26 พฤษภาคม 2568

สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5 - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีตลาดหุ้น “ตกทุกวัน” อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่หุ้นที่ดีและประกาศผลการดำเนินงานที่ “น่าประทับใจ” และราคาก็ไม่แพง บางตัวถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ของตัวหุ้น แต่หุ้นกลับตกลงมาแรงอย่างผิดคาด และนั่นคงทำให้นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI” ทั้งที่เป็นพันธุ์แท้และพันทาง ต่างก็ “หมดหวัง” กับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจำนวนมากทยอยขายหุ้น หลายคนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้สามารถทำได้ง่ายพอ ๆ กับการลงทุนในหุ้นไทยและไม่เสียภาษีกำไรจากหุ้นเช่นกัน โดยทำผ่านการซื้อ “DR” และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับผมและนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ลงทุนระยะยาว ที่เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” และชีวิตตอนนี้อยู่ได้อย่างสบายก็อาศัยเงินจากการลงทุนนั้น ผมจำเป็นต้องมีหุ้นไทย และจะต้องมีหุ้นไทยจำนวนพอเพียงที่จะใช้ชีวิตในระดับปัจจุบันและอนาคตโดยไม่ต้องวิตกกังวล คำถามก็คือ เราจะต้องมีหุ้นไทยแบบไหนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีพอและปลอดภัยมากในระยะยาวไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

“สูตร” การลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ได้ในสถานการณ์แบบนี้ของตลาดหุ้นไทยของผมก็คือ “สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5” ซึ่งผมคาดว่าน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อยปีละ 5% แบบทบต้นในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้าโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ดีในอีกหลายปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นนี้ก็จะสามารถทนทานกับภาวะเลวร้ายได้ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกมานั้น ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี มาดูกันว่ากลยุทธ์ของสูตรนี้คืออะไร

หมายเลข 5 ตัวแรกคือการเลือกหุ้นที่ปัจจุบันจ่ายปันผลตอบแทนอย่างน้อย 5% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งเวลานี้ก็มีหุ้นแบบนี้อยู่จำนวนไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ควรจะดูว่าเป็นการจ่ายปันผล “ปกติ” คือเป็นการจ่ายจาก “กำไรปกติ” จากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา จะจ่ายปันผล 100% ของกำไรก็ได้ เพราะในกลยุทธ์การเลือกหุ้นของเรานั้น จะเน้นหุ้นที่มั่นคงแข็งแกร่ง มีเงินสดเหลือเฟือที่จะรับกับสถานการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจได้

เลข 5 ตัวที่สองก็คือ หุ้นที่เราจะเลือกนั้น เราต้องคาดการณ์และมั่นใจว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ปันผลที่เราจะได้รับนั้น ก็ยังไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นที่เราซื้อได้ในวันนี้ ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า

1) ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลตอบแทนให้เรา 5% ต่อปีในวันนี้ ปันผลในอีก 5 ปีข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าจะไม่ลดลง ยังคงจ่ายได้อย่างน้อยเท่าเดิมในวันนี้ อาจจะเพราะว่าหุ้นอยู่ในธุรกิจที่ยังไปได้เรื่อย ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่โตแต่ก็ไม่ลดลง และบริษัทก็ยังน่าจะรักษาสถานะในการแข่งขันและทำผลกำไรได้เหมือนเดิม ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นในธุรกิจธนาคารที่อาจจะอิ่มตัวและการแข่งขันก็ไม่รุนแรง และธนาคารส่วนใหญ่ก็มีการบริหารงานที่ดีในการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เป็นต้น

2) ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลมากกว่า 5% ในวันนี้ เช่น จ่าย 6-8% และเราเชื่อมั่นว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า แม้ว่าธุรกิจจะตกลงมาบ้าง กำไรก็อาจจะถดถอยลงบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังรักษาระดับการจ่ายปันผลที่ทำให้เราได้รับปันผลตอบแทนจากราคาหุ้นในวันนี้ไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี หุ้นตัวนี้ก็ยังเข้าข่ายที่เราจะเลือกซื้อหรือเก็บไว้ได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังก็คือ แทนที่ปันผลจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 5 ปี มันอาจจะลดลงมากจนทำให้หุ้นหมดสภาพที่จะจ่ายปันผลได้ดีแล้ว หายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ในกรณีแบบนี้ การดูสถิติการจ่ายปันผลย้อนหลังไปหลายปีจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ดีขึ้น

