30 พฤศจิกายน 2568

บริจาคเงิน e-donation โรงพยาบาลอุดรธานี ลดหย่อนภาษี 2 เท่า

 บริจาคเงิน e-donation โรงพยาบาลอุดรธานี ลดหย่อนภาษี 2 เท่า

 สำหรับเป็นค่านำ ค่าไฟฟ้า บำรุงรักษาเรือนพักญาติ

ธนาคารกรุงไทย บัญชีเงินฝากออมทรัพย์

เลขที่บัญชี 401-3-639-483 


 

 

 

 

24 พฤศจิกายน 2568

อะไรเอ่ย… มาก่อนวิกฤติตลาดหุ้น - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

การพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงของหุ้นเทคโนโลยีและตลาดหุ้นอเมริกาในช่วงเร็ว ๆ นี้ทำให้เกิดความวิตกกังวลกันว่าหุ้นและตลาดกำลังเกิด “ฟองสบู่” และในไม่ช้าก็จะ “แตก” และตลาดหุ้นก็จะเกิด “วิกฤติ” ดังนั้น เราควรมาดูกันหน่อยว่าตลาดหุ้นในรอบนี้จะเกิดวิกฤติหรือไม่?

มองจากประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นผมพบว่า ก่อนการเกิดวิกฤตินั้น ภาวะของตลาดมักจะมี 2 แบบที่อยู่กันคนละขั้ว คือแบบแรก ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจรุ่งเรืองสดใสมากและนำโดยภาคเศรษฐกิจ “ยุคใหม่” ที่จะก่อให้เกิดความรุ่งเรืองและเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมากเกินไปและเกินพื้นฐานที่ควรจะเป็นมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่ง คนก็เริ่มตระหนักและเทขายหุ้นจนกลายเป็นวิกฤติ

และแบบที่สองก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นก็ปกติ แต่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น อาจจะเกิดจากการกระทำของรัฐหรือองค์กรหรือสถาบัน หรือเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลทางเศรษฐกิจมหภาค ที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำหรือสภาพคล่องทางงการเงินมีปัญหารุนแรงมาก จนทำให้คนขาดความมั่นใจเทขายหุ้นอย่างต่อเนื่อง และนั่นทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำจนเป็นวิกฤติ

เริ่มจากวิกฤติครั้งใหญ่ของโลกหรือ “The Great Depression” ในปี 1929 ที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์ตกลงมาจาก 380 จุดเหลือเพียง 43 จุด ในปี 1932 หรือตกลงมาประมาณ 90% ภายในเวลา 3 ปี และใช้เวลาประมาณ 25 ปี ก่อนที่ดัชนีจะกลับมาเท่าเดิม และในช่วงที่เลวร้ายที่สุดนั้น คนตกงานมากกว่า 20% ของคนทำงานทั้งหมด

แต่ก่อนวันวิกฤตินั้น เศรษฐกิจและตลาดหุ้นของอเมริกากำลังรุ่งเรืองสุดยอด สหรัฐกำลังกลายเป็นประเทศ “มหาอำนาจ” ของโลกเพราะเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างแรง อุตสาหกรรมกำลังเติบโตและแซงประเทศอื่น ๆ อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและประเทศในยุโรปที่เป็นมหาอำนาจเดิม นอกจากนั้น อเมริกากำลังก้าวหน้าและนำในด้านของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในโลก อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะยุโรปต่างก็บอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ในขณะที่อเมริกาสงบและทำแต่เรื่องค้าขายกับประเทศเหล่านั้นเป็นหลัก

อุตสาหกรรมที่กำลังรุ่งเรืองที่สุดอย่างหนึ่งก็คือรถยนต์ซึ่งกำลังเติบโตมหาศาลเพราะคนอเมริกันเริ่มใช้รถยนต์กันมากขึ้น ถนนหนทางที่เคยมีแต่รถม้าเริ่มเต็มไปด้วยรถยนต์ของบริษัท General Motor หรือ GM ที่กลายเป็นผู้ชนะ หุ้นของ GM ที่เคยมีราคา 9.6 เหรียญในต้นทศวรรษปรับตัวขึ้นไปเป็น 97.9 เหรียญหรือปรับขึ้น 10 เท่าตอนสิ้นปี 1928

แต่ที่โดดเด่นที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันคือหุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี “เปลี่ยนโลก” คือหุ้นRCA หรือ Radio Corporation of America บริษัทเจ้าของสิทธิบัตรวิทยุที่ขายทั้งเครื่องรับวิทยุและเป็นเจ้าของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่เป็นเครื่องมือสื่อสารใหม่ที่จะ “เปลี่ยนโลก” ไปอย่างสิ้นเชิง

RCA กลายเป็น “หุ้น 100 เด้ง” และในช่วงปี 1926 ถึง 1929 ก่อนวิกฤติ 2-3 เดือน ราคาก็ขึ้นจาก 43 เหรียญเป็น 568 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าในเวลา 3-4 ปี ซึ่งช่วงเวลานั้นก็เป็นยุคแห่งการเก็งกำไรในตลาดหุ้นอย่าง “บ้าคลั่ง” ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เช่นเดียวกับภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้นจาก 68.4 จุดในปี1921 กลายเป็น 380.3 ในปี 1929 หรือเพิ่มขึ้น 456% ในเวลา 8 ปี หรือให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 22.4% เป็น “ยุคทอง” ของการลงทุนในตลาดหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นขึ้นไปสูงและแพงมาก คิดเป็นค่า PE น่าจะประมาณ 30-40 เท่าขึ้นไป

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ถึงแม้ว่าจะมีคนกลัวกันว่าหุ้นอาจจะตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” แต่ “เซียน” ซึ่งรวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Irving Fisher ในช่วงก่อนวิกฤติเพียง 2-3 เดือนกลับ “ยอมรับ” ว่า ตลาดหุ้นคราวนี้ “ไม่เหมือนเดิม” และ “หุ้นก็จะราคาสูงแบบนี้อย่างถาวร” แล้ว

วิกฤติใหญ่ครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติในปี 1973-74 ซึ่งเป็นวิกฤติแบบที่ 2 คือ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างหนัก อานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันที่เกิดขึ้นเนื่องจากประเทศกลุ่ม OPEC ซึ่งควบคุมการผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกประกาศแซงชั่นไม่ขายน้ำมันให้อเมริกาที่หนุนอิสราเอลในสงคราม Yom Kippur ระหว่างชาติอาหรับกับอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 300% และส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อและเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เรียกว่า “Stagflation”

อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของเฟดเพิ่มขึ้นสูงลิ่วกว่า 10% จากระดับ 3-4% ก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดลดลงไปมากและทำให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงไปประมาณกว่า 40% ในเวลา 2 ปี และใช้เวลาอีกประมาณ 10 ปี กว่าดัชนีจะกลับมาที่เดิม

วิกฤติครั้งที่ 3 คือ วิกฤติ “ดอทคอม” ในปี 2000 ที่หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัล-อินเตอร์เน็ต เจริญเติบโตขึ้นในโลก อินเตอร์เน็ตที่แต่เดิมเป็นของรัฐบาลนั้น กลายเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถใช้ได้ และหลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์สารพัดชนิดก็เกิดขึ้น โลกทั้งโลกเชื่อมต่อกันได้ภายในเสี้ยววินาที “โลกใหม่” กำลังเกิดขึ้น ชีวิตของคนทั่วโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” และบริษัทเทคโนโลยีที่เป็นผู้นำอย่างเช่น อะมาซอน จะครองโลก ราคาหุ้นเทคโนโลยีทั้งหลายวิ่งขึ้น “ทะลุฟ้า” แม้ว่าจำนวนมากยังไม่มีกำไรและมีรายได้น้อยมาก ขอให้มีชื่อต่อท้ายว่า “ดอทคอม” ก็พอ

ดัชนีหุ้น Nasdaq ปรับตัวขึ้นจาก 1,614 จุดในช่วงปลายปี 1998 ขึ้นเป็น 4,963 ในช่วงต้นปี 2000 หรือเพิ่มขึ้น 207% ในเวลาเพียง 1 ปี 3 เดือน ก่อนที่จะเกิดวิกฤติและดัชนีตกลงมาเหลือเพียง 1,687 จุดในปี 2001 หรือลดลงถึง 66% ในเวลา 1 ปี 6 เดือน โดยที่หุ้นจำนวนมากรวมถึงหุ้นอะมาซอนตกลงมากว่า 90% และหุ้นจำนวนที่มากกว่ากลายเป็น 0

เหตุผลของวิกฤติก็คือ ราคาหุ้นสูงเกินไป และแม้จะมีสตอรี่ว่ารายได้และกำไรจะโตแบบระเบิดเมื่อมีผู้ใช้มากขึ้นและมี “Network Effect” ที่สามารถยึดกุมลูกค้าไว้ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รายได้และกำไรกลับมาไม่ทัน ทำให้คนคิดว่าหุ้นแพงเกินไปมาก ตลาดโดยรวมมีค่า PE สูงมากระดับน่าจะเกิน 40 เท่า นักลงทุนก็ขาดความมั่นใจเทขายหุ้นทำให้หุ้นตกลงมาแรงทำให้คนอื่นที่ต่างก็เป็นนักเก็งกำไรขายตาม กลายเป็น “Snowball Effect” หรือเหมือน “หิมะถล่ม” และนี่ก็เป็นกรณีที่สภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ “ดีเกินไป” ที่ก่อให้เกิดวิกฤติแบบที่ 1

วิกฤติสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือ วิกฤติ “ซับไพร์ม” ในปี 2008 ที่เกิดขึ้นจาก “ระบบ” และเศรษฐกิจที่ผิดพลาด ไม่ใช่ดัชนีตลาดที่สูงหรือเศรษฐกิจที่ดีเกินไป หรือเป็นวิกฤติแบบที่ 2

ก่อนวิกฤติ 2-3 ปี เศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้มีอะไรโดดเด่นนัก ตลาดหุ้นวัดโดยดัชนี S&P ก็ทรง ๆ มาเป็นปี ๆ แล้ว ที่ประมาณ 1,300-1,400 จุด เงินในตลาดส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดพันธบัตรเป็นหลัก แต่แล้วในวันหนึ่ง ก็มี “นวัตกรรมการเงิน” ใหม่เกิดขึ้นเรียกว่า CDO (Credit Default Swaps) ที่สามารถแปลงหนี้ลูกหนี้เงินกู้ซื้อบ้านที่มีคุณภาพต่ำ (Sub Prime) ให้เป็นตราสารการเงินที่มี “คุณภาพสูง” เอาไปขายให้กับนักลงทุนสถาบันรวมถึงธนาคารต่าง ๆ

ตราสารได้รับการยอมรับและมีการเติบโตขึ้นอย่างมาก ลูกหนี้ที่ไม่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่างก็เข้ามาซื้อบ้านเพราะแบ้งค์ก็อยากปล่อยกู้เพราะสามารถนำไปขายต่อเพื่อทำเป็น CDO ได้ นั่นทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟูและราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ส่งผลให้คนซื้อบ้านมีกำไรทั้ง ๆ ที่ผ่อนต่อไม่ไหว

แต่แล้ว ในที่สุด อัตราการเป็นหนี้เสียก็เพิ่มขึ้นจนระบบและการทำ CDO รับไม่ไหว ราคาของตราสารตกลงมาจนทำให้สถาบันการเงินที่เข้ามาลงทุนหรือเกี่ยวข้องด้วยล้มละลายเป็นจำนวนมาก ผลกระทบส่งถึงเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงอย่างแรงและทำให้ตลาดหุ้นวิกฤติตามมา

ดัชนี S&P 500 ร่วงลงจากประมาณ 1,300 จุดในช่วงเดือนสิงหาคม 2008 เหลือเพียง 750 จุดในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 42% ในเวลาเพียง 7 เดือน อานิสงค์จากการที่เงินหรือสภาพคล่องในระบบที่หายไปทันทีจากการ “ล่มสลาย” ของสถาบันการเงินจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การทำ QE หรือการเพิ่มสภาพคล่องด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลในเวลาต่อมา ได้ทำให้ดอกเบี้ยลดลงมาเหลือใกล้ 0% และทำให้หุ้นฟื้นขึ้นอย่างรวดเร็วและเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน

