Pages

Pages

29 กันยายน 2568

เมื่อฟองสบู่หุ้นยักษ์แตก ตลาดหุ้นคงดูไม่ดีเท่าไร โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นโลกและทรัพย์สิน “โลก” อย่างเช่นทองคำวิ่งขึ้นเป็น “All Time High” หรือ “สูงสุดตลอดกาล” เกือบทุกวัน และหุ้นที่วิ่งนำตลาดก็มักจะเป็นหุ้นที่ใหญ่มากขนาดที่เรียกว่า “หุ้นยักษ์” จำนวนเพียงระดับ 10 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาด ส่วนหุ้นขนาดกลางหรือเล็กนั้น บางทีก็ไม่ขึ้นเลยเพราะ “ไม่มีใครเล่น”
 
การขึ้นของหุ้นยักษ์ประเภทหุ้น “นางฟ้า” หรือ “หุ้นเทพ” นั้น มาจากความตื่นเต้นต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เชื่อกันว่ากำลัง “เปลี่ยนโลก” ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือ AI ที่มีความสามารถ “เหนือมนุษย์” และจะสามารถมาทำงานแทนหรือมาแทนมนุษย์ได้ในเวลา “ไม่นาน” ตัวอย่างอาจจะรวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยมี AI เป็น “คนขับ” ที่ตอนนี้ก็เริ่มทดลองกันแล้วในหลาย ๆ เมืองใหญ่ทั่วโลก อีกไม่เกิน 10 ปี มันก็อาจจะทำแทนคนเป็นล้าน ๆ คนแล้ว

การวิ่งขึ้นของหุ้นไฮเทคยักษ์โดยเฉพาะ AI นั้น สูงมากจน “ไม่น่าเชื่อ” หุ้นตัวเดียวบางตัวมีมูลค่าตลาดถึง 4 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 130 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยถึงกว่า 8 เท่า

นั่นทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐมีมูลค่าสูงถีงประมาณ 61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือสูงเป็น ประมาณ 215% ของ GDP ที่อยู่ที่ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างที่แทบไม่เคยเป็นมาก่อน และนี่ก็คือตัวเลขที่แสดงว่าตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไปและสูงเกินพื้นฐานไปมากในความคิดของบัฟเฟตต์ หรือที่เรียกกันว่า Buffett Indicator ที่บอกว่า Market Cap. ของตลาดหุ้นไม่ควรมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของประเทศนั้น

และข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศต่าง ๆ รวมถึงตลาดสหรัฐในอดีตก็แสดงว่า ส่วนใหญ่แล้ว Market Cap. จะต่ำกว่า GDP ของประเทศ และถ้าช่วงไหนสูงกว่า ตลาดก็จะร้อนแรงเกินไป ราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น ซักพักหนึ่งตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงมาจนต่ำกว่า GDP. ว่าที่จริงในช่วงนี้ค่าเฉลี่ยของ Market Cap. ทั่วโลกก็แค่ประมาณ 90% เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยเองก็มีค่าพอ ๆ กัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ ตอนนี้ก็มีมูลค่าปกติ

แต่ข้อโต้แย้งของนักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้นโตเร็วและเก็งกำไรก็คือ หุ้นในตลาดสหรัฐนั้นเป็น “ข้อยกเว้น” เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ของอเมริกานั้น ที่จริง เป็น “บริษัทของโลก” พวกเขาขายสินค้าไปทั่วโลกและรายได้และกำไรส่วนใหญ่ก็มาจากโลกไม่ได้มาจากอเมริกาเพียงประเทศเดียว ดังนั้น อัตราส่วนนี้จึงใช้ไม่ได้ Market Cap. ของบริษัทใหญ่ ๆ เหล่านั้น ยังเล็กกว่า GDP โลก และดังนั้น หุ้นยังไม่แพง

แต่ถ้ามาดูตัวเลขอีกตัวหนึ่ง ก็ยังอาจจะบอกได้ว่าหุ้นสหรัฐนั้น “แพงเกินไป” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก นั่นก็คือ ขณะที่ GDP ของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ 26% ของ GDP โลก แต่มูลค่า Market Cap. ของตลาดหุ้นอเมริกากลับใหญ่มากถึงประมาณ 49% ของตลาดหุ้นโลก

อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งก็ยังคงมีอีกว่า ก็อเมริกานั้นเป็นผู้นำของโลกทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้านอำนาจทางการรบและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สะท้อนจากบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้น ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงกว่าสัดส่วนของ GDP มากก็เหมาะสมแล้ว

พูดง่าย ๆ ถ้าสหรัฐก็เหมือนกับประเทศอื่น ๆ Market Cap. ของตลาดหุ้นก็ควรจะประมาณ 26% ของ Market Cap. ของโลก ไม่ใช่ 49% หรือใหญ่เป็นเกือบ 2 เท่าอย่างที่เป็นอยู่ แต่ใครจะบอกได้ว่า Market Cap. ของสหรัฐควรเป็นเท่าไร นอกจากนักลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นจนมันขึ้นมาสูงขนาดนี้ พูดง่าย ๆ คนเชื่อมั่นในอเมริกาตามที่ทรัมป์บอกว่ากำลังทำให้ “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”

แต่ทั้งหมดนั้น จริงหรือ! คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงนักคิดชื่อดังอย่าง เรย์ ดาลิโอ หรือ บัฟเฟตต์ กลับคิดว่า หุ้นอเมริกานั้น อาจจะแพงเกินไป แพงเกินพื้นฐานที่แท้จริง และแม้ว่าส่วนใหญ่ยังไม่คิดว่าอเมริกาจะถึงจุดที่เริ่มตกต่ำลงแล้วอย่างที่เรย์ ดาลิโอบอก แต่ราคาหุ้นตอนนี้มันสูงเกินไปจนหลายคนคิดว่ามันเป็น “Bubble” หรือ “ฟองสบู่หุ้น” ที่พร้อมจะ “แตก” และพวกเขาก็เตรียมตัวโดยการทยอยขายหุ้นเพื่อเก็บเป็นเงินสด และนั่นก็คือเหตุผลที่เบิร์กไชร์ถือเงินสดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณเกือบ 4 แสนล้านเหรียญหรือ 12 ล้านล้านบาทไทย

ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยของอเมริกาที่ขนเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังกู้เงินผ่านบัญชีมาร์จินมาใช้ลงทุนถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือ 32 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2 เท่า ของ GDP ไทย เข้ามาซื้อหุ้นยักษ์เพียงไม่กี่สิบตัวและเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งส่งผลให้หุ้นแค่หยิบมือเดียวนี้มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึงกว่า 1 ใน 3 ของทั้งตลาดหุ้น S&P 500

เราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าในที่สุด ใครจะถูกหรือใครจะผิด ระหว่างเซียนหุ้นระดับโลก ที่กำลังจะจากไปในไม่ช้า กับคนหนุ่มสาวที่หลายคนเพิ่งจะเริ่มลงทุน และคิดว่า “โลกใหม่” ในอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และบริษัทที่จะ “ครองโลก” ทั้งหมดนั้นก็จะมีแค่หยิบมือเดียวที่เห็น นั่นก็คือ บริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่กำลังเร่งพัฒนา AI อย่างบ้าคลั่ง ที่อาจจะกลืนกินธุรกิจอื่นทั้งหมดในเวลาอีกไม่นาน

ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตของตลาดหุ้นอเมริกาและหุ้นยักษ์จะเป็นอย่างไร และดังนั้นผมก็พยายามมองหาคำตอบจาก “ประวัติศาสตร์” ที่คล้าย ๆ กันแม้ว่าหลายคนจะเลิกคิดถึงประวัติศาตรไปแล้วในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้ ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ “ถูกทำลาย” ไปอย่างไม่มีชิ้นดีแทบทุกวัน

ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของตลาดหุ้นอเมริกาผมดูว่าจะคล้าย ๆ ตลาดหุ้น—และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษปี 1980 ถึง 1989 ที่ดัชนีนิกเกอิขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ประมาณ 39,000 จุด จาก 6,500 จุด หรือเพิ่มขึ้น 500% ในเวลา 10 ปี หรือเฉลี่ยทบต้นปีละเกือบ 20% ในขณะที่ดัชนี S&P500 ในช่วงเวลา 10 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนสูงมากที่ประมาณ 13% ต่อปี แต่ถ้าคิดแค่ 5 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 15% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นโตมากแทบจะคับฟ้าอยู่แล้ว

เหตุผลที่ตลาดเติบโตร้อนแรงมากของญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะคนแทบทั้งโลกต่างก็เชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังขึ้นแซงหน้าอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจหลังจากที่ GDP ของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลักมานานและคนร่ำรวยมหาศาล GDP ต่อหัวน่าจะสูงเท่า ๆ คนอเมริกันหรือสูงกว่าและก็ยังเติบโตในระดับ 4-6% ในช่วงปี 1985-1990 ซึ่งยังเป็น “ปีทอง” ของญี่ปุ่นในทุกด้านแม้ว่าอเมริกาจะบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มค่าเงินเยนตามข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ดในปี 1985 เพื่อลดการส่งออกของญี่ปุ่นลง

ในช่วงเวลานั้น นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศญี่ปุ่นเองก็กำลังสดใสสุดยอด ญี่ปุ่นกลายเป็น “อัจฉริยะ” ในทุกด้าน สินค้าญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการทั่วโลก ทั้งในด้านคุณภาพที่ดีสมบูรณ์แบบ เช่น พวกรถยนต์และเครื่องจักรกลทั้งหลาย เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเหนือกว่าคู่แข่งและมีราคาถูกสามารถตีตลาดไปทั่วโลก นอกจากนั้น ในด้านของความคิดสร้างสรรค์นั้น ญี่ปุ่นก็มีสินค้าใหม่เช่น Walkman ที่ใช้ฟังดนตรีขณะเดินได้ เช่นเดียวกับเกมคอมพิวเตอร์เช่น นินเทนโด ที่คนนิยมกันทั่วโลก

เซมิคอนดักเตอร์ที่จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาดิจิทัลในเวลานี้ก็เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการผลิตในวันนั้น เช่นเดียวกับแนวคิดในการบริหารงานเช่น ระบบการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังของโตโยตาก็กลายเป็นมาตรฐานสมัยใหม่ที่ทุกประเทศต่างก็ต้องเลียนแบบ ญี่ปุ่นกำลังครองโลก!

และก็แน่นอนว่าตลาดหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของญี่ปุ่นก็สะท้อนความรุ่งเรืองนั้นอย่างเต็มที่ โดยที่ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับโลกในเวลานั้นก็แค่ 15% แต่ Market Cap. ของตลาดหุ้นโตเกียวสูงถึง 45% ของตลาดหุ้นทั้งโลกและใหญ่กว่าตลาดหุ้นของสหรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ค่า PE ของตลาดก็สูงถึงกว่า 60 เท่า โดยที่หุ้นยักษ์ ๆ สูงยิ่งกว่านั้น

อสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นกลับเป็น “ฟองสบู่” มากกว่าหุ้น ราคาวิ่งขึ้นไปแบบหลุดโลก เพราะญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อย ว่ากันว่าแค่วังของจักรพรรดิ ถ้าตีราคาขึ้นมาก็จะมีค่ามากกว่าแคลิฟอร์เนียทั้งรัฐ นอกเหนือจากนั้นก็คือ คนญี่ปุ่นคิดว่าที่จะขึ้นไปเรื่อย ๆ ขายไปแล้วจะอยู่ที่ไหน?

แน่นอนว่าเขาก็มีคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมหุ้นจึงมาราคาแพงมาก เพราะนอกเหนือไปจากการที่บริษัทกำลังบูมสุดยอดด้วยความสามารถและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นและทำกำไรได้ดีมากแล้วก็เป็นเพราะว่า บริษัทจดทะเบียนใหญ่ ๆ ในตลาดหุ้นต่างก็ถือหุ้นไขว้กันหมดและพวกเขาไม่ขายไม่ว่าราคาจะขึ้นมาแค่ไหน

หลังจากปี 1989 ตลาดหุ้นก็ “ถล่ม” ลงมา ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง ดัชนีตกจากจุดสูงสุด 39,000 จุด เหลือเพียงประมาณ 15,000 จุด ในช่วงกลางปี 1992 หรือเป็นการลดลงมาถึงกว่า 60% เมื่อ “เรื่องจริง” เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรากฎขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นตกต่ำลงเหลือโตปีละแค่ 1-2% คนญี่ปุ่นแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นสังคมคนสูงอายุ ความคิดสร้างสรรค์หายไป ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี Innovation ใหม่ ๆ และถูกแซงโดยเกาหลีใต้และต่อมาก็จีน ไม่ต้องพูดถึงอเมริกาที่พุ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นด้วยพลังของสตาร์ทอัพของคนรุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน แต่ในฐานะของ VI เราก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านลบที่รุนแรงที่อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐเกิดสถานการณ์แบบเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อ 35 ปีมาแล้ว




รวมโครงการ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว ทาวน์โฮมชั้นเดียว

 


รวมโครงการ บ้านเดี่ยวชั้นเดียว ทาวน์โฮมชั้นเดียว




22 กันยายน 2568

ประเทศไทยปฏิรูป-ฝันไป โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ผมมีความคิดมานานแล้วว่าประเทศไทยจำเป็นที่จะต้อง “ปฏิรูป” คือเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีทำ ที่เคยทำมายาวนานอย่างน้อย 72 ปี ตั้งแต่ผมเกิด เพราะโลกและประเทศไทยเปลี่ยนไปมากเกินกว่าที่เราจะทำแบบเดิมแล้วยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาอย่างที่เคยเป็นมา

เหตุผลสำคัญก็คือ โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมากโดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งทำให้ประเทศที่ “ตามไม่ทัน” และยังทำงานด้วยความรู้และ “ภูมิปัญญาแบบเดิม” พ่ายแพ้แก่ประเทศที่ก้าวหน้ากว่า

ประเด็นก็คือ ความสำเร็จในการพัฒนาทางเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้น อาศัย “การลงทุน” เช่นการตั้งโรงงานจากต่างประเทศ และต่อมาก็จากคนไทยที่ร่ำรวยขึ้น และอาศัย “คนงาน” ที่ทำงานการเกษตรในชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ต่อมาก็อาศัยชาวต่างชาติรอบบ้านเราที่มาหางานที่มีค่าแรงสูงกว่าทำ

ตอนนี้คนไทยที่ย้ายมาทำงานตามโรงงานก็หมดแล้ว เพราะนอกจากจะไม่มีคนหนุ่มสาวในชนบทแล้ว คนไทยโดยรวมก็กำลังลดลงและจะลดลงเรื่อย ๆ ส่วนคนที่ยังทำงานก็แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ยังทำงาน “แบบเดิม” และด้วยเทคโนโลยีแบบเดิม และประสิทธิภาพก็ “เท่าเดิม” ผลก็คือ ขนาดของเศรษฐกิจหรือ GDP ก็ไม่โตหรือโตน้อยมาก และถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ GDP ก็อาจจะลดลงในอนาคต