3) อาจจะถือว่าเป็นข้อยกเว้น ก็คือ ในกรณีที่ปัจจุบันหุ้นจ่ายปันผลน้อยกว่า 5% ต่อปี เช่น อาจจะ 2-3% ต่อปี แต่เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และเรามั่นใจว่าภายใน 5 ปี ปันผลที่จ่ายจะคิดเป็นไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นในวันนี้ อาจจะเพราะธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งและมั่นคงมาก ผลประกอบการของบริษัทยังเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรมาขวาง แบบนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่เข้าข่ายจะเป็น “หุ้นรอด” ได้แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่ “หุ้นปันผล”

เลข 5 ตัวที่สามคือจำนวนของหุ้นใน “พอร์ตหุ้นรอด” ซึ่งจะเป็นหุ้นปันผลอย่างน้อย 5 ตัวที่เราเลือก จะต้องเป็นหุ้นที่มาจากอุตสาหกรรมหลากหลายอย่างน้อย 5 อุตสาหกรรมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีที่บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบกับปัญหารุนแรงในช่วง 5 ปีข้างหน้า ตัวอย่างเช่น เราอาจจะมีหุ้นปันผลในอุตสาหกรรมการเงิน 1 ตัวหรืออย่างมากอาจจะ 2 ตัว หุ้นในธุรกิจสื่อสาร 1 ตัว หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว หุ้นค้าปลีก 1 ตัว หุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ 1 ตัว รวมแล้วมีหุ้น 6 ตัวใน 5 อุตสาหกรรม เป็นต้น

เลข 5 ตัวสุดท้ายก็คือ เราจะต้องตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตนี้จะต้องถือต่อไปซัก 5 ปี ถึงจะเห็นผลชัดเจน ในระหว่างนั้น เราก็คงจะพบว่าหุ้นบางตัวอาจจะดีเกินคาด บางตัวก็ตามคาด และบางตัวก็จะต่ำกว่าคาด แต่ถ้าโดยรวมแล้วผลตอบแทนซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมปันผลที่ได้รับ ได้ถึง “เป้า” คืออย่างน้อย 5% ต่อปี ก็แสดงว่ากลยุทธ์นั้น ใช้ได้ อาจจะไม่ต้องปรับอะไร แต่ถ้าผลตอบแทนบางปีต่ำกว่าที่คาด ก็ต้องประเมินว่าเกิดจากอะไร บางทีอาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราเลือกหุ้นผิด คือปันผลของหุ้นบางตัวลดลงมากและถาวร ก็ต้องปรับพอร์ตตามสถานการณ์

นักลงทุนหลายคน โดยเฉพาะที่เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูง ๆ มาแล้ว อาจจะรู้สึกว่าผลตอบแทน 5% ต่อปีนั้น ต่ำเกินไป อาจจะไม่คุ้มค่าที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่ “เสี่ยงมาก” เช่นเดียวกัน ประสบการณ์ของการลงทุนใน “หุ้นปันผล” ก็อาจจะเลวร้าย ได้ปันผลมากถึง 10% แค่ปีเดียวแต่ราคาตกลงไป 20-30% และหลังจากนั้นปันผลก็หายไป จึงไม่อยากและไม่สนใจที่จะเล่นหุ้นปันผล

แต่นั่นอาจจะเป็นการผิดพลาดจากการกำหนดตัว “หุ้นปันผล” ที่มักจะมองแค่ “ปันผลปีล่าสุด” แต่ไม่ได้ดูอดีตย้อนหลังไป 4-5 ปี ว่าปันผลที่จ่ายนั้นมั่นคงแน่นอนแค่ไหน คิดเป็นปันผลต่อหุ้น เช่น 1 บาท 1.2 บาท 1.3 บาท 1.4 บาท ย้อนหลังไป 4 ปี ส่วนข้อมูลผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในแต่ละปีนั้น ก็เป็นข้อมูลประกอบที่ทำให้ดูง่ายว่าจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปีนั้น ๆ แต่อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะราคาหุ้นอาจจะตกลงมาเรื่อย ๆ ทำให้ผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่จ่ายปันผลลดลงเรื่อย ๆ

ว่าที่จริง แทบทุกครั้งที่มีบทวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนเป็น “หุ้นปันผลสูง” ที่น่าซื้อ ผมแทบจะไม่สนใจเลย เพราะหุ้นเหล่านั้นมักจะปันผลสูงผิดปกติแค่ปีนั้นและอาจจะบางปี ปีอื่น ๆ ปันผลมักจะน้อยและไม่แน่นอน บางทีก็อาจจะไม่จ่ายปันผลด้วยซ้ำ เพราะบริษัทมักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงหรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ควบคุมผลประกอบการยาก ดังนั้น ถ้าคิดจะเล่นหุ้นปันผล จะต้องวิเคราะห์เอง หรือต้องถามนักวิเคราะห์ที่มีความสามารถจริง อย่าดูแค่ตัวเลขที่มีคนนำเสนอว่าเป็นหุ้นปันผล

