ที่มา https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=122111201762390122&id=61561703667907
My personal blog about health, hobby, stock & investment, information technology, self improvement, tax and travel.
31 กรกฎาคม 2568
30 กรกฎาคม 2568
[ebook online free] Saint Seiya The Lost Canvas
25 กรกฎาคม 2568
เรียน Chat GPT, Co-pilot, LLM ฟรี
เรียน Chat GPT, Co-pilot, LLM ฟรี
23 กรกฎาคม 2568
MongoDB Transactions with mongosh: A Step-by-Step Guide
MongoDB transactions allow you to execute multiple operations as a single, atomic unit. This means either all operations within the transaction succeed and are applied to the database, or if any operation fails, all changes are rolled back. This guide will walk you through the process using the mongosh shell.
Before you begin, ensure you have:
- A running MongoDB instance (version 4.0 or higher, as transactions were introduced in 4.0).
- mongosh (MongoDB Shell) installed and connected to your MongoDB instance.
- A sample database and collection. For this guide, we'll assume a database named a_test and a collection named student.
Step-by-Step Transaction Example
Follow these steps to perform a transaction:
1. Create a MongoDB Session
Transactions in MongoDB are associated with a session. First, you need to create one.
// Create a new client session
2. Start the Transaction
Once the session is created, you can initiate a transaction on it. It's good practice to define readConcern and writeConcern for the transaction to ensure data consistency and durability.
- readConcern: { "level": "snapshot" }: Ensures that reads within the transaction see a consistent snapshot of the data, preventing dirty reads and non-repeatable reads.
- writeConcern: { "w": "majority" }: Ensures that write operations are acknowledged by the majority of the replica set members, providing strong durability guarantees.
3. Get the Collection within the Session
All operations within the transaction must be performed on collections obtained through the session object.
coll = session.getDatabase('a_test').getCollection('student');
4. Check Data (Pre-Update)
You can perform read operations within the transaction. This read will reflect the state of the data before any modifications made within the current transaction, but it will see the latest committed data from outside the transaction.
5. Update Data within the Transaction
Now, perform your write operation. This change is not yet visible to other sessions or outside this transaction. It's only staged within the current transaction's context.
6. Check Data Again (Within Transaction)
If you check the data again within the same transaction, you will see the updated value. This demonstrates that changes are visible locally within the transaction's scope before being committed globally.
7. Global Verification (Before Commit/Abort)
To confirm that the changes are not yet public, open a new mongosh window or session and query the same document. You will see the original age value.
Finalizing the Transaction: Abort or Commit
You have two options to finalize the transaction: aborting it (rolling back changes) or committing it (making changes permanent).
If you decide to cancel the changes made within the transaction, you can abort it. All modifications made since startTransaction() will be discarded.
After aborting, verify the result in the global database. The data will revert to its state before the transaction began.
Option B: Commit Transaction (Apply Changes)
If the operations within the transaction were successful and you want to make the changes permanent and visible to all other sessions, you commit the transaction.
After committing, verify the result in the global database. The data will now reflect the changes made within the transaction.
Important Notes on Transactions
- Replica Sets Only: Transactions are only supported on replica sets. They are not available on standalone MongoDB instances.
- Sharded Clusters: Transactions are also supported on sharded clusters starting from MongoDB 4.2.
- Size Limitations: There are limitations on the number of operations and total document size within a single transaction.
- Error Handling: In a real application, you would wrap transaction operations in try-catch blocks to handle potential errors and ensure abortTransaction() is called if an error occurs.
- Session Management: Always ensure you close or end sessions properly in your application code to free up resources. In mongosh, the session is automatically managed when you close the shell or if it's explicitly ended.
This guide provides a foundational understanding of using transactions in MongoDB with mongosh.
21 กรกฎาคม 2568
คำคม เรื่องเล่าและนิทาน VI - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เรื่องแรกที่ผมเคยอ่านมานานมากตั้งแต่เข้าวงการ VI ใหม่ ๆ ก็คือการลงทุนในน้ำมันที่น่าจะกำลังบูมจัดในยุคนั้น ซึ่งในวันนี้ผมจะเปลี่ยนเป็น “ทอง” แทน เรื่องมีอยู่ว่า
เซียนและเศรษฐีนักเล่นทองตายลงอย่างกะทันหัน เขาเดินเข้าไปในแดนของสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่ของคนที่ได้ทำความดีจนได้อยู่ในสวรรค์หลังจากความตาย เซียนเข้าพบกับเซ็นต์ปีเตอร์ซึ่งเป็นผู้ดูแลสมาชิกทั้งหมดและขอเข้าไปอยู่บนสวรรค์ด้วย แต่เซ็นต์ปีเตอร์ตอบว่าทุกห้องเต็มหมด และไม่มีใครย้ายออกไปเลย ถ้ามีใครออกไป เซียนก็จะมีสิทธิเข้าไปอยู่ในสวรรค์แทน
เซียนทองไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก่อนที่จะจากไปได้ขอเซ็นต์ปีเตอร์พูดเพียง 3-4 คำ ซึ่งเขาก็ตะโกนเสียงดังไปทั่วสวรรค์ว่า “มีทองอยู่ในนรก”
ทันใดนั้น สวรรค์ก็แตกตื่น ทุกคนต่างแห่กันออกจากสวรรค์และมุ่งหน้าไปสู่นรก เซ็นต์ปีเตอร์รู้สึกทึ่งมาก และก็บอกกับเซียนทองว่า ตอนนี้สวรรค์ว่างแล้ว เชิญท่านเข้าไปเลือกห้องอยู่ได้เลย
เซียนทองเองก็รู้สึกทึ่งมากเช่นกัน เขามองหน้าเซ็นต์ปีเตอร์แล้วตอบว่า ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมจะไปพร้อมกับพวกเขา คงมีทองมากมายในนรกจริง ไม่อย่างนั้นทุกคนจะแห่กันไปอย่างนั้นเหรอ?