ที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งนำโดยหุ้นไฮเทคที่ร้อนแรงเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการปรากฎขึ้นของ AI ที่มีความฉลาด “เหนือมนุษย์” และกำลังจะมา “เปลี่ยนโลก” อย่างที่เราจะไม่เคยเห็นในอนาคตอันใกล้ นั่นคือเรื่องแรก
ประเด็นที่ 2 ก็คือ ดัชนี Nasdaq ในช่วง 3 ปี ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมา 100% แล้วและทำให้ค่า PE สูงกว่า 30 เท่า ตลาดหุ้นเองก็ร้อนแรงมากและเต็มไปด้วยนักลงทุนส่วนบุคคลที่ใช้มาร์จินในการลงทุนน่าจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ข้อ 3 ก็คือ หุ้นที่ร้อนแรงมากที่สุดตัวหนึ่งก็คือ TESLA ซึ่งผลิตรถไฟฟ้าที่กำลังขับเคลื่อนบนท้องถนนด้วยตนเอง คล้าย ๆ กับหุ้น GM ในปี 1929 เช่นเดียวกับหุ้น NVIDIA ที่ร้อนยิ่งกว่าเพราะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนโลกใหม่คล้ายกับหุ้น RCA และผมคงไม่ต้องพูดว่าหุ้นทั้งสองตัวนั้นเป็นหุ้นกี่เด้งไปแล้ว?

แต่ “เซียน” จำนวนมากก็บอกว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” เพราะบริษัท “เทคนางฟ้า” ทั้ง 7 มีกำไรรองรับเพียงพอ คล้าย ๆ กับพูดว่า หุ้นไม่ได้แพงและ “ราคาหุ้นก็คงขึ้นมาอย่างถาวรแล้ว” ไม่ตกลงไปแบบวิกฤติเดิมหรอก ไม่ว่าจะเป็นปี 1929 หรือ 2000
แต่ผมเองก็รู้สึก “หนาว” เพราะคำว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” ในความคิดของผมกลับเป็นว่า เพราะครั้งนี้เรายังมีเรื่องการ “เปลี่ยนแปลงภาษีศุลกากรครั้งใหญ่” ที่อาจจะเป็นเหตุของวิกฤติแบบที่ 2 ที่ยังไม่ค่อยมีคนพูดถึงด้วย 

 

 

 from https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/712-nivate-what-comes-before-a-stock-market-crisis 

17 พฤศจิกายน 2568

ปิดตำนานบัฟเฟตต์ - หมดยุค VI - โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ภายในสิ้นปี 2025 นี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ซึ่งอายุ 95 ปีแล้วก็จะก้าวลงจากตำแหน่ง CEO ของ เบิร์กไชร์ แฮททาเวย์ ที่เขาบริหารมาแทบจะตลอดชีวิตการลงทุนของเขา และทำให้เขากลายเป็น “ตำนาน VI” ที่ยังมีชีวิตที่ได้เผยแพร่ “หลักการ VI” ที่เริ่มก่อตั้งโดย เบน เกรแฮม ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเป็นเทคนิคการลงทุนที่สุดยอดและเหนือกว่าหลักการอื่น ๆ โดยผลงานการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนทบต้นระยะยาวที่เกือบ 20% ต่อปี ซึ่งทำให้เงินลงทุนเริ่มต้น 100 ดอลลาร์ กลายเป็นเงินประมาณ 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 163 ล้านบาท ในเวลา 60 ปี

หลักการหรือเรื่องราวของ “VI” นั้น เริ่มต้นหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ซึ่งได้ทำให้นักลงทุนแทบทั้งตลาดเสียหายล้มละลายแทบหมดตัว และเป็นจุดที่เบน เกรแฮม ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์และนักลงทุนที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มคิดถึงหลักการวิเคราะห์หุ้นและการลงทุนที่เป็นระบบและเป็นวิชาการที่ถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้รับผลตอบแทนที่แน่นอนและ “ ไม่เสี่ยง”

หลักการใหญ่ ๆ ของเบน เกรแฮมถูกรวมอยู่ในหนังสือ 2 เล่มคือ “Securities Analysis” ที่เขียนร่วมกับ David Dodd ลูกศิษย์ที่เรียนปริญญาเอกกับเขาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในปี 1934 กับ “The Intelligent Investor” ที่เขียนขึ้นเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปได้อ่านในปี 1949 ซึ่งทั้ง 2 เล่มนี้กลายเป็น “ไบเบิล” ของนักลงทุนแบบ VI ทั่วโลก

ข้อคิดสำคัญที่เป็นหัวใจของหลักการของเบน เกรแฮม ที่ต่อมาคนเรียกว่า “Value Investing” หรือการลงทุนแบบที่ “เน้นความถูก” ของหุ้น นั้นกล่าวว่า

1 บริษัทหรือหุ้นนั้นมี “มูลค่าที่แท้จริง” หรือ Intrinsic Value ซึ่งอิงอยู่กับทรัพย์สิน กำไรและกระแสเงินสด ที่สามารถประเมินหรือประมาณการได้
2 การซื้อหุ้นนั้น จะต้องมี “ส่วนเผื่อความปลอดภัย” หรือ Margin of Safety นั่นก็คือ ราคาหุ้นต้องต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากพอเพื่อที่จะป้องกันความผิดพลาดต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
3 ตลาดหุ้นนั้นมักจะขึ้นลงรุนแรงและทำให้หุ้นแต่ละตัวขึ้นลงรุนแรงได้มากกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น ซึ่งเบน เกรแฮมเรียกว่า “Mr. Market” หรือ “นายตลาด”

ดังนั้น เราสามารถฉกฉวยทำกำไรได้จากความแตกต่างนี้ คือ “ซื้อถูก-ขายแพง”
วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นนักศึกษาในชั้นเรียน ของเบน เกรแฮมที่ทำคะแนนสูงระดับ A+ รวมถึงได้ฝึกและทำงานในบริษัทจัดการลงทุนของเขา และต่อมาก็มาบริหารกองทุนที่ตนเองตั้งขึ้นซึ่งสุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเบิร์กไชร์ แฮททาเวย์

ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น “สุดยอด” และถูกเผยแพร่ไปทั่วประเทศ จากผู้บริหารกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในเมืองเล็กเหมือน “ต่างจังหวัด” อย่างโอมาฮา ชื่อเขาก็ดังระเบิดจากหนังสือของ George Goodman ชื่อ “Supermoney” ในปี 1972 ที่มีบทหนึ่งกล่าวถึงบัฟเฟตต์โดยเฉพาะ และตั้งแต่นั้นมา ชื่อวอเร็น บัฟเฟตต์ และ Value Investing ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการลงทุนสุดยอดที่ทุกคนต่างก็ยอมรับและเรียนรู้เพื่อที่จะสามารถลงทุนได้อย่าง “ชาญฉลาด”