การ “ปฏิรูป” ที่ผมจะพูดถึงก็คือ 1) การเพิ่มจำนวนประชากรคนทำงานและ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพของคนทำงาน โดยที่ข้อ 1 นั้นดูเหมือนจะยากกว่าเนื่องจากพฤติกรรมของคนไทยหรือแม้แต่คนที่พัฒนาแล้วทั่วโลก ต่างก็ไม่อยากมีลูกมากเหมือนเดิม ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็เพราะไม่อยากหรือไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกอย่างที่ต้องการ

การเพิ่มประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุดข้อแรกก็คือ การศึกษาหรือการสอนนักเรียนให้เก่งขึ้นในเรื่องของเทคโนโลยี ซึ่งเรื่องนี้ก็จะต้องปฏิรูปการศึกษาทั้งหมดโดย ข้อแรกจะต้องปรับให้การใช้ทรัพยากรหรืองบที่ใช้ในการสอนนักเรียนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งวิธีที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ง่ายก็คือ ปิดโรงเรียนที่มีนักเรียนน้อยมากและให้เด็กไปเรียนรวมกันในโรงเรียนขนาดใหญ่ นี่จะทำให้เกิด Economies of Scale หรือต้นทุนการสอนต่อเด็กแต่ละคนลดลงได้มาก โดยที่เงินที่ประหยัดได้ก็จะถูกนำไปใช้ในการจ้างครูหรือเพิ่มและปรับปรุงอุปกรณ์การสอนให้ดีขึ้น

วิชาที่จะสอนแบบปฏิรูปนั้นจะต้องเปลี่ยนแปลงไป ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษก็คือ STEM หรือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ที่ต้องใช้ความคิดแบบเหตุผลมีตรรกะ และต้องลดวิชาเกี่ยวกับศิลปะศาสตร์ที่เน้นให้เด็กท่องจำลง นอกจากนั้น ต้องเพิ่มวิชาเกี่ยวกับ AI และการใช้ AI กับเด็กทุกคน

อีกวิชาหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นและมีประโยชน์มากก็คือภาษาอังกฤษ เหตุผลก็เพราะมันเป็นภาษาของ “โลก” และ “ดิจิทัล” คนที่ภาษาอังกฤษดีจะทำให้สามารถติดต่อกับคนทั่วโลกและเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ ง่ายกว่าคนที่ไม่เชี่ยวชาญภาษานี้
การเปลี่ยนแปลงที่ผมคิดว่าจะสำเร็จนั้น จะต้องทำอย่างมีคุณภาพและได้ผลชัดเจน อย่างครูภาษาอังกฤษนั้น ควรจะต้องเป็น Native Speaker หรือคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักหรือใกล้เคียง ซึ่งปัจจุบันเราแทบจะไม่มี ดังนั้น การจ้างครูจึงเป็นเรื่องใหญ่และอาจต้องใช้เงินมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของ AI ในปัจจุบัน เราอาจจะสามารถให้ AI สอนโดยมีครูคนเดิมเป็นผู้สนับสนุนก็ได้

รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษานั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พอให้คนในแวดวงการศึกษาคิดก็อาจจะบอกทันทีว่า “ทำไม่ได้” อาจจะเพราะ “ไม่มีเงิน” “ไม่มีครู” “ยุบโรงเรียนไม่ได้” “ลดวิชานั้นวิชานี้ไม่ได้” และอีกร้อยแปด นั่นก็อาจจะเพราะว่าพวกเขา “ชินกับความคิดแบบเดิม” ที่ทำมาแล้วอย่างน้อย 70-80 ปีขึ้นไปจนฝังอยู่ในสมองและมีแนวคิดว่าครูคือ “แม่พิมพ์” ที่ปั๊มเด็กออกมาให้เหมือนกับตนเอง แต่ถ้าเราจะ “ปฏิรูป” ก็ต้อง “คิดใหม่” และก็จะต้องมีคนใหม่ ๆ ที่อาจจะพูดในสิ่งที่ “ไร้สาระที่สุด” เช่น ไม่ต้องมีครูก็ได้ เพราะ “AI สอนได้ และดีกว่า” เป็นต้น

โรงเรียน “ใหม่” นี้ อาจจะไม่ได้มีต้นทุนสูงก็ได้ เพราะถูกออกแบบมาให้มี Economies of Scale สูงมากคล้าย ๆ กับสินค้าหลายอย่างในช่วงนี้ที่มีของ “คุณภาพดี ราคาถูก” ในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ และเรื่องนี้อาจจะมีผลกระทบไปถึงเรื่องของการเพิ่มประชากรได้ด้วยหากคนที่ไม่ต้องการมีลูกเพราะคิดว่าไม่สามารถให้การศึกษาที่ดีกับเด็กได้ ค้นพบว่าเขาไม่ต้องจ่ายเงินมากมายอะไรกับการเรียนในโรงเรียนใหม่ที่มีคุณภาพ พวกเขาก็อาจจะอยากมีลูกมากขึ้น

การปฏิรูปเรื่องที่สองที่ผมว่าจำเป็นมากที่จะนำประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปอีกระดับหนึ่งก็คือ การปฏิรูปในเรื่องของระบบราชการและการปกครอง ประเด็นก็คือ ประสิทธิภาพของระบบการปกครองและการให้บริการแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าประเทศอื่นที่ก้าวหน้ากว่า และสิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้ใช้เทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลเท่าที่ควรทั้ง ๆ ที่โลกและภาคเอกชนมีและใช้มันมานานแล้ว

เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ หน่วยงานจำนวนไม่น้อยที่ให้บริการประชาชน เช่นกรมที่ดิน ยังไม่ได้ใช้ดิจิทัลทั้ง ๆ ที่เทคโนโลยีมีมานานแล้ว เช่น ระบบ GPS ที่บอกพิกัดได้ละเอียดมากพอน่าจะเป็นระดับเซ็นติเมตร แต่เราก็ยังใช้หมุดและคนรังวัดที่ดินจำนวนมหาศาล ไม่ต้องพูดถึงการโอนและกรรมสิทธิ์การเป็นเจ้าของที่ยังอยู่ในรูปของกระดาษ

ผมเองคิดว่าระบบทั้งหมดนั้นควรจะอยู่ในรูป “On Line” เวลาจะซื้อหรือขายควรจะทำผ่านคอมพิวเตอร์แบบการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ เช่นเดียวกับการจ่ายภาษีที่ดินที่น่าจะจ่ายผ่านแพลทฟอร์มและตัดบัญชีธนาคารได้เลย แต่ทั้งหมดนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

หน่วยราชการอื่น ๆ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ยังทำงานอย่างไม่ค่อยมีประสิทธิภาพและบางทีก็ซ้ำซ้อน เรื่องเดียวกันแต่เราต้องผ่านหลายหน่วยงานทั้ง ๆ ที่ข้อมูลก็อยู่ในระบบของราชการอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ถ้าจะตั้งโรงงาน ก็จะต้องขออนุญาตและผ่านการอนุมัติจากหลายหน่วยงานและก็จะต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ ทำไมเราไม่หาคนออกแบบระบบ ทำโปรแกรมที่ลิงค์ข้อมูลถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างสามารถพิจารณาและอนุมัติได้ทันทีจากปลายนิ้วของคนขอและคนอนุมัติ?

