหุ้นและการลงทุน เริ่มวางแผนการเงินและเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง ผมยังจำได้ว่าผมตั้งความหวังที่จะมีเงิน “พันล้านบาทก่อนตาย” โดยที่ผมสามารถที่จะลงทุนจนถึงอายุ 80 ปี แนวคิดว่าผมมี “ตะเกียง 3 ดวง” ที่ผมจะต้องจัดการและดูแล ซึ่งก็คือ 1) เงินต้นที่มีอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร 2) ผลตอบแทนการลงทุนที่ผมจะสามารถทำได้ต่อปีแบบทบต้น ซึ่งผมวางไว้ว่าสูงถึง 15% และ 3) ผมจะต้องมีชีวิตอยู่ให้ถึง 80 ปี ทั้งหมดนั้น เกิดขึ้นในตอนนั้นซึ่งยังไม่เคยมีใครคิดหรือพูดถึงมาก่อน

สิ่งที่ผมคิดบนกระดาษในช่วงเวลานั้น ดูในทางทฤษฎีแล้วก็น่าจะทำได้ แต่ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริงได้ เหตุผลสำคัญน่าจะอยู่ที่ Mentality หรือความคิดที่ติดตัวผมตั้งแต่เกิดที่ว่า “เราเป็นคนจน” ถึงแม้จะพยายามแค่ไหนก็คงทำได้แค่ระดับหนึ่ง ไม่สามารถไปเทียบกับ “คนรวย” ที่เป็นคนจ้างเราทำงานและจ่ายเงินเดือนให้เรามาตลอด ถ้าจะพูดไป ผม “เจียมตัว” มาตลอดชีวิต การที่จะมีเงินพันล้านบาทในช่วงปี 2542-2543 นั้นคือคนที่แทบจะเรียกว่าเป็น “มหาเศรษฐี”

แต่ในตอนนั้น ตัวเลขจากการคำนวณบอกว่าถ้าผมรักษาเงินต้นและเพิ่มพูนมันขึ้นไปโดยการทำงานไปเรื่อย ๆ และไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และลงทุนแบบที่ผมเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมในระยะยาวซึ่งก็คือการลงทุนในแบบ VI อย่างมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง และผมรักษาสุขภาพไม่ให้เจ็บหรือตายก่อน 80 ปี ซึ่งผมคิดว่าทำได้ ผมก็จะต้องรวยเป็น “มหาเศรษฐี” ทั้ง ๆ ที่มีเงินเพียงหลักสิบล้านบาทในวันเริ่มต้น

หลังจากเวลาที่เริ่มกินยาเม็ดสีแดงในวันนั้นแล้ว ก็อย่างที่รู้ สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและตลาดหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงไปมาก ในช่วงเกือบ 20 ปีแรก กลายเป็น “ยุคทอง” ของการลงทุน ผลตอบแทนการลงทุนของผมดีมาก แทบจะเรียกว่า “ระดับโลก” เป้าหมายความมั่งคั่งที่เคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” สามารถบรรลุไปอย่างรวดเร็ว แต่นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะความสามารถที่เหนือชั้น เพราะนักลงทุนคนอื่นจำนวนมากรวมถึงคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เรียกตัวเองว่า “VI” ตาม “กระแส VI” ที่กำลังโด่งดัง กลับ “ดีกว่า” และทำให้เกิด “เศรษฐีพันล้าน” เกลื่อนตลาด

แต่แล้ว ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มเปลี่ยนไปอีก แต่ในทางที่แย่ลง ตลาดหุ้นย่ำแย่มายาวนานเป็น 10 ปี หลักการและวิธีการลงทุนแบบ VI เริ่มใช้ไม่ได้ผล นักลงทุนจำนวนมากที่เคยรวยมาก เดี๋ยวนี้รวยน้อยลงไปมาก บางคนกลายเป็นคนเคยรวย ผลตอบแทนที่ลดลงในตลาดหุ้นไทยอาจจะทำให้หลายคนเปลี่ยนแนวการลงทุนหรือเลิกไปเลย จำนวนมากหันไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็อาจจะเลิกความคิดแบบ VI ไปด้วย เนื่องจากไม่สามารถหาหุ้นที่เข้าเกณฑ์ได้ หลายคนกลับไปใช้เทคนิคเดิมที่คุ้นเคย