นิทานเรื่องนี้ ให้ข้อคิดว่า เวลาที่ตลาดการลงทุนบูมจัด และคนกำลังแห่กันเข้าไปซื้อสินทรัพย์หรือหลักทรัพย์นั้น แม้แต่คนที่ปั่นหุ้นหรือสินทรัพย์หรือสร้างเรื่องนั้นเอง ก็ยังเชื่อว่ามันเป็นสินทรัพย์หรือหุ้นที่ดีสุดยอดจริง ๆ และกลับเข้าไปเล่นอย่างบ้าคลั่ง ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะคือ “นรก”
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าทองหรือคริปโต หรือแม้แต่หุ้นเท็คขนาดใหญ่ที่ขึ้นมาแรงมาก ๆ ในช่วงเร็ว ๆ นี้กำลังจะตกลงมาแรงนะครับ นี่เป็นแค่ข้อเตือนใจ
นิทานเรื่องที่สองคือ “เจ้าชายกบ” นิทานเด็กชื่อดังที่วอเร็น บัฟเฟตต์ชอบพูดถึงเวลาที่คนบอกว่าหุ้นจะเปลี่ยน “พื้นฐาน” หรือเป็นหุ้น “Turnaround” หรือหุ้นฟื้นตัว โดยเปรียบบริษัทหรือกิจการเหมือนกับ “เจ้าชายกบ” ในนิทานที่เป็นเจ้าชายแต่ถูกสาบให้เป็นกบ ที่เมื่อถูกเจ้าหญิงจูบ ก็จะฟื้นหรือแปลงกลับมาเป็นเจ้าชายรูปงาม และแต่งงานกัน
บัฟเฟตต์บอกว่า เขาเจอมามาก ในชีวิตจริง “กบ” หรือกิจการที่ไม่ดีหรือเป็นกิจการ “เจ๊ง” และเราหวังว่าเราเข้าไปซื้อหรือเข้าไปปรับปรุงหรือ “จูบ” แล้วมันจะแปลงเป็น “เจ้าชาย” นั้น แทบจะไม่เคยเกิดขึ้น หรือ “จูบ” กี่ตัว ๆ มันก็ยังเป็นกบอยู่นั่นเอง และนั่นก็ทำให้บัฟเฟตต์ไม่สนใจลงทุนในหุ้นคุณภาพแย่หรือหุ้น Turnaround เขายังพูดด้วยว่า “Turnaround seldom Turnaround”
แม้แต่กิจการสิ่งทอของเบิร์กไชร์ที่มีผู้บริหารที่ดีและเก่งมากที่พยายามแก้ปัญหาความตกต่ำของธุรกิจมานานมากในที่สุดก็ต้องปิดตัวลง ไม่สามารถ Turnaround หรือฟื้นตัวได้ และนั่นนำมาสู่คำคมของบัฟเฟตต์อีกคำหนึ่งนั้นก็คือ
“When a management with a reputation for brilliance tackles a business with a reputation for bad economics, it is the reputation of the business that remain intact”
คำแปลก็คือ เมื่อผู้บริหารที่มีชื่อเสียงดีเด่นเข้ามาจัดการปัญหาของธุรกิจที่มีชื่อเสียงว่าแย่มาก สิ่งที่จะเหลืออยู่ก็คือชื่อเสียงของธุรกิจ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ชื่อเสียงของผู้บริหารที่ว่าดีเด่นก็จะหายไป เพราะแก้ปัญหาไม่ได้
บทเรียนก็คือ เวลาจะลงทุนในหุ้นบริษัทไหน ให้ดูว่าธุรกิจดีหรือเปล่า อย่าไปคิดว่าผู้บริหารเก่งมากที่จะนำพาให้บริษัทดีเด่นหรือดีต่อไปเรื่อย ๆ
พูดถึงเรื่องนี้คนจำนวนมากคิดว่าบัฟเฟตต์ถือว่าผู้บริหารคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนในหุ้นของบริษัท เพราะบัฟเฟตต์มักจะ “ชม” ผู้บริหารของบริษัทที่เขาถือหุ้นเสมอว่าเป็น “สุดยอด” แต่ผมเชื่อว่านั่นเป็นกลยุทธ์ในการ “บริหารงานบุคคล” ของบัฟเฟตต์ มากกว่าที่จะเป็นเงื่อนไขในการลงทุนในตัวกิจการของเขาที่เน้นว่า บริษัทเป็นกิจการที่ต้องดีก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่ดียังไงก็ไม่เอา
ว่าที่จริงปีเตอร์ ลินช์ เซียนหุ้นนักบริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งก็เชื่อเหมือนกันว่าผู้บริหารนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องเก่งหรือยอดเยี่ยมในกรณีที่บริษัทดีเยี่ยมอยู่แล้ว เขาพูดว่า “Go for business that any idiot can run- because sooner or later any idiot probably is going to run it.” แปลว่า ลงทุนในธุรกิจที่คนทึ่มก็ยังบริหารได้ เพราะว่าไม่ช้าก็เร็ว จะมีคนทึ่มที่อาจจะเข้ามาบริหารมัน
คำคมที่ผมชอบคำหนึ่งที่เริ่มเห็นว่าเป็นจริงมากขึ้นมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ในตลาดหุ้นไทยคือคำของชาร์ลี มังเกอร์ คู่หูบัฟเฟตต์ที่พูดว่า มีเพียง 3 สิ่งที่ผู้ชายที่ฉลาดจะหมดตัวได้นั่นคือ 1) แอลกอฮอร์ 2) ผู้หญิง และ 3) การใช้เงินกู้ในการทำธุรกิจ หรือ “There is only three ways a smart person can go broke: liquor, ladies and leverage”
สำหรับนักลงทุนก็คือ ข้อ 3) คือการซื้อหุ้นโดยใช้มาร์จินจำนวนมากหรือใช้เครื่องมือในการขยายการลงทุนเกินตัวมากเช่น บล็อกเทรด เป็นต้น ที่ทำให้สามารถเพิ่มผลตอบแทนมหาศาลในยามที่คิดถูกและสถานการ์เอื้ออำนวย แต่ในยามที่คิดผิดและสถานการณ์เลวร้ายถูก Force Sell ก็อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ในชั่วข้ามคืน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นก็เป็นแนวของ VI ที่มักจะเน้นถึงการดูตัวธุรกิจเป็นหลัก แต่ในด้านของการ “เทรดหุ้น” แนวเก็งกำไรนั้น เราก็ควรจะเรียนรู้บ้างจากเซียนหุ้นนักเก็งกำไรระดับโลกว่าเขามีความคิดอย่างไร ซึ่งคนแรกนั้นก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ที่ชอบพูดเสมอว่า นักเก็งกำไรที่จะชนะจริง ๆ นั้น ไม่ใช่คนที่จะเทรดหรือซื้อขายหุ้นทุกวัน หรือแม้แต่ทุกเดือน เขาพูดว่า
“There is time to go long, time to go short and time to go fishing.” ซึ่งแปลว่า ในการเล่นหุ้นนั้น “มีบางช่วงที่เราจะซื้อหุ้นลงทุน บางช่วงเราก็ขายช้อร์ต และบางช่วงเราก็ไปตกปลา” คือไม่ทำอะไร อยู่เฉย ๆ
เขายังบอกว่า หลังจากการใช้ชีวิตยาวนานมากในวอลสตรีท ทำกำไรและขาดทุนเงินเป็นล้าน ๆ ดอลลาร์ ผมอยากจะบอกพวกคุณว่า “It never was my thinking that made the big money for me. It always was my sitting. Sitting tight!”