แม้แต่หน่วยงานปกครองท้องถิ่นเช่น อำเภอและจังหวัด เองนั้น ก็ควรจะต้อง “ปฏิรูป” เพราะเหตุผลที่ต้องแบ่งเป็นเขตแดนจำนวนมากก็เพราะในสมัยก่อนนั้นเราไม่มีระบบ Logistic ที่ดี การเดินทางเข้า “ส่วนกลาง” ใช่เวลานานมาก อาจจะหลาย ๆ วัน แต่ทุกวันนี้ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เป็นออนไลน์หมดแล้ว การมีอยู่ของเขตการปกครองแบบท้องถิ่นในเรื่องต่าง ๆ แทบไม่มีความจำเป็น ดังนั้น อำเภอหรือจังหวัดในปัจจุบันนั้น จึงมีจำนวนมากเกินไป สามารถยุบรวมกันได้ อย่างน้อยก็น่าจะซัก 2 จังหวัดเหลือ 1 จังหวัด เช่นเดียวกับอำเภอที่น่าจะสามารถลดลงได้ในอัตราส่วนที่มากกว่าด้วยซ้ำ

นอกจากจะลดงบประมาณลงได้แล้ว ยังสามารถเพิ่มคุณภาพหรือประสิทธิภาพให้กับการปกครองหรือการให้บริการได้ เพราะคนจะใช้เวลาน้อยลงในการขอรับบริการ เนื่องจากมันเป็นดิจิทัล ไม่เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง

การปฏิรูปอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าจะช่วยให้ประเทศก้าวหน้าหรือพัฒนาเร็วขึ้นก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศอื่นและเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของความมั่นคงซึ่งระยะหลัง ๆ นี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวโดยเฉพาะก็คือ ถ้าความมั่นคงไม่ดีมีศึกสงคราม เศรษฐกิจก็จะแย่ไปด้วย ไม่ใช่เฉพาะการค้าขาย แต่การลงทุนก็จะถูกกระทบ นักลงทุนต่างชาติไม่อยากลงทุนในประเทศที่กำลังทำสงครามอย่างแน่นอน

เช่นเดียวกับสงครามก็คือเรื่องของความไม่สงบของสังคมภายในประเทศที่มักจะเกิดขึ้นจากอาชญกรรม การโกง และจากความไม่พอใจใน “กติกา” ทางสังคมและการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของรัฐธรรมนูณและกฎหมายต่าง ๆ เพราะความไม่สงบนั้นทำให้คนไม่มั่นใจที่จะมาลงทุนทำธุรกิจหรือแม้จะแค่มาท่องเที่ยวซึ่งก็เป็นอุตสาหกรรมที่ทำเงินให้แก่ประเทศมหาศาลและเป็นตัวสำคัญในการผลักดันให้ GDP เติบเติบโตขึ้นได้ไม่น้อย

การปฎิรูปในเรื่องเหล่านี้ก็คือ ทำให้ประเทศมีความสงบ มีความมั่นคง อาชญากรรมน้อย และผู้คนมีความพอใจกันทุกฝ่ายในด้านของการเมือง ซึ่งนั่นก็จะเป็นการส่งเสริมให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเดินหน้าไปได้ด้วยดี และสุดท้ายก็จะกลับมาส่งเสริมให้ประเทศมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น พูดง่าย ๆ การปฏิรูปเรื่องนี้เราจำเป็นที่จะต้องเข้าใจว่า ความมั่นคงและความสงบนั้นมาจากหลาย ๆ มิติ ไม่ใช่เฉพาะการมีกำลังทางทหารหรือมีอาวุธที่เข้มแข็งในปัจจุบัน แต่มาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและการเติบโตที่จะทำให้เรามีพลังที่จะต่อสู้และป้องกันศัตรูได้ในระยะยาวด้วย

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ว่าที่จริงก็คล้าย ๆ กับการแถลงนโยบายของรัฐบาลหรือการเสนอนโยบายหาเสียงของพรรคการเมืองที่มักจะ “เกิดขึ้นยาก” หลายเรื่องเสนอหรือทำไปแล้วก็ไม่ได้รับความนิยม เรื่องที่ทำก็ไม่สำเร็จเพราะอาจจะถูกต่อต้านจนคนทำต้องล้มไปก่อน ดังนั้น ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้สำหรับประเทศไทยแล้ว มันคงเป็นแค่ “ความฝัน” แต่ผมเองก็ยังฝันว่าวันหนึ่งมันอาจจะเป็นความจริงได้




15 กันยายน 2568

จาก VI สู่ AI -เทรดเดอร์อัจฉริยะ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับความก้าวหน้าของ AI ที่จะสามารถเข้ามาแทนที่คนในธุรกิจต่าง ๆ พบว่าวงการเงินซึ่งรวมถึงธนาคาร การประกัน และหลักทรัพย์นั้น อยู่ในระดับสูงมากถึงระดับ 50% ไปแล้ว โดยที่ธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการบริหารทรัพย์สินและการลงทุนนั้นอยู่ที่ประมาณ 40%
 
การลงทุนและการเทรดหลักทรัพย์ของผู้บริหารกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก ในปัจจุบันนั้น ผมคิดว่าทำโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์น่าจะมากกว่า 50% ไปแล้ว บางแห่งอาจจะสูงเป็นกว่า 90% ไปแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดหุ้นไทยเอง โปรแกรมเทรดดิงกลายเป็นผู้เล่นหลักในแต่ละวัน คือเทรดมากกว่ากลุ่มอื่นทั้งหมด ว่าที่จริงในตลาดอย่างในสหรัฐนั้น ผมเชื่อว่าคนที่ซื้อขายในตลาดส่วนใหญ่กลายเป็น “เครื่องจักร” หรือหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่นี้เป็นหลัก โดยเครื่องจักรที่ว่าก็คือคอมพิวเตอร์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น AI ที่คิดแทนคนในการตัดสินใจสั่งซื้อ-สั่งขาย

หลักคิดหรือกลยุทธในการลงทุนในยุคที่คอมพิวเตอร์และ AI มีบทบาทนำในปัจจุบันนั้น ก็เป็นการลงทุนหรือการเทรดหลักทรัพย์ที่เน้นความรวดเร็วและออกแนวเก็งกำไรเป็นหลัก และแนวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากก็คือสิ่งที่เรียกว่า ”Quant” หรือการวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยอาศัยข้อมูลเชิงปริมาณหรือข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลัก

พวก Quant ก็คือคนที่ประยุกต์สถิติทางคณิตศาสตร์ระดับสูงกับตัวเลขในตลาดการเงินโดยใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์และ AI เข้าไปคำนวณเพื่อมองหารูปแบบและแนวโน้มของราคาหลักทรัพย์ โดยที่โปรแกรมจะถูกออกแบบมาให้ทำการซื้อ-ขายอย่างอัตโนมัติตามกลยุทธที่จะทำให้สามารถทำกำไรได้

ความสำเร็จและการขยายตัวของพวก Quant นั้น ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และถึงวันนี้น่าจะเป็น “กระแสหลัก” ไปแล้ว และแน่นอนว่า เหนือกว่าการลงทุนแบบ “VI” ที่เคยโดดเด่นและดังมานานอานิสงค์จากการสนับสนุนและรับรองโดย วอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนมือหนึ่งของโลกที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมโดยมีผลตอบแทนทบต้นปีละประมาณ 20% ติดต่อกันประมาณ70 ปี

ความสำเร็จและความนิยมของ Quant นั้น ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งก็คงมาจากตัวนักลงทุนที่เป็นผู้นำเช่นกัน ซึ่งก็คือ Jim Simons ผู้บริหารของ Renaissance Technologies ซึ่งบริหารกองทุนหลักคือ “Medallion Fund” ตั้งแต่ปี 1988-2018 เป็นเวลา 30 ปีและได้ผลตอบแทนแบบทบต้นถึง 66% ต่อปี และถ้าหักค่าธรรมเนียมค่าบริหารก็ยังให้ผลตอบแทนถึงปีละ 39% เหนือกว่าผลตอบแทนของบัฟเฟตต์มาก และกลายเป็นสถิติโลกที่ไม่มีใครทำได้ ส่วนตัวของจิม ไซม่อนเองซึ่งเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปีก่อนที่อายุ 86 ปี ก็ร่ำรวยติดอันดับโลก ด้วยความมั่งคั่งประมาณ 30 พันล้านเหรียญหรือ 1 ล้านล้านบาทในวันที่เขาตาย

