31 มีนาคม 2568

เปรียบเทียบ ฟูจิ ต้นเดือน พฤศจิกายน 66 (หัวโล้น) กับ ปลายเดือนมีนาคม 67 ณ เมือง Fujinomiya

 เปรียบเทียบ ฟูจิ ต้นเดือน พฤศจิกายน 66 (หัวโล้น) กับ ปลายเดือนมีนาคม 67 ณ เมือง Fujinomiya 








ที่มา https://www.facebook.com/groups/talonjapangroup/permalink/8210981582352363


ยุคหุ้นปันผลฉ่ำ ๆ - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เล็ก ๆ ที่น่าสนใจเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่กำลัง “เหี่ยวเฉา” ลงเรื่อย ๆ นั่นก็คือ หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ตัวหนึ่งประกาศจ่ายปันผลเพิ่มเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือจากปันผลปกติประจำปีจำนวน 2.5 บาทต่อหุ้น

หลังจากประกาศ ราคาหุ้นในตลาดก็ปรับตัวขึ้น 3.5 บาทในวันแรก และหลังจากวันนั้นหุ้นก็ยังปรับตัวขึ้นไปอีก 4 วันที่ 3.5 1.5 3 และ 3.5 บาท ตามลำดับ รวมแล้วหุ้นขึ้นไป 5 วัน คิดเป็นราคาที่เพิ่มขึ้น 15 บาท หรือขึ้นไปจากปันผลที่ประกาศถึง 6 เท่า โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ได้มีการเคลื่อนไหวอะไรผิดปกติ

หุ้นอีกตัวหนึ่งที่เงียบเหงามานานมากและราคาก็ไหลลงไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่กิจการก็ดำเนินงานไปตามปกติ มีกำไรดีและมีความแข็งแกร่งช่วงหนึ่งอยู่ในระดับ “ซุปเปอร์สต็อก” ของหุ้นขายสินค้าและอุปกรณ์ปรับปรุงบ้าน แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อาจจะอยู่ในช่วงตกต่ำยาวนาน รายได้และกำไรของบริษัทจึงเพิ่มขึ้นน้อย ราคาหุ้นจึงแทบจะนิ่งตามภาวะตลาด

แต่แล้วบริษัทก็ประกาศว่าจะซื้อหุ้นคืนคิดเป็นเงินประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 6-7% ของหุ้นทั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาด และทันทีที่ประกาศ หุ้นก็ปรับตัวขึ้น 9% ในวันเดียว ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 4 เท่า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดให้คุณค่าแก่การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้สูงมาก ทั้ง ๆ ที่การซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้น บ่อยครั้งคนคิดว่าประกาศไปอย่างนั้น ถึงเวลาก็ไม่ซื้อจริง ที่ทำไปก็เพื่อจะพยุงราคาหุ้นที่ไหลลงมาเรื่อย ๆ แต่พอหุ้นก็ยังลงต่อไป พวกเขากลับไม่ซื้อ

แต่กรณีนี้คนคิดว่าคงจะซื้อจริงถ้าหุ้นยังลงต่อ นักลงทุนคงจะเชื่อในตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นเหมือนกันที่มีประวัติในการจ่ายปันผลงดงามของบริษัทตนเอง การประกาศซื้อหุ้นคืนในกรณีนี้จะเป็นเหมือนการ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นบางคน” ที่ไม่ต้องการถือหุ้นต่อ คล้าย ๆ กับการจ่ายเงินปันผลปกติหรือ “จ่ายเงินคืน” ให้กับ “ผู้ถือหุ้นทุกคน”

การซื้อหุ้นคืนนั้นเป็นผลดีคือจะทำให้คนที่ถือหุ้นต่อ จะได้ปันผลสูงขึ้นอย่างน้อย 6% ในปีถัดไป เพราะจำนวนหุ้นของบริษัทจะน้อยลงเพราะถูกซื้อคืนไปประมาณ 6% ถ้ากำไรและอัตราการจ่ายปันผลยังเท่าเดิมที่ 60% หรือ 70% ของกำไรที่ทำได้