ผมเองก็ต้องปรับตัว พยายามลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากแต่ก็ยังเลือกไม่ค่อยได้เนื่องจากความรู้ในตัวหุ้นจำกัด บางครั้งผมก็คิดว่าเราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนให้เข้ากับสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ เพราะผมกินยาเม็ดสีแดงไปแล้ว ผมไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ตอนนี้ก็เลยเก็บแต่เงินสดไปเรื่อย ๆ คงจะรอจนกว่าหุ้นจะเข้าข่ายเป็น VI คือคุณภาพดี ราคาถูก ถึงจะซื้อ




29 กันยายน 2568

เมื่อฟองสบู่หุ้นยักษ์แตก ตลาดหุ้นคงดูไม่ดีเท่าไร โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นโลกและทรัพย์สิน “โลก” อย่างเช่นทองคำวิ่งขึ้นเป็น “All Time High” หรือ “สูงสุดตลอดกาล” เกือบทุกวัน และหุ้นที่วิ่งนำตลาดก็มักจะเป็นหุ้นที่ใหญ่มากขนาดที่เรียกว่า “หุ้นยักษ์” จำนวนเพียงระดับ 10 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ส่วนหุ้นขนาดกลางหรือเล็กนั้น บางทีก็ไม่ขึ้นเลยเพราะ “ไม่มีใครเล่น”
 
การขึ้นของหุ้นยักษ์ประเภทหุ้น “นางฟ้า” หรือ “หุ้นเทพ” นั้น มาจากความตื่นเต้นต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เชื่อกันว่ากำลัง “เปลี่ยนโลก” ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือ AI ที่มีความสามารถ “เหนือมนุษย์” และจะสามารถมาทำงานแทนหรือมาแทนมนุษย์ได้ในเวลา “ไม่นาน” ตัวอย่างอาจจะรวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยมี AI เป็น “คนขับ” ที่ตอนนี้ก็เริ่มทดลองกันแล้วในหลาย ๆ เมืองใหญ่ทั่วโลก อีกไม่เกิน 10 ปี มันก็อาจจะทำแทนคนเป็นล้าน ๆ คนแล้ว

การวิ่งขึ้นของหุ้นไฮเทคยักษ์โดยเฉพาะ AI นั้น สูงมากจน “ไม่น่าเชื่อ” หุ้นตัวเดียวบางตัวมีมูลค่าตลาดถึง 4 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 130 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยถึงกว่า 8 เท่า

นั่นทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐมีมูลค่าสูงถีงประมาณ 61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือสูงเป็น ประมาณ 215% ของ GDP ที่อยู่ที่ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างที่แทบไม่เคยเป็นมาก่อน และนี่ก็คือตัวเลขที่แสดงว่าตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไปและสูงเกินพื้นฐานไปมากในความคิดของบัฟเฟตต์ หรือที่เรียกกันว่า Buffett Indicator ที่บอกว่า Market Cap. ของตลาดหุ้นไม่ควรมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของประเทศนั้น

และข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศต่าง ๆ รวมถึงตลาดสหรัฐในอดีตก็แสดงว่า ส่วนใหญ่แล้ว Market Cap. จะต่ำกว่า GDP ของประเทศ และถ้าช่วงไหนสูงกว่า ตลาดก็จะร้อนแรงเกินไป ราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น ซักพักหนึ่งตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงมาจนต่ำกว่า GDP. ว่าที่จริงในช่วงนี้ค่าเฉลี่ยของ Market Cap. ทั่วโลกก็แค่ประมาณ 90% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยเองก็มีค่าพอ ๆ กัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ ตอนนี้ก็มีมูลค่าปกติ

แต่ข้อโต้แย้งของนักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้นโตเร็วและเก็งกำไรก็คือ หุ้นในตลาดสหรัฐนั้นเป็น “ข้อยกเว้น” เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ของอเมริกานั้น ที่จริง เป็น “บริษัทของโลก” พวกเขาขายสินค้าไปทั่วโลกและรายได้และกำไรส่วนใหญ่ก็มาจากโลกไม่ได้มาจากอเมริกาเพียงประเทศเดียว ดังนั้น อัตราส่วนนี้จึงใช้ไม่ได้ Market Cap. ของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้น ยังเล็กกว่า GDP โลก และดังนั้น หุ้นยังไม่แพง