ที่มาของการลงทุนแบบ Quant เองนั้น ก็มีอะไรคล้ายคลึงกับการลงทุนแบบ VI ในแง่ที่ว่าทั้งคู่มี “บิดา” หรือผู้ให้กำเนิดแนวคิดที่สามารถสร้างผลงานการลงทุนแบบใหม่ที่เหนือกว่าได้ ในกรณีของ VI ก็คือเบน เกรแฮม ในช่วงประมาณปี 1934 หลังวิกฤติตลาดหุ้นครั้งใหญ่ในปี 1929 ที่หุ้นตกลงมาและมีราคาถูกมาก

Quant นั้น คนที่น่าจะเป็น “บิดา” ก็คือ Edward O. Thorp ศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่หันไปศึกษาเรื่องการพนันในบ่อนและการลงทุนใน “ตลาดการพนันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” หรือตลาดหุ้น โดยวัตถุประสงค์ก็คือการพิสูจน์ว่าเราสามารถเอาชนะในเกมนี้ได้โดยอาศัยการคำนวณด้วยคณิตศาสตร์และสถิติ

เริ่มแรก เขาเข้าไปเล่นไพ่แบล็คแจ็คหรือไพ่ 21 ในคาสิโนโดยการคิด “สูตร” ตามสถิติและคณิตศาสตร์และกำหนดวิธีการเล่นโดยการ “นับไพ่” และการกำหนด “เม็ดเงินพนันในแต่ละรอบ” ที่ทำให้เขา “ได้เปรียบ” ทางสถิติ ซึ่งผลก็คือ เขาก็สามารถทำเงินได้กำไรจากบ่อนเป็นประจำจนทำให้คาสิโนต่างก็ปฎิเสธไม่ให้เขาเล่น เขาเขียนหนังสือเล่าเรื่องนี้ในชื่อ “Beat the Dealer” หรือ “เอาชนะบ่อน” ในปี 1964 ซึ่งดังมาก เพราะไม่มีใครเคยคิดว่านักพนันจะชนะบ่อนได้

ต่อมา เขาเปลี่ยนไปเล่นหุ้นหรือซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาด โดยการใช้สูตรคณิตศาสตร์และเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ในการคำนวณหามูลค่าหลักทรัพย์ที่เป็นอนุพันธ์เช่น วอแรนต์และออปชั่นที่มีหลักทรัพย์แม่ที่มีราคาตลาดอยู่แล้ว เขาจะซื้อ-ขายหลักทรัพย์โดยมีกลยุทธที่จะเฮดจ์ความเสี่ยงที่หุ้นจะขึ้นหรือลงโดยการซื้อหุ้นในด้านหนึ่ง และขายชอร์ตหุ้นตัวเดียวกันเมื่ออ็อบชั่นของหุ้นตัวนั้นมีราคาที่ผิดเพี้ยนไปจากสูตรที่เขาคำนวณได้มากพอ ด้วยการทำแบบนั้น เขาก็แทบจะไม่มีความเสี่ยงเลยไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง แต่จะได้ผลตอบแทนเพียงเล็กน้อยในการเทรดแต่ละครั้ง แต่เมื่อเทรดหุ้นมาก กำไรก็จะเป็นกอบเป็นกำ และทั้งหมดนั้นเขาก็เขียนไว้ในหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็คือ “Beat the Market” หรือเอาชนะตลาดในปี 1967

ผลตอบแทนการลงทุนในตลาดหุ้นของเขาในช่วง 20 ปี ตั้งแต่ปี 1969-1988 คือ บวก 19.1% ต่อปีแบบทบต้น และไม่มีปีไหนที่ขาดทุนเลย เทียบกับดัชนี S&P 500 ที่ 10.2% และติดลบไป 4 ปี ความมั่งคั่งของเขาก็ “รวย” ระดับเศรษฐี แม้อาจจะไม่ใช่มหาเศรษฐี เขาเลิกจากการลงทุนและกลับไปใช้ชีวิตที่เขาชอบ นั่นก็คือ การเป็นนักวิชาการ ซึ่งนั่นก็คงคล้าย ๆ กับเบน เกรแฮมที่มีธรรมชาติเป็นนักคิดมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนมาก ๆ

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างระหว่าง VI กับการเทรดหุ้นหรือลงทุนแบบ Quant ก็คือ คนที่เป็น VI นั้น จะเป็นคนที่เน้นพื้นฐานทางธุรกิจของหุ้นหรือหลักทรัพย์ ซึ่งต้องมองหรือวิเคราะห์ธุรกิจในระยะยาว เสร็จแล้วก็ต้องดูว่าผลประกอบการในระยะยาวจะคุ้มกับราคาหุ้นหรือไม่ ดังนั้น คนที่จะเป็น VI จะต้องรอบรู้ในศิลปะต่าง ๆ ที่หลากหลายมากรวมถึงเรื่องทางธุรกิจที่ทุกบริษัทจะต้องแข่งขันกัน

พวก Quant นั้น ต้องใช้ข้อมูลตัวเลขในการคำนวณดูความเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาสถิติและความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วถือโอกาสซื้อ-ขายทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว คนที่เป็น Quant จึงมักจะเป็นคนที่รู้เรื่องของตัวเลข การคำนวณและเป็นคนเก่งทางด้านโค้ดดิง โดยที่แทบจะไม่ต้องรู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นเป็นบริษัทที่ทำอะไร

“บิดา” ของ Quant คือ Ed Thorp นั้น เป็นนักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เช่นเดียวกับ Jim Simons ก็เป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และเคยเป็นนักถอดระหัดโค้ดในช่วงสงครามเย็น นอกจากนั้น เฮดจ์ฟันด์ดัง ๆ ส่วนใหญ่เวลาจ้างพนักงานก็มักจะไม่จ้างนักการเงินแต่จ้างนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักคอมพิวเตอร์ วิศวกร หรือแม้แต่นักดาราศาสตร์มาบริหารกองทุน ถ้าจะพูดไป คนเหล่านี้จำนวนมากเป็นคน “อัจฉริยะ” IQ ระดับ 130-140 น่าจะเป็นเรื่องปกติ ผมเองรู้จักเด็กหนุ่มสาวคนไทยที่ทำงานให้กับกองทุนเหล่านี้ที่ไม่ได้จบทางด้านการเงินการลงทุน แต่เป็นเด็กทุนระดับ Top ของประเทศที่ไม่มีใครรู้จัก

ผลงานของ VI นั้น มองในระยะยาวแล้วก็ค่อนข้างโดดเด่น โดยเฉพาะถ้าเป็นระดับ “เซียน” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่ยอมรับของสังคมการลงทุน เหตุผลอาจจะเป็นว่าคนรู้ว่ากองทุนอย่าง ARK Invest ของป้าเคที่วูด หรือบริษัทอย่างเบิร์กไชร์นั้น “รวยยังไง” ถือหุ้นอะไรบ้าง

ในกรณีของ Quant นั้น เกมก็คือการทำกำไรแต่ละครั้งจะน้อย ๆ และมีการป้องกันความเสี่ยงได้ดี ไม่มีการขาดทุนเพราะทุกเทรดทำด้วยโปรแกรมที่คำนวณถึงโอกาสขาดทุนไว้แล้ว วิธีทำกำไรให้มากก็คือการเทรดให้มากด้วยต้นทุนที่ต่ำ เช่น ค่าธรรมเนียมน้อยมาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะใกล้ 0 ดังนั้น Quant จำนวนมากในช่วงเวลานี้จึงอาจจะทำผลงานได้ดีเนื่องจากโลกของการเทรดหลักทรัพย์พัฒนาไปมาก ต้นทุนการดำเนินการลดลงมาก เช่นเดียวกับโปรแกรมหรือโค้ดก็อาจจะทำได้เร็วและถูก อานิสงค์จากความก้าวหน้าของ AI

