25 สิงหาคม 2568

อายุ 45 ปี เกษียณหรือตกงาน โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ผมมีอายุ 44-45 ปี บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ผมทำงานในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการอยู่ กำลังล่มสลาย ผมถูกให้ออกจากงานที่มีความมั่นคง เงินเดือนสูง และมีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็ว

ก่อนถึงวันนั้น ผมไม่เคยคิดว่าจะต้อง “ตกงาน” เพราะถูกให้ออก ผมคิดว่าผมคงจะอยู่ไปเรื่อย ๆ จนถึงวันเกษียณที่อายุ 60 ปี และมีเงินเก็บหรือเงินออม รวมถึงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่บริษัทจัดให้เพียงพอที่จะอยู่ต่อไปได้ตลอดชีวิต อาจจะที่ 80 ปี แม้ว่าในวันนั้นผมยังไม่เคยคิดถึงเรื่องแผนการเงินเพื่อการเกษียณ หรือแผนการเงินเพื่อความมั่งคั่ง หรือเพื่ออะไรต่าง ๆ รวมถึงแผนการเงิน “เพื่อความสุข” เพราะในเวลานั้น ไม่มีใครคิดหรือพูดกันในเรื่องเหล่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ยังไม่ค่อยมีใครที่ “แก่” พอที่จะคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในประเทศไทย

อายุเพิ่งจะ 40 สิบกว่า ถ้าพูดถึงวันที่จะเกษียณก็คงเป็นคนที่ไม่มีความทะเยอทะยานหรือมีพลังในการที่จะทำงานหาเงินเพื่อความมั่งคั่งพอ คนอายุเลข 4 นั้น เป็นช่วงที่เรียกว่า “Prime” ที่สุดของชีวิต เพราะมีความรู้และประสบการณ์เพียงพอที่จะทำงานสำคัญที่สุดของกิจการหรือบริษัท เป็นช่วงที่ยังมีพลังและความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิต และแน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่หาเงินได้สูงสุดในฐานะคนขายแรงงาน ในช่วงเวลานั้น

แต่อายุ 45 กลับเป็นเวลาที่ผม “ตกงาน” และโอกาสที่จะหางานที่ดีเหมือนเดิมแทบไม่มี เงินเก็บออมที่มีอยู่นั้น ไม่น่าจะพอที่จะใช้ชีวิตในครอบครัวที่มีภรรยาที่ไม่ได้มีเงินเดือนและมีรายได้เพียงจากการสอนเปีย

โนและลูกเล็กที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ผมคิดว่าเส้นทางชีวิตผมและครอบครัวอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงถ้าผมจะต้อง “เกษียณก่อนกำหนด” อย่างไม่ตั้งใจ

โชคดีที่ผมได้งานใหม่อย่างรวดเร็วแม้ว่าจะเป็นงานที่ไม่ได้มีความหมายอะไรแต่ก็ไม่ได้เป็นงานหนักซึ่งทำให้ผมมีเวลาคิดและทำสิ่งที่ผมเริ่มเห็นว่าเป็น “ชีวิตใหม่” ของผม นั่นก็คือ “การลงทุนในตลาดหุ้น” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไทยเคยทำกันแบบ “บ้าคลั่ง” แต่ในวันนั้นกลับเป็นสิ่งที่คนเลิกทำกันหมด คนที่เพิ่งคิดว่าจะเข้าไปทำคงจะถูกมองว่าเป็น “คนบ้า” เพราะตลาดหุ้นนั้นเป็นแหล่งที่ทำลายคนที่เข้าไปเล่นจนหมดตัวและบางคนถึงขนาดจะฆ่าตัวตายเพราะ “เจ๊งหุ้น” เช่นเดียวกับบริษัทและกิจการต่าง ๆ ที่อยู่ในตลาดหุ้นที่ก็กำลัง “ล่มสลาย” เหมือนกัน

ผมคงไม่ต้องบอกว่า การประสบกับปัญหาชีวิตที่ต้องตกงานที่อายุ 44 ปี ครั้งนั้น เป็นโชคดีที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนของผม ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทุกทาง ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น “เหนือจินตนาการ” ความสุขเพิ่มขึ้น “เต็มศักยภาพ” เพราะมีความมั่นคงในชีวิตและมีเงินมากพอที่จะซื้อความสุขบางอย่างที่ซื้อได้ และซื้อความสะดวกสบายที่ช่วยลดความทุกข์หลาย ๆ อย่างลงไป

ผมยังทำงานเป็นลูกจ้างต่อไปอีกประมาณ 7-8 ปี จนถึงอายุ 51-52 ปี จึง “เกษียณ” ตัวเองจากงานประจำมาเป็น “นักลงทุน” เต็มตัวในวันที่มีเงินมากพอแล้ว ซึ่งไม่ใช่เงิน 200-250 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนที่เป็นอัตราที่ใช้วัดกันเป็นมาตรฐาน เช่น ถ้ามีรายจ่ายเดือนละ 4-50,000 บาท จะต้องมีเงินในพอร์ตลงทุน 10 ล้านบาท เป็นต้น แต่ในกรณีของผมนั้น ถ้าจำไม่ผิด ผลตอบแทนต่อปีเฉลี่ยจากการลงทุนในวันที่ผมเกษียณน่าจะมากกว่า 5 เท่าของรายจ่ายประจำปีแล้ว และที่ผมเกษียณก็ไม่ใช่เพราะเงินในพอร์ตมากพอแล้ว แต่เป็นเพราะว่างานประจำนั้นหนักและมีความเสี่ยงสูงเกินไป

ความคิดและความเห็นของผมสำหรับการ “เกษียณก่อนกำหนด” ก็คือ เราควรจะมีเงินจาก Passive Income หรือรายได้ที่มาจากการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรืออะไรก็ตามที่ไม่ได้มาจากการทำงานด้วยแรงงาน สูงกว่ารายจ่ายประจำปีเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2-3 เท่า โดยที่การคำนวณผลตอบแทนและรายจ่ายจะต้องอนุรักษ์นิยมมาก เช่น