และทั้งสองกรณีนั้นทำให้ผมคิดว่า บางทีนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยอาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงแนวความคิดของการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไปจากเดิมที่เน้นการเก็งกำไรอย่างรวดเร็วผ่านการซื้อขายหรือการเทรดหุ้นที่มีราคาผันผวนในระยะสั้น ๆ อาจจะวันต่อวัน ไปเป็นการลงทุนในระยะยาวขึ้นที่เน้นการเติบโตของผลประกอบการที่ “มั่นคง” ของบริษัท และเน้นการรับปันผลที่งดงามปีละครั้งหรือสองครั้ง

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเทรดหุ้นที่ผ่านมานั้น “มีแต่เจ๊ง” แต่ปันผลในบริษัทที่มั่นคงระดับที่เป็น “เสาหลักของประเทศ” นั้น “ได้รับทุกปี” บางบริษัทปีละ “เกิน 5%” ของเงินลงทุน

และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่ามีเหตุผล และการลงทุนโดยการซื้อหุ้นที่จะจ่ายปันผลงดงามมากนั้น เป็นกลยุทธ์ที่ดีในยามที่เศรษฐกิจของไทยโตช้าลงไปมาก เช่นเดียวกับบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อยู่ในธุรกิจไฮเท็คหรือธุรกิจแห่งอนาคตอื่น ๆ ที่จะไม่โตได้เร็วกว่าเศรษฐกิจมากนัก

แต่ผมคงไม่พูดถ้าไม่ได้ดูข้อมูลหรือทำการศึกษาว่าสิ่งที่พูดนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน วิธีที่ทำก็คือ ดูว่าผลงานของ “หุ้นปันผลงดงาม” ที่ผ่านมากว่า 4 ปี เป็นอย่างไรบ้าง โดยที่ผมจะเลือกหุ้นที่มีปันผลดีสม่ำเสมอ โดยที่ผู้บริหารของบริษัทก็เน้นที่จะจ่ายเมื่อมีกำไรและมีเงินสดพอที่จะทำได้โดยไม่ได้กระทบกับการขยายงานหรือการเติบโตของบริษัทที่วางแผนไว้

เริ่มจากหุ้นแบ้งค์ใหญ่ที่กล่าวถึงในตอนต้นนั้น มองย้อนหลังไป 4 ปี 3 เดือนคือเมื่อสิ้นปี 2563 มีราคาหุ้นละ 118 บาท คนที่ถือไว้จะได้ปันผล 4 ปี เป็นเงินรวมกันประมาณ 15 บาท คิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลประมาณ 3.2% ต่อปี ในขณะที่ราคาหุ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เท่ากับ 164 บาท ดังนั้น รวมแล้วเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นแบ้งค์นี้จะได้รับเงินเท่ากับ 179 บาท จากต้นทุนเดิม 118 บาทหรือกำไรประมาณ 52% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน ซึ่งถือว่าดีพอสมควร และดีมากเมื่อเทียบกับการลงทุนหุ้นในตลาดโดยรวม

เพราะผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ไทยในช่วงเดียวกันนั้นก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นเมื่อสิ้นปี 2563 เท่ากับ 1,499 จุด แต่เมื่อถึงวันที่ 28 มีนาคม 2568 ดัชนีเหลือเพียง 1,175 จุด หรือติดลบประมาณ 21.6% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน และถ้าปรับเรื่องของปันผลที่เราจะได้รับปีละประมาณ 3% ก็จะได้ผลว่าการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้ให้ผลตอบแทนเป็น -9%

หุ้นแบ้งค์ตัวที่ 2 เป็นแบ้งค์เล็กที่มีประวัติจ่ายปันผลงดงามมานานและนักลงทุนในตลาดต่างก็รู้จักกันดี ราคาล่าสุดคือ 100 บาทต่อหุ้น ถ้าลงทุนตั้งแต่สิ้นปี 2563 จะได้ปันผล 4 ปี รวมกันประมาณ 29 บาทหรือคิดเป็นผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ยปีละ 8.2% เมื่อนำมารวมกับราคาหุ้นปัจจุบันก็จะเท่ากับ 129 บาท คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 44.5% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน คร่าว ๆ ก็คือปีละ 10%