คำแปลก็คือ “มันไม่ใช่เรื่องของการใช้ความคิดเลยที่ทำให้ผมได้กำไรมาก ๆ แต่มันคือการนั่ง นั่งเฉย ๆ ที่ทำให้ผมรวย” ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับนักเก็งกำไรทั้งหลายที่มักจะเชื่อว่า จะต้องซื้อ-ขายหุ้นตลอดเวลา เข้าออกเร็วและถูกจังหวะถึงจะสามารถเอาชนะได้ในเกมเล่นหุ้นหรือลงทุน
คำคมที่มีชื่อเสียงอีกอันหนึ่งเป็นของจอร์จ โซรอส ที่พูดว่า “It’s not whether you’re right or wrong that’s important, but how much money you make when you’re right and how much you lose when you’re wrong.” ซึ่งแปลว่า “มันไม่สำคัญว่าคุณจะผิดหรือถูกในการซื้อ-ขายหุ้น สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณกำไรแค่ไหนเมื่อคุณคิดถูกและขาดทุนแค่ไหนเวลาคุณคิดผิด”
สำหรับโซรอสแล้ว นี่คือสูตรสำคัญของเขา คือเขาจะพยายามประเมินก่อนว่าหุ้นหรือหลักทรัพย์น่าสนใจหรือแข็งแกร่งขนาดไหนก่อนที่จะซื้อลงทุนมาก ๆ ที่จะทำให้เขาได้กำไรมาก ๆ โดยวิธีที่เขาทำนั้น ถ้าเขาอยากจะซื้อ เขาอาจจะขายช้อร์ตแบบแรง ๆ ไปล็อตหนึ่งก่อนเพื่อที่จะดูว่ามีคนกำลังเล่นหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวนั้นไหม ถ้าหุ้นตกก็อาจจะเป็นสิ่งที่แสดงว่าเขาจะเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นมาก ๆ ไม่ได้ เขาอาจจะกำไรหรือขาดทุนจากหุ้นตัวนั้นเล็ก ๆ น้อยซึ่งเขาก็จะไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าหุ้นไม่ตอบสนองกับการขายช้อร์ตของเขา คือหุ้นไม่ลงเลย เขาอาจจะเข้าไปซื้อลงทุนได้เต็มที่และกำไรอย่างงดงามเป็นกอบเป็นกำ
20 กรกฎาคม 2568
ให้แล้วสุข เส้นทางแห่งการแบ่งปันที่เติมเต็มชีวิต
เส้นทางนักให้: จากการทำความดีเล็กๆ สู่ความสุขที่ยิ่งใหญ่
ถ้าจะให้ย้อนกลับไปเล่าเรื่องราวการเป็นผู้ให้ของผม ต้องบอกว่ามันเริ่มมาจากครอบครัวเลยครับ พ่อกับแม่ปลูกฝังเรื่อง "การทำความดี" มาตั้งแต่เด็กๆ พาเข้าวัดทำบุญ ปล่อยนกปล่อยปลา สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ หล่อหลอมให้ผมเข้าใจว่า ความสุขของการให้มันหอมหวานแค่ไหน
พอเริ่มทำงาน ผมก็ยังคงอินกับเรื่องพวกนี้ไม่เปลี่ยน ได้เข้าร่วมกิจกรรม CSR ของบริษัท ไปเป็นอาสาสมัคร ไปบริจาคเลือด หรือแม้แต่ช่วยอุดหนุนลอตเตอรี่การกุศล มันเป็นเหมือนอีกพาร์ทหนึ่งของชีวิตที่เติมเต็มความสุขนอกเหนือจากเรื่องงาน
จุดเปลี่ยนสำคัญ: เมื่อการให้...โปร่งใสขึ้น
ถ้าจะให้เล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้การทำความดีของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ก็คงเป็นช่วงปี 2020 ตอนที่ผมได้รู้จักกับแพลตฟอร์มการบริจาคแห่งหนึ่ง ตอนแรกก็แค่ลองเข้าไปดู แต่พอได้ศึกษาเท่านั้นแหละถึงกับร้องว้าว! เพราะที่นี่มันโปร่งใสสุดๆ เราสามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอนว่าเงินบริจาคของเราถูกนำไปใช้ทำอะไรบ้าง มันทำให้ผมมั่นใจว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะไปถึงมือผู้รับอย่างแท้จริง และหมดกังวลเรื่องการทุจริตไปเลย ทำให้ผมกล้าที่จะบริจาคอย่างสบายใจ
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็ตั้งใจบริจาคอย่างสม่ำเสมอ พยายามให้ได้ทุกเดือนเท่าที่กำลังตัวเองจะอำนวย และคิดว่าจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เพราะผมเชื่อว่า การแบ่งปันน้ำใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินก้อนใหญ่ แค่ทำอย่างสม่ำเสมอก็สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว
การให้ในรูปแบบอื่นๆ: เลือดของผมมีค่า
นอกจากการบริจาคเงินแล้ว ผมยังมีกิจกรรมที่ทำต่อเนื่องมานานคือ การบริจาคเลือดกับสภากาชาดไทย ผมจะไปบริจาคทุกๆ 3 เดือนเท่าที่ร่างกายจะเอื้ออำนวย เพราะเชื่อสุดใจว่าเลือดของเราสามารถต่อชีวิตใครอีกหลายคนได้จริง แค่สละเวลาไม่กี่นาที ก็ได้ทำสิ่งดีๆ ที่ยิ่งใหญ่แล้ว
ให้แล้วได้อะไร: ประโยชน์ที่มากกว่าการช่วยคนอื่น
ผมมองว่าการแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาบริจาคอย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้มีแค่ประโยชน์กับผู้รับเท่านั้นนะครับ แต่ยังดีต่อใจเราเองด้วย เพราะนอกจากจะได้ช่วยสังคมแล้ว ยังสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินทาง ไม่ต้องใช้เวลามาก และที่สำคัญคือ เราไม่ได้เดือดร้อน แถมการบริจาคผ่านมูลนิธิที่ถูกต้องตามกฎหมายยังสามารถนำไป ลดหย่อนภาษี ได้อีกด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์สองต่อเต็มๆ
สำหรับแนวทางการบริจาคของผมนั้น ผมจะโฟกัสไปที่ 3 เรื่องหลักๆ ครับ คือ การช่วยเหลือสัตว์ ที่ถูกทอดทิ้งหรือเจ็บป่วย, การดูแลสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกต้นไม้ปลูกป่า และสุดท้ายคือ การช่วยเหลือผู้ยากไร้และด้อยโอกาส เพราะผมเชื่อว่าการช่วยในด้านเหล่านี้คือการสร้างสังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนขึ้นได้อย่างแท้จริง
ทุกวันนี้ผมยังคงบริจาคผ่านแพลตฟอร์มเดิม แต่อนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไปบริจาคตรงกับมูลนิธิที่เน้นช่วยเหลือในเรื่องเหล่านี้โดยตรงครับ
คุณสามารถดูสรุปการบริจาคของผมในแต่ละปีได้ที่ Link ครับ แล้วคุณล่ะครับ มีวิธีการทำความดีในแบบฉบับของตัวเองบ้างหรือเปล่า?
19 กรกฎาคม 2568
ภาษี e-Payment เงินโอนเข้าบัญชีกี่ครั้ง สรรพากรถึงจะตรวจสอบ?