ถ้าเป็นพอร์ตหุ้น รายได้จากการลงทุนต่อปีไม่ควรจะเกิน 5% ต่อปี พันธบัตรและหุ้นกู้ ไม่ควรเกิน 3% และเงินฝากก็ไม่เกิน 1% ส่วนสินทรัพย์อื่นที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เช่น ทองและที่ดินหรือบ้านที่ไม่ได้ให้เช่า ผลตอบแทนก็คือ 0% ส่วนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่านั้นก็ดูตามที่เป็นจริงว่ามีรายได้เท่าไรต่อปีในอดีตที่ผ่านมา และก็อย่าไปเชื่อหรือใช้ตัวเลขของคนที่ “ขายบริการบริหารเงิน” ที่มักจะบอกว่าหุ้นให้ผลตอบแทนปีละ 10% ในระยะยาว เพราะอดีตไม่น้อยกว่า 10 ปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยนั้น ผลตอบแทนต่อปีแทบจะเป็น 0%

ในด้านของรายจ่ายนั้น การประมาณการแบบอนุรักษ์นิยมหมายความว่า รายจ่ายนั้นต้องรวมเหตุฉุกเฉินที่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น เรื่องของสุขภาพและวินาศภัยที่อาจจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินและอื่น ๆ ด้วย นอกจากนั้น ที่สำคัญมากก็คือ อัตราเงินเฟ้อที่จะทำให้รายจ่ายประจำปีจะต้องเพิ่มขึ้น จริงอยู่ เงินเฟ้อพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของไทยอาจจะไม่สูง แต่บางรายการเช่น เงินเฟ้อที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการศึกษาอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าได้

ด้วยแนวคิดและการคำนวณรายได้และรายจ่ายดังกล่าว บวกกับประสบการณ์ส่วนตัว ผมคิดว่า คนกินเงินเดือนส่วนใหญ่ รวมถึงคนที่มีตำแหน่งงานที่สูงระดับหนึ่ง และแม้ว่าจะเป็นคนที่จบการศึกษาระดับสูงรวมถึงที่จบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ถ้าไม่มีทรัพย์สินหรือมรดกจากพ่อแม่มาก่อน จะไม่สามารถหรือไม่ควรที่จะเกษียณก่อนกำหนดในช่วงอายุ 45 ปี หรืออาจจะถึง 50 ปี เพราะรายได้จะหายไปมากในยามที่กำลังทำรายได้สูงสุดตามเงินเดือนและตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน เงินออมและเงินลงทุนก็น่าจะยังมีไม่พอที่จะสร้างรายได้ Passive Income ที่มากพอและปลอดภัยที่จะนำมาใช้จ่ายได้อย่างไม่กังวลที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ชีวิตมีปัญหา

ว่าที่จริง ผมคิดว่าการที่คนรุ่นปัจจุบันจะมีอายุที่ยืนยาวเป็น 100 ปี การเกษียณที่อายุ 60 สำหรับคนส่วนใหญ่ก็แทบเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตัวเลข 60 ปี นั้น ในช่วงที่เป็นเด็กผมจำได้ว่าคนอายุ 60 ปีก็ถือว่าแก่มากและมักจะใกล้ตายแล้ว ดังนั้น การพูดถึงเรื่องการเกษียณที่อายุ 45 ปีสำหรับคนรุ่นใหม่จึงเป็นเรื่อง “เพ้อฝัน” สำหรับผม เป็นเรื่องของ “นักสร้างแรงบันดาลใจ” ที่พยายามสร้างความฝันให้คนคิดถึงการทำธุรกิจหรือการทำสตาร์ทอับเพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะใช้ชีวิตที่อิสระเสรีมีความสุขตั้งแต่อายุยังน้อย โดยที่ตัวอย่างนั้นมีมากมาย “ผมทำได้ คุณก็ทำได้”

แน่นอนว่า มีคนทำได้ แต่คนที่ทำได้นั้น ส่วนใหญ่อาจจะมีฐานของทุนจากครอบครัว หรือในกรณีที่อยู่สหรัฐหรือประเทศที่ก้าวหน้าก็จะมีฐานของทุนจากสถาบันการเงินและกองทุนเวนเจอร์แคบปิทัลต่าง ๆ นอกจากนั้น พวกเขาก็มักจะเป็นคนที่กล้าเสี่ยงและเสี่ยงได้ นอกจากนั้น พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติอื่น ๆ เช่นการเป็นผู้นำ การมีความสามารถทางด้านการศึกษาและความรู้ในการทำผลิตภัณฑ์และ/หรือความรู้ทางธุรกิจ พูดง่าย ๆ คนที่สามารถทำได้และกล้าทำน่าจะมีจำกัด คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้

ถ้าบริษัทหรือกิจการเปิดให้มีการเกษียณก่อนกำหนดสำหรับคนที่มีอายุแค่ 45 ปีขึ้นไปในยามนี้ เหตุผลก็คงเป็นว่า คนอายุ 45 ปีขึ้นไปอาจจะไม่สามารถสร้างผลงานให้บริษัทในอนาคตได้คุ้มค่ากับเงินเดือนที่สูงและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่คนอายุมากจะตามไม่ทัน ดังนั้น เขาต้องการลดคนกลุ่มนี้ลง

ถ้าเราเป็นคนกลุ่มนี้ แล้วกำลังคิดถึงการ “เกษียณก่อนกำหนด” เพื่อไปใช้ชีวิต “ในฝัน” ผมคิดว่าจะต้องตรึกตรองให้ดี เพราะความเป็นจริงจากตัวเลขและเหตุผลที่กล่าวมานั้น มันอาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ และถ้าเราทำ สุดท้ายมันอาจจะเป็น “ฝันสลาย”

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ชีวิตหลังเกษียณนั้น อาจจะไม่ได้มีความสุขตามที่เราฝันไว้ ตัวอย่างเช่น การไปอยู่ในชนบทและทำสวนไร่นาเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น ถ้าต้องทำทุกวันก็อาจจะน่าเบื่อ อย่าลืมว่าอากาศเมืองไทยนั้นร้อนตลอดปี เช่นเดียวกับการท่องเที่ยวที่มีความสุขนั้น ถ้าเที่ยวคนเดียวบางทีก็อาจจะเหงาและเบื่อได้ถ้าทำบ่อยเกินไป