หุ้นที่เคยเป็นแบ้งค์เล็กคล้ายกับแบ้งค์ที่ 2 และปรับตัวเป็นโฮลดิ้ง และปัจจุบันมีราคา 50.75 บาท ก็จ่ายปันผลงดงามรวมกัน 4 ปีเท่ากับ 12.2 บาท หรือคิดเป็นปันผลตอบแทนปีละ 8.7% ก็ให้ผลตอบแทนรวมงดงามที่ประมาณ 80% ในเวลา 4 ปี 3 เดือน เนื่องจากราคาหุ้นขึ้นไปมากนอกเหนือจากปันผลที่ได้รับ

หุ้นตัวที่ 4 คือหุ้นเทเลคอมขนาดใหญ่ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 273 บาท โดยที่ 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกันประมาณ 31 บาทหรือปีละ 4.3% ให้ผลตอบแทนรวมกำไรจากราคาเท่ากับ 70.7% งดงามเมื่อคำนึงถึงความมั่นคงของธุรกิจที่มีคู่แข่งน้อยราย

หุ้นตัวที่ 5 จะเป็นกลุ่มของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่กำลังตกต่ำและอาจจะต่อเนื่องยาวนาน แต่หุ้นตัวนี้เป็นผู้นำทางด้านอสังหาริมทรัพย์หรูที่สุด ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาทต่อหุ้น แต่เฉพาะปันผล 4 ปีที่ได้รับอยู่ที่ 0.45 บาท หรือเป็นปันผลตอบแทนเฉลี่ยปีละถึง 13.6% จากต้นทุนที่ซื้อเมื่อกว่า 4 ปีก่อน ผลตอบแทนรวมกำไรที่ได้รับจากราคาหุ้นก็คือ 142% กลายเป็นสุดยอดหุ้นปันผล อานิสงค์จากราคาหุ้นที่ต่ำมากเมื่อตอนสิ้นปี 2563

หุ้นตัวที่ 6 ยังเป็นอสังหาริมทรัพย์แต่ถือหุ้นของกิจการอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาที่ใหญ่กว่าตัวเอง ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 1.56 บาท ปันผลที่ได้รับรวมกันเท่ากับ 0.51 บาทหรือได้ผลตอบแทนปันผลปีละ 5.4% ดังนั้น มูลค่ารวมปัจจุบันคือ 2.07 บาท ในขณะที่ราคาเมื่อวันสิ้นปี 2563 เท่ากับ 2.35 บาท ทำให้ผลตอบแทนติดลบ 11.9% ในช่วงเวลา 4 ปี 3 เดือน และพอ ๆ กับผลตอบแทนของตลาด

หุ้นตัวที่ 7 คือหุ้นที่คนตั้งชื่อเล่นว่าเป็น “น้ำมันตราเต่า” เพราะเป็นหุ้นที่ “ไม่ค่อยวิ่ง” เหมือนคนอื่น ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 37.75 บาท แต่ในช่วง 4 ปีรับปันผลรวมประมาณ 6.6 บาทหรือเท่ากับปันผลตอบแทนปีละ 6.9% อานิสงค์จากราคาหุ้นต้นทุนที่ต่ำในช่วงเริ่มต้น ทำให้ผลตอบแทนของหุ้นตัวนี้อยู่ที่ 85% หรือเฉลี่ยปีละกว่า 20% ถ้าเป็นเต่าก็คงเป็น “เต่าทะเล”

หุ้นตัวที่ 8 เป็นหุ้นขนาดเล็กที่เป็นผู้นำด้านของเสื้อผ้าแฟชั่น ราคาหุ้นอยู่ที่ 9.95 บาท แต่ปันผลที่จ่ายในช่วง 4 ปีรวมกันประมาณ 2.85 บาทหรือเป็นปันผลตอบแทนปีละ 7.2% เมื่อรวมกับราคาหุ้นที่แทบไม่ขึ้นเลยในช่วง 4 ปี 3 เดือน ให้ผลตอบแทนรวม 29.3% หรือปีละ 7.3% ก็อาจจะพูดได้ว่าไม่เสียหายอะไรกับการถือหุ้นตัวนี้เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดหรือลงทุนแบบอื่น

หุ้นตัวที่ 9 เป็นหุ้นที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ ๆ เพราะเป็นหุ้นที่ผลิตถังเหล็ก 200 ลิตรใช้บรรจุพวกสารเคมีอะไรทำนองนั้น ดูน่าเบื่อสุด ๆ แม้จะย้อนหลังไปเกือบ 30 ปี แต่ถึงวันนี้มันก็ยังคงอยู่และก็ทำกำไรและจ่ายปันผลได้ “เหมือนเดิม” เพราะคงไม่มีใครอยากเข้ามาแข่งทำถังในสมัยนี้ หุ้นที่มีการเทรดน้อยมากตัวนี้ ราคาหุ้นอยู่ที่ 24.5 บาท แต่ปันผลที่จ่าย 4 ปี รวมกันเท่ากับ 6.4 บาท หรือเท่ากับให้ปันผลปีละ 7% ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนเท่ากับ 34.9%

สุดท้ายคือหุ้นผู้นำทางด้านกระเบื้องปูพื้นต่าง ๆ ที่ดูเหมือนว่ากำลังอิ่มตัวตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นี่ก็เป็นหุ้นที่ไม่โต แต่ยังมีผลประกอบการที่ดีและจ่ายปันผลดี ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาจ่ายปันผลรวมกัน 0.52 บาทคิดเป็นปันผลตอบแทน 5.9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันเท่ากับ 1.44 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่ตกลงมาแรงเนื่องจากรายได้และกำไรในช่วง 2 ปีหลังลดลงมากอานิสงค์จากอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลง และอาจจะมาจากการแข่งขันโดยเฉพาะจากต่างประเทศที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้ผลตอบแทนรวม 4 ปี 3 เดือนติดลบประมาณ 11% พอ ๆ กับผลตอบแทนตลาด

ข้อสรุปทั้งหมดก็คือ หุ้นที่จ่ายปันผลดีเทียบกับราคาหุ้น เช่น ในระดับ 5% ต่อปีโดยเฉลี่ยในระยะ 3-4 ปีขึ้นไป และไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงแม้ว่าจะอิ่มตัว และบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม หรือเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีผู้นำแต่บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันพอ ๆ กับคู่แข่งเช่นสถาบันการเงิน จะเป็นหุ้นปันผลที่ลงทุนได้และให้ผลตอบแทนที่ดีโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่นโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดีนักอย่างเช่นในปัจจุบัน




24 มีนาคม 2568

ตลาดหุ้นเวียตนามมุ่งสู่ทศวรรษทอง? - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สัปดาห์ก่อนผมเขียนบทความเรื่อง “ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?” ก็ได้รับคำถามจากนักลงทุนที่น่าจะลงทุนในตลาดเวียตนามว่า “แล้วตลาดหุ้นเวียตนามจะเป็นอย่างไร” เพราะเวียตนามอาจจะอยู่ในรายชื่อของประเทศที่จะถูกอเมริกาขี้นภาษีสินค้านำเข้า

เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐมาก ตลาดหุ้นเวียตนามจะมีปัญหามากไหมหลังจากการประกาศรายชื่อรอบต่อมาของประเทศที่จะถูกขึ้น “บัญชีดำ” ในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้?

คำตอบเบื้องต้นของผมก็คือ ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าเมื่อจีนถูกปรับขึ้นภาษีรอบแรกที่ประมาณ 10% ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนว่าจะไม่ได้ตอบสนองอะไร เพราะเรื่องนี้ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องถูกเล่นงาน ตลาดหุ้นรับรู้ข่าวนี้มาหลายเดือนแล้วเพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปรับขึ้นขนาดไหน ถ้าปรับขี้นไม่ได้มากกว่าที่คาด ตลาดหุ้นก็จะไม่ตกลงมา ดังนั้น กรณีของเวียตนาม เราก็คงจะต้องดูกันต่อไปว่าตลาดจะขึ้นหรือลงในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังการประกาศ

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมก็คือ ในระยะยาว การค้าขายระหว่างเวียตนามกับอเมริกาและประเทศอื่นจะดีขึ้นหรือแย่ลง เหตุผลก็เพราะว่าเวียตนามนั้นอาศัยการส่งออกสินค้าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจของตนเองมาก และที่ GDP ของเวียตนามโตเอา ๆ ในช่วงอย่างน้อย 10 ปีที่ผ่านมานั้นก็เพราะเวียตนามมีความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการที่แข่งขันได้ มีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งในขณะที่คุณภาพไม่แพ้คนอื่น และทั้งหมดนั้นเป็นเพราะศักยภาพของคนเวียตนามที่สูงและมีกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นและจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอีกอย่างน้อย 10 ปีข้างหน้า

ความเห็นของผมก็คือ ถ้าไม่นับเรื่องของสงครามการค้าและ “ระเบียบโลกใหม่” ที่หลายคนพูดว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็น Globalized คือเปิดกว้างและไม่มีกำแพงขวางกั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นโลกที่ปิดตัวลงไปมากด้วยการตั้งกำแพงภาษีที่ทรัมป์กำลังทำ เวียตนามก็จะต้องเจริญเติบโตต่อไปอย่างรวดเร็วแบบ “ไม่มีอะไรมาขวางได้” อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศอุตสาหกรรมใหม่คือ ใต้หวัน เกาหลี ฮ่องกง และสิงคโปร์เมื่อซัก 5-60 ปีก่อน และเกิดขึ้นกับมาเลเซีย ไทย และอีกหลายประเทศในอาเซียน เมื่อประมาณซัก 40 ปีก่อน

คำถามที่ต้องการคำตอบก็คือ สงครามการค้ารอบนี้สุดท้ายจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของสินค้าในโลกนี้ได้อย่างมีนัยสำคัญแค่ไหน? ถ้าสินค้าก็ยังเคลื่อนไหวเหมือนเดิมเพียงแต่เปลี่ยนประเทศไป เช่น จากเดิมสินค้า ก. ผลิตจากจีนและส่งไปอเมริกา ต่อไปกลายเป็นผลิตจากเวียตนามและส่งไปอเมริกาแทน ในกรณีแบบนี้ เศรษฐกิจของเวียตนามไม่ได้แย่ลงแต่อาจจะดีขึ้นด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่ว่าสินค้านั้นแทนที่จะผลิตในจีนและส่งไปขายให้อเมริกา กลายเป็นว่าอเมริกาผลิตเองและขายให้คนในประเทศ แบบนี้การค้าระหว่างประเทศก็จะลดลง เวียตนามเองก็จะส่งออกสินค้าได้น้อยลง การเติบโตของเศรษฐกิจก็จะลดลง แบบนี้เวียตนามเสียหายแน่

ผมเองคิดว่าฉากทัศน์น่าจะเป็นแบบแรก เพราะอเมริกาคงไม่สามารถสร้างโรงงานเพื่อที่จะผลิตสินค้าจำนวนมหาศาลเพื่อป้อนให้กับคนอเมริกันได้ทัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักธุรกิจและนักลงทุนเองก็ไม่อยากสร้าง เพราะผลตอบแทนของการผลิตและขายสินค้าที่ไม่ได้เป็นไฮเท็คนั้นค่อนข้างต่ำในขณะที่ต้นทุนการผลิตเองก็สูงเนื่องจากค่าแรงของคนอเมริกันสูงมาก ต่อให้ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ ต้นทุนก็สู้ประเทศอย่างจีนหรือเวียตนามไม่ได้ ว่าที่จริงปัจจุบันนี้โรงงานในประเทศอย่างเวียตนามก็น่าจะใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติแพร่หลายอยู่แล้ว

หน้าที่ของเวียตนามตอนนี้ก็คือ การพยายามทำตัวให้เป็นคนที่ “ไม่เอาเปรียบอเมริกา” เพื่อที่ว่าอเมริกาจะนำเข้าสินค้าจากเวียตนามแทนจีนและ/หรือประเทศอื่นที่ถูกอเมริกาขึ้นภาษีศุลกากรอย่างหนัก