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทที่จะเป็นหุ้นปันผลได้นั้น มักจะต้องเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง มั่นคง อยู่มานาน มีขนาดใหญ่พอสมควร มีผู้บริหารที่ดีและดูแลผู้ถือหุ้น อย่างน้อยโดยการจ่ายปันผลที่เหมาะสม หุ้นเหล่านี้บางทีราคาหุ้นก็ไม่ค่อยไปไหน เพราะธุรกิจอาจจะไม่ค่อยโต และนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ไม่สนใจ เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ ที่มองแต่หุ้นเติบโตและก็เห็นว่ามีตลาดหุ้นอื่นที่สามารถค้นหาและลงทุนได้ แต่สำหรับนักลงทุนไทยแล้ว นาทีนี้เราจะหาหุ้นเติบโตในตลาดหุ้นไทยที่ไหนหรือในอุตสาหกรรมไหน?

สำหรับ VI พันธุ์แท้แล้ว ในช่วงเวลาที่มืดมนนี้ ไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่จะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับหุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลอย่างน้อยเท่าเดิมได้ในระยะยาวอย่างน้อยอีก 5 ปี ข้างหน้า



20 พฤษภาคม 2568

SQL group by multiple columns and distinct

datetime order_id
01 Jan 2020 order1
01 Jan 2020 order1
04 Jan 2020 order1
02 Jan 2020 order2
02 Jan 2020 order2
03 Jan 2020 order3
04 Jan 2020 order4
05 Jan 2020 order4


From table above, if you want to see how many duplicate rows (order_id and distinct datetime).

You can query data using this SQL command

SELECT order_id, COUNT(DISTINCT(datetime))
FROM table
GROUP BY order_id
HAVING COUNT(DISTINCT(datetime)) > 1

You will get this result


datetime order_id
01 Jan 2020 order1
04 Jan 2020 order1
02 Jan 2020 order2
03 Jan 2020 order3
04 Jan 2020 order4
05 Jan 2020 order4

19 พฤษภาคม 2568

ตำนานบัฟเฟตต์กับปรากฏการณ์ 3/3 - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

นาทีนี้ก็ต้องถือว่าเป็นการ “ปิดฉาก” ตำนานที่ “ยังมีชีวิต” ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” วัดจากความสำเร็จและความมั่งคั่งที่ได้รับ “จากการลงทุน” ด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิที่ประมาณ 169 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือ 5.6 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลกเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ที่เขาประกาศ “วางมือ” จากการบริหารเงินของเบิร์กไชร์แฮทเทอเวย์ บริษัทโฮลดิงที่ลงทุนในบริษัทอื่น ๆ ของเขาตั้งแต่ 54 ปีมาแล้ว

“มหัศจรรย์” ของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น คนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะเขา “ลงทุนเก่งมาก” ระดับที่คนเรียกว่า “เทพแห่งโอมาฮา” เมืองที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เกิดและแทบไม่ได้ย้ายไปไหนตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าความสำเร็จของเขานั้น เป็นเพราะ “โชคดี” โดยเฉพาะที่ได้เกิดที่ “สหรัฐอเมริกา” และเป็น “ชายผิวขาว” ที่ทำให้สามารถใช้วิชาความรู้ในการลงทุนหาเงินในประเทศอเมริกาได้ เพราะถ้าเขาเกิด “ผิดที่” เช่นไปเกิดในอาฟริกา ความสามารถในการลงทุนก็อาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

นอกจากนั้น เขายังพูดเป็นนัยว่า เขาเป็นคน “โชคดี” ที่มีสุขภาพดีและอายุยืน ทั้ง ๆ ที่ทำตัวตามสบาย ทำอะไรที่อยากทำ กินอะไรที่อยากกิน เช่น กินโค๊กทุกวัน และก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ผิดหลักการดูแลสุขภาพที่ดีทุกอย่าง แต่เขาก็ยังแข็งแรงและมีสุขภาพดีแม้ว่าอายุปีนี้จะ 95 ปีแล้ว เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องของยีน และนี่ก็คล้าย ๆ กับชาลี มังเกอร์ เพื่อนซี๊ที่เพิ่งตายไปเมื่อปลายปีที่แล้วเมื่ออายุ 99 ปี ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายและกินอะไรตามใจตัวเองเหมือนกัน

ผมลองวิเคราะห์ความสำเร็จของบัฟเฟตต์ตามที่ “เป็นจริง” โดยอิงกับ “ข้อมูล” ที่เกิดขึ้นย้อนหลังไปตั้งแต่วันแรกที่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนจริงจัง ซึ่งก็น่าจะอยู่ที่ประมาณตอนบัฟเฟตต์มีอายุ 26 ปี กลับจากนิวยอร์กที่เขาทำงานเป็นลูกจ้างให้กับเบน เกรแฮม ซึ่งเป็นทั้งอาจารย์และ “Mentor” หรือคนที่ให้คำปรึกษาและสอนหลักการลงทุนแบบ “VI” ให้