- มีการฝากหรือรับโอนเงิน 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่ายอดรวมทั้งหมดจะเท่าไหร่ก็ตาม (นับรวมทุกบัญชีของแต่ละธนาคารนั้นๆ)
- มีการฝากหรือรับโอนเงิน 400 ครั้งขึ้นไปต่อปีและมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท ขึ้นไป
ตัวอย่าง
- เงินเข้า 500 ครั้ง ยอดเงิน 1.5 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
- เงินเข้า 200 ครั้ง ยอดเงิน 10 ล้านบาท = ไม่ถูกส่งข้อมูล
- เงินเข้า 4,000 ครั้ง ยอดเงิน 1 แสนบาท = ถูกส่งข้อมูล
15 กรกฎาคม 2568
วินัยการเงินในวันนี้สร้างเศรษฐีในวันหน้า เคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเงินเป็นสิ่งที่ปลูกฝังกันได้ตั้งแต่เยาว์วัย ผู้ที่สามารถสอนการเงินกับเด็กได้ไม่ได้มีเพียงแต่คุณครูในรั้วโรงเรียน ผู้ปกครองของเด็กสามารถสร้างเสริมความรู้ความเข้าใจของเด็กที่มีต่อการเงินได้ตั้งแต่ในบ้าน ยิ่งเด็กได้เรียนรู้การเงินจากคนในบ้านมากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงมั่นคงให้แก่เด็กได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น ในครั้งนี้ ลงทุนศาสตร์ขอนำเสนอเคล็ดลับ 10 ประการสำหรับสอนการเงินกับเด็ก ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ [1, 2, 3]
ข้อแรก สอนให้เด็กเข้าใจความต่างระหว่างความต้องการและความจำเป็น เด็กจะมีพื้นฐานการเงินที่ดีได้จากความเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จำเป็นเสมอไป หากทำความเข้าใจได้ระหว่างสิ่งที่ขาดไม่ได้ และสิ่งที่แค่อยากได้ ย่อมทำให้เด็กสามารถทำความเข้าใจความต้องการของตนเอง และจัดการการเงินได้อย่างเหมาะสม
ข้อสอง ให้เด็กเป็นผู้ควบคุมการเงินของตนเอง ผู้ปกครองบางท่านอาจเลือกที่จะควบคุมการเงินของเด็กทั้งหมด แต่การให้อิสระกับเด็กในการควบคุมเงินจะทำให้เด็กรู้ถึงคุณค่าของเงินอย่างชัดเจนด้วยตนเอง และเรียนรู้ที่จะบริหารเงินด้วยตัวเองได้อย่างมั่นใจ
ข้อสาม ฝึกให้เด็กตั้งเป้าหมายในการเก็บออม หากต้องการให้เด็กรู้จักเก็บออม ต้องสร้างเป้าหมายในการออมให้กับเด็กด้วย เพื่อให้เด็กได้มีแรงจูงใจในการเก็บเงินได้อย่างเหมาะสม
ข้อสี่ หาที่เก็บเงินให้กับเด็กอย่างปลอดภัย มองหากระปุกออมสินน่ารักที่เด็กชื่นชอบ หรือพาเด็กไปทำความรู้จักกับการเปิดบัญชีธนาคาร เพื่อให้เด็กมีแรงจูงใจในการฝากเงิน และรู้สึกว่าการเก็บเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว
ข้อห้า สอนให้เด็กได้รู้จักวิธีจดบันทึกรายรับรายจ่ายของตนเอง การมีบันทึกรายรับรายจ่ายทำให้เด็กมองเห็นเส้นทางความเคลื่อนไหวเงินของตนเอง และรู้จักพิจารณาการใช้จ่ายของตนเองได้มากขึ้น
ข้อหก ให้เงินสนับสนุนการออมของเด็กเป็นรางวัล หากเด็กเก็บออมได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ท่านอาจมอบเงินสนับสนุนให้เด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดีกับการเก็บเงินได้ถึงเป้าหมาย
ข้อเจ็ด หากเด็กต้องการใช้เงินซื้อของที่มีราคาแพง ท่านอาจลองให้เด็กได้ยืมเงินและทยอยผ่อน ผู้ปกครองสามารถจำลองการเป็นเจ้าหนี้ และให้เด็กลองเป็นลูกหนี้ที่ทยอยผ่อนจ่าย เพื่อให้เด็กเข้าใจวงจรทางการเงินได้มากขึ้น
ข้อแปด พูดคุยเรื่องการเงินกับเด็กอยู่เสมอ ทำให้บรรยากาศการพูดคุยเรื่องการเงินเป็นเรื่องปกติธรรมดา และระวังอย่าเข้มงวดมากเกินไปจนตึงเครียด
ข้อเก้า ให้โอกาสเด็กได้ลองทำผิดพลาดดูบ้าง อย่าตำหนิเด็กอย่างรุนแรงหากว่าเด็กไม่สามารถเก็บเงินได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ปล่อยให้เด็กได้ลองผิดลองถูกจนกว่าจะเข้าใจความสำคัญของการเก็บเงินได้ด้วยตนเอง ผู้ปกครองทำได้ดีที่สุดด้วยการประคับประคอง ไม่ใช่การบังคับให้เป็นไปตามต้องการ
ข้อสุดท้าย ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสร้างวินัยทางการเงิน คำสอนใดใดก็ไร้ความหมายหากผู้ปกครองไม่อาจเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็กเห็น
การปลูกฝังพื้นฐานการเงินให้กับเด็กในวันนี้จะเป็นประโยชน์กับเด็กอย่างมากในวันข้างหน้า ลงทุนศาสตร์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเด็ก ๆ ที่ได้เติบโตมาจะมีพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแรง จากการปลูกฝังความรู้ทางการเงินจากที่บ้านอย่างต่อเนื่อง
14 กรกฎาคม 2568
หุ้นโลก (all time) Hi หุ้นไทย (long time) Lo - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตรงกันข้ามกับหุ้นไทยที่ย่ำแย่มานานนับ 10 ปี และปีนี้ก็ยังแย่อยู่ และก็แย่มากขึ้นไปอีกโดยที่คนก็โทษภาษีการค้าของทรัมป์ราวกับว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ถูกกระทบหนัก เพราะความเป็นจริงก็คือ แทบทุกประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาต่างก็โดนเหมือนกัน แต่ตลาดหุ้นของพวกเขาก็ยังทำผลงานได้ดีมากแบบ “ผิดคาด” ทำไมตลาดหุ้นไทยจึงแทบจะเป็นตลาดหุ้นเดียวที่แย่ และนับจากต้นปีเราก็เป็นตลาดที่ “ตกมากที่สุด” ในบรรดาตลาดหุ้นหลัก ๆ ของย่านนี้
บางทีปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยแย่และตลาดหุ้นอื่นดีนั้น อาจจะเป็นเรื่องอื่นมากกว่า และก็อาจจะเป็นปัจจัยระยะยาวที่ดำเนินมานานพอสมควรแล้วและก็กระทบและมีผลต่อตลาดหุ้นมาตลอด เรื่องสงครามการค้านั้น อาจจะไม่ได้มีผลมากอย่างที่คิด และถึงจะมีก็อาจจะน้อยกว่าเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI ที่อาจจะก่อให้เกิดผลดีต่อตลาดหุ้นที่สามารถลบล้างผลเสียของสงครามการค้าได้ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ในการใช้เทคโนโลยีสูง
ผมเองไม่มีคำตอบที่ถูกต้องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็จะใช้ ประวัติศาสตร์ของดัชนีตลาดหุ้นของประเทศหรือตลาดหลัก ๆ มาอธิบายเท่าที่จะทำได้ โดยการมองย้อนหลังกลับไปเป็นระยะ ๆ คือ 10 ปี 5 ปี และจากต้นปีถึงวันนี้ประมาณ 6-7 เดือน ตามลำดับ
ตลาดหุ้นที่ดีที่สุดมองย้อนหลังไป 10 ปี ก็คือ Nasdaq ที่ประกอบไปด้วยหุ้นดิจิทัลไฮเท็คและแน่นอน AI ที่โดดเด่นที่สุดของโลก ดัชนีแนสแด็กในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นปรับตัวขึ้น 3 เท่าหรือ 300% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 16.1% ในเวลาติดต่อกัน 10 ปี หุ้น 7 นางฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในดัชนีนั้นเติบโตยิ่งกว่ามาก หุ้นอย่าง NVIDIA น่าจะเติบโตเป็น 100 เท่าและกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปี
มองย้อนหลังไป 5 ปี ดัชนีแนสแด็กก็โตขึ้น 95.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 14.9% ซึ่งก็ยังแสดงให้เห็นว่า ดัชนีก็ยังเติบโตเร็วอยู่ทั้ง ๆ ที่ ขนาดของบริษัทหรือหุ้นนั้นใหญ่มาก “คับโลก” อยู่แล้ว
จากสิ้นปีที่แล้วหรือต้นปีถึงวันนี้ มีช่วงที่ดัชนีตกลงมาแรงในช่วงต้นปีที่เกิดการประกาศสงครามการค้าของทรัมป์ทำให้ดัชนีตกลงมาแรงกว่า 10% และคนคิดว่า “หมดยุคหุ้นบูม” ที่ดำเนินมายาวนานแล้ว แต่หลังจากนั้น ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นมาใหม่และสูงขึ้นไปกว่าเดิมที่เคยเป็นจุดสูงสุด นับจากต้นปี ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 3.2% และตลาดหุ้นเต็มไปด้วยความคึกคัก สถิติต่าง ๆ ถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง
ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยรวมของเศรษฐกิจอเมริกันเองนั้น ดูเหมือนจะชี้ว่าอเมริกายังคงแข็งแกร่งและเป็นผู้นำโลกมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ไม่เหมือนอย่างที่ทรัมป์พูดว่า “Make America Great Again” ซึ่งแฝงนัยว่าอเมริกาแย่และจะต้องฟื้นฟูอเมริกาโดยการตั้งกำแพงกันผู้อพยพและสินค้าเข้าประเทศอย่างบ้าคลั่ง
ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นถึง 218% ในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนบทต้นปีละ 12.3% ตลอด 10 ปี และในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีให้ผลตอบแทนไม่รวมปันผลถึง 73.5% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.7% ลดลงเพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังถือว่ายอดเยี่ยมเมื่อคำนึงถึงขนาด Market Cap. ที่ใหญ่ขึ้นมาก คือมูลค่าตลาดใหญ่เกินกว่า 2 เท่าของรายได้ประชาชาติของสหรัฐไปแล้ว ในขณะที่บัฟเฟตต์เองเคยบอกว่า ถ้ามูลค่าสูงเท่ากับ GDP ก็ถือว่าตลาดหุ้นแพงเกินไปแล้ว
ตั้งแต่ต้นปี S&P ก็เช่นเดียวกับ Nasdaq ที่มีช่วงตกใจดัชนีลดลงจากเรื่องภาษีทรัมป์ แต่ขณะนี้บวกไปแล้วจากสิ้นปีที่แล้วประมาณ 7% และนำโดยหุ้นเท็คขนาดยักษ์อย่าง NVIDIA เป็นต้น
จากสหรัฐ ผมอยากกลับมาที่ประเทศกำลังพัฒนาที่กำลัง ถูกปั้นให้เป็น “The New Great Economy” นั่นคือ อินเดีย และ เวียตนาม ซึ่งผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากประเทศที่จนมากและแทบไม่มีความสำคัญ กลายเป็นประเทศที่ผู้นำระดับโลกต้องมาเยี่ยมเยียน เจรจา และ “เกรงใจ” เมื่อจะทำอะไรที่กระทบกับ 2 ประเทศนี้
ดัชนีหุ้นอินเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นเกือบ 200% เป็น 3 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 11.6% ไม่รวมปันผล และในช่วง 5 ปีหลัง ดัชนีเติบโตขึ้นถึง 125.8% หรือเท่ากับ 17.7% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งสูงยิ่งกว่าดัชนีแนสแด็กที่ว่าสูงมากเสียอีก และนั่นทำให้ตลาดหุ้นอินเดียที่คนไทยแทบไม่รู้จักเมื่อ 5-6 ปีก่อน กลายเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยสนใจมากขึ้นมาก ผลงานนับจากต้นปีนี้ก็ยังทำได้ดีคือบวกประมาณ 5-6%
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้น 135% หรือให้ผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.9% แบบทบต้นไม่รวมปันผล ในช่วง 5 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้น 67.6% หรือให้ผลตอบแทน 10.9% ซึ่งก็ต้องถือว่าค่อนข้างดีทีเดียวเมื่อคำนึงถึงว่าเวียตนามยังเป็นตลาด “Frontier Market” ที่สถาบันนักลงทุนขนาดใหญ่ของต่างชาติยังไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นตั้งแต่ต้นปีมาถึงวันนี้ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 15% สูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะหลังจากที่ตกลงดีลการค้ากับอเมริกาได้สำเร็จ
ตลาดหุ้นฮั่งเส็งซึ่งผมใช้เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นจีนนั้น ดูเหมือนว่าจะคล้ายตลาดหุ้นไทยที่สุดในแง่ที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองที่ทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปในด้านของความเป็นเสรีทางเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ดัชนีฮั่งเส็งลดลงมาประมาณ 25% ในเวลา 10 ปีหรือลดลงเฉลี่ยปีละ 2.8% แบบทบต้น หรือเรียกว่าเป็น “Loss Decade”
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนีก็ยังลดลงประมาณ 10% หรือลดลงปีละ 2.1% แบบทบต้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ดูเหมือนว่าจะมีการปรับในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจในช่วงเร็ว ๆ นี้ของรัฐบาล ดัชนีฮั่งเส็งก็เริ่มดีขึ้นมากทั้ง ๆ ที่สงครามการค้ารุนแรงและอนาคตของเศรษฐกิจจีนก็ยังไม่สดใส ดัชนีตั้งแต่ต้นปีได้ปรับตัวขึ้นถึง 12.9% เราคงต้องจับตาดูต่อไปว่าจีนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างจริงจังมากน้อยแค่ไหน
ตลาดหุ้นญี่ปุ่นนั้นเคยตกต่ำเป็น Loss Decade มาไม่น้อยกว่า 10-20 ปี แต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ด้วยการปฎิรูปอย่างสำคัญของชินโสะอาเบะนายกรัฐมนตรี ได้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความหวังและพร้อมกลับมามีบทบาทมากขึ้นในโลก
ดัชนีนิกเกอิปรับตัวเพิ่มขึ้น 126% ในเวลา 10 ปีคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 8.5% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แทบไม่ได้ดอกเบี้ยเลยเป็นเวลาสิบ ๆ ปีติดต่อกัน ผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 65% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 10.6% ซึ่งก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้าย ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันก็ยังเสมอตัวแม้ว่าต้องเผชิญกับภาษีทรัมป์
กล่าวโดยสรุปแล้วก็ต้องถือว่าตลาดญี่ปุ่นน่าจะสะท้อนว่า ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากภาวะ “Loss Decades” แล้วอย่างสมบูรณ์จากการที่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจที่หยุดยั้งการถดถอยของ GDP ที่เคยดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องยาวนาน
สุดท้ายก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมา 10 ปี ดัชนีลดลงต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่มีปัญหาทางการเมืองซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้และเกิดการรัฐประหารซึ่งทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงการที่ประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี ผลก็คือ ดัชนีช่วง 10 ปีที่ผ่านมาลดลง 22% หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ -2.5%