หลักการ กลยุทธ และชุมชนคน VI เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ บัฟเฟตต์เองนั้น เริ่มจากการลงทุนตามแนวของเบน เกรแฮม จนถึงปี 1972 เมื่ออายุได้ 42 ปี และพอร์ตมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก เขาก็เริ่มเปลี่ยนแนวทางไปอย่างมีนัยสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ การหันมาลงทุนในหุ้นที่โดดเด่น มีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืน ถือหุ้นในอัตราส่วนที่มากหรือทั้งหมดของบริษัทแบบที่เรียกว่าเป็น “เจ้าของ” และถือหุ้นยาวมากแทบจะตลอดไป แทนที่จะซื้อหุ้นถูกและขายไปเมื่อหุ้นแพงและมีกำไรเป็นกอบเป็นกำแล้วในสไตล์ของเบน เกรแฮม

โดยหุ้นที่เขาลงทุนเป็นตัวแรกตามคำแนะนำของชาลี มังเกอร์ก็คือ หุ้นขายช็อกโกแล็ต “ซีแคนดี” ในปี 1972 ตามด้วยหุ้นหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ปี 1973 หุ้นใหญ่อย่างหุ้นประกัน GEICO ในปี 1976 หุ้นโคคาโคลา ปี 1988 หุ้นมีดโกนยิลเล็ต และอื่น ๆ รวมถึงหุ้นไอบีเอ็มและหุ้นแอปเปิลในช่วงหลัง ๆ นี้ ที่เป็นกิจการทั้งโดดเด่นและใหญ่โตระดับประเทศและโลก โดยที่หุ้นเหล่านั้นไม่ใช่หุ้นถูก ขอให้เป็นหุ้นที่มี “ราคายุติธรรม” ก็พอ เพราะบัฟเฟตต์เชื่อว่าหุ้นเหล่านั้นจะโตไปเรื่อย ๆ จนทำให้ราคาที่เขาจ่ายในวันแรกนั้น “ต่ำมาก”

ตัวอย่างเช่น เขาซื้อซีแคนดี้ทั้งบริษัทด้วยเงินเพียง 25 ล้านเหรียญ ในปี 1972 แต่ ถึงวันนี้เขาได้รับเงินสดคืนมาถึง 2,000 ล้านเหรียญหรือ 80 เท่าแล้วจากเงินปันผลในเวลา 50 ปี เช่นเดียวกับหุ้นแอปเปิลที่เขาเริ่มซื้อมาในปี 2016 ที่ราคาหุ้นละประมาณ 35 เหรียญ ด้วยเงิน 1 พันล้านเหรียญ แต่ถึงวันนี้เขาน่าจะมีกำไรประมาณ 175 พันล้านเหรียญ คำนวณจากราคาหุ้นที่ประมาณ 185 เหรียญต่อหุ้นที่เขาขายไปบ้างแล้วบางส่วน

การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธและแนวทางการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น ผมเชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถสร้างผลงานการลงทุนระดับสุดยอดให้กับการลงทุน “แบบ VI” ได้ยาวนานจนถึงวันนี้ เพราะถ้าเขายังยึดหลักการแบบ เบน เกรแฮม อยู่ เขาก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักตั้งแต่ประมาณปี 1972 มาจนถึงวันนี้

เพราะตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณปี 1973-1974 ที่ตลาดหุ้นอเมริกาประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจและตลาดหุ้นอานิสงค์จากสงครามเวียตนาม วิกฤติราคาน้ำมันและเงินเฟ้อครั้งใหญ่ จนถึงปี 1976 ก่อนที่เบน เกรแฮมจะตายนั้น เขาได้เริ่มแสดงความเห็นและให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์และวารสารการลงทุนว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เขาไม่เชื่อแล้วว่าการลงทุน “แบบ VI ดั้งเดิม” จะสามารถเอาชนะตลาดได้สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่” พูดง่าย ๆ มันคือ “อวสานของ VI” แล้วในสายตาของเบน เกรแฮม

เหตุผลก็คือ 1) นักลงทุน เฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนสถาบันเก่งขึ้นเรื่อย ๆ และมีจำนวนมาก 2) ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหุ้นกระจายไปสู่สาธารณะอย่างรวดเร็วและทุกคนเข้าถึงได้เท่ากันโดยที่แทบจะไม่มีต้นทุน ดังนั้น ราคาหุ้นทุกตัวก็สะท้อนกับข่าวสารทันที ไม่มีใครสามารถซื้อหุ้นที่ “ราคาถูก” ได้ต่อเนื่องยาวนาน หรือก็คือ “ตลาดมีประสิทธิภาพ” ตามที่นักวิชาการได้เสนอทฤษฎีและพิสูจน์แล้วว่า ไม่มีใคร รวมถึง VI ที่จะสามารถเอาชนะดัชนีตลาดได้

ผมเองก็เชื่อว่า ถ้ายังลงทุนซื้อ-ขายหุ้นในระยะสั้นหรือแม้แต่ในระยะกลาง 2-3 ปี วิธีแบบ VI ของเบน เกรแฮมก็อาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้วแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยหรือเวียตนามที่หลายคนบอกว่าตลาดยัง “ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ” นัก

แต่การลงทุนแบบ VI ในเวอร์ชั่นของบัฟเฟตต์ล่ะ ยังใช้ได้อยู่ไหม? ในวันที่บัฟเฟตต์เองก็กำลังเลิกลงทุน และก็ไม่เคยพูดตรง ๆ ว่า “VI อวสานแล้ว” แบบเดียวกับ เกรแฮม แต่ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เขาก็เคยพนันว่า ผลตอบแทน 10 ปี ของ S&P 500 จะชนะผลตอบแทนจากกองทุน Hedge Fund ระดับเซียนได้ และผลก็คือ เขาพูดถูก นอกจากนั้น ในระยะหลัง ๆ เขาเองก็แนะนำให้นักลงทุนลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีแทนที่จะพยายามเลือกหุ้นและนั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่า “VI จบแล้ว” เหมือนกัน

ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งของผมก็คือ บัฟเฟตต์เองก็คงตระหนักในความจริงเรื่องนี้ เพราะตัวเลขผลตอบแทนรายปีที่เบิร์กไชร์ทำได้ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมานั้น แพ้ตลาดมาก ผลตอบแทนทบต้นย้อนหลัง 20 ปี ของบัฟเฟตต์อยู่ที่ประมาณ 4.5% ในขณะที่ S&P 500 ให้ผลตอบแทน 6% และของ Nasdaq ซึ่งเป็นดัชนีหุ้นไฮเท็คนั้นสูงถึง 8% ต่อปี และนี่คือช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นผ่านวิกฤติในปี 2008 ด้วย

แต่ถ้าคิดย้อนหลังแค่ 10 ปี เพื่อที่จะวัดผลตอบแทนเฉพาะในช่วงปัจจุบันที่เป็นช่วงบูมและไม่มีภาวะวิกฤติจริง ๆ ตัวเลขก็คือ เบิร์กไชร์ให้ผลตอบแทนที่ 13.9% ต่อปี S&P อยู่ที่ 12.7% และ Nasdaq สูงถึง 15.5% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลักการ VI แบบบัฟเฟตต์นั้น ใช้แทบไม่ค่อยได้แล้วในช่วง 10 – 20 ปีที่ผ่านมา คือผลตอบแทนของ “โคตรเซียน VI” อย่างบัฟเฟตต์ก็แค่เท่า ๆ กับตลาด แต่แพ้ในตลาดของโลกยุคใหม่คือ Nasdaq ค่อนข้างมาก

ความเห็นของผมในฐานะที่เป็น VI ยุคแรกของไทย และเห็นวิวัฒนาการของ VI ไทยมาตลอดคืออะไร?
ผมคิดว่าเราก็คงตามสิ่งที่เกิดขึ้นในอเมริกา ยุคแรกเริ่มและต่อเนื่องไปซัก 10-15 ปี นั้น การลงทุนแบบ VI ดั้งเดิม คือซื้อหุ้นที่ถูกมากและขายหุ้นไปเมื่อแพงหรือราคาหุ้นขึ้นไปมาก ทำผลงานได้ดี อานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการที่หุ้นตกลงไปมากหลัง “วิกฤติต้มยำกุ้ง” และคนที่เป็น VI ก็ยังมีน้อย ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ หาหุ้นถูกได้เกลื่อนตลาด

ต่อมา การลงทุนแนวหุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” เน้นที่หุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน โดยหุ้นอาจจะไม่ได้ถูกมาก ก็เริ่มสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เพราะราคาหุ้นนอกจากปรับตัวขึ้นตามผลประกอบการที่ดีขึ้นแล้ว ค่า PE ก็ปรับตัวขึ้นอย่างมากมายด้วย

แต่ก็คงคล้ายกับบัฟเฟตต์ในช่วง 20 ปีหลัง ตลาดหุ้นไทยในช่วง 5-6 ปี นี้ ก็ตกต่ำลงตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มถดถอยลง “แบบถาวร” และส่งผลให้หุ้น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่อยู่ในเศรษฐกิจเก่าด้อยลงในแง่ของคุณค่าทางธุรกิจ ผลก็คือ หุ้นแบบ VI ทุกประเภทก็ไม่ไปไหนมานานหลายปีหรืออาจจะตลอดไป สำหรับผมแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่เรียกว่า “หมดยุค VI” ในตลาดหุ้นไทย และอาจจะเป็นในอเมริกาด้วย

ส่วนคนที่เป็น VI และเปลี่ยนไม่ได้นั้น คงต้องไปลงทุนในตลาดอื่น เช่น เวียตนาม หรืออินเดีย เป็นต้น ที่ตลาดหุ้นอาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพ สามารถหาหุ้นถูกและหุ้นดีแบบ VI ได้

 

 

 From https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/706-nivate-the-end-of-buffetts-era--the-death-of-value-investing 

15 พฤศจิกายน 2568

ลงทุนหุ้นและ ETF ประเทศอเมริกา และอื่นๆ ได้ง่ายๆ ด้วย DR80 จากธนาคารกรุงไทย

 

ลงทุนหุ้นและ ETF ประเทศอเมริกา และอื่นๆ ได้ง่ายๆ ด้วย DR80 จากธนาคารกรุงไทย ไม่ว่าจะเป็น

  •  ETF ดัชนี S&P500
  • หุ้น Apple (AAPL)
  • หุ้น Tesla (TSLA)

และอื่นๆ อีกมากมาย

 

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ DR80: https://krungthai.com/th/content/depositary-receipt

 

 

 

ฉลาดซื้อ พบ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปบางยี่ห้อมีโซเดียมถึง 2,360 มิลลิกรัม

 


ที่มา https://consumerthai.org/consumers-news/consumers-news/product-and-other/4454-630408_cupnoodles.html

10 พฤศจิกายน 2568

ตลาดหุ้นโลกถูกครอบงำโดยหุ้นยักษ์ 10 ตัว โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ ตลาดหุ้นอเมริกาโดยเฉพาะ NASDAQ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่โดดเด่นและเห็นได้ชัดกว่าก็คือ หุ้นเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ AI ที่เป็นผู้นำและมีขนาดใหญ่จำนวนประมาณ 7-10 ตัวที่นักลงทุนเรียกว่า “หุ้น 7 นางฟ้า” มีการปรับตัวขึ้นมาสูงกว่าดัชนีและหุ้นอื่น ๆ มาก

การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนานโดยที่มีช่วงปรับตัวลงน้อยกว่ามากนั้น ทำให้หุ้นดังกล่าวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับหุ้นอื่น จนถึงนาทีนี้เราคงต้องเรียกว่าเป็น “หุ้นยักษ์” ที่มีมูลค่าตลาดของหุ้นสูงมาก หุ้นตัวใหญ่ที่สุดคือ NVIDIA นั้นมีมูลค่าถึงกว่า 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเท่ากับ 162.5 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เท่าของ Market Cap. ของมูลค่าหุ้นทั้งหมด 7-800 ตัวของตลาดหุ้นไทย

และถ้าเปรียบบริษัทเหมือนกับประเทศ ๆ หนึ่งในโลกที่ผลิตสินค้าและบริการให้กับโลก หุ้น NVIDIA ก็ใหญ่ขนาดที่เรียกว่าใหญ่กว่าทุกประเทศในโลกยกเว้นสหรัฐและจีนในแง่ของ GDP พูดง่าย ๆ Market Cap. ของเอนวิเดียใหญ่กว่า GDP ของประเทศเยอรมันที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกที่ประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเช่นเดียวกัน

