07 ธันวาคม 2560

View total number of facebook share and facebook like

To see total number of facebook share and facebook like, you can go to this link

https://graph.facebook.com/?id=YOUR_WEB_SITE

e.g.

if i want to see stat of https://hoonapp.com/gem, i just navigate to

https://graph.facebook.com/?id=https://hoonapp.com/gem

then i can see how much people share and like my page.

how to migrate git repository from one git server to another git server

We can by simply migrate git repository from one git server to another git server using the git mirror mode. There are just 3 steps to do.

$ git clone --mirror OLD_GIT_REPO.git
$ cd OLD_GIT_REPO
$ git push --mirror NEW_GIT_REPO.git

16 กันยายน 2560

มีชีวิตเพื่ออะไร

ชีวิตที่อยู่เพื่อเงิน คุณจะต้องทุกข์มาก
ชีวิตที่อยู่เพื่อลูก คุณจะต้องเหนื่อยมาก
ชีวิตที่อยู่เพื่อความรัก คุณจะต้องเจ็บปวดมาก
ชีวิตที่ต้องเปรียบเทียบแข่งขัน คุณจะรู้สึกยิ่งต้อยต่ำ

ชีวิตที่อยู่ด้วยความดี คุณจะอยู่อย่างไม่เห็นแก่ตัว
ชีวิตที่อยู่กับปัจจุบัน คุณจะอยู่อย่างโปร่งสบาย
ชีวิตที่อยู่อย่างใจกว้างให้อภัย คุณจะอยู่อย่างมีความสุข
ชีวิตที่อยู่ด้วยความเมตตา คุณจะอยู่อย่างเบิกบานแจ่มใส
ชีวิตที่อยู่อย่างพอเพียง คุณจะอยู่อย่างคนมั่งมีร่ำรวย



ที่มา forward email

13 กันยายน 2560

Add pop-up to ask for username and password [node.js] [express.js] [authorization]

To authorize user with basic username and password pop-up like this is really easy on express.js

You just put this code before doing the routes configuration.

var app = express();
//-----------------------------------
// attach middlewares
//-----------------------------------
app.use(function(req, res, next) {
// define username and password here
var auth = { username: 'username', password: 'password' };

var b64auth = (req.headers.authorization || '').split(' ')[1] || '';
var [username, password] = new Buffer(b64auth, 'base64').toString().split(':');
// Verify username and password are correct
if (!username || !password || username !== auth.username || password !== auth.password) {
res.set('WWW-Authenticate', 'Basic realm="nope"');
return res.status(401).send('Unauthorized');
} else {
return next();
}
});


05 กันยายน 2560

18 กฏแห่งการใช้ชีวิตของ องค์ดาไล ลามะ


























5 โรคสุดฮิตของผู้สูงอายุ

1. เวียนศีรษะ

เป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ มักเป็นๆหายๆ บางครั้งอาจมีอาการบ้านหมุน คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งสาเหตุของอาการเวียนศีรษะนั้น เกิดจากปัจจัยที่เกี่ยวกับการควบคุมการทรงตัวของร่างกาย


สิ่งกระตุ้นที่ทำให้สูญเสียการทรงตัวเร็วขึ้น

โรคที่มีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันสูง หรือโรคหัวใจ ที่ทำให้เกิดการตีบของหลอดเลือด เลือดจึงไหลไปเลี้ยงอวัยวะทรงตัวหูชั้นในได้ไม่ดี หรือไปเลี้ยงสมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทรงตัวได้ไม่เพียงพอ

สำหรับผู้ที่มีอาการเดินเซ เวียนศีรษะ ไม่ควรให้นั่งหรือนอนอยู่เพียงอย่างเดียว แต่ควรได้เดินไปทำกิจวัตรประจำวันด้วย แต่ต้องมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และไม่ควรพยุงตลอดเวลา เพราะจะทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถเดินเองได้



2. โรคกระดูกพรุน

เป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุทุกคน อันมีสาเหตุสำคัญจากการทำงานของฮอร์โมนที่ลดลง


สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน

1. ไม่ได้รับแคลเซียมเพียงพอ
2. กรรมพันธุ์
3. การใช้ยาสำหรับโรคบางอย่างทำให้เกิดการลดความหนาแน่นของกระดูก เช่น ยาคอร์ติโซน
4. การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราเป็นประจำ
5. ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ดื่มชา หรือกาแฟ ซึ่งมีผลทำให้กระดูกเสื่อมง่าย
6. ขาดการออกกำลังกาย
7. ขาดวิตามินดี เพราะในวิตามินดี มีความจำเป็นในการดูดซึมแคลเซียมไปใช้


ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคกระดูกพรุน

1. ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร
2. ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลากระป๋องปลาเล็กปลาน้อยหรือดื่มนมพร่องมันเนยผักผลไม้เป็นต้นมา
3. งดดื่มสุราและงดสูบบุหรี่



3. โรคข้อเสื่อม

เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่กระดูกอ่อนผิวข้อเป็นหลัก โดยมากมักเป็นที่ตำแหน่งข้อ คือ มีอาการปวดและเป็นหลังจากที่มีการใช้ข้อมากกว่าปกติ อาจมีอาการเจ็บด้านใดด้านหนึ่งของข้อได้ หรืออาจมีอาการบวมแดง แต่เมื่อได้พักอาการปวดก็จะลดลงหรือหายไป แต่อาการจะเป็นๆหายๆ ขึ้นอยู่กับการใช้งานข้อนอก จากนี้ยังมีอาการข้อฝืดเกิดขึ้นจากการหยุดการเคลื่อนไหวข้อเป็นเวลานาน เช่น นั่งท่าเดียว นั่งสมาธิและนั่งพับเพียบฟังเทศน์ เป็นต้น


ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคข้อเสื่อม

1. หมั่นออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
2. เข้าห้องน้ำไม่ควรนั่งยอง ควรปรับเปลี่ยนเป็นชักโครก หรือหาม้าสามขา มาคร่อมบนส้วมซึม
3. ไม่ควรนั่งกับพื้น หรือทำกิจกรรมที่ต้องก้มเป็นเวลานาน
4. หลีกเลี่ยงการขึ้นบันไดหรือที่สูงชัน
5. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก



4. โรคสมองเสื่อม

เป็นโรคที่มักพบในผู้สูงอายุ เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งแก้ไขได้ เช่น เกิดจากการขาดสารอาหารบางชนิด หรือแก้ไขไม่ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์


ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคสมองเสื่อม

1. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด
2. ระวังการใช้ยาเอง ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาทุกครั้ง และควรนำยาที่รับประทานเป็นประจำไปให้แพทย์ดูเพื่อกันการสั่งยาซ้ำซ้อน
3. หมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และเจาะเลือดตรวจหาประวัติและไขมันในเลือดสูง
4. ออกกำลังกายเป็นประจำ
5. หากิจกรรมที่ทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดและชะลอภาวะสมองเสื่อม เช่น ดนตรีบำบัด เต้นรำ เล่นเกมฝึกสมอง กลิ่นบำบัด และการออกกำลังกายที่ฝึกความสำพันธ์ของร่างกายและการสั่งงานของสมองซีกซ้ายและขวา



5. โรคซึมเศร้า

เป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตใจที่สำคัญซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ เพราะโรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุหนึ่งของการฆ่าตัวตาย

ทำอย่างไรให้ห่างไกลโรคซึมเศร้า

1. หลีกเลี่ยงการอยู่คนเดียว
2. พยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในวัยนี้
3. ทำกิจกรรมหรืองานอดิเรก รวมทั้งทำกิจกรรมเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น
4. หากอาการไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ






ที่มา forward email

03 กันยายน 2560

หุ้นดีที่ถูกมองข้าม hidden gems stocks หรือ หุ้นผ้าขี้ริ้วห่อทอง

ในตลาดหลักทรัพย์นั้นมีหุ้นกลุ่มนึงที่มีสินทรัพย์แฝงอยู่จำนวนมาก บางบริษัทมีสินทรัพย์แฝงมูลค่ามากกว่ามูลค่าของตัวบริษัทซะอีก

เรามาดูกันครับ ว่าหุ้นที่มีสินทรัพย์แฝง (hidden gems stocks หรือ หุ้นผ้าขี้ริ้วห่อทอง) นั้นมีตัวไหนกันบ้าง

*ข้อมูลราคา ณ วันที่ 16 กค 2020

หุ้นที่มีสินทรัพย์แฝง

จากเว็บไซต์ https://hoonapp.com/gem เราสามารถดูหุ้นที่มีสินทรัพย์แฝงได้ โดยจากรูปด้านบน