ผมจะใช้ “สูตร” 2 สูตรที่เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนประสบความสำเร็จและร่ำรวย ซึ่งเป็นสูตรที่ผมใช้มาตลอด บังเอิญว่าทั้ง 2 สูตรนั้น มีปัจจัย 3 ประการเหมือนกัน สูตรแรกเป็นเรื่องของการเลือกหุ้นลงทุนที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จคือได้ผลตอบแทนที่ดี พูดง่าย ๆ เป็นเรื่องของการบริหารพอร์ตที่จะให้ผลตอบแทนสูงอย่างมั่นคงและยั่งยืน “เซียน” ทุกคนถูกวัดกันด้วยเรื่องนี้

สูตรที่สองเป็นเรื่องของภาพใหญ่ของการเติบโตของความมั่งคั่งในชีวิตของแต่ละคน ผมเรียกว่า “แก้ว 3 ประการของความมั่งคั่ง” นั่นก็คือ คนที่จะร่ำรวยได้นั้น จะต้องมีแก้ว 3 ดวงที่ “สุกสว่าง” ซึ่งเมื่อเปิดพร้อมกันจะทำให้ร่ำรวย และแก้วดวงหนึ่งก็คือ การบริหารพอร์ตการลงทุนที่ดีจากสูตรแรก แต่ถ้าแก้วดวงที่ 2 และ 3 ไม่ได้สว่างด้วย ต่อให้เป็น “เซียนนักลงทุน” คุณก็รวยไม่ได้ ว่าที่จริง บัฟเฟตต์ไม่ใช่คนที่ลงทุนและได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในโลก แต่เขารวยกว่าทุกคนเพราะเขามีแก้วดวงที่ 2 และ 3 สว่างไสวกว่าใคร ๆ ด้วย

มาดูสูตรแรกก่อนว่ามันคืออะไร? ผมเคยเขียนไว้ไม่นานมานี้เองว่า การลงทุนระยะยาวที่จะประสบความสำเร็จได้ผลตอบแทนทบต้นที่ดีนั้น จะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 3 ประการคือ 1) จะต้องเป็นการลงทุนในประเทศหรือตลาดหุ้นที่ถูกต้อง 2) เข้าไปลงทุนในเวลาที่ถูกต้อง และ 3) เลือกหุ้นถูกตัว

กลับไปดูการลงทุนของบัฟเฟตต์ตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1956 เมื่อเขาอายุประมาณ 26 ปีนั้น จะเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังเจริญเติบโตมากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาเป็นฝ่ายชนะสงครามและก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจของฝ่ายโลกเสรี ดัชนี S&P 500 อยู่ที่เพียง 48 จุด ดังนั้น อเมริกาจึงเป็นประเทศและตลาดหุ้นที่ “ถูกต้อง” สำหรับการลงทุนระยะยาว

เช่นเดียวกับ Timing หรือช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัวและทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นอเมริกันที่กำลังฟื้นตัวจากภาวะตลาดหุ้นมหาวิกฤติในปี 1932 ที่ดัชนี S&P 500 เหลือไม่เกิน 5 จุด

ในปัจจัยของการเลือกหุ้นลงทุนเองนั้น หลักการลงทุนแบบ VI ที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นถูกนำมาใช้โดยเบน เกรแฮม บิดาแห่งการลงทุนแบบ VI และบัฟเฟตต์ซึ่งเป็น “สาวกรุ่นแรก” ที่เริ่มใช้หลักการที่คนแทบจะยังไม่รู้จัก ดังนั้น ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นอย่างน่าทึ่ง พูดง่าย ๆ มันง่ายเหลือเกินที่จะหาหุ้นที่มีราคาถูกแบบเหลือเชื่อ แม้แต่ในหุ้นที่มีคุณภาพดีสุดยอดที่กำลังเกิดและเติบโตขึ้นท่ามกลางธุรกิจรุ่นเก่า อานิสงค์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาในด้านของเทคโนโลยีและการบริหารงานสมัยใหม่

ปัจจัยทั้ง 3 ประการดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนบัฟเฟตต์อายุ 26 ปีหรือต่ำกว่านั้น และก็ดำรงต่อมาจนถึงวันนี้คืออย่างน้อย 70 ปี เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกาก็ยังเติบโตและดีมาตลอดแม้ว่าจะมีวิกฤติแต่ก็ไม่กี่ครั้งซึ่งรวมถึงช่วงปี 1973-4 ช่วงปี 2000-1 และช่วงปี 2008-9 เป็นเวลาเพียง 6-7 ปีที่การลงทุนไม่ดี ซึ่งนั่นทำให้บัฟเฟตต์พูดมาตลอดว่า “Don’t bet against America” ความหมายก็คือ ตลาดหุ้นอเมริกายอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล ดังนั้น อาจจะต้องพูดว่า บัฟเฟตต์ “โชคดี” ที่อยู่ในประเทศและตลาดหุ้นที่ “ใช่” โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีนั้นสูงกว่าที่อื่นทั่วโลก