อย่างไรก็ตาม ผลงานของ Quant ส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้เปิดเผยมากนัก เพราะกองทุนมักจะเสนอให้กับผู้ลงทุนรายใหญ่จำนวนจำกัดที่ไม่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชน สิ่งที่พอรู้นอกจากผลงานของ Jim Simons ในกองทุน Medallion Fund ซึ่งไม่ได้เปิดให้กับประชาชนทั่วไปที่โดดเด่นมากแล้ว ผลงานกองทุนอื่น ๆ ของ Jim Simons เองก็อยู่ในระดับประมาณปีละ 8-12% แบบทบต้นเท่านั้น และน่าจะไม่ต่างจากผลงานในกลุ่ม VI ทั่วไปมากนัก

สุดท้ายก็คือ เราในฐานะของนักลงทุน ควรจะเลือกแนวทางไหนในการลงทุน ควรจะเป็นแนว VI หรือเชื่อในแนว Quant?
โดยส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าคนที่จะเป็นนักลงทุนแนว Quant นั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถทางตัวเลขและวิทยาศาสตร์สูง หรือเป็นพวก “อัจฉริยะ” คนที่รู้แต่วิธีใช้โปรแกรมเทรดหุ้นนั้นยากที่จะประสบความสำเร็จแบบยั่งยืน เพราะโปรแกรมที่ประสบความสำเร็จนั้น พอใช้ไปซักระยะก็มักจะใช้ไม่ได้ต่อไป คนที่จะชนะคงต้องเป็นคนที่สามารถดัดแปลงโปรแกรมไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่าของเดิมเริ่มใช้ไม่ได้แล้ว

ด้วยการพัฒนาของ AI ในช่วงเร็ว ๆ นี้ ผมเองคิดว่ามีความเสี่ยงมากสำหรับคนที่ลงทุนระยะสั้นหรือเทรดหุ้นที่จะเอาชนะผลตอบแทนของตลาดได้ไม่ว่าจะใช้กลยุทธไหนรวมถึง VI ดังนั้น ผมคิดว่าน่าจะยังเหลือแค่ทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในตลาดนั่นก็คือ การ “ลงทุนระยะยาวจริง ๆ” ที่ AI ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ดีกว่าคนที่ยังมี “จินตนาการ” มากกว่า




นักปราชญ์สโตอิกรู้วิธี “ช่างแม่ง” มาตั้ง 2,500 ปีแล้ว




12 ข้อคิดสำคัญที่สำคัญ

ควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้: เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งในชีวิตได้ แต่เราสามารถควบคุมปฏิกิริยาของตัวเองต่อสิ่งต่างๆ ได้
.

มุ่งเน้นที่ปัจจุบัน: อย่าไปยึดติดกับอดีต หรือกังวลกับอนาคตมากเกินไป จงใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันให้เต็มที่
.

ยอมรับความไม่แน่นอน: ชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การยอมรับความจริงข้อนี้จะช่วยให้เราลดความวิตกกังวลลงได้
.

ฝึกฝนความอดทน: การฝึกฝนความอดทนจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับความยากลำบากได้อย่างมีสติ
.

ปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็น: การปล่อยวางสิ่งที่ไม่จำเป็นจะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
.

ฝึกสติอยู่เสมอ: การฝึกสติจะช่วยให้เราตระหนักรู้ถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
.

มองหาโอกาสในความยากลำบาก: ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสซ่อนอยู่เสมอ
.

เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเอง: อย่าไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
.

ทำดีที่สุดในทุกๆ วัน: การทำดีที่สุดในทุกๆ วันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
.

ขอบคุณในสิ่งที่เรามี: การขอบคุณในสิ่งที่เรามีจะช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
.

เรียนรู้จากความผิดพลาด: ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเรียนรู้จากความผิดพลาดจะช่วยให้เราเติบโต
.

มีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น: การทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นจะทำให้เรามีความสุขและมีความหมายในชีวิต


ที่มา link


08 กันยายน 2568

ยุคสินค้า Value (for money) โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ยุคของหุ้น “Value” ในตลาดหุ้นไทย หลายคนอาจจะบอกว่า “ผ่านไปแล้ว” แต่ยุคของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ขายให้กับผู้บริโภคในตลาดนั้น สินค้าที่เป็นของ “คุณภาพดี ราคาถูก” หรือเรียกว่าเป็นสินค้า “Value for money” ช่วงนี้กลับเกิดขึ้นและเติบโตอย่างรวดเร็ว ลองมาดูกันว่ามีสินค้าอะไรบ้าง

เริ่มที่ “ร้อนที่สุด” ในช่วงนี้หนีไม่พ้น “สุกี้หม้อไฟ” อาหารยอดนิยมของคนทุกชั้นที่ตอนนี้แข่งกันขายที่ราคา “ถูกมากและคุณภาพดี” โดยการขายแบบ “บุฟเฟ่ต์” ที่ลูกค้ากินได้ “ไม่อั้น” ในราคาที่ “ถูกมาก” ซึ่งทำให้คนที่ปกติจะกินอาหารอย่างอื่นจำนวนมาก หันมากินสุกี้ในร้านที่ขายอาหารด้วยกลยุทธดังกล่าวแทน ผลก็คือ ภัตตาคารอื่น ๆ เหงาลงไปมากในขณะที่ร้านสุกี้หม้อไฟที่ใช้กลยุทธโปรโมชั่นแบบบุฟเฟ่ต์ราคาถูก คน “แน่น”

ร้านสุกี้บุฟเฟ่ต์ขายของดีราคาถูกได้ก็เพราะว่าสามารถขายได้จำนวนมาก ภัตตาคารคนเต็มแทบจะตลอดเวลา และนอกจากนั้นก็ยังเปิดด้วยชั่วโมงบริการยาวนาน บางร้านแทบจะตลอด24 ชั่วโมง ผลก็คือ ต้นทุนต่อหน่วยของการขายลดลงมากจนต่ำกว่ารายได้ต่อหน่วยที่ต่ำมากอยู่แล้ว ดังนั้น ธุรกิจก็อยู่ได้และมีกำไร ในทางวิชาการ ร้านสุกี้นั้นมี Economies of Scale หรือมีการประหยัดเนื่องจากขนาดที่ใหญ่ขึ้นสูงมาก

หลักการก็คล้าย ๆ กับธุรกิจแบบสตาร์ทอับ ที่ตอนเริ่มต้นขายสินค้า จะขายในราคาที่ต่ำมากเพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้เข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการก่อน โดยที่ในช่วงแรกก็จะขาดทุนมหาศาลเพราะต้นทุนสูง แต่เมื่อขายได้มากขึ้น ต้นทุนต่อหน่วยก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว จนถึงจุดหนึ่งบริษัทก็จะมีกำไรแทนที่จะขาดทุน และกำไรก็จะมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้น

ธุรกิจที่สามารถขยายตัวไปเรื่อย ๆ และกิน Market Share หรือส่วนแบ่งทางการตลาดของคู่แข่งไปเรื่อย ๆ สุดท้ายคู่แข่งก็จะตายหมด เรียกว่าธุรกิจถูก “Disrupt” หรือถูกทำลายและต้องล้มหายตายจากไป และนี่ก็คือกรณีของธุรกิจสตาร์ทอับในสายของเทคโนโลยีโดยเฉพาะดิจิทัลที่คู่แข่งเดิมไม่สามารถที่จะผลิตหรือให้บริการสินค้าได้เนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีหรือกำลังเงินเพียงพอที่จะลงทุนหรือเพียงพอสำหรับการที่จะต้องขาดทุนมหาศาลในช่วงที่กำลังเพิ่มยอดขายเพื่อให้ธุรกิจมีกำไรและยืนอยู่ได้