ในขณะที่มองย้อนหลัง 5 ปี ดัชนีลดลง 15.6% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้น -3.3% ในช่วงเวลาติดต่อกัน 5 ปี และถ้ามองจากต้นปีถึงวันนี้ ดัชนีก็ติดลบไปแล้วถึง 19.9% แย่ที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
ภาพของประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยถึงวันนี้ก็คือ เราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เรียกว่า “Loss Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ที่ยังอาจจะไม่หมดและยังไม่เห็นวี่แววว่าจะฟื้นตัวได้ในระยะเวลาอันสั้นแบบของจีนหรือญี่ปุ่น
08 กรกฎาคม 2568
MongoDB check index creation progress information
db.adminCommand( { currentOp: true, $or: [ { op: "command", "command.createIndexes": { $exists: true } }, { op: "none", "msg" : /^Index Build/ } ] } )
06 กรกฎาคม 2568
เจาะลึกภาวะตลาดหมีของ S&P500 บทเรียนจากอดีตและความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เปิดตำนานภาวะตลาดหมีของ S&P500
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา S&P500 ได้เผชิญกับภาวะตลาดหมีมาแล้วหลายครั้ง โดยแต่ละครั้งล้วนมีปัจจัยกระตุ้นและระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไป ดังนี้:
1. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) (กันยายน 1929 – มิถุนายน 1932): นี่คือภาวะตลาดหมีที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ S&P500 โดยดัชนีลดลงอย่างมหาศาลถึง -86.2% เป็นผลมาจากฟองสบู่ในตลาดหุ้น การว่างงานที่สูงขึ้น และความล้มเหลวของภาคธนาคาร
2. วิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งที่สอง / ภาวะถดถอยปี 1937 (มีนาคม 1937 – มีนาคม 1938): หลังจากที่ตลาดเริ่มฟื้นตัวจาก Great Depression ก็ต้องเผชิญกับการปรับฐานอีกครั้ง โดยดัชนีลดลงประมาณ -54.5% ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการเงินและการคลังที่ผิดพลาด
3. วิกฤตหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (พฤษภาคม 1946 – มิถุนายน 1949): แม้สงครามจะสิ้นสุดลง แต่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจหลังสงครามทำให้ตลาดมีความผันผวน ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -29.6%
4. ภาวะถดถอยไอน์สไตน์ (กรกฎาคม 1957 – ตุลาคม 1957): เป็นภาวะตลาดหมีที่ค่อนข้างสั้นและไม่รุนแรงมากนัก ดัชนีลดลงประมาณ -20.7%
5. การร่วงลงอย่างรวดเร็วในปี 1962 / สงครามเย็น (ธันวาคม 1961 – มิถุนายน 1962): ความตึงเครียดของสงครามเย็นและปัจจัยทางเศรษฐกิจทำให้ตลาดปรับตัวลง ดัชนีลดลงประมาณ -28.0%
6. ตลาดหมีขนาดเล็กปี 1966 (กุมภาพันธ์ 1966 – ตุลาคม 1966): ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -22.2% ในช่วงสั้นๆ
7. วิกฤตหุ้นเทคโนโลยีปี 1970 (พฤศจิกายน 1968 – พฤษภาคม 1970): แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่า Dot-Com ในภายหลัง แต่ตลาดหุ้นที่ลดลงในช่วงนี้ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -35.4%
8. ภาวะเงินเฟ้อสูง (Stagflation) (มกราคม 1973 – ตุลาคม 1974): เป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเผชิญกับทั้งเงินเฟ้อสูงและการเติบโตที่ซบเซา ส่งผลให้ S&P500 ลดลงอย่างรุนแรงถึง -48.2%
9. การคุมเข้มนโยบายของโวลเกอร์ (พฤศจิกายน 1980 – สิงหาคม 1982): ธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายใต้ประธาน Paul Volcker ได้ใช้นโยบายขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้ดัชนีลดลงประมาณ -27.1%
10. วันจันทร์ทมิฬ (Black Monday) (สิงหาคม 1987 – ธันวาคม 1987): แม้เป็นการลดลงที่รวดเร็วและรุนแรงในวันเดียว (วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม 1987) แต่ภาวะตลาดหมีโดยรวมกินเวลากว่านั้น โดยดัชนีลดลงประมาณ -33.5%
11. ฟองสบู่ Dot-Com แตก (มีนาคม 2000 – ตุลาคม 2002): ฟองสบู่ในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พองตัวมานานได้แตกออก ส่งผลให้ S&P500 ร่วงลงเกือบครึ่งหนึ่งที่ประมาณ -49.1%
12. วิกฤตการณ์การเงินโลก (Global Financial Crisis) (ตุลาคม 2007 – มีนาคม 2009): วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์และการล่มสลายของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเข้าสู่ภาวะตกต่ำอย่างรุนแรง S&P500 ลดลงถึง -56.8% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression
13. การระบาดของโควิด-19 (กุมภาพันธ์ 2020 – มีนาคม 2020): เป็นภาวะตลาดหมีที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนี S&P500 ดิ่งลงกว่า -33.9% ภายในเวลาเพียงประมาณหนึ่งเดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการระบาดใหญ่ทั่วโลก
14. เงินเฟ้อ / การคุมเข้มนโยบายของเฟด (มกราคม 2022 – ตุลาคม 2022): การที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น และธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุม ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานลง ดัชนี S&P500 ลดลงประมาณ -25.4%
บทสรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน
ประวัติศาสตร์ของภาวะตลาดหมีใน S&P500 แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นมีความผันผวนเป็นเรื่องปกติ และช่วงเวลาที่ราคาหุ้นตกต่ำนั้นเกิดขึ้นเป็นระยะๆ จากปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรจดจำคือ หลังจากการลดลงอย่างรุนแรง ตลาดหุ้น S&P500 ก็มักจะฟื้นตัวกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอในเวลาต่อมา
การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถ:
- เตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวน: เข้าใจว่าภาวะตลาดหมีเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรตลาด
- มีวินัยในการลงทุน: หลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ในช่วงที่ตลาดตื่นตระหนก
- มองหาโอกาสในวิกฤต: บางครั้งภาวะตลาดหมีก็เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพในราคาที่ถูกลง
Prompt Reference:
"list ภาวะตลาดหมี (Bear Market) ของดัชนี S&P500 ทั้งหมด และ ลบกี่ % (เรียงตามวันที่ เก่ากว่า ไปใหม่กว่า)"
05 กรกฎาคม 2568