แต่ถ้ามาดูตัวเลขอีกตัวหนึ่ง ก็ยังอาจจะบอกได้ว่าหุ้นสหรัฐนั้น “แพงเกินไป” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก นั่นก็คือ ขณะที่ GDP ของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ 26% ของ GDP โลก แต่มูลค่า Market Cap. ของตลาดหุ้นอเมริกากลับใหญ่มากถึงประมาณ 49% ของตลาดหุ้นโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งก็ยังคงมีอีกว่า ก็อเมริกานั้นเป็นผู้นำของโลกทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้านอำนาจทางการรบและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สะท้อนจากบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้น ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงกว่าสัดส่วนของ GDP มากก็เหมาะสมแล้ว

พูดง่าย ๆ ถ้าสหรัฐก็เหมือนกับประเทศอื่น ๆ Market Cap. ของตลาดหุ้นก็ควรจะประมาณ 26% ของ Market Cap. ของโลก ไม่ใช่ 49% หรือใหญ่เป็นเกือบ 2 เท่าอย่างที่เป็นอยู่ แต่ใครจะบอกได้ว่า Market Cap. ของสหรัฐควรเป็นเท่าไร นอกจากนักลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นจนมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ พูดง่าย ๆ คนเชื่อมั่นในอเมริกาตามที่ทรัมป์บอกว่ากำลังทำให้ “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”

แต่ทั้งหมดนั้น จริงหรือ! คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงนักคิดชื่อดังอย่าง เรย์ ดาลิโอ หรือ บัฟเฟตต์ กลับคิดว่า หุ้นอเมริกานั้น อาจจะแพงเกินไป แพงเกินพื้นฐานที่แท้จริง และแม้ว่าส่วนใหญ่ยังไม่คิดว่าอเมริกาจะถึงจุดที่เริ่มตกต่ำลงแล้วอย่างที่เรย์ ดาลิโอบอก แต่ราคาหุ้นตอนนี้มันสูงเกินไปจนหลายคนคิดว่ามันเป็น “Bubble” หรือ “ฟองสบู่หุ้น” ที่พร้อมจะ “แตก” และพวกเขาก็เตรียมตัวโดยการทยอยขายหุ้นเพื่อเก็บเป็นเงินสด และนั่นก็คือเหตุผลที่เบิร์กไชร์ถือเงินสดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณเกือบ 4 แสนล้านเหรียญหรือ 12 ล้านล้านบาทไทย

ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยของอเมริกาที่ขนเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังกู้เงินผ่านบัญชีมาร์จินมาใช้ลงทุนถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือ 32 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2 เท่า ของ GDP ไทย เข้ามาซื้อหุ้นยักษ์เพียงไม่กี่สิบตัวและเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งส่งผลให้หุ้นแค่หยิบมือเดียวนี้มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึงกว่า 1 ใน 3 ของทั้งตลาดหุ้น S&P 500

เราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าในที่สุด ใครจะถูกหรือใครจะผิด ระหว่างเซียนหุ้นระดับโลก ที่กำลังจะจากไปในไม่ช้า กับคนหนุ่มสาวที่หลายคนเพิ่งจะเริ่มลงทุน และคิดว่า “โลกใหม่” ในอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และบริษัทที่จะ “ครองโลก” ทั้งหมดนั้นก็จะมีแค่หยิบมือเดียวที่เห็น นั่นก็คือ บริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่กำลังเร่งพัฒนา AI อย่างบ้าคลั่ง ที่อาจจะกลืนกินธุรกิจอื่นทั้งหมดในเวลาอีกไม่นาน

ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตของตลาดหุ้นอเมริกาและหุ้นยักษ์จะเป็นอย่างไร และดังนั้นผมก็พยายามมองหาคำตอบจาก “ประวัติศาสตร์” ที่คล้าย ๆ กันแม้ว่าหลายคนจะเลิกคิดถึงประวัติศาตรไปแล้วในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ “ถูกทำลาย” ไปอย่างไม่มีชิ้นดีแทบทุกวัน

ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของตลาดหุ้นอเมริกาผมดูว่าจะคล้าย ๆ ตลาดหุ้น—และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษปี 1980 ถึง 1989 ที่ดัชนีนิกเกอิขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ประมาณ 39,000 จุด จาก 6,500 จุด หรือเพิ่มขึ้น 500% ในเวลา 10 ปี หรือเฉลี่ยทบต้นปีละเกือบ 20% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ในช่วงเวลา 10 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนสูงมากที่ประมาณ 13% ต่อปี แต่ถ้าคิดแค่ 5 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 15% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นโตมากแทบจะคับฟ้าอยู่แล้ว

เหตุผลที่ตลาดเติบโตร้อนแรงมากของญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะคนแทบทั้งโลกต่างก็เชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังขึ้นแซงหน้าอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจหลังจากที่ GDP ของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลักมานานและคนร่ำรวยมหาศาล GDP ต่อหัวน่าจะสูงเท่า ๆ คนอเมริกันหรือสูงกว่าและก็ยังเติบโตในระดับ 4-6% ในช่วงปี 1985-1990 ซึ่งยังเป็น “ปีทอง” ของญี่ปุ่นในทุกด้านแม้ว่าอเมริกาจะบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มค่าเงินเยนตามข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ดในปี 1985 เพื่อลดการส่งออกของญี่ปุ่นลง

ในช่วงเวลานั้น นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศญี่ปุ่นเองก็กำลังสดใสสุดยอด ญี่ปุ่นกลายเป็น “อัจฉริยะ” ในทุกด้าน สินค้าญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการทั่วโลก ทั้งในด้านคุณภาพที่ดีสมบูรณ์แบบ เช่น พวกรถยนต์และเครื่องจักรกลทั้งหลาย เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเหนือกว่าคู่แข่งและมีราคาถูกสามารถตีตลาดไปทั่วโลก นอกจากนั้น ในด้านของความคิดสร้างสรรค์นั้น ญี่ปุ่นก็มีสินค้าใหม่เช่น Walkman ที่ใช้ฟังดนตรีขณะเดินได้ เช่นเดียวกับเกมคอมพิวเตอร์เช่น นินเทนโด ที่คนนิยมกันทั่วโลก

เซมิคอนดักเตอร์ที่จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาดิจิทัลในเวลานี้ก็เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการผลิตในวันนั้น เช่นเดียวกับแนวคิดในการบริหารงานเช่น ระบบการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังของโตโยตาก็กลายเป็นมาตรฐานสมัยใหม่ที่ทุกประเทศต่างก็ต้องเลียนแบบ ญี่ปุ่นกำลังครองโลก!

และก็แน่นอนว่าตลาดหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของญี่ปุ่นก็สะท้อนความรุ่งเรืองนั้นอย่างเต็มที่ โดยที่ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับโลกในเวลานั้นก็แค่ 15% แต่ Market Cap. ของตลาดหุ้นโตเกียวสูงถึง 45% ของตลาดหุ้นทั้งโลกและใหญ่กว่าตลาดหุ้นของสหรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ค่า PE ของตลาดก็สูงถึงกว่า 60 เท่า โดยที่หุ้นยักษ์ ๆ สูงยิ่งกว่านั้น

อสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นกลับเป็น “ฟองสบู่” มากกว่าหุ้น ราคาวิ่งขึ้นไปแบบหลุดโลก เพราะญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อย ว่ากันว่าแค่วังของจักรพรรดิ ถ้าตีราคาขึ้นมาก็จะมีค่ามากกว่าแคลิฟอร์เนียทั้งรัฐ นอกเหนือจากนั้นก็คือ คนญี่ปุ่นคิดว่าที่จะขึ้นไปเรื่อย ๆ ขายไปแล้วจะอยู่ที่ไหน?