  • ราคา คือ ราคาปิดล่าสุด
  • Gems (%) คือ อัตราส่วนมูลค่าแฝง ถ้ามากกว่า 100 แสดงว่าหุ้นตัวนั้นๆ ถือสินทรัพย์ที่มีค่ามากกว่ามูลค่าตัวเองอยู่
ตัวอย่างหุ้นที่น่าสนใจ



INTUCH

หุ้น INTUCH 1 หุ้น ราคา 57 บาท แต่ถือหุ้นตัวอื่นๆ มูลค่า 70.60 บาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าราคาหุ้น INTUCH 123.85%





QH

หุ้น QH 1 หุ้น ราคา 2.16 บาท แต่ถือหุ้นตัวอื่นๆ มูลค่า 4.26 บาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าราคาหุ้น QH 197.09%





BA

หุ้น BA 1 หุ้น ราคา 6.20 บาท แต่ถือหุ้นตัวอื่นๆ มูลค่า 11.24 บาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าราคาหุ้น BA 181.36%







28 สิงหาคม 2560

กรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) กองทุนรวมหุ้นปันผลยอดฮิตในอดีต

ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายคนน่าจะรู้จักคุ้นเคยกับกองทุนรวมกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) หรือพี่น้องฝาแฝดของกองทุนรวมกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) เป็นอย่างดี เพราะในอดีตเคยเป็นกองทุนที่ฮิตมาก แต่ระยะหลังๆ 3 ปีที่ผ่านมาผลงานเริ่มแผ่วลงไป



ผลงานแผ่วช่วงปี 2013-2016

จากกราฟด้านล่างช่วงปี 2013-2016 ผลการดำเนินงานของ KFSDIV ไม่ค่อยดี ทำให้บางคนตัดสินใจสลับเงินไปลงทุนกับ บลจ อื่นแทน

ที่มา www.krungsriasset.com

สาเหตุที่ผลการดำเนินงานของ KFSDIV ไม่ค่อยดีอาจจะมาจากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการกองทุน กองทุนมีการขายหุ้นร้านสะดวกซื้อออกไปเพราะปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล ณ ตอนนั้น และได้สลับเงินไปลงทุนกับหุ้นพลังงาน ประกอบกับราคาน้ำมันเป็นช่วงขาลงพอดี



ผลงานเริ่มดีขึ้น

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผลงานของ KFSDIV เริ่มดีขึ้น และทำผลงานได้ดีกว่า SET INDEX ดังรูป

ที่มา www.krungsriasset.com

ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณที่ดีและสามารถคาดหวังได้ว่าอนาคตน่าจะทำได้ดีกว่าช่วงปี 2013-2016  อาจจะมาจากการทำงานของทีมผู้บริหารชุดใหม่เริ่มลงตัวขึ้น



KFSDIV เทียบกับกองทุนคู่แข่ง

ผมลองเทียบ KFSDIV กับกองทุนอื่นๆ ที่ลงทุนในหุ้นไทยโดยใช้เครื่องมือจากเว็บ morningstarthailand.com และเลือก Category = Equity Large Cap และเรียงลำดับตาม Morningstar Rating Overall พบว่า KFSDIV นั้นอยู่อันดับที่ 20 - 30 จากทั้งหมด 200 กว่ากองทุนครับ แสดงว่า ยังมีอีกหลายกองทุนที่ทำผลงานได้ดีกว่า KFSDIV แต่ก็มีอีกหลายกองทุนเช่นกันที่ทำผลงานได้แย่กว่า KFSDIV (เปรียบเทียบแบบคร่าวๆนะครับ) โดย KFSDIV นั้นได้ Morningstar Rating Overall 4 ดาวครับ

ที่มา morningstarthailand.com



ข้อด้อยของ KFSDIV ในมุมมองของผม

ขอเริ่มจากข้อด้อยก่อน และจะกร่าวถึงข้อเด่นทีหลังนะครับ ซึ่งในมุมมองของผม KFSDIV มีข้อด้อยดังนี้
  • ค่าธรรมเนียมแพงกว่ากองทุนอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน
  • ผลงานไม่ติด Top 10


ข้อดีของ KFSDIV ในมุมมองของผม
  • มีรายงานสรุปกองทุนประจำเดือนให้นักลงทุนได้อ่าน (สามารถดาวน์โหลดได้ที่เมนู ภาวะตลาดกองทุน KFSDIV จากเว็บ https://www.krungsriasset.com/th/FundDetail.html?fund=KFSDIV)
  • Portfolio Turnover Ratio ค่อนข้างต่ำ โดยจากรายงานประจำปี 2560 นั้น Portfolio Turnover Ratio ของ KFSDIV มีค่า 24.6% ซึ่งถือว่าน้อยมาก (Portfolio Turnover Ratio คือความถี่ในการเปลี่ยนหุ้นใน 1 ปี เช่น ถ้า KFSDIV ถือหุ้น 100 ตัว แสดงว่าใน 1 ปี KFSDIV จะขายหุ้น 24-25 ตัว เพื่อซื้อหุ้นตัวใหม่) สำหรับผมแล้ว Portfolio Turnover Ratio ต่ำๆ น่าจะดีเพราะหมายความว่า กองทุนเน้นถือยาวจริงๆ และจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้นด้วย
  • กองทุนมีการจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนทุกปีตั้งแต่ปีที่ก่อตั้ง (2550) และจ่ายเงินปันผล 4 ครั้ง (ทุกไตรมาส) เกือบทุกปี ซึ่งหลายๆ คนน่าจะชอบ KFSDIV ที่ตรงนี้ครับ
ที่มา www.wealthmagik.com


  • กองทุนมีการถือหุ้นในทุกอุตสาหกรรม และถือหุ้นไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป (ล่าสุดถือ 40 ตัว) ดังรูปด้านล่าง
ที่มา www.wealthmagik.com



สร้าง Passive Income อย่างง่ายๆด้วยกองทุน KFSDIV

Passive Income หรือรายได้โดยที่เราไม่ต้องทำงานนั้น เราสามารถสร้างได้โดยการทะยอยออมเงินแต่ละเดือนลงไปในกองทุน KFSDIV ครับ (หรืออาจจะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน)

ตัวอย่าง

  • ออมเงินเดือนละ 6,000 บาททุกเดือนในกองทุน KFSDIV
  • ระยะเวลา 20 ปี 
  • เงินปันผลได้ปีละ 8% และในช่วง 20 ปี เราจะนำเงินปันผลไปลงทุนต่อในกองทุน KFSDIV (re-investment)

future value calculator


จากรูป future value calculator (from http://www.thecalculatorsite.com/articles/finance/future-value-formula.php)

  • ณ ปีที่ 20 เราจะมีเงินทั้งสิ้น 3,534,122.49 บาท
  • กองทุน KFSDIV น่าจะปันผล 8% ดังนั้นเราจะได้เงินปันผล 282,729 บาทต่อปี หรือเดือนละ 23,560 บาทโดยที่เราไม่ต้องทำงานประจำ
  • จากตัวอย่าง ถ้าเราออมเงินมากกว่าเดือนละ 6,000 บาท ก็จะได้ Passive Income มากกว่าค่าข้างต้นครับ



















14 กรกฎาคม 2560

M-CHAI อัพไซต์ไม่น่าจะต่ำกว่า 5 เท่า


m-chai หรือโรงพยาบาลมหาชัยที่ตอนนี้มีโรงพยาบาลในเครือ 6 แห่ง เตรียมที่จะสร้างโรงพยาบาลพรีเมี่ยมขนาดใหญ่ 550 เตียง (ขนาดเท่าโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์) บนถนนพระราม 4 มูลค่าโครงการ 15,000 ล้านบาท (คาดว่าจะอยู่ในโครงการ One Bangkok) ซึ่งจะยื่น EIA ปลายปีนี้ และจะเปิดเฟสแรกปลายปี 2562 โดยจะถือหุ้น 42% และส่วนที่เหลือน่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยเจริญ



โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากการกู้ แบ่งเป็น 

1.ส่วนของผู้ถือหุ้นใน บ.ร่วมทุนแห่งนี้จำนวน 1,050 ล้านบาท จากทั้งหมด 2,500 ล้านบาท >> m-chai วางแผนที่จะกู้เพื่อมาใส่เงินก้อนนี้ และจะทำให้ D/E เพิ่มเป็น 2.04 เท่า
2.พอทุกฝ่ายใส่เงินเข้าไปแล้ว บ.ร่วมแห่งนี้ก็จะทำ project finance ต่ออีก 4,500 ล้านบาทมาสร้างโรงพยาบาล
3.หลังจากเปิดเฟสแรกแล้ว ก็จะทยอยนำเงินสดจากการดำเนินงานมาลงทุนต่อจนครบ 15,000 ล้านบาท 