“หุ้นยักษ์” ที่เป็นหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในดัชนี S&P 500 ที่ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคทางด้าน AI กลุ่ม 7 นางฟ้าซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเอนวิเดีย หุ้นแอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล อะมาซอน บรอดคอม เมตา เทสลา เบิร์กไชร์ และเจพีมอร์แกน มี Market Cap. รวมกันประมาณ 25.7 ล้านล้านเหรียญนับที่วันสิ้นเดือนตุลาคม 2025 เมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี S&P ที่61 ล้านล้านเหรียญ ก็เท่ากับว่าหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวรวมกันมีมูลค่าเท่ากับ 42.2% ของหุ้นทั้งตลาด และหุ้น เอนวิเดียที่เป็นหุ้นตัวใหญ่ที่สุดเพียงตัวเดียวก็มีมูลค่าประมาณ 8.2% ในดัชนี S&P 500 แล้ว

พูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือ หุ้นตัวใหญ่ที่สุดในตลาด 10 ตัวนั้น ได้ “Dominate” หรือ “ครอบงำ” ตลาด S&P500 ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว คือหุ้นอเมริกาจะขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับกลุ่มหุ้น 10 ตัวนี้ เป็นหลัก ตลาดหุ้นจะบูมหนักหรือเกิดวิกฤติในอนาคต ก็ขึ้นอยู่กับ “หุ้นนางฟ้า” เหล่านี้ และประเทศสหรัฐจะแพ้หรือชนะจีนในการต่อสู้แข่งขัน ก็ขึ้นอยู่กับผลงานของหุ้นกลุ่มนี้

นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญต่างก็เชื่อกันว่า อนาคตของสหรัฐก็คือ การเติบโตของสินค้าบริการที่นำโดย AI ที่แทบจะ “กินรวบ” กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมด เพราะถ้ามองจากสัดส่วนของ Market Cap. ที่สูงถึง 42.2% นั้นก็อาจจะแปลว่า ในอนาคต คนก็จะใช้หรือทำอะไรเกี่ยวกับ AI มากมายในชีวิตประจำวัน รายจ่ายต่าง ๆ ที่จ่ายไปก็อาจจะจ่ายให้กับ AI เกือบครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แต่หลายคนก็อาจจะคิดว่า จริงหรือ? จำนวนไม่น้อยก็อาจจะคิดว่า “คิดเวอร์กันไปเอง” โลกยังไปไม่ถึงจุดนั้น จริงอยู่ AI นั้นมีความสำคัญสุดยอด การปฎิวัติ AI กำลังเกิดขึ้นก็จริง แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะมาทำงานแทนคนมากเสียจนคนเริ่มไร้ความหมายและตกงานกันไปหมด สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตอนนี้กับหุ้นก็คือ การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งที่ดันให้ราคาหุ้นขึ้นไปแบบหลุดโลกและไม่ช้าหุ้นก็อาจจะปรับตัวลงอย่างแรงจนอาจจะเกิดหายนะได้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนคนจะคิดกันว่า ตลาดหุ้นอเมริกากำลัง “กระจุกตัว” มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ อานิสงค์จากการที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี AI ขนาดใหญ่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะ “กลืนกิน” ธุรกิจรุ่นเก่าที่แทบจะไม่โตอีกต่อไปแล้ว

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ตลาดหุ้นอื่น ๆ ในโลกก็คงไม่เหมือนอเมริกา เพราะประเทศอื่นส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีหุ้นเทค AI ที่ยิ่งใหญ่เท่า ไม่ต้องพูดถึงตลาดหุ้นไทยที่เราเป็น “เศรษฐกิจเก่า” ดังนั้น หุ้นไทยก็คง “ไม่กระจุกตัว” และหุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็คงไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับตลาด จริงไหม? ลองมาดูกัน

ตลาดหุ้นไทย ณ.ประมาณสิ้นเดือนตุลาคม 2568 มี Market Cap. ประมาณ 16.8 ล้านล้านบาท หุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวมีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 7.8 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 46.3% ซึ่งสูงกว่าตลาด S&P 500 ที่อยู่ที่ 42.2% น่าตกใจใช่ไหมครับ และหุ้นใหญ่ที่สุดตัวเดียวคือหุ้นเดลต้ามี Market Cap. 2.73 ล้านล้านบาทหรือเท่ากับ 16.2% เทียบกับหุ้นเอนวิเดียที่ 8.2% งงไหมครับ? ที่ตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นยักษ์ 10 ตัวก็ครอบงำตลาดหุ้นไทย และครอบงำมากกว่าตลาดหุ้นอเมริกาด้วยซ้ำ

ลองมาดูตลาดหุ้นเวียตนามที่คนไทยไปลงทุนกันมาก “อัตราการครอบงำ” ของหุ้นยักษ์ Top 10 ของเวียตนามก็คือ หุ้นยักษ์ 10 ตัว มีมูลค่าตลาดรวมกันประมาณ 4 ล้านล้านบาท ในขณะที่ตลาดมี Market Cap. รวมประมาณ 9.33 ล้านล้านบาท คิดแล้วเท่ากับ 42.6% หุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น VIC หรือวินกรุ๊ปมีมูลค่าประมาณ 9.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 10.2% ของตลาดทั้งหมด นี่ก็กระจุกตัวสูงกว่า S&P 500 เช่นเดียวกันแม้จะน้อยกว่าตลาดหุ้นไทย

มาดูตลาดหุ้นเกาหลีที่ก็มีหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่จำนวนมากแม้ว่าจะไม่ใช่ AI มากนักยกเว้นหุ้นซัมซุง หุ้น Top 10 จำนวน 10 ตัว มี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่มูลค่าหุ้นทั้งตลาดเท่ากับ 2.45 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้น อัตราการกระจุกตัวของหุ้นยักษ์ก็คือ 43% สูงกว่า S&P 500 ที่ 42.2% และหุ้นซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดมี Market Cap. 4.54 แสนล้านดอลลาร์เท่ากับ 18.53% ของตลาดหุ้นเกาหลีทั้งหมด

ตลาดหุ้นไต้หวันนั้น ถ้าจะพูดไปก็คล้าย ๆ ตลาดเกาหลีในแง่ที่มีหุ้นยักษ์ AI ระดับโลกจริง ๆ ก็คือหุ้น TSMC ที่มี Market Cap. ใหญ่มโหฬารที่ 1.52 ล้านล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 49 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณเกือบ 3 เท่าของมูลค่าหุ้นทั้งตลาดของไทย และคิดเป็น 58.8% ของตลาดหุ้นไต้หวันที่มีมูลค่า 2.59 ล้านล้านเหรียญ