หุ้นใครไร้กังวล - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ล่าสุดก็คงต้องเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดเมื่อ 2-3 วันก่อนที่ดูเหมือนว่าการเจรจาของผู้แทนไทยกับสหรัฐเรื่องภาษีศุลกากรจะไม่สามารถสรุปได้ก่อนเส้นตายในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 หรืออีกแค่ 2-3 วันที่จะถึงนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น ไทยอาจจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอเมริกาถึง 36% ซึ่งก็จะเป็นอัตราที่น่าจะทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปยังสหรัฐลดลงมาก และก็จะทำให้การส่งออกโดยรวมของไทยลดลงอย่างรุนแรง ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการเติบโต GDP ของไทยในปีนี้และปีต่อ ๆ ไปที่มีการคาดมาก่อนหน้านี้ว่าจะโตช้ามากอยู่แล้ว
ว่าที่จริงหน่วยงานระดับธนาคารโลกได้ลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของไทยเหลือเพียง 1.8% ในปีนี้และ 1.7% ในปีหน้าจากที่เคยคาดว่าจะเกิน 2% ในทั้ง 2 ปี และนั่นก็อาจจะยังไม่ได้รวมถึงผลกระทบจากการปรับภาษีของทรัมป์อย่างเต็มที่ด้วย
เรื่องนี้ก็คงจะทำให้นักลงทุนหลายคนกังวลใจและอาจจะนอนไม่ค่อยหลับถ้าถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมากโดยเฉพาะที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐเป็นจำนวนมาก
แต่คนที่กังวลใจยิ่งกว่านั้น น่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดสหรัฐเป็นหลักหรือเป็นจำนวนมากที่กังวลว่าสินค้าของตนเองจะ “ขายไม่ได้” หรือขายได้น้อยลงมาก เพราะราคาของสินค้าสู้กับคู่แข่งที่ไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าสินค้าจากไทยซึ่งก็รวมถึงสินค้าจากเวียตนามที่ได้ตกลงกับสหรัฐเรียบร้อยแล้วว่าจะเสียภาษีนำเข้าที่ 20% สำหรับหลาย ๆ บริษัทแล้ว นี่อาจจะเป็น “หายนะ”
ผมไม่คิดว่าคนงานที่ทำงานในกิจการส่งออกจะรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้ เพราะในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา การผลิตและส่งออกดีขึ้นมาก แต่เหตุผลน่าจะมาจากการที่โรงงาน “เร่งผลิต” และส่งออกก่อนที่ “ภาษีทรัมป์” จะถูกบังคับใช้ แต่หลังจากวันที่ 9 ก.ค. ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปเพราะภาษีนำเข้าสหรัฐอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และวันนั้นคนงานจำนวนมากอาจจะต้องกังวลว่าจะตกงานและไม่รู้ว่าจะไปหางานที่ไหน เพราะโรงงานหลายแห่งที่อยู่ข้าง ๆ ก็อาจจะกำลังปิดตัวลงเพราะไม่สามารถแข่งขันได้และไม่สามารถหาตลาดอื่นมาทดแทนได้
เรื่องที่น่ากังวลที่เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือปัญหาทางการเมืองที่นายกรัฐมนตรีต้องถูก “พักงาน” และไม่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องหลุดจากตำแหน่งหรือไม่โดยศาลรัฐธรรมนูญกรณี “คลิปปล่อยของฮุนเซน” ผู้นำของกัมพูชา
ที่น่ากังวลก็เพราะว่ากรณีนี้ทำให้รัฐบาลที่มีเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนราษฎรเกินครึ่งเพียงไม่กี่เสียงเกิดความไม่มั่นคงและอาจจะล้มได้ทุกเมื่อ เพราะนอกจากการแพ้โหวตในสภาแล้ว ยังมีประเด็นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามลงถนนประท้วงและใช้ “นิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลอย่างที่เคยใช้ได้ผลมานานในการเมืองของไทย
การที่รัฐบาลอาจจะล้มนั้น ผลกระทบสำคัญในระยะสั้นก็คือ งบประมาณประจำปีหน้าก็จะออกช้าลงไปอย่างน้อย 6-9 เดือน โครงการที่จะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรือการแก้ปัญหาสังคมการเมืองก็จะช้าตามกันไป ส่วนในระยะยาวเองนั้น ความสามารถทางการแข่งขันของไทยก็จะยิ่งด้อยลงไป เพราะการลงทุนของไทยที่ช้าลงนั้น ทำให้คู่แข่งพัฒนาไปจนเราตามไม่ทัน และเราจะค่อย ๆ ลดบทบาทลงในเศรษฐกิจและการเมืองของโลก
เป็นเรื่องที่น่ากังวลและบางครั้งก็ทำให้คน “สูงอายุ รวย และใจเย็น” อย่างผม ที่ไม่ควรกังวลอะไรแล้ว “นอนไม่หลับ” เพราะคิดถึงคนไทยและลูกหลานที่กำลังเติบโตขึ้น ไม่รู้ว่าประเทศไทยในอีกหลายสิบปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ในฐานะของนักลงทุนที่ได้ปรับโครงสร้างพอร์ตหุ้นไปแล้วบางส่วน กล่าวโดยเฉพาะก็คือ มีพอร์ตหุ้นเวียตนาม 30% กว่า ๆ เงินสดประมาณ 10% ต้น ๆ และพอร์ตหุ้นไทยประมาณ 55% ความกังวลของผมต่อการลงทุนก็น่าจะมีเพียงครึ่งเดียวคือ พอร์ตหุ้นไทย และเนื่องจากการที่ผมกังวลเกี่ยวกับสถานะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองไทยของไทยมานานหลายปีแล้ว ผมจึงลงเฉพาะหุ้นแนว “Defensive” คือหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัยต่อภาวะเลวร้ายต่าง ๆ ได้ดี และมีราคาถูก ดังนั้น โอกาสที่หุ้นจะตกลงมารุนแรงก็ควรจะน้อยลง ดังนั้น ผมจึงไม่ได้กังวลมากนักในช่วง “เวลาแห่งความกังวล” ที่กำลังเกิดขึ้น
พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้น ผมรู้สึกว่าแทบจะ “ไร้ความกังวล” ตั้งแต่ทรัมป์ประกาศสงครามการค้า ซึ่งในช่วงแรก ผมกลับคิดว่าอาจจะเป็นผลดีต่อเวียตนามที่จะได้อานิสงค์จากการเป็นตัวแทนจีนในการผลิตสินค้าให้กับอเมริกา อย่างไรก็ตาม ต่อมาก็ดูเหมือนว่าทรัมป์จะ “เล่นงาน” ทุกประเทศ รวมถึงเวียตนามที่ได้ดุลการค้าอเมริกามหาศาลอันดับ 3 หรือ 4 รองเฉพาะจีนกับเม็กซิโก แต่ผมก็ยังคิดอยู่ดีว่าเวียตนามก็จะไม่ถูกกระทบ เพราะยังไงคนอเมริกันก็ต้องใช้สินค้านำเข้าในสิ่งที่อเมริกาไม่สามารถผลิตได้ที่ต้นทุนที่ยอมรับได้ และคนที่จะส่งให้อเมริกานั้น ยังไงก็ต้องมีเวียตนามอยู่ด้วย
การประกาศข้อตกลงการค้าเวียตนามกับอเมริกาที่ “0-20-40” หรือ สินค้าที่อเมริกาส่งเข้าเวียตนามไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร สินค้าที่เวียตนามส่งเข้าอเมริกาจะเสียภาษี 20% ถ้าเป็นสินค้าที่ผลิตในเวียตนามและโดยคนเวียตนาม และเสียภาษี 40% กรณีที่เป็นสินค้าที่ผลิตโดยคนจีนแต่มาอาศัยเวียตนามเป็นคนส่งออกแทนนั้น ผมคิดว่าเป็นดีลที่ “ดีเยี่ยม” สำหรับเวียตนาม
เพราะดีลนี้น่าจะเป็นดีลที่ “win-win” คือได้ประโยชน์มากทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ อเมริกาสามารถส่งสินค้าไฮเท็ค เช่น สินค้าเกี่ยวกับดิจิทัลและชิพอิเลคโทรนิก เครื่องบินพานิชย์ และ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่าสูงให้เวียตนามได้มากขึ้นแทนที่ยุโรปที่ต้องเสียภาษี เช่นเดียวกับสินค้าเกษตรและอาหารหลาย ๆ อย่าง รวมถึงอาหารสัตว์ที่อเมริกามีความสามารถและผลิตได้เหลือเฟือที่จะกลายเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหารของเวียตนามที่จะส่งกลับไปยังสหรัฐได้