จึงทำให้การลงทุนครั้งนี้ M-chai อาจไม่ต้องเพิ่มทุน หรือหากเพิ่มก็คงไม่มากนัก ทีนี้ก็จะเหลือแค่ค่าเสื่อมกับดอกเบี้ยที่อาจทำให้บริษัทขาดทุนในช่วงปี 2562-2564 และจะกลับมาทำกำไรได้ในปี 2565 จำนวน 171 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 640 ล้านบาทในปี 2566 (ตามความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงิน, แคปปิ ตอล ลิ้งค์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด)



ซึ่งพอคิดส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุนที่ 42% ก็จะรับรู้กำไรปี 2566 เข้ามาในงบ 269 ล้านบาท และเมื่อรวมกับกำไรของ M-chai ปี 2559 ที่ 173 ล้านบาท ให้เติบโตปีละ 10% ต่อปี จะได้กำไรปี 2566 ที่ 336 ล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนแบ่งกำไรจากโรงพยาบาลใหม่นี้ก็จะทำให้กำไรปี 2566 อยู่ที่ 605 ล้านบาท ซึ่งหากให้ p/e ใกล้เคียงกลุ่มการแพทย์แบบ conservative ที่ 25 เท่า (BH อยู่ที่ 36 เท่า) จะได้ marketcap = 15,125 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาต่อหุ้นที่ 1,260 บาท ภายในปี 2566 เทียบกับราคาปัจจุบันที่ 224 บาท



อย่างไรก็ดี ประมาณการเบื้องต้นนี้ อิงตามการประเมินของที่ปรึกษาทางการเงินเป็นหลัก หากโรงพยาบาลแห่งนี้ทำกำไรได้ช้ากว่าที่คาด อาจทำให้ใช้เวลานานกว่านี้กว่าที่ราคาจะไปแตะ 1,260 บาท แต่ความเห็นส่วนตัวเชื่อว่าโครงการนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงมากมาก เพราะว่าตั้งอยู่ในโครงการ One bangkok ของ tcc group ที่มีมูลค่าโครงการรวม 120,000 ล้านบาท โดยจะเป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ + ศุนย์รวมโรงแรม + ออฟฟิส + คอนโด รวมแล้วจุคนได้ประมาณ 60,000 คน ซึ่งแน่นอนว่าคนเหล่านี้หากป่วยคงมองโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นอันดับแรก อีกทั้ง CEO ของบริษัทร่วมทุนแห่งนี้คือ นายแพทย์สิน อนุราษฎร์ ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์ให้กับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงน่าจะทำให้ทุกๆอย่างออกมาได้ไม่แพ้บำรุงราษฎร์ (บำรุงราษฎร์มีกำไรปี 2559 ที่ 3626 ล้านบาท ซึ่งด้วยขนาดโรงพยาบาลใหม่แห่งนี้ที่มีขนาดเท่ากัน แต่ทำเลดีกว่ามาก + อยู่ในดงพนักงานออฟฟิศที่มีประกันบริษัททุกคน + ดงโรงแรมคอนโดและที่ท่องเที่ยว จึงเชื่อว่ากำไรที่ 640 ล้านบาทในปี 2566 นั้น น่าจะทำได้สบายๆ)



ทั้งนี้ทั้งนั้นทาง m-chai ยังไม่ได้แจ้งอย่างเป็นทางการว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะอยู่ที่ไหน หรือร่วมทุนกับใคร แจ้งแต่เพียงว่าจะอยู่บนถนนพระราม 4 แต่สาเหตุที่ผู้เขียนคิดว่าจะอยู่ในโครงการ One bangkok และร่วมทุนกับกลุ่มเสี่ยเจริญ คือ 


1.ในรายงานแจ้งว่าโครงการจะอยู่ในย่านศูนย์กลางทางธุรกิจและพาณิชยกรรม บนถนนพระรามที่ 4
2.ในรายงานแจ้งว่าอาคารตั้งอยู่ในโครงการมาสเตอร์แพลน โดยผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของภูมิภาคมีการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมที่ดีทั่วทั้งโครงการ มีสวนสาธารณะขนาดใหญ่อยู่ใกล้เคียง + ที่ดินอยู่ติดถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของผู้พัฒนาโครงการ พื้นที่โครงการจะแยกเป็นอาคารออกจากส่วนอื่น ๆ ซึ่งมี ทางเข้าออกเป็นของตัวเอง
3.บ.ร่วมแห่งนี้ได้มีการทำสัญญาเช่าช่วงที่ดินและการพัฒนา โดยวัตถุประสงค์ของสัญญาคือ "ผู้พัฒนาโครงการต้องการจะให้เช่าช่วงที่ดินส่วนหนึ่งของโครงการของผู้พัฒนาโครงการ"
4.ที่ตั้งของโรงพยาบาลจะเป็นสัญญาเช่าช่วง 30+30 ปี ซึ่งตรงกับที่ดินแปลง one bangkok



ซึ่งผู้เขียนมองว่าราคาที่ลดลงมาอย่างหนักกว่า 33% จากต้นปีที่ 328 บาท มาอยู่ที่ 224 บาท ณ เวลาเขียน ส่วนหนึ่งจากความกังวลเรื่องแผนลงทุนนี้ ว่าจะสร้างผลขาดทุนในช่วงแรก แต่มองข้ามอนาคตที่สดใจนั้น เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนที่ดีมาก



ปล. อย่าลืมตั้ง See First นะครับ (สำหรับมือถือกดตรงปุ่ม following หน้าแรกเพจ แล้วเลือก See first) จะได้ไม่พลาดทุกโพสต์ เพราะช่วงนี้เฟสบุ๊คลดเปอร์เซ็นต์การเข้าถึงของเพจต่างๆ ลงมาก



โดย หุ้นลับ (facebook.com/hoonlub)

19 มิถุนายน 2560

พออายุใกล้ 70 ข้าพเจ้า เรียนรู้ สิ่ง 7 สิ่งในชีวิต

เจ้าผู่ชู นักเขียนอักษรพู่กันจีน ชื่อดัง ได้บันทึกถึงความรู้สึกที่มีต่อชีวิตเมื่อผ่านเข้า วัย 70 ซึ่งมีสาระน่าสนใจดังนี้

"พออายุใกล้ 70 ข้าพเจ้า เรียนรู้ สิ่ง 7 สิ่งในชีวิต"



1. ต้องอยู่ให้รอด

ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วตก อยู่อีก 1 วัน เหลือน้อยลง 1 วัน สุขอีก 1 วัน กำไร 1 วัน



2. ต้องอยู่ให้มีความสุข

ตำแหน่งสูง มิสู้มีรายได้สูง รายได้สูง มิสู้อายุยืน อายุยืน มิสู้มีความสุข..ขอให้มีความสุข เพราะความสุขคือเงินสด นอกนั้นแค่กระดาษเช็ค



3. ต้องเป็นของเราเอง

หมายถึง ไม่ใช่เป็นของคนอื่น หรือ ยืมของคนอื่นมาใช้ ตำแหน่งเป็นของชั่วคราว เกียรติยศเดี๋ยวก็ผ่านไป สุขภาพเท่านั้นที่เป็นของเรา



4. ไม่เหมือนกัน ย่อมไม่เหมือนกัน

ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่มีขีดจำกัด แต่ ความรักของลูกต่อพ่อแม่มีขีดจำกัด ลูกๆ ป่วย พ่อแม่กลุ้มใจ พ่อแม่ป่วย แค่ลูกๆ มาเยี่ยมมาถามไถ่ ก็พอใจแล้ว ลูกๆ ใช้เงินของพ่อแม่ สมเหตุสมผล พ่อแม่จะใช้เงินของลูกๆ ต้องมีเหตุมีผล บ้านของพ่อแม่ก็คือบ้านของลูกๆ บ้านของลูกๆ ไม่ใช่ บ้านของพ่อกับแม่ ไม่เหมือนกันก็คือไม่เหมือนกัน พ่อแม่ที่เข้าใจจะถือเอาความกตัญญู กตเวทีของลูกๆ เป็นจิตอาสาและความสุข ไม่หวังการตอบแทน หากหวังการตอบแทน นั่นคือหาทุกข์ใส่ตัว