เวียตนามไม่รอให้อเมริกาประกาศขึ้นภาษีตนเอง แต่ประกาศจะซื้อเครื่องบินพาณิชย์จากโบอิงหลายร้อยลำ ก๊าซธรรมชาติและพลังงานอื่น ๆ รวมถึงการซื้ออาวุธบางส่วน ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลดการได้เปรียบดุลการค้ากับอเมริกาโดยไม่ต้องให้อเมริกามาเจรจา เป็นการ “เอาใจสุด ๆ” ที่ไม่มีประเทศไหนทำ

เวียตนามยังพยายามเชิญชวนนักธุรกิจอเมริกันให้มาลงทุนและทำธุรกิจกับเวียตนามซึ่งก็ประสบความสำเร็จมาก เมื่อไม่กี่วันมานี้ นักธุรกิจชั้นนำของอเมริกาจำนวนหลายสิบคนมาเยี่ยมเยือนเวียตนาม พวกเขาเห็นศักยภาพของเวียตนามและเห็นโอกาสที่จะทำธุรกิจหลากหลายซึ่งรวมถึงธุรกิจที่สามารถส่งกลับไปที่อเมริกาได้ เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทรัมป์เองก็มีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในเวียตนาม นี่ก็เป็นภาพที่ไม่เห็นในประเทศอื่นเช่นกัน

เวียตนามยังพยายามทำให้เป็นตัวเลือกของอเมริกาในด้านของการเป็นเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการสนับสนุนหรือเป็น Supplier ของสินค้า ไฮเท็คให้อเมริกาแทนจีน เห็นได้จากการที่เจนเซ่น หวง CEO ของ NVIDIA ได้ไปเยี่ยมเยืยนและทำธุรกิจกับเวียตนามโดยการขายชิพ AI ที่หาได้ยากในท้องตลาดให้กับ FPT บริษัทไฮเท็คยักษ์ใหญ่ของเวียตนาม ภาพของเจนเซ่นหวงนั่งกินอาหารสตรีทฟู้ดกับนายกรัฐมนตรีเวียตนามนั้นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวียตนามนั้น น่าจะเป็นคนที่ได้รับมากกว่าที่จะเสียประโยชน์จากสงครามการค้า
เวียตนามยังทำมากกว่านั้น จริงอยู่ว่านี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของสงครามการค้าที่จะกระทบกับเป้าหมายการพัฒนาประเทศ พวกเขากำลังพยายามปฏิรูปประเทศในทุกด้านตั้งแต่เรื่องคอร์รัปชั่นที่มีการปราบปรามอย่างเต็มที่จนคะแนนสูงกว่าไทยไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาที่พยายามเน้นการเรียนทางด้าน STEM หรือสาย วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่จำเป็นสำหรับการผลิตและสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ

และที่เพิ่งประกาศเมื่อไม่กี่วันมานี้ที่ “น่าทึ่ง” ก็คือการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินแนวเดียวกับที่ทรัมป์และอีลอนมัสก์ทำนั่นก็คือ ลดความซ้ำซ้อนและความไร้ประสิทธิภาพของหน่วยงานโดยการลดจำนวนกระทรวงต่าง ๆ ลง ลดจำนวนจังหวัดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ลดหน่วยงานระดับท้องถิ่น 60-70% ลดหน่วยงานในภาครัฐลง 1 ใน 3 และตำแหน่งงานในภาครัฐ 1 ใน 5 จะถูกปลดออกภายใน 5 ปี เป็นต้น ทั้งหมดนี้ผมเองไม่เคยเห็นเลยในประเทศคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมที่มีแต่จะเพิ่มจำนวนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อควบคุมหรือสอดส่องประชาชนเป็นหลัก