แน่นอนว่าเขาก็มีคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมหุ้นจึงมาราคาแพงมาก เพราะนอกเหนือไปจากการที่บริษัทกำลังบูมสุดยอดด้วยความสามารถและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นและทำกำไรได้ดีมากแล้วก็เป็นเพราะว่า บริษัทจดทะเบียนใหญ่ ๆ ในตลาดหุ้นต่างก็ถือหุ้นไขว้กันหมดและพวกเขาไม่ขายไม่ว่าราคาจะขึ้นมาแค่ไหน

หลังจากปี 1989 ตลาดหุ้นก็ “ถล่ม” ลงมา ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง ดัชนีตกจากจุดสูงสุด 39,000 จุด เหลือเพียงประมาณ 15,000 จุด ในช่วงกลางปี 1992 หรือเป็นการลดลงมาถึงกว่า 60% เมื่อ “เรื่องจริง” เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรากฎขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นตกต่ำลงเหลือโตปีละแค่ 1-2% คนญี่ปุ่นแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นสังคมคนสูงอายุ ความคิดสร้างสรรค์หายไป ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี Innovation ใหม่ ๆ และถูกแซงโดยเกาหลีใต้และต่อมาก็จีน ไม่ต้องพูดถึงอเมริกาที่พุ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นด้วยพลังของสตาร์ทอัพของคนรุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แต่ในฐานะของ VI เราก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านลบที่รุนแรงที่อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐเกิดสถานการณ์แบบเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อ 35 ปีมาแล้ว




รวมโครงการ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว ทาวน์โฮมชั้นเดียว

 


รวมโครงการ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว ทาวน์โฮมชั้นเดียว




22 กันยายน 2568

ประเทศไทยปฏิรูป-ฝันไป โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมมีความคิดมานานแล้วว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้อง “ปฏิรูป” คือเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำ ที่เคยทำมายาวนานอย่างน้อย 72 ปี ตั้งแต่ผมเกิด เพราะโลกและประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่เราจะทำแบบเดิมแล้วยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างที่เคยเป็นมา

เหตุผลสำคัญก็คือ โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งทำให้ประเทศที่ “ตามไม่ทัน” และยังทำงานด้วยความรู้และ “ภูมิปัญญาแบบเดิม” พ่ายแพ้แก่ประเทศที่ก้าวหน้ากว่า

ประเด็นก็คือ ความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้น อาศัย “การลงทุน” เช่นการตั้งโรงงานจากต่างประเทศ และต่อมาก็จากคนไทยที่ร่ำรวยขึ้น และอาศัย “คนงาน” ที่ทำงานการเกษตรในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ต่อมาก็อาศัยชาวต่างชาติรอบบ้านเราที่มาหางานที่มีค่าแรงสูงกว่าทำ

ตอนนี้คนไทยที่ย้ายมาทำงานตามโรงงานก็หมดแล้ว เพราะนอกจากจะไม่มีคนหนุ่มสาวในชนบทแล้ว คนไทยโดยรวมก็กำลังลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ ส่วนคนที่ยังทำงานก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ยังทำงาน “แบบเดิม” และด้วยเทคโนโลยีแบบเดิม และประสิทธิภาพก็ “เท่าเดิม” ผลก็คือ ขนาดของเศรษฐกิจหรือ GDP ก็ไม่โตหรือโตน้อยมาก และถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ GDP ก็อาจจะลดลงในอนาคต

การ “ปฏิรูป” ที่ผมจะพูดถึงก็คือ 1) การเพิ่มจำนวนประชากรคนทำงานและ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงาน โดยที่ข้อ 1 นั้นดูเหมือนจะยากกว่าเนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยหรือแม้แต่คนที่พัฒนาแล้วทั่วโลก ต่างก็ไม่อยากมีลูกมากเหมือนเดิม ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากหรือไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกอย่างที่ต้องการ

การเพิ่มประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุดข้อแรกก็คือ การศึกษาหรือการสอนนักเรียนให้เก่งขึ้นในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมดโดย ข้อแรกจะต้องปรับให้การใช้ทรัพยากรหรืองบที่ใช้ในการสอนนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายก็คือ ปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยมากและให้เด็กไปเรียนรวมกันในโรงเรียนขนาดใหญ่ นี่จะทำให้เกิด Economies of Scale หรือต้นทุนการสอนต่อเด็กแต่ละคนลดลงได้มาก โดยที่เงินที่ประหยัดได้ก็จะถูกนำไปใช้ในการจ้างครูหรือเพิ่มและปรับปรุงอุปกรณ์การสอนให้ดีขึ้น