5. อย่าคาดหวังใคร

ยามป่วยอย่าคาดหวังใคร แม้แต่ลูกๆ "ไม่มีลูกกตัญญูหน้าเตียงคนป่วยเรื้อรังหรอก"

คาดหวังคู่ชีวิตหรือ เขาเองก็เอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ที่คาดหวังได้

คือเงินอย่างเดียว ใช้เงินรักษาตัว



6. ระลึกแต่ความหลัง

อาจจำเป็นเพราะจำเรื่องราวได้น้อยลง ลืมมากขึ้น ฉะนั้น

สุขภาพคือทรัพย์ จำไว้ แข็งแรงเข้าไว้ หาความสุขเสมอ



7. อย่ากลัวความตาย

เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเท่าเทียมกัน ต้องมีความพร้อมด้านจิตใจ พอยมบาลมาเรียก ก็พร้อมที่จะไปได้เลย ต้องไม่มีการอาลัยอาวรณ์



ครบ 7 ข้อ

ยามลำบาก มากอุปสรรค

ต้องตั้งหลักให้มั่นคง

ยามได้ดี มียศสูงส่ง ต้องรู้ปลง ปลดปล่อยวาง



ฉะนั้นอย่าท้อ เวลาผ่านไปเงื่อนไขเปลี่ยน สถานการณ์ก็มักผันแปร อาจดีขึ้น ก็ได้

เราไม่จำเป็นต้องรวย เพราะมีเงินมาก แต่เราอาจรวยความสุขได้เพราะการให้



**ผมอ่านทุกครั้งกินใจทุกครั้งจึงส่งต่อมา และขอขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ขอบคุณ

เขียนได้ดีก๊อปมาให้อ่านกัน

เราคือเพื่อนกัน

ไม่ใช่สายโลหิต ไม่ใช่ญาติ หากเป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญแท้ๆ

เป็นความประจวบเหมาะ เป็นความพอดีที่มาพบเจอ มาเรียน มาทำงานด้วยกัน มาร่วมชะตากรรมเดียวกัน แล้วนับจากนั้นก็ผูกพันกันเรื่อยมา ในฐานะเพื่อน

ลบไม่ออก แก้ไขไม่ได้

เว้นเสียแต่ว่า จะเปลี่ยนสถานะใหม่ให้เป็นศัตรูกัน ซึ่งโอกาสนั้นก็เป็นได้น้อยในหมู่เพื่อน

อายุล่วงมาถึงวันนี้ เพื่อนใหม่ไม่มีแล้ว ใจไม่อยากเปิดรับเข้ามาอีก ก็คงมีแต่เพื่อนเก่าสมัยเรียน ประถม- มัธยม - อุดมศึกษา - เริ่มทำงาน หรือ เรียนปริญญาบัตรอื่นๆ ซึ่งนับวันจะเหลือน้อยลงไป

เพื่อนเก่าแต่ละคน อายุก็ไล่ๆ กันกะเรา หรือแก่อ่อนกว่ากันไม่มาก บางคนไปไหนไม่ได้ ไปไม่ไหวแล้ว

บ้างก็ทำงานไกล อาศัยอยู่ไกล บ้างติดภาระของลูกบ้างเมียบ้าง กระทั่งธุระของหลาน รวมทั้งสังขารของตน

จะเห็นชัดเจนว่า มีการลดจำนวนครั้งที่นัด

นัดแต่ละทีก็มีจำนวนคนลดลง เพื่อนบางคนล่วงหน้าเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ยามคิดถึง ก็ได้แต่จุดธูปเทียน เขียนชื่อ ยกมือพนม ทำบุญ ระลึกถึง

จะมีอะไรไปถึงหรือไม่ ไม่รู้ พิสูจน์ไม่ได้ แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าไปถึงเพื่อน ว่าเพื่อนจะได้รับ

"ดูแลกันยามมีชีวิต ยามเดือดร้อนนี่แหละครับ ดูแลกันตามกำลัง"

ถ้าเพื่อนไม่ช่วยเพื่อนแล้ว ใครล่ะครับจะช่วย คนอื่นเขายิ่งไม่รู้จักมักคุ้น ไม่ใช่เพื่อนกัน ใครเขาจะยื่นมือมา

ผิดพลาดไปบ้าง ห่างเหินไปหน่อย บกพร่องระหว่างกันไปบ้าง อภัยเถิดครับ

"ทำใจสบายๆ เปิดใจให้กว้าง เอื้อเฟื้อดูแลเกื้อกูลกันยามมีชีวิตดีที่สุดครับ"

เพราะเราคือ เพื่อนกัน



from: forward email

06 มิถุนายน 2560

linux ubuntu view disk usage

to view disk usage on linux ubuntu, run this command

df -h -x tmpfs -x devtmpfs


sample result:


17 พฤษภาคม 2560

run shell script after connecting via ssh on linux / unix

If you want to run shell script after connecting to the server via ssh on linux or unix. Simple edit this file (depend on your shell)

  • ~/.profile
  • ~/.bash_profile
  • ~/.zprofile
  • ~/.login
then try to logout and re-login, the script will be executed automatically.

10 พฤษภาคม 2560

รู้ทัน "อารมณ์" ของการซื้อบ้าน ที่มักทำให้คุณตัดสินใจพลาดในตลาดอสังหา

มาดูกันว่า “อารมณ์” ของเราจะมีอิทธิพลต่อบ้านที่เราเลือกและราคาที่เราจ่ายอย่างไรบ้าง และถ้าเราไม่รู้ทันอารมณ์ของเราที่เกี่ยวข้องกับการได้เป็นเจ้าของบ้านอาจจะนำมาซึ่งการตัดสินใจซื้อบ้านแบบผิดๆ เหมือนที่เราเคยทำมาในอดีต



มันเป็นความจริงที่ว่า “บ้าน” เป็นทรัพย์สินที่เราใช้ “อารมณ์” ในการตัดสินใจมากกว่าการลงทุนประเภทอื่นมาก เพราะบ้านเป็นทั้งที่อยู่อาศัยให้เราได้ผ่อนคลายจากโลกที่วุ่นวายข้างนอก เป็นสถานที่ๆ เราเติบโต เริ่มต้นสร้างครอบครัว และก็เลี้ยงลูกเราต่อจนโต ทั้งยังแหล่งลงทุนที่หลายคนหวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่าเดิมในอนาคต ดังนั้นเราจึงผูกพันกับบ้านมากกว่าการลงทุนประเภทอื่น และหลายครั้ง เราก็มักปล่อยให้ความคิดของ “การเป็นเจ้าของ” (ownership) เข้ามามีอิทธิพลและบดบังหลักการใช้เหตุผลในการ “ซื้อบ้าน” จนทำให้เราได้รับผลกระทบจากความผิดพลาดในระยะยาว ยกตัวอย่างเวลาที่คนมักสนใจในขนาดและรูปแบบของตัวบ้านมากกว่าความจริงที่ว่า พวกเขาอยากจะใช้เวลาไปกับครอบครัวให้ได้มากที่สุด ดังนั้น พวกเขาก็อาจตัดสินใจซื้อบ้านที่ “เพอร์เฟ็ค” มาก แต่กลับต้องใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปกลับที่ทำงานมากกว่า 2 ชั่วโมง แทนที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวซะอย่างนั้น และนี่ก็เป็นข้อผิดพลาดทางด้านจิตวิทยาของคนซื้อและคนขายบ้าน ที่เรามักพบในตลาดอสังหาฯ



เพิกเฉยภาพรวม

สำหรับผู้ที่กำลังจะซื้อบ้าน พวกเขามักมองและถูกดึงดูดด้วยจุดน่าสนใจทางกายภาพของบ้าน แต่ละจุด อย่างเช่น สวนหลังบ้านที่กว้าง เฟอร์นิเจอร์สวยหรู ห้องนอนที่กว้างมาก เพราะเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม แต่บางครั้งมันก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพราะการย้ายบ้านก็ได้อย่างเสียอย่างเหมือนกัน

สิ่งที่ต้องแลกในหลายๆ กรณีก็คือ ระยะเวลาในการเดินทาง หลายคนย้ายไปอยู่บ้านที่ใหญ่ขึ้นแต่ก็ไกลจากที่ทำงานมากขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้มีเวลาอยู่กับครอบครัวน้อยลงอีก ซึ่งการเดินทางไปกลับจากที่ทำงานนี้ก็มักไปลดทอนความสุขและเพิ่มความเครียดได้เหมือนกัน มีการศึกษาจาก Scandinavian Journal of Economics ที่ทำให้เห็นว่า คนที่ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่า ในแง่ของความรู้สึก พวกเขาจะมีความอยู่ดีมีสุขน้อยกว่าคนที่ใช้เวลาเดินทางน้อย