มาถึงเรื่องตลาดหุ้นก็มีพัฒนาการที่น่าจะกำลังเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้นั่นก็คือ การมาของระบบซื้อ-ขายหุ้นที่ทันสมัยสามารถรองรับการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และการที่ตลาดหุ้นจะถูกยกระดับขึ้นเป็นตลาดเกิดใหม่ที่ได้รับการรับรองจากฟุตซี่และ MSCI ที่จะทำให้กองทุนขนาดใหญ่ของโลกสามารถเข้ามาลงทุนได้ นอกจากนั้น นักลงทุนส่วนบุคคลในประเทศก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและถึงนาทีนี้ก็น่าจะสูงกว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปแล้ว

รัฐบาลเองนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มั่นคงโดยการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศโดยการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนโดยเฉพาะแนวไฮเท็คเต็มที่ เป้าหมายการส่งออกและการเจริญเติบโตของ GDP สำหรับปีนี้และปีต่อไปสูงลิ่วที่ประมาณ 6-7% ขึ้นไปและนับถึงวันนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้แม้ว่าโลกของการค้ากำลังปั่นป่วนด้วยสงครามการค้า
และที่แปลกไปกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นหลาย ๆ แห่งก็คือ เวียตนามไม่พูดถึงเรื่องการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” โดยการแจกเงินหรือทำโครงการเร่งด่วนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจโตเร็วขึ้นหรือป้องกันไม่ให้ถดถอยลงไปมาก พวกเขามีโครงการใหญ่มหึมาที่จะช่วยยกระดับสาธารณูปโภค เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบินและอื่น ๆ ที่ต้องใช้เวลาหลายปี และพวกเขาก็จะทำได้เพราะหนี้ของประชาชนและหนี้ของประเทศยังต่ำมาก

ข้อสรุปของผมก็คือ เวียตนามวันนี้มีความแข็งแรงและแข็งแกร่งมาก และอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่ดีมากเพราะไม่ได้เป็นฝ่ายไหนเลยแต่สนิทกับทั้งอเมริกาและจีนที่ต่างก็ต้องการเวียตนามเป็นพวก

ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น เติบโตดีอย่างมั่นคงมา 2 ปีแล้วโดยปี 2023 ปรับตัวขึ้นประมาณ 13% และปี 2024 ขึ้นอีก 12% ไม่รวมปันผล จากต้นปี 2025 ถึงวันที่ 21 มีนาคม ดัชนีขึ้นมาแล้วประมาณ 4% และอยู่ที่ 1,322 จุด และสูงกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2518 หรือ 50 ปีแล้ว ในขณะที่ตลาดหุ้นเวียตนามเปิดมาแค่ 25 ปี

ถ้าถามผมว่าตลาดหุ้นเวียตนามจะเป็นอย่างไรในระยะยาว เช่น 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คำตอบของผมก็คือ ตลาดหุ้นเวียตนามนั้น น่าจะกำลังมุ่งเข้าสู่ “ทศวรรษทอง” คือเติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 8 ปี โดยที่สงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้นนั้นอาจจะทำให้ดัชนีตกลงไปบ้าง แต่หลังจากนั้นมันก็จะขึ้นต่อไปตามศักยภาพของประเทศและบริษัทจดทะเบียนที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม นี่คือการคาดการณ์ที่มีโอกาสผิดพลาดสูงพอสมควรโดยเฉพาะในช่วงที่โลกอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน



15 มีนาคม 2568

ต่ออายุใบขับขี่รถยนต์ รถจักรยานยนต์

1. อบรมต่ออายุ ผ่าน DLT e-Learning ได้ตลอดเวลา
  • เข้า Website https://www.dlt-elearning.com/
  • ลงทะเบียน กรอกข้อมูล เลือกประเภทใบอนุญาตขับขี่
  • ชมวิดีโออบรมความรู้ ทำแบบทดสอบ รับผลการอบรม บันทึกภาพเก็บไว้
  • จองคิวผ่านแอป DLT smart queue นำเอกสารประกอบคำขอ ผลการอบรม เข้ารับใบขับขี่ตามวัน-เวลาที่จองคิว


2. อบรมแล้ว จองคิวผ่านแอป เพื่อต่ออายุใบขับขี่




ที่มา url 

ภัยร้ายในความน่ารัก ร้ายนักบุหรี่ไฟฟ้า

 






ที่มา link


บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)