แน่นอนว่าการเลือกหุ้นของบัฟเฟตต์ก็ “สุดยอด” ด้วย เพราะในช่วงเวลาตั้งแต่ปี 1956 ที่บัฟเฟตต์เริ่มลงทุนจนถึงวันนี้ที่ดัชนี S&P สูงขึ้นต่อเนื่องเป็น 5,631 จุด เท่ากับผลตอบแทนของดัชนีที่เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 7.15% ถ้ารวมปันผลก็ประมาณปีละ 10% แบบทบต้น แต่ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นกลับอยู่ที่ประมาณ 20% เป็นการเอาชนะตลาดปีละ 10% โดยเฉลี่ยในระยะยาวถึงเกือบ 70 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่หาคนเทียบไม่ได้ นักลงทุนระดับ “เซียน” นั้น ในระยะยาวเป็น 30 ปีขึ้นไป ผมคิดว่าคงเอาชนะตลาดได้เพียงประมาณไม่เกิน 3-4% เท่านั้น ดังนั้น สำหรับบัฟเฟตต์เราคงต้องเรียกว่า “โคตรเซียน”

แต่การเป็นโคตรเซียนก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรวยแน่ เพราะการได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีเลิศนั้น เป็นเพียงแก้วดวงหนึ่งใน 3 ดวงที่จะทำให้รวย นักลงทุนจะรวยได้มักจะต้องมีแก้วดวงที่ 2 และ 3 ที่สุกสว่างด้วย มาดูแก้วดวงที่ 2 ซึ่งก็คือ “เงินเริ่มต้น” ที่ไม่ได้มาจากการลงทุนดู

ตาม “ตำนาน” หรือเรื่องเล่าของบัฟเฟตต์นั้น เขาเริ่มจัดตั้ง “กองทุน” แรกในปี 1956 ที่มีคนเอาเงินมาร่วมลงทุนประมาณ 1 แสนเหรียญซึ่งในกองทุนนั้น มีเงินลงทุนของเขาเองแค่ประมาณ 100 เหรียญและคนอาจจะเข้าใจว่าเงินทุนเริ่มต้นของเขาน้อยมาก หรือแก้วดวงที่ 2 หม่นหมองมาก แต่นั่นเป็นความเข้าใจผิด เพราะในการบริหารกองทุนนั้น เขาจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารเงินสูงมาก โดยเกณฑ์ที่เขากำหนดก็คือ กำไรที่เกิน 6% ต่อปีนั้น เขาจะได้ส่วนแบ่ง 25% และเนื่องจากเขาทำผลตอบแทนที่ดีมากและเกิน 25% ต่อปีเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น เขาจึงได้เงินส่วนแบ่งที่เขานำมาลงทุนในกองทุนเพิ่มทุกปีในอัตราที่สูงมาก

เงินส่วนแบ่งกำไรของบัฟเฟตต์นั้นดำเนินมากว่า 10 ปีก่อนที่เขาจะยุบกองทุนแล้วหันมาใช้เบิร์กไชร์ลงทุนแทนซึ่งเขาไม่มีการคิดส่วนแบ่งกำไรอีกต่อไป ช่วงเวลาประมาณ 12 -13 ปี นั้นคือการสร้างความสุกสว่างให้กับแก้วดวงที่ 2 ซึ่งก็คือ “เงินเริ่มต้น” ในการลงทุน ซึ่งผมคิดย้อนกลับไปพบว่ามีค่าประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ และถ้านับเรื่องของเงินเฟ้อก็จะประมาณเท่ากับเงิน 10 ล้านเหรียญหรือ 330 ล้านบาทในวันนี้ ดังนั้นถ้าถามผมว่าเงินต้นในการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นมากไหม คำตอบของผมก็คือ “มาก” และเป็นเงินที่ได้จากการ “รับจ้าง” บริหารเงินคนอื่นและบัฟเฟตต์ก็ไม่ได้ใช้มันมากนักแต่นำมาลงทุนจนถึงวันนี้

แก้วดวงที่ 1 ก็คือ “ผลตอบแทนจากการลงทุน” ที่ดีเลิศและสุกสว่างมาก ๆ ที่ 20% ต่อปีแบบทบต้น และแทบไม่เคยขาดทุนเลยในช่วงหลายสิบปี และแน่นอน หลักการลงทุนเป็นแบบ VI ที่เน้นลงทุนในหุ้นซุปเปอร์สต็อกที่ถือยาวและแทบจะไม่ขายเลย
 