มันง่ายเหลือเกินที่เราจะหลงเสน่ห์ไปกับความน่าสนใจและจุดเด่นทางแง่ของกายภาพต่างๆ ของบ้านที่จะซื้อ แต่ผู้ซื้อต้องไม่ลืมพิจารณาว่า บ้านที่จะซื้อจะส่งผลอย่างไรกับความสัมพันธ์ทางสังคมของเราบ้าง



มองข้ามรายจ่ายใหญ่ๆ

คนที่กำลังซื้อบ้านมองค่าใช้จ่ายเป็นส่วนๆ และไม่นำมาคิดรวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการปรับแต่งบ้าน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจผิดๆ เกี่ยวกับราคาแท้จริงที่พวกเขาต้องจ่ายไปกับบ้านหลังนั้น อย่างเช่น บางคนก็เอาเงินไปจ่ายเงินดาวน์ไว้มากเสียจนไม่เหลือเงินไว้ซื้อเฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งบ้านที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นเวลาที่คุณจะซื้อบ้าน คุณต้องคำนวณเงินในการตกแต่งและซื้อเฟอร์นิเจอร์ด้วยเช่นกัน



ชั่งน้ำหนักระหว่างการซื้อบ้านกับการเช่าบ้าน

ความกังวลใจด้านการเงินที่ใหญ่ที่สุดในการซื้อบ้านก็คือ “จริงๆ แล้ว คุณควรที่จะซื้อบ้านหรือเปล่า” ซึ่งมีผลการวิจัยที่บอกว่า มันมีประโยชน์ในด้านจิตวิทยาที่จะตัดสินใจซื้อไปเลย ในขณะเดียวกันก็มีประโยชน์ที่จะเก็บเป็นทางเลือกไว้ด้วย

การซื้อบ้านทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจสูงทีเดียว เพราะการซื้อบ้านทำให้ผู้ซื้อเกิดความรู้สึกที่ว่า “ได้เป็นเจ้าของบ้านแล้วนะ” ซึ่งนับว่าเป็นจุดยิ่งใหญ่สำคัญทีเดียว เพราะการเป็นเจ้าของบ้านทำให้ผู้ซื้อสามารถควบคุมอะไรได้มากขึ้นเพราะไม่ต้องไปคอยถามความเห็นจาก “ผู้ให้เช่า” (landlord) อีกต่อไป

แต่ในขณะที่ความรู้สึกได้เป็นเจ้าของเป็นเหตุผลหนึ่งในการซื้อบ้าน แต่ก็ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่คุณยังไม่เคยค้นพบเมื่อได้เป็นเจ้าของบ้านจริงๆ ดังนั้นคุณต้องเตรียมความพร้อม



คาดหวังว่าจะได้เงินคืนก้อนโต

สำหรับการขายบ้าน ความจริงคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขายบ้านในราคาก้อนโตอย่างที่คิด แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอีกมากที่ตั้งราคาบ้านของพวกเขาไว้อย่างโลกสวยทีเดียว มีการศึกษาของอาจารย์มหาวิทยาลัย Yale ท่านหนึ่งที่ทำการสำรวจคนซื้อบ้าน ปรากฎว่า คนซื้อบ้านนั้นคาดหวังว่าราคาในอนาคตของบ้านจะเพิ่มสูงขึ้นมาก ทำให้พวกเขาซื้อบ้านในราคาที่ไม่ได้ดีนักเมื่อดูจากทำเลและสังคมโดยรอบ เพราะพวกเขาคิดว่าเป็นการลงทุนที่ดี

แม้ว่ายังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าทำไมเจ้าของบ้านมักจะมีมุมมองต่ออนาคตที่ค่อนข้างสดใสมาก แต่นักวิชาการก็คิดว่าเป็นผลมาจาก “ภาพลวงของเงิน” คือ ความผิดพลาดที่เรามักไม่นำเอา “ค่าเงินเฟ้อ” เข้ามาพิจารณาด้วย

ลองคิดดูง่ายๆ ว่าเมื่อคุณได้บ้านจากคุณย่ามาเป็นมรดก คุณรู้ว่าราคาบ้านในปัจจุบันคือ 3 ล้าน แล้วคุณก็ดูราคาที่คุณย่าซื้อมาแค่ 5 แสน คุณก็คิดว่า “ว้าว ได้เงินเยอะเลย” แต่ที่มันดูเยอะเพราะคุณยังไม่ได้เอาเงินเฟ้อเข้ามาคำนวณในราคาบ้านเลย ดังนั้นคุณอาจจะไม่ได้ทำกำไรเท่าไรเมื่อเอาเงินเฟ้อมาคำนวณด้วย



ที่มา https://goo.gl/SF0YlG

07 พฤษภาคม 2560

"ความหลักแหลม"ที่สุดของมนุษย์ก็คือ "ความใจกว้าง"

"ความหลักแหลม"ที่สุดของมนุษย์ก็คือ "ความใจกว้าง"




ที่กรุงไทเปมีผู้รับเหมาก่อสร้างคนหนึ่ง เป็นคนหนุ่มที่ชาญฉลาดที่รู้กันทั้งวงการ มีหัวการค้าเป็นเลิศ ทำงานคล่องแคล่วว่องไว พร้อมลุยงานหนักมาตลอด หลายๆปีผ่านไป ก็ไปได้ไม่ไกล สุดท้ายหนี้สินล้นพ้นตัว จนถูกฟ้องล้มละลายในที่สุด




ในช่วงที่ชีวิตตกอับสุดๆ เขามักนั่งวิเคราะห์ถึงจุดบอดจุดอ่อนของตนอย่างละเอียด แต่ก็หาคำตอบให้ตนเองไม่ได้สักที




เพราะหากพูดถึงความเฉลียวฉลาด ความขยัน การวางแผน เขาไม่แพ้คนอื่นแน่นอน แต่ทำไมคนอื่นประสบความสำเร็จไปได้ดีกันทั้งนั้น แต่เขากลับห่างไกลจากความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ จนปัญญาสุดๆไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน




มีอยู่วันหนึ่งเขาเดินผ่านแผงขายหนังสือพิมพ์ข้างทาง ด้วยอารมณ์ที่เซ็งสุดกู่อยู่แล้ว ก็เลยซื้อหนังสือพิมพ์ติดมือมาฉบับหนึ่ง เปิดอ่านอย่างไม่ได้ตั้งใจ อ่านๆไป ตาสว่างขึ้นมาในทันใด มีข้อความหนึ่งบนหนังสือพิมพ์โดนใจแบบจุดประกายให้เขาสว่างไสวขึ้นมาอย่างทันตาเห็น หลังจากนั้น เขากลับมาเริ่มต้นอาชีพเดิมใหม่อีกครั้งด้วยเงินหนึ่งหมื่นเหรียญเท่าที่เขามีอยู่ในตอนนั้น




การกลับมาครั้งนี้ ธุรกิจของเขาเหมือนมีเวทย์มนต์ เริ่มจากรับตกแต่งร้านขายโชห่วยเล็กๆ ค่อยๆเดินใหม่ทีละก้าว จนสามารถลุยไปรับสร้างโรงงานปูนซีเมนต์ เริ่มจากการรับงานเหมาเล็กๆน้อยๆจากคนอื่นมาอีกทอดหนึ่ง จนสุดท้ายสามารถรับงานใหญ่ด้วยตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ มีแต่ความราบรื่นมาตลอดทาง คนที่ร่วมค้าร่วมทุนหรือร่วมมือกับเขา ล้วนมีแต่ความสบายอกสบายใจและปนความแปลกใจในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเขา ภายในเวลาไม่กี่ปี ทรัพย์สินของเขาเพิ่มจำนวนเป็นมูลค่าถึงร้อยล้านเหรียญ กลายเป็นเรื่องเล่าแสนมหัศจรรย์ในวงการก่อสร้าง




นักข่าวมากมายขอสัมภาษณ์เคล็ดลับในการกลับมาผงาดอย่างสง่าผ่าเผยของเขา เขาแค่พูดประโยคสั้นๆเพียงสี่พยางค์ว่า "รับแค่หกส่วน" เมื่อกาลเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ทรัพย์สินของเขาก็เพิ่มเป็นหมื่นล้านเหรียญในที่สุด




มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขารับเชิญไปเป็นองค์ปาฐกที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คำถามจากนักศึกษาล้วนถามเกี่ยวกับเคล็ดลับอะไรที่ทำให้เขาสามารถแปลงเงินหมื่นเหรียญเป็นหมื่นล้านเหรียญ เขายิ้มก่อนตอบว่า "เพราะผมมักยืนกรานเสมอว่า ขอรับน้อยลงสักสองส่วนสิบ" สร้างความงุนงงให้กับเหล่านักศึกษายิ่งขึ้น




เขามองหน้านักศึกษาทุกคนที่มีสายตาเต็มไปด้วยความอยากรู้แห่งความสำเร็จของเขา ในที่สุด เขาจึงเริ่มต้นเล่าชีวิตจากช่วงที่เขาตกอับที่สุด เขาบอกว่าเขาเจอหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งโดยบังเอิญ มีบทสัมภาษณ์นายลีเจอะไค่ ซึ่งเป็นลูกชายของนายลีกาชิง มหาเศรษฐีชาวฮ่องกง นั่นคือบทความที่จุดประกายให้มุมมองของเขาเปลี่ยนไป




คนสัมภาษณ์ถามนายลีเจอะไค่ว่า "คุณพ่อของคุณสอนเคล็ดลับอะไรให้คุณในการทำการค้า"




นายลีตอบว่า "ท่านไม่ได้สอนเคล็ดลับอะไรเกี่ยวกับเรื่องการค้าหรือการหาเงิน แต่ท่านเน้นสอนวิธีการวางตัวที่เหมาะสมให้ผม"




นายลีพูดต่อว่า "คุณพ่อย้ำเตือนผมอยู่เสมอ ลูกจะร่วมมือทำการค้าอะไรกับใครก็ได้ หากลูกได้รับส่วนแบ่งของกำไรมา เจ็ดส่วนสิบอาจจะดูสมเหตุสมผล แปดส่วนก็พอได้ แต่ตระกูลลีของเรา "รับแค่หกส่วน" ก็เพียงพอแล้ว"




เมื่อพูดมาถึงตอนนี้ เขาซึ่งยืนอยู่บนเวทีพูดอย่างเน้นย้ำว่า "บทสัมภาษณ์บทนี้ ผมบรรจงอ่านไม่ต่ำกว่าร้อยเที่ยว และในที่สุด ผมก็คิดว่าผมสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ของมัน จุดสูงสุดของการวางตัวก็คือ "ความใจกว้าง" เพราะฉะนั้น "ความหลักแหลม"ที่สุดของมนุษย์ก็คือ "ความใจกว้าง"




ลองคิดสักนิดจะตระหนักว่า นายลีกาชิงมักจะยินดีให้คนอื่นได้มากกว่าอีกสองส่วน มันจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ใครๆก็อยากร่วมมือร่วมทุนกับนายลีกาชิง เพราะมีแต่ได้กับได้




แม้นายลีกาชิงมักจะยินดีที่จะรับแค่หกส่วนแทนที่จะรับแปดส่วน โอกาสการทำธุรกิจจึงเพิ่มขึ้นมากมาย ใครมีโปรเจ็คหรือโอกาสก็มักจะมาหาเขาก่อน ลองคิดดูว่าถ้าเขารับเต็มจำนวนทั้งแปดส่วน โอกาสร้อยครั้งอาจจะลดลงมาเหลือไม่กี่ครั้ง สรุปแล้ว ส่วนไหนจะได้เงินมากกว่า นั่นคือเคล็ดลับของความสำเร็จ"




"ผมประสบความล้มเหลวในช่วงแรกของชีวิต ล้วนมาจากการคิดเล็กคิดน้อยไม่ยอมให้มีอะไรเล็ดลอดหรือเสียเปรียบใคร ตรงกันข้าม กลับพยายามเค้นหาผลประโยชน์จากคู่ค้าให้มากเข้าไว้ เพราะคิดว่ากำไรยิ่งสูง ก็ย่อมหมายถึงความสำเร็จที่หอมหวาน ในที่สุด อาจดูดีเหมือนมีกำไรดีในวันนี้ แต่กลับพ่ายแพ้เสียอนาคตและโอกาสไปหมด"




ก่อนจบการปราศัย เขาได้หยิบเอาหนังสือพิมพ์เก่าๆออกมาจากกระเป๋าเอกสาร นั่นก็คือบทความที่เขาเอ่ยถึง หลายๆปีนี้ เขานำมันติดตัวเสมอ เพียงเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเตือนสติตัวเขาเอง บนช่องว่างของหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น เขาใช้พู่กันจีนเขียนตัวหนังสือเล็กๆอย่างบรรจงว่า.....

"เจ็ดส่วนสิบอาจจะดูสมเหตุสมผล แปดส่วนก็คงได้ แต่ผมขอแค่หกส่วนสิบก็เพียงพอแล้ว"




นักธุรกิจในวงการอสังหาริมทรัพย์ผู้นี้ นามว่านายหลิน เจิ่น เจีย เป็นประธานบริษัท ฉวนเซิ่น พัฒนาอสังริมทรัพย์ จำกัด แห่งกรุงไทเป ปัจจุบันเขาเป็นเศรษฐีระดับต้นๆของใต้หวัน เขาบอกว่า ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น ก็คือจุดเริ่มต้นของที่มาของทรัพย์สินหมื่นล้านเหรียญของเขาในวันนี้



***********




การมุ่งหาผลประโยชน์สูงสุด

เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆเขาก็ทำกัน

แต่หากรู้จักแบ่งปันผลประโยชน์ให้ผู้อื่น

เขาผู้นั้นคือคนเหนือคน




คนใจกว้างที่ซื่อสัตย์

หนทางชีวิตเขาจะทั้งกว้างทั้งยาวไกลกว่าเสมอ




"ขจรศักดิ์"

23 เมษายน 2560

Manage multiple bitbucket accounts

steps to manage multiple bitbucket accounts

1. create a new ssh key for the 2nd account
ssh-keygen -f ~/.ssh/<new ssh key name-C "<your email>"
e.g. if i want to create key name "test", and my email is "test@gmail.com",
i will run the command > ssh-keygen -f ~/.ssh/test -C "test@gmail.com"
then you will get 2 new files, test & test.pub


2. add new key to the key manager
ssh-add ~/.ssh/<new ssh key name>
e.g. ssh-add ~/.ssh/test


3. copy ~/.ssh/<new ssh key name>.pub to bitbucket

- goto bitbucket.org and log-in

- goto "bitbucket settings" menu

- at the "security" menu, click "SSH keys"

- click "Add key"

- copy ~/.ssh/<new ssh key name>.pub

- paste your key


4. modify ~/.ssh/config like this

Host bitbucket.org
  Hostname bitbucket.org 
  IdentityFile ~/.ssh/id_rsa 

Host bitbucket-personal
  Hostname bitbucket.org 
  IdentityFile ~/.ssh/test

* i create the new host "bitbucket-personal" for my 2nd key, and set identityFile to my new key also


5. then you can clone your repository like this

git clone git@bitbucket-test:/.git

e.g. git clone git@bitbucket-personal:test/my-repo.git

13 มีนาคม 2560

Blackswan ในตลาดหุ้น

Blackswan ในตลาดหุ้น โดย Narin Olankijanan

Blackswan เป็นคำที่ใช้เรียก “ความเสี่ยง” ที่มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง คำๆ นี้ถูกทำให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางโดย Nassim Taleb การเข้าใจแนวคิดของ Blackswan นั้นช่วยทำให้เราเข้าใจความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้ดีขึ้นด้วย

ถ้าจะให้นิยามแบบสั้นๆ Blackswan หมายถึง ความเสี่ยงที่มีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้น (ความน่าจะเป็นไม่สูงนัก) แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว ขนาดของความเสียหายจะรุนแรงมาก (ขาดทุนทีเดียวหนักๆ)

Blackswan คือ กับดักชั้้นดี เพราะมันทำให้คนธรรมดาทั่วไปมองไม่เห็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ และประเมินผลตอบแทนคาดหวังของมันสูงเกินจริง (เพราะไม่ได้คิดถึงกรณีสุดโต่งที่ผลเสียหายรุนแรงมาก) ความเสี่ยงหลายอย่างในโลกนี้มีลักษณะของ Blackswan ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดการเงินและตลาดทุน

CDS (Credit Default Swap) ที่ก่อให้เกิดวิกฤตการเงินซับไพรม์ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Blackswan ในตลาด คนที่ขาย CDS นั้น สัญญากับผู้ซื้อว่า จะยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้ ถ้าหาก หุ้นกู้ของบริษัท XYZ ผิดนัดชำระหนี้ โดยแลกกับการที่ผู้ซื้อ CDS จะต้องจ่ายเงินจำนวนเล็กน้อยให้เป็นค่าตอบแทนที่มีลักษณะคล้ายกับเบี้ยประกันภัย