ถ้าพูดถึงพื้นฐานของมนุษย์วัดจาก “ยีน” แล้ว ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นก็คือการทำงานหาอาหาร ที่อยู่อาศัย และปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิต เพื่อที่จะ “เอาตัวรอด” ซึ่งในสมัยนี้ก็คือการ “หาเงิน” ซึ่งหลัก ๆ ก็คือ “การทำงาน” แต่เมื่อทำมากและเครียด ก็ต้องพักผ่อนหาความรื่นรมย์ ดังนั้น ชีวิตที่ดีและมีความสุขก็คือ ทำงาน พักผ่อน และหาความรื่นรมย์ ในอัตราที่พอเหมาะสำหรับแต่ละคน การ “เกษียณ” นั้น เป็นวิถีชีวิตที่เพิ่งเกิดขึ้นแค่ไม่กี่ร้อยปี สมัยที่ผมยังเป็นเด็กเล็กนั้น พูดตามตรง ครอบครัวและตัวผมเองไม่เคยมีคำว่าเกษียณ การหยุดทำงานก็เพราะว่าทำไม่ไหว และนั่นก็คือตอนที่แก่มากและใกล้ตาย

ดังนั้น ถ้าถูก “บังคับ” ให้เกษียณก่อนกำหนด เราควรจะคิดว่าเรา “ตกงาน” และก็ต้องหาทางใหม่ อาจจะเป็นแบบผม ที่หางานที่เบาลงและไม่ตรงกับอาชีพเดิมเพื่อ “หาเงิน” นอกจากนั้น ก็อาจจะต้องคิดถึงการ “ลงทุน” ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์แม้ผมจะคิดว่านี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีและอาจจะจำเป็น แต่อาจจะเป็นการทำธุรกิจหรืองานใหม่ที่แตกต่างจากการเป็นลูกจ้างประจำ ซึ่งในยุคนี้ เราก็อาจจะทำได้ไม่ยากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้าเราต้อง “ตกงาน” จาก AI เราก็อาจจะต้องศึกษาดูว่าเราจะเรียนรู้และใช้ AI เปลี่ยนชีวิตเราได้ไหม?

ทั้งหมดนี้ด้วยความปรารถนาดีจากผมที่เคย “โชคดี” ที่ต้องตกงานในช่วงอายุ 45 ปี





Play Downtown Special - Kunio-kun no Jidaigeki Dayo Zenin Shuugou! NES Online

 


URL: https://oldgameshelf.com/games/nes/downtown-special-kunio-kun-no-jidaigeki-dayo-zenin-shuugou-276

18 สิงหาคม 2568

หุ้นขึ้นไม่มี(หุ้น)เรา (แต่หุ้นลงเราลงด้วย) - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมาจนถึงวันนี้ หุ้นในตลาดหลักของโลกอย่างเช่นสหรัฐอเมริกา หุ้นในตลาด “โตเร็ว” อย่างเวียตนาม และแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่เคยตกลงมาแรงก่อนหน้านี้ ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นตลาดหุ้นที่คนไทยเข้าไปลงทุนเป็นเรื่องเป็นราว มีการปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก

ดัชนีหุ้น S&P 500 ปรับตัวขึ้นประมาณ 9.6% ดัชนี VN ของเวียตนามปรับตัวขึ้นถึง 28.7% และดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 10% จากที่เคยตกลงไปถึงเกือบ 25% ในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 ดังนั้น นักลงทุนทั้งหลายหรือส่วนใหญ่ควรที่จะดีใจและน่าจะมีความหวังที่เต็มเปี่ยมกับการลงทุนในปีนี้ใช่ไหม?

แต่สำหรับหลายคน และรวมถึงตัวผมเองนั้น ผลประกอบการของการลงทุนตั้งแต่ต้นปีมานั้นต้องบอกว่าน่าผิดหวังอย่างแรง พอร์ตตั้งแต่ต้นปียังขาดทุนหนักและแทบไม่ได้ดีกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็นดัชนีอ้างอิงด้วยซ้ำ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกและถือลงทุน “ระยะยาว” ซึ่งเน้นการลงทุนเพียงไม่เกิน 10 ตัวหลัก ๆ ในแต่ละตลาดนั้น ไม่ได้ปรับตัวขึ้นตามดัชนีในแทบทุกตลาดหุ้นที่ไป หลาย ๆ ตัวปรับตัวลงมาด้วย

หลายคนเฝ้ามองดัชนีและหุ้นบางตัวที่กำลังวิ่งขึ้นในวันที่ตลาดหุ้นร้อนแรงและก็เห็นหุ้นที่ตนเองถือนิ่งหรือปรับตัวลงวันแล้ววันเล่าก็รู้สึกเศร้าใจและหดหู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวที่ถืออยู่นั้นเป็นหุ้นที่ดีและถูก เข้าตำราการลงทุนแบบ VI อยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะขายทิ้ง

ตรงกันข้าม หุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงทุกตัวนั้น พื้นฐานทางธุรกิจก็ยังแย่อยู่มาก บางตัวก็อาจจะกำลังฟื้น แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ราคาหุ้นที่ขึ้นไปสูงลิ่วนั้น แพงเกินไปมาก แม้แต่กับหุ้นไฮเท็คสุดยอดของอเมริกาที่กำลังโตจนแทบคับตลาดหุ้น

คอมเม้นต์ที่เห็นบ่อยมากในเว็บเกี่ยวกับการลงทุนในช่วงนี้จึงเป็น “หุ้นขึ้นไม่มี(หุ้น)เรา แต่เวลาหุ้นลง เราลงด้วย” และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะกับหุ้นไทย หุ้นเวียตนามและหุ้นอเมริกาก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน เหตุผลก็เพราะว่า หุ้นขึ้นรอบนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระจายไปทั้งตลาดแบบที่จะเป็นเมื่อตลาดอยู่ในภาวะกระทิง หุ้นขึ้นรอบนี้ ถูกนำโดยหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่มีขนาดใหญ่มากและหุ้นขึ้นไปแรงมาก ซึ่งส่งผลต่อดัชนีตลาดมหาศาล ในขณะที่หุ้นอื่น ๆ อีกหลายร้อยตัวเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นตัวเล็ก ๆ ที่มีสภาพคล่องต่ำนั้นแทบจะไม่ขึ้นเลย หรือตกลงมาด้วยซ้ำ

ลองดูตลาดหุ้นอเมริกาคือดัชนี S&P 500 ซึ่งหุ้นตัวหลัก ๆ ตอนนี้คือกลุ่มหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งมีมูลค่าตลาดของหุ้นรวมกันถึงประมาณ 32% ของหุ้นทั้งตลาด หุ้น NVIDIA มีมูลค่าสูงถึง 7.6% และให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีที่ 34.4% หุ้น ไมโครซอฟท์ มีสัดส่วน 6.8% และให้ผลตอบแทน 23.9% หุ้นเมตาหรือเฟ้ซบุคมีสัดส่วน 3.4% และให้ผลตอบแทนประมาณ 32% ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ อีก 4 ตัวซึ่งประกอบด้วย หุ้นแอปเปิล กูเกิล อมาซอน และเทสลา นั้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 5-6% เท่านั้นส่วนหนึ่งเพราะหุ้นเทสลาติดลบถึงกว่า 10%

คิดเฉพาะหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูง 3 ตัวคือ เอ็นวิเดีย ไมโครซอฟท์ และเมตา ก็มีส่วนทำให้ดัชนี S&P ขึ้นไปประมาณ 5.3% แล้ว และถ้าคิดเฉพาะหุ้น 7 นางฟ้า ก็น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี S&P เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1% เป็น 6.3% ดังนั้น ถ้าหุ้น S&P ซึ่งรวมหุ้นทั้งหมดปรับขึ้นไป 9.6% หุ้นเกือบ 500 ตัวในดัชนีที่ไม่รวมหุ้น 7 นางฟ้าก็จะโตขึ้นเพียงประมาณ 3.3% ตั้งแต่ต้นปี

ข้อสรุปก็คือ ถ้าคุณเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ และคุณไม่ได้ลงทุนในหุ้นสุดยอด 3 ตัวดังกล่าวหรือไม่ได้ลงทุนในหุ้น 7 นางฟ้า ถ้าคุณกระจายความเสี่ยงดี คุณก็น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณแค่ 3% แต่ถ้าหุ้นที่คุณเลือกนั้น “ผิดตัว” คุณก็จะมีโอกาสขาดทุนได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นดีมาก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนั้น ปรับตัวขึ้นอย่าง “ระเบิด” คือปรับตัวขึ้นถึง 28.7% ซึ่งน่าจะ “ดีที่สุดในโลก” แต่ถ้ามองลึกเข้าไป หุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลงานดีสุดยอดนั้น มีไม่กี่ตัว เฉพาะอย่างยิ่งก็คือหุ้นในกลุ่ม “VIN Group” ซึ่งประกอบไปด้วย หุ้น VIC ที่เป็นบริษัทแม่ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของตลาดและมี Market Cap. คิดเป็น 8.3% ของทั้งตลาด หุ้น VHM มีขนาดคิดเป็น 7.3% และ VRE 1.3% โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีของหุ้น VIC เท่ากับ 186% VHM 135% และ VRE 77%

คิดไปแล้ว หุ้น 3 ตัวนี้น่าจะมีส่วนทำให้ดัชนี VN ของเวียตนามเพิ่มขึ้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของการเพิ่มขึ้นของดัชนีคือ 14.4% เข้าไปแล้ว ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามถ้าไม่นับหุ้นกลุ่ม วินกรุ๊ป 3 ตัวปรับตัวขึ้นไปประมาณ 14.3% และถ้ามองดูแบบคร่าว ๆ ก็จะพบว่าหุ้นอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นไปมากกว่าปกติก็คือหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน เช่น ธนาคารและบริษัทหลักทรัพย์ ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว ซึ่งทำให้พอสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นเวียตนามที่ขึ้นไปมากนั้น จริง ๆ เป็นการปรับขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ไม่กี่ตัวที่ปรับตัวขึ้นไปอย่างมโหฬารอานิสงค์จากการที่กลุ่มบริษัทเริ่ม “ฟื้นตัว” จากปัญหาการเงินที่รุนแรงจนเอาตัวแทบไม่รอด

สำหรับตลาดหุ้นไทยเองนั้น ผมไม่ได้ศึกษาในรายละเอียด แต่ก็พบว่าหุ้นขนาดใหญ่มากหลาย ๆ ตัว อาทิกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันปตท.และปตท.สผ. หุ้นเดลต้า กลุ่มแบ้งค์ขนาดใหญ่ กลุ่มหุ้นสื่อสารขนาดใหญ่นั้น ราคาหุ้นตกลงมาน้อยหรือเพิ่มขึ้นจากต้นปีบ้าง และเป็นตัวค้ำไม่ให้ดัชนีตลาดโดยรวมตกลงมามากกว่า 10% อย่างที่เห็นล่าสุด แต่หุ้นขนาดเล็กที่ไม่มีสภาพคล่องและไม่มีคนเล่นนั้น ตกลงมาแรง บางตัวเป็น “หายนะ” พูดง่าย ๆ ถ้าคุณไม่มีหุ้นเหล่านั้น ซึ่งมีจำนวนไม่มาก พอร์ตหุ้นไทยปีนี้มักจะมีผลตอบแทนที่ “เลวร้าย” และน่าจะตกมากกว่า 10% จากต้นปีจนถึงวันนี้

ปรากฎการณ์ที่หุ้นใหญ่เพียงไม่กี่ตัวถูก “เล่น” โดยนักลงทุนจำนวนมาก ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ และถูก “ขยายกำลัง” หรือพลังในการซื้อโดยโรบ็อต ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ถึงยักษ์เหล่านั้นมีราคาพุ่งเป็นจรวด ซึ่งส่งผลให้ดัชนีตลาดพุ่งขึ้นแรง ในขณะที่หุ้นตัวอื่นหรือกลุ่มอื่นอาจจะถูกละเลยจนทำให้ราคาไม่เพิ่มขึ้นตามดัชนีหรือแม้แต่ตามผลประกอบการที่ควรจะเป็น ทำให้การ “เลือกหุ้น” โดยเฉพาะเพื่อการลงทุนระยะยาวตามพื้นฐานของกิจการโดยเฉพาะในแนว VI นั้น น่าจะลำบากขึ้น อย่างน้อยก็ในแง่ของผลตอบแทนในระยะเวลาสั้นที่อาจจะด้อยลงเมื่อเทียบกับการลงทุนแนวทางอื่น

ในอีกมุมหนึ่งก็คือ มันอาจจะทำให้ VI บางคน “ถอดใจ” และไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับตัวหุ้นอาจจะผิด ซึ่งทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหนหรือลดลงไปมากจนทำให้ตนเองรับไม่ไหวและขายหุ้นทิ้งและอาจจะพลาดผลตอบแทนที่อาจจะมาภายหลัง หลังจากที่กระแส “หุ้นตัวใหญ่กินเรียบ” หมดไป