วิชาที่จะสอนแบบปฏิรูปนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษก็คือ STEM หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ต้องใช้ความคิดแบบเหตุผลมีตรรกะ และต้องลดวิชาเกี่ยวกับศิลปะศาสตร์ที่เน้นให้เด็กท่องจำลง นอกจากนั้น ต้องเพิ่มวิชาเกี่ยวกับ AI และการใช้ AI กับเด็กทุกคน

อีกวิชาหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นและมีประโยชน์มากก็คือภาษาอังกฤษ เหตุผลก็เพราะมันเป็นภาษาของ “โลก” และ “ดิจิทัล” คนที่ภาษาอังกฤษดีจะทำให้สามารถติดต่อกับคนทั่วโลกและเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ง่ายกว่าคนที่ไม่เชี่ยวชาญภาษานี้
การเปลี่ยนแปลงที่ผมคิดว่าจะสำเร็จนั้น จะต้องทำอย่างมีคุณภาพและได้ผลชัดเจน อย่างครูภาษาอังกฤษนั้น ควรจะต้องเป็น Native Speaker หรือคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเราแทบจะไม่มี ดังนั้น การจ้างครูจึงเป็นเรื่องใหญ่และอาจต้องใช้เงินมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ AI ในปัจจุบัน เราอาจจะสามารถให้ AI สอนโดยมีครูคนเดิมเป็นผู้สนับสนุนก็ได้

รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษานั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พอให้คนในแวดวงการศึกษาคิดก็อาจจะบอกทันทีว่า “ทำไม่ได้” อาจจะเพราะ “ไม่มีเงิน” “ไม่มีครู” “ยุบโรงเรียนไม่ได้” “ลดวิชานั้นวิชานี้ไม่ได้” และอีกร้อยแปด นั่นก็อาจจะเพราะว่าพวกเขา “ชินกับความคิดแบบเดิม” ที่ทำมาแล้วอย่างน้อย 70-80 ปีขึ้นไปจนฝังอยู่ในสมองและมีแนวคิดว่าครูคือ “แม่พิมพ์” ที่ปั๊มเด็กออกมาให้เหมือนกับตนเอง แต่ถ้าเราจะ “ปฏิรูป” ก็ต้อง “คิดใหม่” และก็จะต้องมีคนใหม่ ๆ ที่อาจจะพูดในสิ่งที่ “ไร้สาระที่สุด” เช่น ไม่ต้องมีครูก็ได้ เพราะ “AI สอนได้ และดีกว่า” เป็นต้น

โรงเรียน “ใหม่” นี้ อาจจะไม่ได้มีต้นทุนสูงก็ได้ เพราะถูกออกแบบมาให้มี Economies of Scale สูงมากคล้าย ๆ กับสินค้าหลายอย่างในช่วงนี้ที่มีของ “คุณภาพดี ราคาถูก” ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ และเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบไปถึงเรื่องของการเพิ่มประชากรได้ด้วยหากคนที่ไม่ต้องการมีลูกเพราะคิดว่าไม่สามารถให้การศึกษาที่ดีกับเด็กได้ ค้นพบว่าเขาไม่ต้องจ่ายเงินมากมายอะไรกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ที่มีคุณภาพ พวกเขาก็อาจจะอยากมีลูกมากขึ้น

การปฏิรูปเรื่องที่สองที่ผมว่าจำเป็นมากที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกระดับหนึ่งก็คือ การปฏิรูปในเรื่องของระบบราชการและการปกครอง ประเด็นก็คือ ประสิทธิภาพของระบบการปกครองและการให้บริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าประเทศอื่นที่ก้าวหน้ากว่า และสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลเท่าที่ควรทั้ง ๆ ที่โลกและภาคเอกชนมีและใช้มันมานานแล้ว

เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ หน่วยงานจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการประชาชน เช่นกรมที่ดิน ยังไม่ได้ใช้ดิจิทัลทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีมีมานานแล้ว เช่น ระบบ GPS ที่บอกพิกัดได้ละเอียดมากพอน่าจะเป็นระดับเซ็นติเมตร แต่เราก็ยังใช้หมุดและคนรังวัดที่ดินจำนวนมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงการโอนและกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ยังอยู่ในรูปของกระดาษ