หุ้นยักษ์ 10 ตัวของไต้หวันมี Market Cap. รวมกันเท่ากับ 2 ล้านล้านเหรียญ ทำให้มีสัดส่วนเท่ากับ 76.8% ของตลาดหุ้นทั้งหมด และจึงน่าจะเป็นตลาดหุ้นที่มีอัตราการกระจุกตัวสูงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถ้าจะพูดไปก็คือ ตลาดหุ้นไต้หวันนั้นถูกครอบงำสมบูรณ์แบบด้วยหุ้น 10 ตัว หรือบางทีอาจจะบอกได้ด้วยว่าถูกครอบงำด้วยหุ้นตัวเดียวคือ TSMC

ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเป็นตลาดที่น่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นประเทศที่มีบริษัทไฮเทคจำนวนมากแต่มักอยู่ในเทคโนโลยียุคก่อนอย่างเช่น รถยนต์สันดาป เครื่องจักรกล หรืออิเลคโทรนิกส์รุ่นก่อน ๆ

หุ้นยักษ์ 10 ตัวซึ่งนำโดยโตโยต้าและหุ้นซอฟแบ้งค์ที่เป็นผู้นำทางด้านการลงทุนในธุรกิจดิจิทัลรวมถึง AI มี Market Cap. รวมกัน 1.52 ล้านล้านเหรียญ จากตลาดหุ้นทั้งหมดที่มีมูลค่าตลาดของหุ้น 5.54 ล้านล้านเหรียญ ดังนั้น อัตรากระจุกตัวจึงอยู่ที่ 27.4% ซึ่งถือว่าต่ำกว่าตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั้งหมดที่กล่าวมา หุ้นโตโยต้าที่ใหญ่ที่สุดในตลาดก็มี Market Cap. เพียง2.68 แสนล้านเหรียญหรือเท่ากับ 8.71 ล้านล้านบาท คิดเป็นแค่ 4.84% ของมูลค่ารวมของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่นในขณะนี้ ไม่ได้มีอาการของการเก็งกำไรและการกระจุกตัวของหุ้นใหญ่แต่อย่างใด

สุดท้ายก็คือตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนไทยจำนวนไม่น้อยเข้าไปลงทุน ตลาดจีนนั้นมีความซับซ้อนในแง่ที่ว่ามีตลาดหุ้นหลายแห่งรวมถึงตลาดฮ่องกงซึ่งมักจะแยกออกจากจีน และหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงที่เป็นหุ้นเทคและหุ้นขนาดใหญ่ก็มักจะไปจดทะเบียนในตลาด Nasdaq ด้วย การเปรียบเทียบต่าง ๆ เรื่องของการกระจุกตัวของหุ้นจึงเป็นเรื่องยากและไม่แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ผมเองพยายามจะทำและใช้ข้อมูลแบบหยาบ ๆ เพื่อจะดูว่าตลาดหุ้นจีนนั้นเป็นอย่างไรเทียบกับตลาดอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว

หุ้น Top10 10 ตัวที่ผมเลือกนั้นเริ่มจากตัวที่ใหญ่ที่สุดคือหุ้น Tencent ที่มี Market Cap. 5.94 แสนล้านเหรียญ ตามด้วย อาลีบาบา และหุ้นอื่น ๆ เช่นแบ้งค์ขนาดใหญ่ หุ้นให้บริการโทรศัพท์มือถือ หุ้นปิโตรไชน่าและตบท้ายด้วยหุ้นเสียวหมี่ที่อยู่อันดับ 10 ผลรวมของ Market Cap. เท่ากับ 2.79 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดหุ้นนั้นคิดจากตลาดในแผ่นดินใหญ่จีนไม่รวมฮ่องกงมีมูลค่าตลาดที่ประมาณ 11.87 ล้านล้านเหรียญ ทำให้อัตราการกระจุกอยู่ที่ 23.5% น้อยกว่าของตลาดญี่ปุ่นด้วยซ้ำ ในขณะที่หุ้นตัวใหญ่ที่สุดก็มีสัดส่วนแค่ 5% ของตลาดหุ้นโดยรวม

โดยสรุปแล้ว ตลาดหุ้นที่ดูเหมือนว่าจะมีหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเทียบกับหุ้นอื่น ๆ ในตลาดเดียวกันจนทำให้หุ้นเหล่านั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมายแบบเหลือเชื่อ และทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวสูงในแง่ที่ว่าหุ้นแค่ 10 ตัวรวมกันมีสัดส่วนหรือมีน้ำหนักสูงมากในตลาด เช่น 40% ขึ้นไปนั้น คือตลาดหุ้นไต้หวัน ตลาดหุ้นไทย เกาหลี เวียตนาม และอเมริกาที่มา “รั้งท้าย” ไม่ใช่อันดับ 1 อย่างที่คิด

ส่วนหุ้นที่ไม่มีอาการกระจุกตัวของหุ้นเลยน่าจะเป็นตลาดหุ้นญี่ปุ่นกับตลาดหุ้นจีน ที่ไม่มีหุ้นที่วิ่งขึ้นรุนแรงต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นยักษ์ระดับโลกและทำให้หุ้นมีการกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่เพียง 10 ตัว ที่จะกำหนดชะตากรรมของตลาดหุ้นทั้งหมด

มองอีกด้านหนึ่งก็คือ หุ้นของตลาดที่มีการกระจุกตัวสูงอาจจะเป็นสัญญาณว่าหุ้นยักษ์ 10 ตัวนั้นโดยส่วนใหญ่แล้วราคาอาจจะแพงจัดเป็นฟองสบู่ที่อาจจะแตกได้ในเร็ววัน เพราะราคาขึ้นมาจากการเก็งกำไรใน “อนาคต” ของบริษัทที่อิงอยู่กับธุรกิจระดับที่ปฏิวัติโลกที่อาจจะไม่จริง หรือถึงจะจริง แต่บริษัทเหล่านั้นก็อาจจะไม่ได้กำไรมากมายอย่างที่คิดเพราะบริษัทอาจจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันที่ยังไม่รู้ว่าใครจะชนะ ดังนั้น จึงเป็นความเสี่ยงสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้น 

 

 