ในความคิดผมเองนั้น ก็คงจะคล้ายวอเร็น บัฟเฟตต์ ที่ช่วงนี้ต้องนั่งมอง “หุ้นนางฟ้า AI” วิ่งเอา ๆ แต่พอร์ตตนเองกลับไม่ค่อยดีนัก โตแค่ประมาณ 5.7% จากต้นปี แพ้ดัชนี S&P ที่ประมาณเกือบ 10% ไม่ต้องพูดถึงหุ้น “สามนางฟ้า AI” ที่โตถึงประมาณ 30% แต่ถึงอย่างนั้น บัฟเฟตต์ก็ดูเหมือนจะไม่กระวนกระวายใจอะไร ยังนั่งทับกองเงินสดกองใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเบิกไชร์ รอว่าเวลาของหุ้นที่ตนเองถืออยู่จะกลับมาเมื่อไร

ผมเองตอนนี้ก็ร้องเพลงรอว่าเมื่อไรหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” โดยเฉพาะในตลาดหุ้นเวียตนามของผมจะฟื้นกลับมาเมื่อไร โดยไม่ได้คิดว่าจะต้องทำอะไรกับมัน แม้ว่าเพลงที่ร้องนั้นมันเป็น “เพลงเศร้า” เพราะพอร์ตเวียตนามของผมตกลงมาหนักมาก เปรียบเทียบกับตลาดแล้วก็แทบเป็น “หายนะ” และผลงานที่ดีเยี่ยมในปีที่แล้วก็ยังไม่พอเทียบกับดัชนีตลาดที่พุ่งขึ้นมากกว่าในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา จนแทบจะพูดว่า “รู้งี้ ลงทุนในดัชนี VN เสียยังดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม ผมก็หวังว่าสถานการณ์แบบนี้จะไม่อยู่คงทน และในที่สุด หุ้นที่ดีในแบบ VI พันธุ์แท้ ก็จะยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี แม้จะไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน



ที่มา https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/632-nivate-when-stocks-rise-were-left-out-but-when-they-fall-we-fall-too

15 สิงหาคม 2568

5 เทคนิคการพูดในที่สาธารณะสุดปัง พิชิตใจทุกเวที

การพูดถือเป็นหนึ่งในทักษะขั้นพื้นฐานของคนเรา เพราะแทบทุกคนเรียนรู้ที่จะพูดได้ตั้งแต่เด็กโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดในที่สาธารณะได้ 💢



📌 การพูดในที่สาธารณะคืออะไร❓

การพูดในที่สาธารณะ 🎙 คือ การพูดต่อหน้าผู้ฟังจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากการสนทนาในชีวิตประจำวันทั่วไป เพราะมีจุดประสงค์มุ่งเน้นไปที่การโน้มน้าวมากกว่าการให้ความบันเทิง

โดยเมื่อเปรียบเทียบกับการพูดคุยทั่วไป 💬 การพูดในที่สาธารณะทำให้ผู้พูดต้องรับบทบาทที่สำคัญ และโดดเด่นกว่าคนอื่น ตัวอย่างเช่นเมื่ออาจารย์บรรยายให้นักเรียนฟัง ก็หมายความว่าเขากำลังพูดในที่สาธารณะ เช่นเดียวกับนักการเมืองที่กำลังหาเสียง 📢

อย่างไรก็ตาม คนธรรมดาอย่างเราก็สามารถได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้การพูดในที่สาธารณะได้เช่นกัน 💖 เพราะหากคุณเข้าใจวิธีพูดแบบนี้ คุณก็จะสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ และมั่นใจมากขึ้น เมื่อต้องนำเสนอไอเดียใหม่กับเจ้านายของคุณ 📊 หรือเมื่อคุณต้องอธิบายอะไรบางอย่างให้ที่ประชุมเข้าใจ



📌 เทคนิค 1: รู้จักผู้ฟังของคุณ 👩🏼‍💼

เทคนิคนี้ใช้ได้กับเกือบทุกรูปแบบของการสื่อสาร 📣 การจะส่งสารไปถึงปลายทางให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องรู้ว่ากล่องจดหมายอยู่ที่ไหน มีอุปสรรคอะไรบ้าง และมีวิธีเข้าถึงอย่างไร เช่นเดียวกัน การจะส่งสารไปยังผู้ฟัง คุณต้องรู้ว่าพวกเขารู้และเชื่ออะไรอยู่แล้ว 💡

❎ หากโดยทั่วไปพวกเขาไม่เห็นด้วย:
เหตุผลที่เขาไม่เห็นด้วยคืออะไร❓ คุณอาจลองหักล้างเหตุผลเหล่านั้นดู

✅ หากโดยทั่วไปพวกเขาเห็นด้วย:
ความสนใจของพวกเขาคืออะไร❓ หากคุณพูดถึงประเด็นที่พวกเขาสนใจ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อคำพูดของคุณมากขึ้น



📌 เทคนิค 2: มั่นใจในตัวเอง ❤️‍🔥

แม้จะเป็นคำแนะนำที่ฟังดูพูดง่ายแต่ทำได้ยาก แต่จริง ๆ แล้วก็มีเทคนิคที่จับต้องได้อยู่ด้วย เป็นเรื่องปกติที่คงไม่มีใครมั่นใจได้ตลอดเวลา แต่คุณสามารถ "แสดง" 🎭 ให้เหมือนมั่นใจได้ วิธีนี้จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และทำให้คำพูดของคุณน่าเชื่อถือมากขึ้น

การแสร้งทำเป็นมั่นใจ 🪄 แม้ว่าอาจจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างในช่วงแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีแต่จะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจขึ้นจริง ๆ

มีเทคนิคการพูดในที่สาธารณะที่เป็นที่นิยมอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ใช้อินเนอร์ของผู้ชนะการแข่งขันชิงแชมป์โลก 🥇 โดยทำท่าเชิดหน้าขึ้น ยืนตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ซึ่งหลังจากฝึกเทคนิคนี้ไปสักพัก ผู้ฝึกมักจะรู้สึกมั่นใจเพิ่มขึ้นจริง ๆ



📌 เทคนิค 3: มีจังหวะหยุดพัก ⏸

การพูดต่อหน้าผู้ชม อาจทั้งน่ากลัวและน่าตื่นเต้นไปพร้อมกัน หลายคนมักเผลอพรั่งพรูคำพูดทั้งหมดของตัวเองออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่เว้นวรรคให้มีจังหวะหยุดหายใจเลยแม้แต่น้อย 🚫

ซึ่งไม่เพียงแต่ตัวเราในฐานะผู้พูดจะไม่ได้พักแล้ว แต่ผู้ฟังก็พลอยเหนื่อยไปด้วยเช่นกัน โอกาสที่พวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ไม่ต้องพูดถึงการเห็นด้วยคล้อยตามเลย เพราะมันแทบจะเป็นศูนย์ ❌

หากไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น การใช้จังหวะหยุดระหว่างการพูดในที่สาธารณะก็ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลย ผู้เชี่ยวชาญด้านการพูดในที่สาธารณะบางคนถึงกับบอกว่า ความเงียบเป็นเสียงที่ทรงพลังไม่แพ้คำพูด 🔇

เพราะจังหวะหยุดเหล่านี้ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยินไป 👂 เพื่อเตรียมให้คนฟังมีพื้นฐานในการเข้าใจคำพูดถัดไปของเรา นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่เคร่งขรึมจริงจัง ทำให้ผู้ฟังคาดเดาคำพูดต่อไปของเรา และจดจำมันได้ชัดเจนขึ้น 💡



📌 เทคนิค 4: อย่าพูดเหมือนผึ้งบิน 🐝

ใครจะชอบฟังอาจารย์ที่พูดด้วยน้ำเสียงโทนเดียว ไม่มีจังหวะสูงต่ำ บรรยายไปด้วยเสียงหึ่ง ๆ เหมือนผึ้งบินกันล่ะ❓ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ ไม่นานทั้งห้องก็คงง่วงเหงาหาวนอนกันหมด 💤

แน่นอนว่า นี่คงไม่ใช่สถานการณ์ที่คุณอยากให้เกิดขึ้น หากเป้าหมายของคุณคือ การดึงดูดความสนใจผู้ฟังเพื่อโน้มน้าวพวกเขา ดังนั้น คุณต้องใช้ระดับเสียง และน้ำเสียงอย่างชาญฉลาดให้เป็น 🔊

ในการเน้นประเด็นสำคัญ ให้ลองใช้โทนเสียงสูง และพูดให้ดังขึ้นกว่าเดิม รวมถึงอย่าลืมเว้นวรรคก่อน และหลังพูดประเด็นสำคัญ หากคุณใช้เทคนิคเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ คำพูดของคุณจะฟังดูมีความหมาย และน่าสนใจมากขึ้น 🌟



📌 เทคนิค 5: ใช้เค้าโครงในหัว แทนการดูสคริปต์ 🧠

เทคนิคนี้ไม่ได้หมายความว่า คุณห้ามเขียนสคริปต์ ✍️ เพียงแต่หลังจากที่คุณรู้แล้วว่ากำลังจะพูดเรื่องอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน หรือมองตามกระดาษสคริปต์ที่เขียนไว้ แต่ให้มองไปที่ผู้ฟังของคุณแทน

เพียงแค่เหลือบมองสั้น ๆ เป็นระยะเพื่อเช็คสิ่งที่คุณจะพูดต่อไปก็พอ 📑 จากนั้นก็สบตากับผู้ฟังบ่อย ๆ เพราะการมองกระดาษสคริปต์ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณดูขาดความมั่นใจ แต่ยังลดทอนความน่าเชื่อถือในคำพูดของคุณด้วย

สิ่งสุดท้ายที่อยากฝากไว้ก็คือ การฝึกฝนคือหนทางแห่งความสำเร็จ มีคนไม่มากนักที่ประสบความสำเร็จในการพูดในที่สาธารณะต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้น พยายามฝึกฝนตัวเองให้มาก เราหวังว่าคุณจะเห็นประโยชน์ของเทคนิคเหล่านี้ และนำไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ 🎯✨





ที่มา Link

04 สิงหาคม 2568

25 ปีตลาดหุ้นเวียตนามมุ่งสู่ดวงจันทร์

วันที่ 28 กรกฎาคม 2025 เป็นวันครบรอบ 25 ปี ของการเปิดตลาดหุ้นเวียตนาม ผมนั่งดูกราฟดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงตั้งแต่ต้นปีนี้แล้วก็รู้สึกทึ่งและก็พยายาม “อ่าน” ว่าดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามที่ผ่านมาตลอด 25 ปี นั้น “บอกอะไร” กับเรา และอนาคตนับจากนี้ไปอย่างน้อยอีกหลายปีจะเป็นอย่างไรต่อไป

ประเด็นแรกก็คือ ถึงสิ้นปีที่แล้ว ดัชนี VN ของเวียตนามอยู่ที่ 1,267 จุด นั่นแปลว่าภายในเวลาประมาณ 24 ปี ครึ่ง ดัชนีหุ้นเวียตนามปรับตัวขึ้นจาก 100 จุดขึ้นมาประมาณ 12.7 เท่า หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.9% ซึ่งถ้ารวมเงินปันผลก็น่าจะให้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 13% ถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในประวัติศาสตร์

จากต้นปี 2025 ถึง วันที่ 2 เมษายน 2568 ดัชนีเวียตนามขึ้นไปเป็นประมาณ 1,316 จุด ก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรง และภายในวันที่ 9 เมษายนหรือเพียง 7 วัน ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 1,095 จุด หรือลดลงถึง 16.8% เนื่องจากคำประกาศเพิ่มภาษีการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เวียตนามจะถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% ซึ่งจะมีผลทำให้การส่งออกของเวียตนามไปสหรัฐที่เป็นตลาดหลักที่ใหญ่โตมากต้องสะดุดหยุดลงและจะกระทบต่อเศรษฐกิจของเวียตนามอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาไม่กี่วัน ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็เริ่มปรับตัวขึ้น เพราะนักลงทุนคาดว่าเวียตนามจะสามารถเจรจาลดอัตราภาษีได้และจะทำให้อัตราที่ได้รับสามารถแข่งขันได้กับประเทศอื่นทั่วโลกที่ก็ถูกประกาศเพิ่มอัตราภาษีรุนแรงเช่นกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ รัฐบาลเวียตนามพร้อมที่จะยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดต่ออเมริกา คือไม่เก็บภาษีข้าเข้าสินค้าจากสหรัฐเลย

ผลสุดท้าย เวียตนามก็สามารถตกลงกับอเมริกาได้เป็นประเทศแรก ๆ และได้ดีลที่ดีที่ 20% ในสินค้าที่ผลิตภายในประเทศและส่งออกไปที่อเมริกา ผลก็คือ ตลาดหุ้นเวียตนามตอบรับมาอย่างต่อเนื่อง ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปจนถึง 1,531 จุดในวันที่ 25 กรกฎาคม 68 หรือปรับตัวเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 40% ภายในเวลาเพียง 3-4 เดือน และเป็น All Time High ของตลาดหุ้นเวียตนาม
และนับจากต้นปีก็เพิ่มขึ้นถึง 20.8% ก่อนจะปรับตัวลงมาบ้างและปิดล่าสุดที่ 1,495 จุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568

คำถามสำคัญก็คือ ตลาดหุ้นเวียตนามร้อนแรงเกินไปหรือยัง ถึงเวลาที่หุ้นจะต้องชะลอตัวลงหลังจากปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงเร็ว ๆ นี้หรือยัง พูดง่าย ๆ เราควร Take Profit หรือขายหุ้นทำกำไรไหม? หรือสำหรับคนที่ยังไม่มีหุ้นเวียตนามหรือมีน้อย เราควรเข้าไปเก็บหุ้นเพิ่มหรือไม่?