ปกติโอกาสที่หุ้นกู้ของบริษัทหนึ่งๆ จะผิดนัดชำระหนี้ในช่วงเวลาหนึ่งนั้นมีน้อยมาก เพราะแสดงว่าบริษัทนั้นต้องล้มละลาย หรือขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ยิ่งมีกำหนดระยะเวลาด้วยแล้ว โอกาสยิ่งเกิดขึ้นได้น้อยลงไปใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้ว ใน 99.999 ครั้ง ใน 100 ครั้ง ผู้ขาย CDS จะเป็นฝ่ายได้กินเงินผู้ซื้อไปฟรีๆ (เหตุร้ายไม่เกิด)

บ่อยๆ เข้า ผู้ขาย CDS ก็ติดใจ เพราะเหมือนได้เงินมาฟรีๆ แทบทุกเดิือน ยิ่งติดใจก็ยิ่งขายสัญญา CDS มากขึ้นๆ เพื่อให้ได้เงินกินเปล่ามากขึ้นอีก เพราะรู้สึกไปว่า CDS ช่างเป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนผู้ซื้อเองก็ไม่ได้เฉลียวใจเช่นกัน รู้สึกว่าตัวเองกำลังอนุรักษ์นิยมอยู่ เพราะว่าซื้อประกันความเสี่ยง และเห็นว่าหุ้นกู้ของบริษัทที่ตัวเองลงทุนส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่มั่นคง เรตติ้งระดับดีมากทั้งนั้น แล้วคนขาย CDS ก็เป็นบริษัทใหญ่ ฐานะมั่นคงอีกเหมือนกัน อย่างเช่น AIG ซื้อเป็นบริษัทประกันภัยระดับโลกที่มีอายุเป็นร้อยปีและมีฐานะการเงินที่มั่นคง เมื่อทั้งคนขายและคนซื้อต่างก็แฮ๊ปปี้ ก็ยิ่งไม่มีใครกังวลใหญ่

ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมากแต่หากเราทอดเวลาออกไปเรื่อยๆ มันย่อมจะต้องเกิดขึ้นได้ในที่สุด ในที่สุดตลาด CDS ก็ระเบิดและสร้างผลเสียหายที่รุนแรงมากๆ กลายเป็น อัมมาเกนดอนทางการเงิน ไปทั้งโลกเลย

อะไรในตลาดหุ้นที่ทุกคนรู้สึกว่าปลอดภัย มันจะทุนไหลเข้าไปมากๆ จนฟองสบู่แตกได้อยู่บ่อยๆ

กรณีของ Nick Leeson ที่ทำให้ธนาคาร Bearings ล้มก็เป็นตัวอย่างของ Blackswan เช่นเดียวกัน เขาสร้างอนุพันธ์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นมาโดยอิงกับดัชนี Nikkei โดยถ้าหาก Nikkei ไม่ได้ร่วงลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เขาจะได้เงินจากธุรกรรมนี้ไป แต่สุดท้ายแล้ว เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากอย่างเช่น แผ่นดินไหวรุนแรงที่เมืองโกเบ ก็ทำให้เขาต้องขาดทุนอย่างหนักจนทำให้ธนาคาร Bearings ต้องล้มละลายในที่สุด

นักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นก็พบเห็น Blackswan รอบๆ ตัวได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น การเล่นมาร์จิ้นก็เป็น Blackswan อย่างหนึ่ง เพราะการที่คุณใช้มาร์จ้ินอยู่ตลอดเวลา จะทำให้คุณได้ผลตอบแทนเป็นสองเท่าของผลตอบแทนที่คุณทำได้จริงเป็นประจำทุกปี (ตราบใดที่ผลตอบแทนปีนั้นของคุณเป็นบวก) เช่น ถ้าคุณทำให้พอร์ตของคุณกำไรแค่ 20% ในปีนี้ แต่คุณใช้มาร์จ้ินด้วย คุณก็จะได้กำไร 40% เลยทีเดียว ใช้มาร์จิ้นบ่อยๆ จึงก็ติดใจ และอาจภูมิใจด้วยซ้ำที่เราทำผลตอบแทนได้สูงกว่าคนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อให้บางช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นลงแรง แม้พอร์ตของคุณจะติดลบกว่าคนอื่นด้วย แต่ตราบใดที่คุณยังไม่ขาดทุนมากถึงระดับที่ถูก forced sell คุณก็เพียงทนแบกพอร์ตที่ขาดทุนไว้อย่างนั้นก่อน รอให้ตลาดกลับมาขึ้นใหม่ ดูแล้วเหมือนไม่ได้เสียหายอะไร

แต่ในปีที่ตลาดหุ้นเกิดผันผวนรุนแรงจนผิดปกติ เช่น เกิดวิกฤตรอบใหญ่ๆ ซึ่งหลายๆ ปีจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง พอร์ตของคุณอาจลงแรงมากจนมาถึงจุดที่ทำให้คุณจำเป็นต้องโดน forced sell ทีนี้แหละที่ กำไรที่เคยได้มากเป็นพิเศษมาหลายๆ ปีติดต่อกัน ก็มีอันต้องคืนตลาดหุ้นไปทั้งหมดในปีเดียว สุดท้ายแล้วผลตอบแทนในระยะยาวของคุณอาจจะแย่กว่าในกรณีที่คุณไม่ได้ใช้มาร์จิ้นมาตลอดเลยก็ได้ (ขึ้นอยู่กับว่าจะมี blackswan เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น)

การเร่งผลตอบแทนด้วยการไม่กระจายความเสี่ยงเลยก็เป็น Blackswan อีกชนิดหนึ่งเหมือนกัน ปกติแล้วถ้าคุณกระจายความเสี่ยงออกไปด้วยการซื้อหุ้นไว้ในพอร์ตหลายๆ ตัว ความเสี่ยงของคุณจะลดลง แต่ในเวลาเดียวกัน ผลตอบแทนก็จะถูกดึงให้เข้าใกล้กับผลตอบแทนของตลาดมากขึ้นด้วย เพราะยิ่งมีหุ้นหลายตัวมาก ก็ยิ่งทำให้พอร์ตดูเหมือนตลาดมากขึ้นทุกที ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณไม่ชอบ เพราะถ้าคุณอยากได้ผลตอบแทนที่สูงๆ เช่น 100% ต่อปี ส่วนใหญ่แล้วตลาดทั้งตลาดมักจะให้ผลตอบแทนได้ต่ำกว่านั้นแทบทุกปี ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่คุณจะเป็นต้องทำก็คือ พอร์ตของคุณจะต้องมีหุ้นน้อยตัวไว้ก่อน เช่น อาจจะมีแค่ 1-2 ตัว ที่เป็นตัวที่คุณตีมันแตกจริงๆ เท่านั้น (upside 100% หรือมากกว่า) ถ้าจะมีหุ้นสักห้าตัวในพอร์ต แล้วจะทำให้ได้ผลตอบแทน 100% หุ้นทั้งห้าตัวก็ต้องวิ่งเป็น 100% กันหมด ซึ่งเป็นกรณีที่ยากกว่าการหาหุ้นที่จะวิ่ง 100% ให้ได้ตัวเดียวไปเลย ดังนั้นคนที่มีเป้าหมายผลตอบแทนสูงจริงๆ มันจะต้องมีหุ้นน้อยตัวในพอร์ต

สมมติว่าคุณเป็นคนที่เลือกหุ้นเก่งมากจริงๆ กล่าวคือ หาหุ้นที่กำลังจะวิ่ง 100% ได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าคุณทำเช่นนี้ทุกปี ด้วย Law of Large Numbers สักปีหนึ่งคุณจะต้องบังเอิญโชคไม่ดี ไปเจอเอาตัวที่ทำให้คุณขาดทุนหนักเข้า ซึ่งความเสียหายจะรุนแรงมาก เพราะว่าทุกๆ ปี คุณได้กำไรมา 100% คุณก็เอาเงินทั้งหมด (ทุนบวกกำไร) ไปลงหุ้นตัวใหม่แค่ตัวเดียวทุกครั้ง พอถึงปีที่คุณพลาด ความเสียหายจะรุนแรงมาก เพราะเงินและกำไรสะสมทั้งหมดจะไปกับหุ้นตัวเดียวที่คุณพลาดเสมอ ต่างกับกรณีที่คุณมีหุ้นหลายตัว ที่ทุนและกำไรที่สะสมมาในอดีตทั้งหมดจะถูกกระจายอยู่ในหุ้นมากกว่าหนึ่งตัวเสมอ