ผมเองคิดว่าระบบทั้งหมดนั้นควรจะอยู่ในรูป “On Line” เวลาจะซื้อหรือขายควรจะทำผ่านคอมพิวเตอร์แบบการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับการจ่ายภาษีที่ดินที่น่าจะจ่ายผ่านแพลทฟอร์มและตัดบัญชีธนาคารได้เลย แต่ทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

หน่วยราชการอื่น ๆ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังทำงานอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพและบางทีก็ซ้ำซ้อน เรื่องเดียวกันแต่เราต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้ง ๆ ที่ข้อมูลก็อยู่ในระบบของราชการอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าจะตั้งโรงงาน ก็จะต้องขออนุญาตและผ่านการอนุมัติจากหลายหน่วยงานและก็จะต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ ทำไมเราไม่หาคนออกแบบระบบ ทำโปรแกรมที่ลิงค์ข้อมูลถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างสามารถพิจารณาและอนุมัติได้ทันทีจากปลายนิ้วของคนขอและคนอนุมัติ?

แม้แต่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเช่น อำเภอและจังหวัด เองนั้น ก็ควรจะต้อง “ปฏิรูป” เพราะเหตุผลที่ต้องแบ่งเป็นเขตแดนจำนวนมากก็เพราะในสมัยก่อนนั้นเราไม่มีระบบ Logistic ที่ดี การเดินทางเข้า “ส่วนกลาง” ใช่เวลานานมาก อาจจะหลาย ๆ วัน แต่ทุกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นออนไลน์หมดแล้ว การมีอยู่ของเขตการปกครองแบบท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ แทบไม่มีความจำเป็น ดังนั้น อำเภอหรือจังหวัดในปัจจุบันนั้น จึงมีจำนวนมากเกินไป สามารถยุบรวมกันได้ อย่างน้อยก็น่าจะซัก 2 จังหวัดเหลือ 1 จังหวัด เช่นเดียวกับอำเภอที่น่าจะสามารถลดลงได้ในอัตราส่วนที่มากกว่าด้วยซ้ำ

นอกจากจะลดงบประมาณลงได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มคุณภาพหรือประสิทธิภาพให้กับการปกครองหรือการให้บริการได้ เพราะคนจะใช้เวลาน้อยลงในการขอรับบริการ เนื่องจากมันเป็นดิจิทัล ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

การปฏิรูปอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าหรือพัฒนาเร็วขึ้นก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศอื่นและเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความมั่นคงซึ่งระยะหลัง ๆ นี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวโดยเฉพาะก็คือ ถ้าความมั่นคงไม่ดีมีศึกสงคราม เศรษฐกิจก็จะแย่ไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะการค้าขาย แต่การลงทุนก็จะถูกกระทบ นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในประเทศที่กำลังทำสงครามอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับสงครามก็คือเรื่องของความไม่สงบของสังคมภายในประเทศที่มักจะเกิดขึ้นจากอาชญกรรม การโกง และจากความไม่พอใจใน “กติกา” ทางสังคมและการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของรัฐธรรมนูณและกฎหมายต่าง ๆ เพราะความไม่สงบนั้นทำให้คนไม่มั่นใจที่จะมาลงทุนทำธุรกิจหรือแม้จะแค่มาท่องเที่ยวซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินให้แก่ประเทศมหาศาลและเป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้ GDP เติบเติบโตขึ้นได้ไม่น้อย

การปฎิรูปในเรื่องเหล่านี้ก็คือ ทำให้ประเทศมีความสงบ มีความมั่นคง อาชญากรรมน้อย และผู้คนมีความพอใจกันทุกฝ่ายในด้านของการเมือง ซึ่งนั่นก็จะเป็นการส่งเสริมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี และสุดท้ายก็จะกลับมาส่งเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น พูดง่าย ๆ การปฏิรูปเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า ความมั่นคงและความสงบนั้นมาจากหลาย ๆ มิติ ไม่ใช่เฉพาะการมีกำลังทางทหารหรือมีอาวุธที่เข้มแข็งในปัจจุบัน แต่มาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการเติบโตที่จะทำให้เรามีพลังที่จะต่อสู้และป้องกันศัตรูได้ในระยะยาวด้วย

