
ลงทุนกัน | ถ้าการลงทุนคือหมากกระดาน Charlie Munger ก็คือนักเล่นหมากรุกรุ่นเก๋า ที่ไม่ได้แค่คิด 1-2 ตา แต่เขาคิดย้อนกลับ คิดข้ามศาสตร์ และคิดลึกแบบนักวิทยาศาสตร์
แล้วถ้าเราอยากลงทุนให้เก่งแบบเขา ต้องเริ่มจากอะไร?
เริ่มจากการเปลี่ยนวิธีมองโลก ด้วย “Mental Models” กรอบความคิดที่เปลี่ยนชีวิต
Charlie Munger ไม่เพียงสะสมหุ้น แต่เขายังสะสม “โมเดลความคิด” เพราะถ้าคิดให้ดีพอ การตัดสินใจจะไม่พลาด และนี่คือ 5 Mental Models ระดับเทพที่นำไปปรับใช้ได้ตั้งแต่วันนี้!
1. Invert, Always Invert: ไม่อยากพัง? ก็แค่เลี่ยงสิ่งที่ทำให้พัง
อยากประสบความสำเร็จ? ง่ายมาก แค่ไม่ล้มเหลวก่อน
แทนที่จะถามว่า “ต้องทำอะไรถึงจะรวย” ให้ถามกลับว่า “คนที่เจ๊ง เขาทำอะไรบ้าง?” แล้วก็แค่ไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่น ลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ โลภเกินไปตอนตลาดบูม เทขายตอนตลาดตื่นตระหนก
คิดมุมกลับ แล้วคุณจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
อยากประสบความสำเร็จ? ง่ายมาก แค่ไม่ล้มเหลวก่อน
แทนที่จะถามว่า “ต้องทำอะไรถึงจะรวย” ให้ถามกลับว่า “คนที่เจ๊ง เขาทำอะไรบ้าง?” แล้วก็แค่ไม่ทำสิ่งเหล่านั้น เช่น ลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจ โลภเกินไปตอนตลาดบูม เทขายตอนตลาดตื่นตระหนก
คิดมุมกลับ แล้วคุณจะมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองข้าม
2. Circle of Competence: รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
Munger ไม่ลงทุนในสิ่งที่เขา “เดาเก่ง” แต่เขาลงทุนในสิ่งที่เขา “รู้ลึก”
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณเป็นสายอสังหาฯ ก็ลงทุนหุ้นกลุ่ม Property หรือคุณรู้ลึกเรื่องพลังงาน ก็เกาะหุ้นสายพลังงานไว้
อย่าเพิ่งวิ่งเข้าหุ้น AI ถ้ายังไม่เข้าใจว่า API ต่างจาก GPU ยังไง
Munger ไม่ลงทุนในสิ่งที่เขา “เดาเก่ง” แต่เขาลงทุนในสิ่งที่เขา “รู้ลึก”
ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณเป็นสายอสังหาฯ ก็ลงทุนหุ้นกลุ่ม Property หรือคุณรู้ลึกเรื่องพลังงาน ก็เกาะหุ้นสายพลังงานไว้
อย่าเพิ่งวิ่งเข้าหุ้น AI ถ้ายังไม่เข้าใจว่า API ต่างจาก GPU ยังไง
3. Opportunity Cost: เวลาคุณเลือก A คุณกำลังบอกปัด B C D
ต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งที่คุณซื้อ ไม่ใช่แค่ราคาที่คุณจ่าย แต่มันคือ ‘โอกาสที่คุณพลาด’ ในการเอาเงินนั้นไปทำอย่างอื่นที่อาจคุ้มค่ากว่า
Advertisements
Munger จะไม่ถามว่า “หุ้นนี้ดีไหม” แต่จะถามว่า “มันดีกว่าอีกทางเลือกที่มีหรือเปล่า?” เช่น ลงทุนหุ้นที่โต 12% ต่อปี หรือถือเงินสดรอจังหวะเจอหุ้นที่โต 20%?
Munger ไม่ได้มองว่า ทางเลือกเยอะ = ดี แต่เขามองว่า ควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา แล้วใช้มันเป็นมาตรวัดในการตัดสินใจอื่น ๆ เพราะเราไม่สามารถเลือกทุกอย่างได้ แต่ “เลือกสิ่งที่คุ้มที่สุดได้เสมอ”
ต้นทุนที่แท้จริงของสิ่งที่คุณซื้อ ไม่ใช่แค่ราคาที่คุณจ่าย แต่มันคือ ‘โอกาสที่คุณพลาด’ ในการเอาเงินนั้นไปทำอย่างอื่นที่อาจคุ้มค่ากว่า
Advertisements
Munger จะไม่ถามว่า “หุ้นนี้ดีไหม” แต่จะถามว่า “มันดีกว่าอีกทางเลือกที่มีหรือเปล่า?” เช่น ลงทุนหุ้นที่โต 12% ต่อปี หรือถือเงินสดรอจังหวะเจอหุ้นที่โต 20%?