แก้วดวงที่ 3 ก็คือ “ช่วงเวลาของการลงทุน” ที่ยาวนานมาก รวมแล้วน่าจะประมาณ 70 ปี ซึ่งน้อยคนมากที่สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ และก็เป็นแก้วที่สุกสว่างมากและน่าจะมีผลต่อความมั่งคั่ง “มากที่สุด” ของบัฟเฟตต์ และนี่ก็น่าจะเป็นเรื่องของ “โชค” ที่บัฟเฟตต์ได้ยีนที่ดีมาจากพ่อแม่ และมี “Passion” หรือความใฝ่ฝันที่จะลงทุน “ตลอดชีวิต”

กล่าวโดยสรุปทั้งหมดก็คือ บัฟเฟตต์นั้นทั้งเก่งและโชคดีมากที่เกิด เติบโตและลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงที่ประเทศกำลังเติบโตและเจริญรุ่งเรืองมาอย่างยาวนานนับศตวรรษ และวิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์เองก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาวนั่นก็คือ แบบ VI ที่เน้นหุ้นที่มีราคาถูก โดยที่เขาประยุกต์ใช้กับหุ้นที่มีคุณภาพสูงที่สุด และด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่เขาหาได้และเก็บออมมาจากการรับจ้างบริหารเงินลงทุนจำนวนมาก พร้อม ๆ กับการลงทุนอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 70 ปี ทำให้ความมั่งคั่งของเขามหาศาลกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกหลายปีและยังรวยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเวลาที่เขาปิด “ตำนาน” นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานี้



15 พฤษภาคม 2568

Fuji Shibazakura Festival เทศกาลฟูจิ ชิบะซากุระ

 



    ข้อมูลการเยี่ยมชม
  • สถานที่จัดงาน: Fuji Motosuko Resort 212 Motosu, Fujikawaguchiko, Minamitsuru, Yamanashi Prefecture [ดูแผนที่]
  • ช่วงเวลาจัดงาน: ประมาณกลางเดือนเมษายน – ปลายเดือนพฤษภาคม (ฤดูใบไม้ผลิ) ของทุกปี


เวลาทำการ





ตารางจัดงาน



ที่มาและรายละเอียดอื่นๆ link

สถิติหวย สถิติหวยออกย้อนหลัง 35 ปี

 สถิติหวย สถิติหวยออกย้อนหลัง 35 ปี

https://www.myhora.com/lottery/stats.aspx?mx=09&vx=35

Central Park เป็นสวนสาธารณะ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวยอร์ค




Central Park เป็นสวนสาธารณะ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในนิวยอร์ค และมีอายุมากกว่า 160 ปี สร้างขึ้นบนพื้นที่ 843 เอเคอร์ ในเกาะแมนฮัตตันตอนกลาง และเป็นสวนสาธารณะภูมิทัศน์ ที่สำคัญแห่งแรกของอเมริกา

ข้อมูลทั่วไป:
  • ชื่อ: สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค (Central Park)
  • ที่ตั้ง: เกาะแมนฮัตตัน เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
  • พื้นที่: 843 เอเคอร์ (341 เฮกตาร์)
  • ประเภท: สวนสาธารณะภูมิทัศน์
  • ปีที่สร้าง: ค.ศ. 1853 (อายุ 171 ปี)
  • สถานะ: สวนสาธารณะแห่งชาติ
  • เว็บไซต์: https://www.centralparknyc.org/


ประวัติ:
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1853 บนพื้นที่ 843 เอเคอร์ ใจกลางเกาะแมนฮัตตัน เดิมทีเป็นที่ดินรกร้างเต็มไปด้วยโขดหินและหนองน้ำ
  • การออกแบบสวนสาธารณะโดย Frederick Law Olmsted และ Calvert Vaux ซึ่งเป็นการออกแบบสวนสาธารณะภูมิทัศน์แห่งแรกในอเมริกา
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค กลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับชาวนิวยอร์กและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก


สถานที่ท่องเที่ยว:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายเช่น:

ทะเลสาบ:
  • The Reservoir
  • The Pond
  • The Harlem Meer

อนุสรณ์สถาน:
  • The Metropolitan Museum of Art
  • The obelisk
  • The Soldiers' and Sailors' Monument

สถานที่อื่นๆ:
  • สวนสัตว์ Central Park Zoo
  • สนามเด็กเล่น Heckscher Playground
  • ลานสเก็ตน้ำ Wollman Rink


กิจกรรม:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค มีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น:

เดินเล่น:
  • เส้นทางเดินป่า
  • เส้นทางวิ่ง

ปั่นจักรยาน:
  • เช่าจักรยาน
  • นำจักรยานมาเอง

พายเรือ:
  • เช่าเรือแคนู
  • เช่าเรือพาย

ตกปลา:
  • ตกปลาในทะเลสาบ

ปิกนิก:
  • พื้นที่ปิกนิกมากมาย

เล่นกีฬา:
  • สนามเทนนิส
  • สนามบาสเก็ตบอล
  • สนามฟุตบอล

ชมการแสดง:
  • โรงละครกลางแจ้ง
  • คอนเสิร์ต


การเดินทาง:
สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค สามารถเดินทางไปได้ง่าย
  • โดยรถไฟใต้ดิน
  • รถบัส
  • แท็กซี่
  • หรือจักรยาน


ค่าเข้าชม:
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเข้าชมฟรี


เวลาทำการ:
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์


เว็บไซต์:


ข้อมูลอื่นๆ:
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
  • มีผู้เข้าชมมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี
  • สวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์คเป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิดรวมถึงนกมากกว่า 250 สายพันธุ์




01 พฤษภาคม 2568

จิตวิทยาตั้งราคา วิธีทำให้คน เลือกหยิบชิ้นที่แพงขึ้น โดยไม่บังคับ

ลองมาดูราคาของ iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท

หลายคนพอเห็นแบบนี้ อาจจะเกิดอาการคือ จากที่ตั้งใจจะไปซื้อแค่ความจุ 128GB แต่พอไปซื้อจริงกลับเลือกซื้อ 256GB เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงินอีกไม่เยอะ แต่คุ้มค่ากว่า

การที่เรารู้สึกคุ้มค่าที่จะจ่ายเงินเพิ่ม แลกกับปริมาณหรือขนาดที่เพิ่มขึ้น
สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีจิตวิทยาการตลาดแบบเนิร์ด ๆ ที่มีชื่อว่า “Decoy Pricing”

แล้ว Decoy Pricing คืออะไร ? สามารถนำมาประยุกต์กับการตั้งราคาให้แบรนด์ของเราอย่างไรได้บ้าง ?

Decoy Pricing แปลตรง ๆ คือ “ราคาหลอกล่อ” หมายถึง การที่แบรนด์ตั้งราคาหลอกล่อ ให้เราตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ ในราคาสูงขึ้น

โดยหลักการง่าย ๆ คือ การทำให้สินค้าตัวเดียว มีหลากหลายตัวเลือก เช่น หลายขนาด หลายปริมาณ

และมีจุดสำคัญคือ การทำให้คนรู้สึกว่า มีสินค้าอยู่อย่างน้อย 1 ขนาด ที่จ่ายเงินเพิ่มแล้ว คุ้มค่า

เทคนิคที่สังเกตเห็น คือใช้ “การเปรียบเทียบ” ให้คนคิดเร็ว ๆ แล้วล่อให้คนรู้สึกว่า ส่วนต่างนั้น ไม่แพง

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น iPhone 15 Pro ความจุต่าง ๆ เช่น
- iPhone 15 Pro ความจุ 128GB ราคา 41,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 256GB ราคา 45,900 บาท
- iPhone 15 Pro ความจุ 512GB ราคา 54,900 บาท

จะเห็นว่า ระหว่างความจุ 256GB กับ 512GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว และมีราคาแตกต่างกัน 9,000 บาท

และจะเห็นว่า ระหว่างความจุ 128GB กับ 256GB มีขนาดความจุห่างกันประมาณ 1 เท่าตัว เหมือนกัน แต่มีราคาแตกต่างกันเพียง 4,000 บาท

ทำให้หลายคนที่ตั้งใจไปซื้อตัวความจุน้อยสุด สุดท้ายเปลี่ยนใจจ่ายเงินเพิ่ม เพราะรู้สึกว่าเพิ่มเงิน 4,000 บาท นั้นจ่ายแล้วคุ้มค่ากว่านั่นเอง..

ซึ่งถ้าถามว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผลจริงไหม ?

เรื่องนี้ The Economist สำนักข่าวในอังกฤษได้ทำการทดลองกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งจำนวน 100 คน

โดยมีการเสนอ 3 แพ็กเกจการรับข่าวสารรายเดือน ได้แก่

1. ได้รับข่าวในช่องทางออนไลน์อย่างเดียว ราคา 59 ดอลลาร์สหรัฐ (~2,170 บาท)
2. ได้รับข่าวฉบับตีพิมพ์อย่างเดียว ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)
3. ได้รับข่าวทั้งแบบออนไลน์ และฉบับตีพิมพ์ ราคา 125 ดอลลาร์สหรัฐ (~4,600 บาท)

ผลการทดลองพบว่า
- มีนักศึกษาจำนวน 84 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3
- มีนักศึกษาจำนวน 16 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
- แต่ไม่มีใครซื้อแพ็กเกจแบบที่ 2 เลย

The Economist ยังได้ทำการทดลองอีกแบบหนึ่งคือ ตัดแพ็กเกจแบบที่ 2 ออกไป

ผลการทดลองพบว่า นักศึกษาจำนวน 68 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 1
และอีก 32 คน ซื้อแพ็กเกจแบบที่ 3

สรุปแล้วการเพิ่มแพ็กเกจแบบที่ 2 เข้ามา เป็นตัวเลือก Decoy Pricing ทำให้นักศึกษารู้สึกว่า คุ้มค่าที่จะเลือกซื้อแพ็กเกจที่ 3 มากขึ้น..