ในด้านของเวียตนามเองนั้น อัตราภาษีนำเข้าที่ 20% ของอเมริกานั้น ผมเชื่อว่าเป็นอัตราที่ต่ำกว่าคู่แข่งเช่น จีนที่สูงถึงกว่า 50% ซึ่งผมคิดว่าด้วยศักยภาพของเวียตนามที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้สินค้าของเวียตนามสามารถแข่งขันกับสินค้าของจีนได้ ส่วนกรณีของคู่แข่งอื่นโดยเฉพาะไทยเองนั้น คงต้องดูว่าเราจะได้ดีลอย่างไร แต่ผมเองคิดว่าไทยมีข้อเสียเปรียบเวลาไปเจรจากับอเมริกาหลายด้าน
เรื่องแรกก็คือ ปัญหาทางการเมืองที่ผมคิดว่าในยามที่รัฐกำลังประสบปัญหาความมั่นคงของรัฐบาล เราอาจจะไม่สามารถรับปากหรือตกลงอะไรที่จะทำให้ถูกต่อต้านจากคนที่เสียประโยชน์จากสัญญาการค้าได้มากนัก ตัวอย่างเช่นเรื่องของสินค้าเกษตรบางอย่างที่เราเคยกีดกันสินค้าจากอเมริกา เช่น พวกเนื้อและเครื่องในสัตว์เป็นต้น เราจึงอาจจะไม่ยอมตกลงให้สินค้าทุกชนิดของอเมริกาเข้าไทยโดยไม่มีภาษีแบบในกรณีของเวียตนาม
เรื่องต่อมาก็คือ ในระยะหลัง เราเองไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการเมืองใกล้ชิดกับอเมริกาเหมือนก่อน ในขณะที่เวียตนามนั้น กลายเป็น “เพื่อน” และถ้าวันหนึ่งต้องเลือกว่าจะอยู่ฝ่ายใดระหว่างจีนหรือสหรัฐ คงเลือกที่จะเป็นฝ่ายอเมริกา และนั่นไม่ใช่สิ่งที่แค่คาดเดา โพลที่ทำในระดับนานาชาติชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนเวียตนามชอบอเมริกามากกว่าจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น รู้สึกว่าจีนเป็นมิตรมากกว่า
พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็นึกถึงข่าวการลงทุนมหาศาลของครอบครัวทรัมป์ในเวียตนามที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเข้าใจไม่ผิด นี่จะเป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวทรัมป์นอกสหรัฐ และเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลเวียตนาม ดังนั้น ผมคิดว่าเราก็น่าจะพอคาดการณ์ได้ว่า ยังไง ดีลการค้าระหว่างเวียตนามกับสหรัฐก็น่าจะต้องดีต่อเวียตนามด้วย
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สงครามการค้าครั้งนี้ ลึก ๆ แล้วมาจากการแข่งขันชิงความเป็น “เจ้าโลก” ระหว่างจีนกับอเมริกาที่คิดว่าต้องบล็อกจีนไม่ให้พัฒนาก้าวหน้าล้ำไปทั้งทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และดังนั้น ด้านหนึ่งก็ต้องใช้เวียตนามในการต้านจีน ในขณะที่ไทยเองนั้น เนื่องจากบทบาททางเศรษฐกิจที่ด้อยลง และความรู้สึกที่ว่าไทยเองสนิทกับจีนมากกว่า ดังนั้น อเมริกาจึงไม่ค่อยจะสนใจมาก และคงให้ดีลที่เหนื่อยกว่าของเวียตนามกับไทย
ทั้งหมดนั้นก็ทำให้ผม “ไร้กังวล” กับพอร์ตหุ้นเวียตนามมาตลอดแม้ว่าผลงานการลงทุนของพอร์ตเวียตนามครึ่งปีที่ผ่านมาลดลงมาพอสมควรทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกือบ 10% และผมก็คิดมาตลอดว่า ในที่สุดพอร์ตผมก็น่าจะดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อประเด็นเรื่องภาษีทรัมป์ผ่านไป แต่ในด้านของพอร์ตหุ้นไทยเองนั้น แน่นอนว่าผมก็ยังกังวลเรื่องภาษีศุลกากรของอเมริกาที่มีโอกาสที่จะทำให้เศรษฐกิจโดยรวม “เละ” แต่ความกังวลของผมไม่ใช่เรื่องของพอร์ตหุ้นไทย แต่เป็นความกังวลว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะเป็นอย่างไร และคนไทยบางกลุ่มจะเดือดร้อนสาหัสและทุกข์ทรมานระดับไหน
03 กรกฎาคม 2568
GCP Cloud Dataflow use-case patterns
GCP Cloud Dataflow use-case patterns
Generate random data and write to 2 MongoDB collections
.append("doc1_field", "doc1_value"));
.append("doc2_field", "doc2_value"));
01 กรกฎาคม 2568
บทความยอดนิยม (ล่าสุด)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
คำนวณ IRR ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์และแบบบำนาญแบบง่ายๆ ตัวอย่างไฟล์: https://docs.google.com/spreadsheets/d/1jhRjXjpdj-U5liRK594f2cxJT9u3jMblH...
-
LTF คืออะไร กองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ Longterm Equity Fund (LTF) คือ กองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีวินัยในการลงทุน โดย...
-
ตารางรถไฟจากกรุงเทพไปหัวหิน ตารางรถไฟจากหัวหินไปกรุงเทพ บรรยากาศสวยๆ บริเวณสถานีรถไฟหัวหิน บรรยากาศชายหาดหั...
-
ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว...
-
ที่มา https://consumerthai.org/consumers-news/consumers-news/product-and-other/4454-630408_cupnoodles.html
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
REIT คืออะไร สมัยก่อน เรามักจะเห็นคนรวยชอบซื้อ ชอบสะสมอสังหาริมทรัพย์ ที่มีทำเลดีๆ และราคาไม่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ เพ...
บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)
-
หมากฮอส เป็นกีฬาหมากกระดานประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยผู้เล่น 2 ฝ่าย อุปกรณ์การเล่น ได้แก่ กระดานและตัวหมาก ...
-
หลายคนที่กำลังลังเลว่าจะทำงานอะไร มักจะมีคำถามว่า ทำงานข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือ พนักงานบริษัทเอกชน ทำงานอะไรดี? ซึ่งกลุ่มงานทั้ง ...
-
To replace each new line with enter ( \n) in Visual Studio Code ( vscode ) do the steps from images below and click "Replace All...
-
เมตตาทุนนิยม - ปรีชา ประกอบกิจ เคยได้ยินคำว่า “เมตตาทุนนิยม” ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Com passionate Capitalism กันบ้างไหมครับ ก่อนอื่นต...
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ ตามที่กฎหมายกำหนดและมีรายไ...
-
ตารางรถไฟจากกรุงเทพไปหัวหิน ตารางรถไฟจากหัวหินไปกรุงเทพ บรรยากาศสวยๆ บริเวณสถานีรถไฟหัวหิน บรรยากาศชายหาดหั...
-
ต้องทำความเข้าใจเสียใหม่! คนรวย (อาจ) ไม่ได้เก่งเท่าที่คุณคิด พวกเขาแค่ ‘โชคดี’ กว่า เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ถ้าเก่งจริงทำไมไม่รวย?’ หรือเปล่...
-
คำนวณ IRR ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์และแบบบำนาญแบบง่ายๆ ตัวอย่างไฟล์: https://docs.google.com/spreadsheets/d/1jhRjXjpdj-U5liRK594f2cxJT9u3jMblH...
-
แจกฟรี โปรแกรมคำนวณเงินเก็บเพื่อวางแผนเกษียณ วิธีใช้งานไม่ยาก ช่องสีเหลือง แถวแรก "เงินเก็บต่อเดือน" ให้กรอกเงินเก็บต่อเดือนที่เรา...