Source: settrade.com 

03 พฤศจิกายน 2568

ใช้ AI อย่าเพิ่งซื้อหุ้น AI โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร





ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต” แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”

พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก” ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด

ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต


และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา

ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา

สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ

ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก

ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้

ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียตนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง

ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว

คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้

เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน

หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น

และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน

และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”

แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และTESLA

รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน

รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว

ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว

กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น

รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน

ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน

 

 Source: https://www.settrade.com/th/news-and-articles/articles/696-nivate-go-ahead-and-use-ai-but-think-twice-before-buying-ai-stocks 

01 พฤศจิกายน 2568

มหาเศรษฐีอายุยืนถึง 99 ปี แม้ออกกำลังกายน้อย-ชอบกินขนมหวาน ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

มหาเศรษฐีดังระดับโลก อายุยืนถึง 99 ปี แม้จะออกกำลังกายน้อยและชอบกินขนมหวาน แต่ความลับอยู่ที่ 4 สิ่งนี้

ชาร์ลี มังเกอร์ นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงและเป็นหุ้นส่วนคู่หูของวอร์เรน บัฟเฟตต์ เสียชีวิตในปลายปี 2023 ด้วยวัย 99 ปี แม้จะอายุมากแล้ว แต่ชาร์ลี มังเกอร์ยังคงมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมและสุขภาพดี แม้จะไม่ค่อยออกกำลังกายและมีความชอบในการทานของหวาน ตามที่เขาเคยบอกกับ CNBC

หลายคนเคยถามถึงเคล็ดลับในการมีอายุยืนและมีความสุข ชาร์ลี มังเกอร์มองว่าเรื่องนี้ง่ายและเรียบง่าย “ผมมั่นใจว่านิสัยการดื่มน้ำอัดลมมากๆ คงทำให้ผมลดอายุขัยไปบ้าง แต่ผมไม่แคร์” มังเกอร์กล่าว ส่วนใหญ่เคล็ดลับของเขามีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตเป็นหลัก



หลีกเลี่ยงความเครียดและอารมณ์ลบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า กุญแจสำคัญในการชะลอความชราคือการละทิ้งความอิจฉาริษยา ในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อบัณฑิตที่ฮาร์วาร์ดในปี 1986 เขากล่าวว่า ความอิจฉาและสารบางชนิดจะนำไปสู่ความทุกข์ยาก

หลายปีหลังจากนั้น มังเกอร์ยังคงย้ำคำพูดนี้ โดยในที่ประชุมประจำปี 2022 ของ Daily Journal เขากล่าวว่า "โลกไม่ได้ถูกควบคุมโดยความโลภ แต่โดยความอิจฉา"

ในการสัมภาษณ์กับ CNBC ชาร์ลี มังเกอร์แนะนำคนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงความโกรธแค้น ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ในสุนทรพจน์ปี 1986 ต่อบัณฑิตว่า "หากคุณไม่อยากให้ชีวิตลำบาก สิ่งที่ดีที่สุดคืออย่าโกรธหรือหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา"

การศึกษาปี 2018 พบว่า คนที่มักรู้สึกอิจฉาผู้อื่นมักมีสุขภาพจิตที่ไม่ดีและมีความสุขต่ำ ผู้ที่เข้าร่วมการสำรวจของ NerdWallet กล่าวว่า ความอิจฉามีผลกระทบเสียหายต่อสุขภาพจิต ทำให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลหรือเป็นโรคซึมเศร้า



การรักษาจิตใจให้สดใส

ก่อนที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพการลงทุน มังเกอร์ ผ่านช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทั้งการหย่าร้าง ความยากจน การสูญเสียลูกชายวัย 9 ขวบจากมะเร็งเม็ดเลือด และการสูญเสียการมองเห็นข้างหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง

มังเกอร์มองว่า "การมีความสุข" คือ "การกระทำที่ฉลาดที่ควรรักษาไว้" และเพื่อให้จิตใจสดใส สิ่งสำคัญคือการปล่อยวางอารมณ์ลบ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยบอสตันในปี 2019 พบว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มีทัศนคติเชิงบวกมีอายุยืนยาวขึ้นเฉลี่ย 11–15% ผู้ที่มีความคิดบวกมีความเสี่ยงต่ำกว่าที่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคหัวใจ และการศึกษานี้ยังพบว่า ผู้ที่มองโลกในแง่ดีมักมีแรงจูงใจมากขึ้นในการดูแลสุขภาพให้ดี



หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาสูบ

ชาร์ลี มังเกอร์มองว่า พฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่สามารถ "นำพาคนดีๆ ไปสู่ปัญหาหนัก" โดยเฉพาะเมื่อมีการพึ่งพาสารกระตุ้นเหล่านี้มากเกินไป

การศึกษาที่ใช้ข้อมูลจากคนกว่า 100,000 คนในยุโรปพบว่า การติดแอลกอฮอล์สามารถ ลดอายุขัยลงได้ถึง 28 ปี โดยทำลายตับ ระบบหัวใจและหลอดเลือด และอาจนำไปสู่การเกิดอัมพาต ส่วนการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคและการเสียชีวิตทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่มานาน ผลวิจัยจาก University College London พบว่า แต่ละมวนบุหรี่ สามารถลดอายุขัยเฉลี่ยได้ 20 นาที



ชาร์ลี มังเกอร์ - วอร์เรน บัฟเฟตต์ (ขวา)



มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

มังเกอร์มองว่า การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คนที่น่าเชื่อถือและหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่เป็นพิษมีส่วนช่วยให้เขาประสบความสำเร็จและมีความสุข หนึ่งในผู้ที่เขาผูกพันมายาวนานคือลอร์เรน บัฟเฟตต์ ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสก้า สหรัฐอเมริกาในปี 1959 และมีมิตรภาพยาวนานกว่า 60 ปี

การศึกษาที่ดำเนินมา 85 ปีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า ความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้คนมีความสุขและอาจทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวขึ้น ดร.โซฟียา มิลแมน รองศาสตราจารย์ด้านการแพทย์และพันธุศาสตร์จากสถาบันวิจัยวัยชราแห่งมหาวิทยาลัยการแพทย์อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปีหลายคนมักให้ความสำคัญกับผลกระทบเชิงบวกของความสัมพันธ์รอบตัวต่ออายุขัยของพวกเขา




บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (1 ปีย้อนหลัง)