เมื่อเห็นแล้วว่า การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ได้ผล
แล้วแบรนด์จะมีวิธีการตั้งราคาโดยใช้เทคนิคนี้อย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ?

1. ตั้งราคาโดยมีตัวเลือก 3-4 แบบ

หากมีตัวเลือกมากกว่านี้ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคสับสน ทำให้การตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่คาดว่าลูกค้าจะซื้อสินค้าที่มีราคาสูงกว่า ไม่ได้ผล

ยกตัวอย่างการตั้งราคาแบบ Decoy Pricing ที่มีประสิทธิภาพ จากเคส iPhone 15 ของ Apple

iPhone 15 ความจุ 128GB ราคา 32,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 256GB ราคา 36,900 บาท
iPhone 15 ความจุ 512GB ราคา 45,900 บาท

จะเห็นได้ว่า การเพิ่มความจุจาก 128GB เป็น 256GB เพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท
ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เลือกซื้อ iPhone 15 ความจุ 256GB เนื่องจากมองว่าการเพิ่มเงินเพียง 4,000 บาท แต่ได้ความจุที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั้น คุ้มค่ากว่า

2. การตั้งราคา Decoy Pricing ไม่ควรแตกต่างกันมากเกินไป

ยกตัวอย่างเช่น ร้านกาแฟ ตั้งราคากาแฟแก้วเล็ก 50 บาท แก้วกลาง 60 บาท และแก้วใหญ่ 100 บาท

ในกรณีนี้ ร้านกาแฟตั้ง Decoy Pricing เพื่อให้ลูกค้าอยากซื้อแก้วใหญ่
แต่เมื่อแก้วกลางและแก้วใหญ่มีราคาที่แตกต่างกันเกือบเท่าตัว อาจทำให้ลูกค้าเลือกซื้อแก้วกลางมากกว่า

ซึ่งอาจเป็นการให้ลูกค้า เลือกตัดชอยซ์แก้วใหญ่ออกไปเลย 100% ทั้ง ๆ ที่ถ้าขายต่ำกว่านั้นสักนิดเดียว เช่น 80 บาท ก็อาจจะขายได้

3. สร้างจุดสนใจและการสื่อสาร เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า

นอกจากการตั้งราคา 2 วิธีที่กล่าวไปแล้ว อีกวิธีที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าที่มีราคาแพงขึ้นแบบง่าย ๆ เช่น การติดป้ายว่าเป็น “สินค้าขายดี” เพื่อสร้างอาการ FOMO กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้า

หรือรวมไปถึงกลยุทธ์ Up-Selling หรือว่าง่าย ๆ ก็คือ การอัปไซซ์ เหมือนที่เชนฟาสต์ฟูดชอบใช้

ในกรณีของร้านกาแฟ หากลูกค้าซื้อแก้วกลาง เราก็สามารถถามลูกค้าได้ว่า สนใจอัปไซซ์เป็นแก้วใหญ่ไหม

กลยุทธ์แบบนี้ สามารถกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะลูกค้ามีระยะเวลาในการตัดสินใจเพียงสั้น ๆ นำมาสู่การซื้อแบบไม่ได้วางแผนมาก่อน หรือซื้ออย่างกะทันหัน ซึ่งก็คือ พฤติกรรมการซื้อแบบ “Impulsive Buying” นั่นเอง

จากที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถสรุปได้ว่า..

บางครั้งธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากมาย เพื่อทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

แต่การใช้กลยุทธ์การตั้งราคาอย่าง Decoy Pricing โดยใช้หลักจิตวิทยาเล่นกับความคิดและความรู้สึกของลูกค้า ก็สามารถช่วยเพิ่มยอดขายได้ ด้วยการทำให้ลูกค้ายอมจ่ายในราคาที่สูงมากขึ้น

และ Decoy Pricing จะได้ผลมากยิ่งขึ้น หากเราพยายามใช้วิธีการสื่อสาร เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่า การเลือกซื้อสินค้าในราคานี้ ได้รับความคุ้มค่ามากที่สุดนั่นเอง..




ที่มา link

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)