Munger ไม่ได้มองว่า ทางเลือกเยอะ = ดี แต่เขามองว่า ควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในแต่ละช่วงเวลา แล้วใช้มันเป็นมาตรวัดในการตัดสินใจอื่น ๆ เพราะเราไม่สามารถเลือกทุกอย่างได้ แต่ “เลือกสิ่งที่คุ้มที่สุดได้เสมอ”
4. Margin of Safety: กันล้มได้ ก่อนที่จะล้ม
นักลงทุนทั่วไปชอบถามว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้นอีกไหม?” แต่ Munger กลับถามว่า “ถ้าผิดล่ะ จะเจ็บไหม?”
Munger ไม่ได้เล่นเกมเสี่ยงดวง แต่เล่นเกมที่ “แทบไม่มีโอกาสแพ้” ด้วยการซื้อหุ้นดี ในราคาที่ถูกกว่าความจริงมากพอ จนต่อให้พลาด ก็ยังมีเบาะรองรับไว้เสมอ
เหมือนซื้อบ้านราคา 3 ล้าน ในย่านที่บ้านหลังอื่นขายกัน 4.5 ล้าน ต่อให้ตลาดซบเซายังไงก็ไม่เจ๊ง
นักลงทุนทั่วไปชอบถามว่า “หุ้นตัวนี้มีโอกาสขึ้นอีกไหม?” แต่ Munger กลับถามว่า “ถ้าผิดล่ะ จะเจ็บไหม?”
Munger ไม่ได้เล่นเกมเสี่ยงดวง แต่เล่นเกมที่ “แทบไม่มีโอกาสแพ้” ด้วยการซื้อหุ้นดี ในราคาที่ถูกกว่าความจริงมากพอ จนต่อให้พลาด ก็ยังมีเบาะรองรับไว้เสมอ
เหมือนซื้อบ้านราคา 3 ล้าน ในย่านที่บ้านหลังอื่นขายกัน 4.5 ล้าน ต่อให้ตลาดซบเซายังไงก็ไม่เจ๊ง
5. Multi-Disciplinary Thinking: คิดแบบนักลงทุน + นักจิตวิทยา + นักประวัติศาสตร์
Munger ไม่ใช่แค่นักลงทุน แต่คือ “นักคิดรอบด้าน” ที่หยิบความรู้จากทุกศาสตร์มาใช้ร่วมกันได้อย่างเฉียบขาด ทั้งฟิสิกส์ กฎหมาย จิตวิทยา วิศวกรรม ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ เพราะเขาเชื่อว่า “ความผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากการลืมคิดให้ครบทุกด้าน”
Advertisements
บางครั้งคำตอบของปัญหาบนโลกการลงทุน อาจซ่อนอยู่ใน “พฤติกรรมของมนุษย์” หรือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ที่เตือนให้เราหยุดซ้ำรอยความผิดพลาดเดิม
คิดแบบ Munger คือไม่ยึดติดศาสตร์ไหนเป็นศูนย์กลาง แต่เอาความรู้ทุกด้านมาเสริมกัน เพื่อเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อน และตัดสินใจให้แม่นยำในโลกการลงทุนที่วุ่นวายเกินคาดเดา
ถ้าอยากคิดเก่งแบบ Munger เริ่มจากฝึก “คิดก่อนเชื่อ” และ “เข้าใจก่อนลงทุน”
Munger ไม่ใช่แค่นักลงทุน แต่คือ “นักคิดรอบด้าน” ที่หยิบความรู้จากทุกศาสตร์มาใช้ร่วมกันได้อย่างเฉียบขาด ทั้งฟิสิกส์ กฎหมาย จิตวิทยา วิศวกรรม ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ เพราะเขาเชื่อว่า “ความผิดพลาดส่วนใหญ่มาจากการลืมคิดให้ครบทุกด้าน”
Advertisements
บางครั้งคำตอบของปัญหาบนโลกการลงทุน อาจซ่อนอยู่ใน “พฤติกรรมของมนุษย์” หรือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ที่เตือนให้เราหยุดซ้ำรอยความผิดพลาดเดิม
คิดแบบ Munger คือไม่ยึดติดศาสตร์ไหนเป็นศูนย์กลาง แต่เอาความรู้ทุกด้านมาเสริมกัน เพื่อเข้าใจสิ่งที่ซับซ้อน และตัดสินใจให้แม่นยำในโลกการลงทุนที่วุ่นวายเกินคาดเดา
ถ้าอยากคิดเก่งแบบ Munger เริ่มจากฝึก “คิดก่อนเชื่อ” และ “เข้าใจก่อนลงทุน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น