คำตอบของผมก็คือ ช่วงเวลานี้ของเวียตนาม ทุกอย่างดูเหมือนว่าจะสดใส ประเด็นที่น่าห่วงหรือเรื่องที่ไม่ดีต่อการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นดูเหมือนจะลดลงไปมาก แต่เรื่องดี ๆ ต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นนั้น กำลังทยอยมาอย่างต่อเนื่องนอกเหนือจากภาษีทรัมป์ที่ดูเหมือนว่าเวียตนามจะได้เปรียบชาติอื่น

เศรษฐกิจเวียตนามล่าสุดดูเหมือนว่าจะยังดีต่อเนื่องและรัฐบาลยังตั้งเป้าหมายการเติบโตของ GDP ที่สูงในระดับ 8% ขึ้นไป ซึ่งถือว่ามองโลกในแง่ที่ดีมาก โดยปัจจัยสนับสนุนหลักก็คือ การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาที่คาดว่ายังดีมาก การลงทุนจากต่างประเทศล่าสุดที่อยู่ในระดับสูงสุดยอดเช่นเดียวกับการลงทุนของรัฐ นอกจากนั้น การท่องเที่ยวจากต่างชาติก็เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวจีนที่ตอนนี้ไปเที่ยวที่เวียตนามมากกว่ามาไทยไปแล้ว

ข่าวสำคัญที่จะตามมาในอีกไม่กี่เดือนก็คือการที่ดัชนีฟุตซี่ FTSE น่าจะปรับให้ตลาดหุ้นเวียตนามเป็นตลาดเกิดใหม่หรือ Emerging Market ที่จะทำให้มีเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เหตุผลก็เพราะตลาดหุ้นเวียตนามมีการพัฒนาขึ้นมากในด้านของการซื้อ-ขายหุ้น สำหรับต่างชาติ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือการใช้โปรแกรมเทรดหุ้นใหม่ KRX ที่ทันสมัยที่ทำให้สามารถรองรับการเทรดและ การเคลียร์บัญชีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ปริมาณการซื้อ-ขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงเร็ว ๆ นี้ เพิ่มขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในอาเซียนแซงไทยและสิงคโปร์ไปแล้วที่วันละ 4-50,000 ล้านบาทต่อวัน และบางวันก็สูงเกือบแสนล้านบาทแล้ว และนั่นรองรับด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากกว่า 10 ล้านบัญชีและยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกเดือนเดือนละนับแสนราย พูดง่าย ๆ ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียตนามกำลัง “ร้อนเป็นไฟ”

ปริมาณการซื้อหุ้นด้วยมาร์จินสูงสุดเป็นประวัติการณ์และโบรกเกอร์ใหญ่ ๆ หลายรายปล่อยกู้จนถึงเพดานไม่สามารถปล่อยเพิ่มได้แล้ว ซึ่งทำให้ดู “น่ากลัวมาก” ถ้าวันหนึ่งหุ้นตกลงมาจนนักลงทุนถูก Force Sell ซึ่งอาจทำให้ตลาดถล่มทะลาย นอกจากนั้น ข่าวเกี่ยวกับความคิดของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีกำไรจากการขายหุ้นของบุคคลธรรมดาซึ่งอาจจะสูงถึง 20% ก็เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากแม้ว่าวันนี้นักลงทุนยังไม่ได้ตระหนักว่ามันอาจจะทำลายการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ได้

และนั่นทำให้เราต้องมาคิดและประเมินถึง “ความเสี่ยง” ของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงเวลานี้ว่า หุ้นแพงเกินไปไหม?

คำตอบของผมก็คือ การฟื้นตัวหรือปรับตัวของหุ้นเวียตนามในรอบประมาณ 6-7 เดือนที่ผ่านมานั้น ส่วนใหญ่เป็นการปรับตัวของหุ้นขนาดใหญ่หรือยักษ์จำนวนไม่กี่ตัวเป็นหลัก คร่าว ๆ ก็คือแค่หุ้นกลุ่ม “VIN Group” ที่ประกอบด้วยตัวหลักคือVIC VHM และ VRE ที่ทำธุรกิจใหญ่โตมากในด้านของอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านจัดสรรและห้างสรรพสินค้า รถยนต์ และอื่น ๆ

ราคาหุ้นของกลุ่ม วินกรุ๊ปที่เคยตกต่ำมากเพราะมีปัญหาทางการเงินเริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างแรงเพราะสถานการณ์ทางการเงินของกลุ่มเริ่มดีขึ้นมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 100% ในเวลาไม่กี่เดือนจนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของตลาดหุ้น การปรับตัวขึ้นของหุ้นเพียง 3-4 ตัวดังกล่าวมีส่วนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นไปกว่า 10% แล้ว จากทั้งตลาดที่ปรับตัวขึ้นไป 18% นับจากต้นปี

ซึ่งนั่นก็อาจจะคล้าย ๆ กับหุ้นกลุ่ม 7 นางฟ้าของอเมริกาที่ปรับตัวขึ้นไปมโหฬารโดยที่หุ้นอื่น ๆ ทั้งตลาดโตขึ้นน้อยมาก หรือคล้าย ๆ กับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นยักษ์บางตัวราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวและมีผลกับดัชนีตลาดอย่างมาก

ว่าที่จริง หุ้นในพอร์ตเวียตนามของผมเองที่เป็นหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” จำนวนประมาณ 6-7 ตัวที่เคยสร้างผลงานยอดเยี่ยมในปี 2567 พอถึงปีนี้ที่ดัชนีหุ้นขึ้นไปมากแต่พอร์ตผมก็ยังขาดทุนอยู่ และต้องเฝ้าดูหุ้นกลุ่มอื่นปรับตัวเพิ่มขึ้นมากทั้ง ๆ ที่ผลประกอบการก็ยังไม่ดี มีแต่ “สตอรี่” ที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน ราคาหุ้นขึ้นเอา ๆ ทั้งที่ราคาหุ้นคิดเป็น PE ก็สูงมากอยู่แล้ว