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ว่าที่จริงก็คล้าย ๆ กับการแถลงนโยบายของรัฐบาลหรือการเสนอนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่มักจะ “เกิดขึ้นยาก” หลายเรื่องเสนอหรือทำไปแล้วก็ไม่ได้รับความนิยม เรื่องที่ทำก็ไม่สำเร็จเพราะอาจจะถูกต่อต้านจนคนทำต้องล้มไปก่อน ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยแล้ว มันคงเป็นแค่ “ความฝัน” แต่ผมเองก็ยังฝันว่าวันหนึ่งมันอาจจะเป็นความจริงได้




15 กันยายน 2568

จาก VI สู่ AI -เทรดเดอร์อัจฉริยะ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่คนในธุรกิจต่าง ๆ พบว่าวงการเงินซึ่งรวมถึงธนาคาร การประกัน และหลักทรัพย์นั้น อยู่ในระดับสูงมากถึงระดับ 50% ไปแล้ว โดยที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการบริหารทรัพย์สินและการลงทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 40%
 
การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง โปรแกรมเทรดดิงกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย

หลักคิดหรือกลยุทธในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า ”Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก

พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูงกับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้

ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถึงวันนี้น่าจะเป็น “กระแสหลัก” ไปแล้ว และแน่นอนว่า เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงค์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ70 ปี

ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน ซึ่งก็คือ Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้ ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย

ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้ ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก

Quant นั้น คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ Edward O. Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ

เริ่มแรก เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็คแจ็คหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ” ทางสถิติ ซึ่งผลก็คือ เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฎิเสธไม่ให้เขาเล่น เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้

ต่อมา เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น วอแรนต์และออปชั่นที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่ออ็อบชั่นของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ ด้วยการทำแบบนั้น เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10.2% และติดลบไป 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็ “รวย” ระดับเศรษฐี แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ นั่นก็คือ การเป็นนักวิชาการ ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ คนที่เป็น VI นั้น จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่ ดังนั้น คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน

พวก Quant นั้น ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิง โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร

“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดระหัดโค้ดในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้น เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน ถ้าจะพูดไป คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก

ผลงานของ VI นั้น มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น “รวยยังไง” ถือหุ้นอะไรบ้าง

ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมน้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0 ดังนั้น Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก อานิสงค์จากความก้าวหน้าของ AI

อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว ผลงานกองทุนอื่น ๆ ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก

สุดท้ายก็คือ เราในฐานะของนักลงทุน ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant?
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง หรือเป็นพวก “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น พอใช้ไปซักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว

ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธไหนรวมถึง VI ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ” ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี “จินตนาการ” มากกว่า




นักปราชญ์สโตอิกรู้วิธี “ช่างแม่ง” มาตั้ง 2,500 ปีแล้ว




12 ข้อคิดสำคัญที่สำคัญ

ควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้: เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เราสามารถควบคุมปฏิกิริยาของตัวเองต่อสิ่งต่างๆ ได้
.

มุ่งเน้นที่ปัจจุบัน: อย่าไปยึดติดกับอดีต หรือกังวลกับอนาคตมากเกินไป จงใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันให้เต็มที่
.

ยอมรับความไม่แน่นอน: ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราลดความวิตกกังวลลงได้
.

ฝึกฝนความอดทน: การฝึกฝนความอดทนจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความยากลำบากได้อย่างมีสติ
.

ปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็น: การปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
.

ฝึกสติอยู่เสมอ: การฝึกสติจะช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
.

มองหาโอกาสในความยากลำบาก: ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ
.

เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเอง: อย่าไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
.

ทำดีที่สุดในทุกๆ วัน: การทำดีที่สุดในทุกๆ วันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
.

ขอบคุณในสิ่งที่เรามี: การขอบคุณในสิ่งที่เรามีจะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
.

เรียนรู้จากความผิดพลาด: ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเรียนรู้จากความผิดพลาดจะช่วยให้เราเติบโต
.

มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น: การทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นจะทำให้เรามีความสุขและมีความหมายในชีวิต


ที่มา link


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)