ประเด็นสุดท้ายที่อยากฝากให้คิดกันคือความเสี่ยงของการชอบซื้อเฉลี่ยขาลง คนที่มีนิสัยชอบซื้อหุ้นเฉลี่ยขาลงเป็นประจำและกล้าซื้อแบบไม่มีขีดจำกัด เวลาเจอ Blackswan (หุ้นลงทางเดียวแล้วไม่กลับตัวขึ้นมาอีกเลย) ความเสีียหายก็จะรุนแรงมาก ในลักษณะเดียวกันกับกรณีทั้งหลายข้างต้นที่ได้อธิบายมาแล้ว

ในตลาดหุ้น อย่าได้เชื่อว่ามีโอกาสไหนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย (Riskless) ต่อให้คุณมั่นใจกับมันมากแค่ไหนก็ตาม เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเชื่อว่าไม่มีความเสี่ยง เราจะกล้าทุ่มเงินทุนทั้งหมดให้กับโอกาสนั้น และถ้ามันเป็น Blackswan คุณจะเจ๊งเพราะโอกาสที่ดูดีที่สุดนั้นด้วย คุณที่ไม่เคยเชื่อว่าอะไรไม่มีความเสี่ยง จะไม่เคยหมดตัว เพราะจะไม่เคยกล้าทุ่มเงินทั้งหมดที่มีอยู่ให้กับหุ้นตัวไหนทั้งนั้น

เรามักพบเห็นคนที่สามารถทำผลตอบแทนระยะสั้นได้สูงๆ เพราะอาศัยการเสี่ยงแบบที่มี Blackswan ซ่อนอยู่ แต่คนที่จะสามารถทำผลตอบแทนในระยะยาวให้ดีแบบยั่งยืนได้นั้น มักได้แก่คนที่สามารถหลีกเลี่ยง Blackswan ได้สำเร็จเพราะไม่เคยยอมปล่อยให้มันมาทำอะไรกับพอร์ตได้โดยไม่เห็นแก่ผลตอบแทนในระยะสั้น

ฝากไว้เป็นข้อคิดในการมองความเสี่ยงในตลาดหุ้นครับ

06 กุมภาพันธ์ 2560

เปิดความแตกต่างระหว่าง Property Fund และ REIT

สำนักข่าวหุ้นอินไซด์(3 กันยายน 2557)---REIT (Real Estate Investment Trust: REIT) เป็นทางเลือกการลงทุนรูปแบบใหม่ และเป็นการพัฒนาโครงสร้างการระดมทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เป็นไปตามแนวทางสากลที่นิยมใช้กันในต่างประเทศ ปี 2013 เป็นปีสุดท้ายที่ ก.ล.ต. อนุญาตให้มีการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบเดิมคือ Property Fund ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น REIT ซึ่งเป็นรูปแบบที่สากลกว่า ยืดหยุ่นกว่า และกฎหมาย Trust ของเราพร้อมแล้ว ที่ผ่านมาประเทศไทยแทบจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี Property Fund



REIT เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีลักษณะเป็นกอง Trust ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุน Property Fund โดยสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee) ซึ่ง Trustee มีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) เพื่อประโยชน์ของผู้ถือใบทรัสต์ โดยที่ผู้ถือใบทรัสต์จะเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของกองทรัสต์ โดย REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของก.ล.ต.



รายได้ของ REIT จะมาจากค่าเช่าในอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างเสร็จแล้ว (เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงงาน คลังสินค้า) เหมือนกันกับ Property Fund แต่ REIT ต้องไม่เป็นการเช่าเพื่อทำธุรกิจที่ไม่เหมาะสมหรือผิดกฎหมาย รายได้ค่าเช่าต้องไม่น้อยกว่า 75% ของมูลค่าสินทรัพย์รวม ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ เช่นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ พันธบัตรรัฐบาล เงินฝากธนาคาร เป็นต้น ต้องไม่เกิน 25% REIT ต้องจ่ายผลตอบแทนให้ผู้ถือหน่วยไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิ และต้องเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้ แต่ต้องไม่เกิน 50% ของจำนวนหน่วยทั้งหมด



จะเห็นว่า REIT กับ Property Fund เหมือนกันตรงที่มีรายได้เป็นค่าเช่า ซึ่งค่อนข้างแน่นอน ไม่หวือหวา การเติบโตหลักๆจะมาจากการขึ้นค่าเช่า หรือการเพิ่มขึ้นของตัวอสังหาริมทรัพย์ที่ให้เช่า ส่วนผลตอบแทน ความเสี่ยง และการเติบโตจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินทรัพย์นั้นๆ



ส่วนความต่างหลักๆ คือ

1.    Property Fund ลงทุนได้เฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วน REIT ลงทุนได้ในอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่อยู่ในไทยและต่างประเทศ

2.    Property Fund ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่ได้ แต่ REIT ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จได้ แต่ต้องไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวม

3.    Property Fund กู้ยืมเงินได้ไม่เกิน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) แต่ REIT กู้เงินได้มากกว่า แต่ต้องไม่เกิน 35% ของทรัพย์สินรวม และได้ไม่เกิน 60% หาก REIT นั้นๆได้รับ Credit rating ในระดับ Investment Grade

4.    ผู้ถือหน่วยของ Property Fund ที่เป็นบุคคลเดียวหรือกลุ่มบุคคลเดียว ห้ามถือหน่วยเกิน 1 ใน 3 แต่ REIT บุคคลเดียวถือหน่วยได้สูงสุดไม่เกิน 50%  

5.    ในเรื่องของภาษี เงินปันผลที่ได้จาก Property Fund ถ้าเป็นบุคคลธรรมดา หักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ถ้าเป็นนิติบุคคล ได้รับการลดหย่อนพิเศษ ส่วนเงินปันผลที่ได้จาก REIT ผู้ถือหน่วยทุกประเภทต้องเสียภาษี



สรุปความแตกต่างของ REIT และ Property Fund และบริษัทที่ทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่ ดังนี้ 

Property FundREITบริษัทที่ทำธุรกิจให้เช่าพื้นที่
สินทรัพย์ที่ลงทุนได้อสังหาริมทรัพย์เฉพาะเจาะจงอสังหาริมทรัพย์เฉพาะเจาะจงแต่ต้องไม่ทำธุรกิจผิดกฎหมายหรือผิดศีลธรรมทำธุรกิจในรูปแบบให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
ขนาดขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทไม่กำหนด
จำนวนผู้ถือหน่วยตอนจัดตั้ง > 250 ราย
หลังจัดตั้ง > 35 ราย
ตอนจัดตั้ง > 250 ราย
หลังจัดตั้ง > 35 ราย
ไม่กำหนด
ข้อจำกัดการถือหน่วยของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันห้ามเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนหน่วยทั้งหมดห้ามเกิน 50% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดไม่กำหนด
ผู้บริหารกองบลจ.REIT Manager ซึ่งอาจเป็น บลจ. หรือบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในอสังหาฯตามเกณฑ์ของก.ล.ต.บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนในอสังหาฯ
การลงทุนในต่างประเทศทำไม่ได้ทำได้ทำได้
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสร้างไม่เสร็จทำไม่ได้ทำได้ไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวมไม่กำหนด
การกู้ยืมเงินไม่เกิน 10% ของ NAVไม่เกิน 35% ของสินทรัพย์รวม และไม่เกิน 60% หากได้รับ Credit rating ในระดับ Investment gradeไม่มีข้อจำกัด
การจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 90% ของกำไรสุทธิแล้วแต่นโยบายบริษัท
ภาษี-   รายได้ของกองทุนไม่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
-   เงินปันผลของบุคคลธรรมดาเสียภาษี ณ ที่จ่าย 10%
-   เงินปันผลของนิติบุคคล ได้รับการลดหย่อนพิเศษ
-   รายได้ของ REIT ไม่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
-   ผู้ถือหน่วยทรัสต์ทุกประเภทต้องเสียภาษีเงินปันผล
-   รายได้ของบริษัทเสียภาษีนิติบุคคล
-   เงินปันผลของบุคคลธรรมดาเสียภาษี ณ ที่จ่าย 10%



ที่มา: http://hooninside.com/news-detail.php?id=370779

บทความยอดนิยม (ล่าสุด)

บทความยอดนิยม (All Time)