แต่อย่างไรผมเองก็คงไม่เปลี่ยนตัวหุ้นที่ลงทุน ผมคิดว่าการลงทุนระยะยาวแบบผมนั้น ก็ต้องมีเวลาที่จะแย่กว่าตลาดหรือหุ้นกลุ่มอื่น เพียงแต่ว่าโดยเฉลี่ยทั้งปีที่ดีและปีที่แย่ ผมจะได้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าตลาดแค่นั้นก็พอ และผมก็หวังแค่ว่าเวลาที่เหลือของปีนี้ พอร์ตเวียตนามของผมจะตีตื้นขึ้นมาเสมอตัวก็พอใจแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับคนที่ลงทุนกองทุนอิงดัชนีเวียตนาม ก็ไม่ต้องสนใจว่าจะเกิดการเลือกหุ้นที่ผิดพลาดและทำให้ผลตอบแทนการลงทุนแย่ สิ่งที่จะต้องคำนึงก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรปีนี้และปีต่อ ๆ ไป และนั่นทำให้ผมต้องปรึกษากับประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นเวียตนามว่า ความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 25 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร

ตลอด 25 ปี นั้น ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวขึ้น 18 ปี และปรับตัวลดลงเพียง 7 ปี คิดไปแล้วเท่ากับโอกาสปรับขึ้นเป็น 2.57 เท่าของการปรับลง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้น ปีที่หุ้นปรับตัวขึ้นน่าจะไม่เกิน 1.5 เท่าของการปรับตัวลง ซึ่งก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงกว่ามาก

นอกจากนั้น ถ้าไม่นับช่วงที่เวียตนามเปิดตลาดใหม่ ๆ ในช่วง 5 ปีแรกที่ตลาดยังไม่พร้อม ก็จะพบว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียตนามปรับตัวขึ้น 15 ปี และปรับตัวลงแค่ 5 ปี หรือปีหุ้นขึ้นนั้นประมาณ 75% และปีที่ตลาดตกแค่ 25% ซึ่งถือว่าเป็นสถิติที่ดีมากน่าจะเท่า ๆ กับตลาดสหรัฐในช่วงเวลาหลาย ๆ สิบปีที่ผ่านมา

ว่าที่จริง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาคือตั้งแต่ปี 2558 ถึงปีที่แล้ว ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามติดลบแค่ 2 ปีคือปี 2561 ที่ -9.3% และปี 2565 ที่ 32.8% อานิสงค์จากปัญหาหุ้นกู้เป็นหนี้เสียของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการจับการโกงของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนครั้งใหญ่ที่โกงเงินแบ้งค์ครั้งมโหฬารคิดเป็นเงินถึงกว่า 400,000 ล้านบาท แล้ว ที่เหลืออีก 8 ปี ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามก็เป็นบวกทุกปีเฉลี่ยแล้วปีละ 18.9%

ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียตนามปีนี้และปีต่อไปอีกอย่างน้อย 2-3 ปี น่าจะเป็นปีที่สดใสและดัชนีตลาดหุ้นน่าจะมีโอกาสวิ่ง “ติดจรวดสู่ดวงจันทร์” ได้ เพราะประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นจาก Frontier เป็น Emerging Market ในกรณีของ MSCI ที่เวียตนามคาดว่าจะได้เข้าดัชนีในอีกไม่เกิน 2-3 ปีข้างหน้า หุ้นมักจะวิ่งขึ้นแรงกว่าปกติมาก และหุ้นเวียตนามก็น่าจะเป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน



ข่าวคนถูกรางวัลที่ 1 สลากออมสิน 30 ล้านบาท

ข่าวคนถูกรางวัลที่ 1 สลากออมสิน 30 ล้านบาท

เห็นได้ว่า คนทั่วไปก็มีโอกาสถูกรางวัลใหญ่ สลากออมสิน


ที่มา https://today.line.me/th/v3/article/LX3q7D0



01 สิงหาคม 2568

ไขข้อสงสัย ทำไมคนญี่ปุ่นถึงอายุยืน



รู้มั้ยว่า ชาวญี่ปุ่นมีอายุเฉลี่ยยืนยาวที่สุดจนติดอันดับ 1 - 5 ของโลก ผลการประเมิน และจัดอันดับจาก IHME (Institute for Health Metrics and Evaluation) ระบุชัดเจนว่าจนถึงปี 2040 ชาวญี่ปุ่นจะมีอายุเฉลี่ยก่อนเสียชีวิตที่ประมาณ 85.7 ปี ถือว่ามีอายุเยอะมาก ๆ

สาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นมีอายุเฉลี่ยที่ยืนยาว นั่นเป็นเพราะมีหลักการในการดำเนินชีวิตหนึ่งที่เรียกว่า Ikigai หรือเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ที่ชาวญี่ปุ่นยึดถือทำให้เกิดความสุขทางใจ นอกจากนั้นพวกเขาใส่ใจกับเรื่องอาหารคลีนเป็นอย่างมาก ญี่ปุ่นขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องของการมีวัตถุดิบที่มีความสด มีคุณภาพสูง มีคุณค่าทางอาหารสูง นั่นหมายถึงร่างกายคุณก็ดีตามด้วยเช่นกัน

ชาวญี่ปุ่นยังมีนิสัยรักการเดินหรือการปั่นจักรยานมากกว่าใช้ยานพาหนะทุ่นแรง ซึ่งการเดินหรือปั่นจักรยานนี่เองเป็นอีกเทคนิคออกกำลังกายสำคัญที่ชาวญี่ปุ่นทำกันตลอด และเคล็ดลับสุดท้ายที่ทำให้ชาวอาทิตย์อุทัยมีอายุยืนยาวเพราะพวกเขาเป็นคนรักสะอาดมาก สังเกตได้จากสินค้าที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันจะเน้นเรื่องความสะอาดเป็นหลัก อาทิ ทิชชูเปียก, น้ำยากำจัดเชื้อแบคทีเรียสำหรับใช้ในรูปแบบต่าง ๆ (ผงซักฟอก, น้ำยาถูพื้น, สเปรย์กำจัดกลิ่นและแบคทีเรีย) เป็นต้น



ที่มา Link

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)