และนั่นก็ไม่เหมือนธุรกิจขายสุกี้หรืออาหารภัตตาคารที่ใช้หลักการคล้าย ๆ กับธุรกิจสตาร์ทอับ เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ร้านสุกี้นั้น พอขยายถึงจุดหนึ่งก็จะเริ่มอิ่มตัว เพราะคนชอบกินอาหารหลากหลาย ถึงแม้ว่าสุกี้บุฟเฟ่ต์จะมีคุณภาพดีราคาถูกและเป็นอาหารที่มี Value for money สูงเมื่อเทียบกับอาหารอย่างอื่น แต่คนก็จะไม่กินทุกวัน และอาจจะกินแค่ “เดือนละครั้ง” ซึ่งก็ไม่เหมือนกับการใช้เฟซบุคหรือดูไลน์ที่ใช้หรือดูทุกวันไม่เบื่อ

นอกจากนั้น เมื่อคนนิยมและกินสุกี้จากร้านที่เริ่มเสนออาหาร “คุณภาพดี ราคาถูก” สุดท้ายแนวคิดนี้ก็จะมีคนอื่นที่ทำได้เช่นเดียวกัน และแถม “ทำได้ดีกว่าด้วย” และต้นทุนหรือพลังเงินที่จะใช้ในช่วงแรกที่อาจจะต้องยอมขาดทุนก่อนเพื่อดึงลูกค้าก็ไม่ได้สูงนัก ผู้ประกอบการจำนวนมากสามารถทำได้ไม่ยาก

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ขายอาหารแบบอื่นที่ถูกแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากสุกี้บุฟเฟ่ต์ เช่น หมูกระทะ บางรายที่มีกำลังเงินพอก็อาจจะเริ่มเข้ามาเสนออาหารคุณภาพดี ราคาถูก แบบ “Value for money” เช่นเดียวกัน และก็อาจจะได้ลูกค้าจำนวนมากซึ่งทำให้สามารถลดต้นทุนลงเรื่อย ๆ จนสามารถทำกำไรได้ไม่ต่างจากกรณีของสุกี้มากนัก

ในระยะยาว ภัตตาคารที่ไม่ใช่ “Value for money” ก็จะค่อย ๆ ตายเพราะขายไม่ได้ เพราะถ้าอาหารมีคุณภาพดีเท่า ๆ กันแต่ราคาแพงกว่าใครจะไปซื้อ? ถ้าจะอยู่ได้ก็ต้องคุณภาพสูงกว่าหรืออร่อยกว่า และราคาก็สูงกว่าได้ แต่ก็ต้องเป็นราคาที่เหมาะสมที่ลูกค้ายอมรับ ทั้งหมดนั้น “กลไกตลาด” ก็จะบอกเอง โดยที่กลไกตลาดเองนั้น ก็ขึ้นอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของผู้บริโภคเองด้วยว่าดีหรือแย่แค่ไหน อย่างช่วงนี้ ก็ต้องถือว่าเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่ค่อยยอมจ่ายเงินมากเพื่อคุณภาพที่ดีขึ้นไม่มาก ผลก็คือ สินค้า Value for money ขายดีกว่าปกติ

ที่กล่าวมาข้างต้นค่อนข้างยาวเพื่อที่จะได้เข้าใจกลไกของการตลาดของสินค้าแบบนี้ที่ผมพบว่ากำลังเฟื่องฟูในตลาดไทย ซึ่งผมจะพูดถึงแบบเร็ว ๆ ดังต่อไปนี้

กลุ่มแรกที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่ถึงวันนี้ก็ยังเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือสินค้าอุปโภคหรือของใช้ในบ้าน ของใช้ส่วนตัว และอื่น ๆ อีกมากที่เรียกกันว่า “ร้าน 100 เยน” ในญี่ปุ่น หรือ “ร้าน 1 ดอลลาร์” ในอเมริกา

เหล่านี้ก็คือร้านที่เสนอขายสินค้า “คุณภาพดี ราคาถูก” คุ้มค่าเงิน พวกเขาอยู่ได้เพราะขายของได้มากกว่าร้านเล็ก ๆ แบบโชห่วยที่ “คุณภาพแย่ ราคาแพง” ของไม่ครบ และต้นทุนของร้าน Value for money นั้นจะถูกลงเรื่อย ๆ เนื่องจากเขาสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก เขาสามารถออกแบบที่สวยและน่าใช้ให้กับสินค้าโดยต้นทุนในการออกแบบนั้นน้อยมากเนื่องจากกระจายไปยังสินค้าจำนวนเป็นล้าน ๆ ชิ้น เช่นเดียวกับต้นทุนในการขายและการสร้างระบบต่าง ๆ ของร้านที่ก็น้อยนิดเช่นเดียวกันเมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อหน่วย

คงไม่ต้องบอกว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้ใช้ได้ผลมากในตลาดไทย เพราะธุรกิจขยายตัวและมีการเลียนแบบไปใช้กับสินค้าอื่น ๆ เช่น สินค้า “กุ๊กกิ๊ก” สำหรับเด็กสาวหรือผู้หญิงทำงาน หรือ “สินค้าชิ้นละ 10 บาท” ที่มักจะเป็นร้านขนาดเล็ก และสินค้าประเภทซ่อมแซมบ้านประเภท “Do it yourself” หรือทำด้วยตนเอง เป็นต้น

กลยุทธขายสินค้าหรือบริการ คุณภาพดี ราคาถูก คุ้มค่า โดยอาศัยการแย่งส่วนแบ่งตลาดอย่างรวดเร็ว ขยายธุรกิจจนมี Economies of Scale สูง ลดต้นทุนต่อหน่วยและทำกำไรในภายหลังนั้น ไม่ใช่ว่าจะสามารถทำได้ในทุกอุตสาหกรรม แต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่มีการวิเคราะห์แล้วว่าเมื่อขยายยอดขายหรือจำนวนหน่วยที่ผลิต ต้นทุนส่วนเพิ่มนั้นจะน้อยมาก บางทีใกล้ศูนย์อย่างในกรณีของดิจิทัล และก็ต้องดูว่าตลาดที่จะขยายไปนั้น จะทำได้มากน้อยแค่ไหน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่คู่แข่งจะเข้ามานั้นทำได้ยากแค่ไหนด้วย แม้ว่าประเด็นหลังนี้ คนที่ทำก่อนก็อาจจะได้เปรียบว่าเป็น “First Mover” ที่ลูกค้าจะคุ้นเคยกว่า

ตัวอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นการแข่งขันโดยอาศัยกลยุทธ คุณภาพดี ราคาถูก เพื่อขยายธุรกิจและลดต้นทุนในภายหลังก็คือ “การส่งพัสดุ” ที่เกิดขึ้นมามากอานิสงค์จากการบูมของ E-commerce หรือการขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งผมเองก็ยังสงสัยว่าคนใช้กลยุทธนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่

เพราะการส่งพัสดุในไทยเองนั้นก็อาศัยแต่ไรเดอร์หรือคนขับรถซึ่งไม่สามารถลดต้นทุนได้มากนักแม้ว่ายอดส่งจะมากขึ้น เพราะเมื่อยอดส่งมากขึ้น คนขับรถก็ต้องคิดค่าแรงตามจำนวนที่ส่ง สิงที่จะประหยัดได้เมื่อขนาดธุรกิจเพิ่มขึ้นนั้น ก็อาจจะเป็น “ระบบ” คัดแยกหรืออื่น ๆ ที่ต้นทุนไม่ค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนพัสดุมากขึ้น แต่สิ่งนี้อาจจะไม่มากนัก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ผู้ให้บริการอื่น ๆ นั้นก็มักจะไม่ใช่รายเล็กมากที่จะไม่สามารถมีระบบคัดแยกที่ลดต้นทุนลงมากอยู่แล้ว

และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม แม้แต่รายใหญ่ในวงการส่งพัสดุที่ใช้กลยุทธคุณภาพดี ราคาถูก ก็ไม่ประสบความสำเร็จในด้านของกำไรของกิจการมากนัก

ยังมีธุรกิจที่ใช้โมเดลคุณภาพดี ราคาถูก คุ้มค่าอีกมากมายที่เพิ่งจะเข้าสู่ตลาด อาทิเช่น ซุ้มหรือร้านขายน้ำหวานตามศูนย์การค้าหรือสถานที่ท่องเที่ยวหรู ที่เริ่มเห็นการ “ขายระเบิด” และขยายสาขาอย่างรวดเร็ว เพราะ “รสชาติอร่อย” ราคาพอ ๆ กับ “แผงข้างทาง” ที่ “ไม่อร่อยและไม่สะอาด”

ผมเองก็ไม่เคยกิน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายจะทำกำไรได้ดีไหม เพราะต้นทุนสถานที่และพนักงานซึ่งเป็นรายการใหญ่นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ลดลงเมื่อมีการขยายธุรกิจ นอกจากนั้น น้ำหวานแต่งกลิ่นเองก็เป็นอะไรที่คนอาจจะไม่กินซ้ำมากและก็อาจจะเจอคู่แข่งในอนาคต อย่างไรก็ตาม การเข้ามาเป็นรายแรกหรือ First Mover ก็อาจจะได้เปรียบเล็กน้อยและอาจจะทำให้ธุรกิจอยู่ได้ แต่ผมเองก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นธุรกิจที่ดีมากในระยะยาว

ว่าที่จริงผมเองไม่ค่อยชอบธุรกิจที่แข่งขันกันหนักทางด้านราคาเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ไม่ได้เป็นธุรกิจดิจิทัล เพราะราคานั้นเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกแห่งสามารถทำได้และทำได้ง่าย ทำให้ต้องแข่งกันตลอดเวลา ซึ่งวันหนึ่งก็จะต้องมีคนแพ้และอาจตายได้ ไม่เหมือนกับคุณภาพที่ต้องเก่ง ต้องพยายาม ต้องสร้างมายาวนานและคนเลียนแบบยาก ดังนั้น ความยั่งยืนจึงสูงกว่ามาก

ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ดูธุรกิจรถไฟฟ้าที่หลายรายต้องเลิกกิจการไปแล้วหลังจากที่ขายได้ดีมากในช่วงแรกเพราะลดราคากันแบบไม่คิดถึงต้นทุน และเมื่อรายแรกเริ่มทำ รายหลัง ๆ ก็ต้องทำด้วย และกลายเป็นสงครามราคาที่ทำให้เสียหายและล้มหายตายจากกันไป เหลือไว้เฉพาะบริษัทที่แข็งแรงที่สุดที่ยังเอาตัวรอดอยู่ได้แต่ก็ไม่ได้กำไรอะไร เพราะต้นทุนที่ไม่ได้ลดลงมากนักแม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นมาก


01 กันยายน 2568

บริหารหุ้น VS บริหารสุขภาพ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ตั้งแต่ “เกษียณ” จากงานประจำ ซึ่งก็คือเมื่ออายุประมาณ 51-52 ปี จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 20 ปีมาแล้ว สิ่งที่ผมทำเป็นหลักและเป็น “ชีวิตประจำวัน” มีอยู่ 2 เรื่องคือ 1) บริหารหุ้นและการลงทุน และ 2) บริหารสุขภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะเมื่อคนมีอายุมากขึ้น เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้มีผลต่อ “ความสุข” มากที่สุดและมากกว่าเรื่องอื่น ๆ

นับถึงวันนี้ ผมคงทำได้ค่อนข้างดีทั้งสองเรื่องดูจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง คือเงินในพอร์ตเพิ่มขึ้นประมาณ 30 เท่า และขาดทุนเพียง 3 ปี และปีที่ขาดทุนสูงสุดอยู่ที่เพียงประมาณ 15% ในปีวิกฤติซับไพร์ม

ในด้านของสุขภาพ ผมก็ไม่เคยป่วยหนักจนต้องนอนโรงพยาบาล ยังไม่เป็นโรคไม่ติดเชื้อยอดนิยมเช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ และมะเร็ง แม้ว่าต้องอาศัยยาควบคุมตัวเลขทางสุขภาพหลาย ๆ อย่าง แต่นั่นก็คือส่วนหนึ่งของ “การบริหารสุขภาพ” ที่ทำมาตลอดและเพิ่มมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นและเกษียณจากงานประจำ

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะคุยหรือฉลองความสำเร็จ เพราะประสบการณ์จากคนอื่นที่ผมพอจะรู้จักหรือได้ยินได้เห็นก็คือ “อย่าโม้” เกี่ยวกับการลงทุนและสุขภาพ เพราะ “สงครามยังไม่จบ อย่านับศพทหาร” หรือความหมายก็คือ ทั้งการลงทุนและสุขภาพนั้น เขาวัดกันตอนจบ คือหยุดลงทุน และ/หรือ ตาย

เรื่องของสุขภาพนั้น ผมยังจำได้ถึงยุคหนึ่งที่คนไทยเริ่มสนใจการรักษาสุขภาพกันมาก ซึ่งเกิดจากหนังสือแนวการดูแลสุขภาพสมัยใหม่ เช่น “อยู่ 100 ปีมีสุข” จนมีผู้นำทางสังคมและเศรษฐกิจบางคนประกาศตั้ง “ชมรมคนอยู่ 100 ปี” ที่เผยแพร่เคล็ดลับการมีชีวิตและสุขภาพที่ดีเลิศและประกาศว่าตนเอง ที่มีอายุระดับ 60 ปีแล้วจะอยู่จนถึง 100 ปี แน่นอน ซึ่งคนจำนวนมากรวมถึงผมเองก็เชื่อ เพราะเขา “แข็งแรงและดูหนุ่มมาก”

ถ้าจำไม่ผิด ท่านประธานชมรมเสียชีวิตหลังจากจัดตั้งชมรมไม่เกิน 10 ปี ซึ่งผมก็จำไม่ได้แล้วว่าเสียชีวิตเพราะอะไร แต่ไม่ใช่ด้วยอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

ตั้งแต่นั้นมา ผมก็มักจะคอยจดจำว่ามีใครที่บอกว่าตนจะอยู่จนอายุ 100 ปีหรือคุยว่าตนเองแข็งแรงขนาดไหน และก็พบบ่อย ๆ ว่า เขาก็ตายในอายุขัยปกติหรือบางคนก็ต่ำกว่านั้น ไม่ได้ต่างจาก “คนธรรมดา” ที่ไม่ได้บริหารจัดการอะไรกับสุขภาพเลย

คนที่อายุยืนและสุขภาพดีจริง ๆ ที่ยังคุยได้ทั้ง ๆ ที่อายุเกิน 90 ปีแล้ว ที่ผมเช็คดูนั้น นอกจากจะบริหารจัดการสุขภาพ บางคนก็ทำอย่างดีตามที่คุยแล้ว พวกเขามักจะมีพ่อแม่หรือบรรพบุรุษที่อายุยืนมากทั้ง ๆ ที่ไม่เคยต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหารหรือทำสิ่งต่าง ๆ แบบที่เชื่อกันในปัจจุบัน

ดังนั้น ผมจึงคิดว่า เรื่องของสุขภาพที่ดีและอายุขัยที่ยืนยาวนั้น คงต้องมี “โชค” ที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ได้ขึ้นกับ “ฝีมือ” ในการบริหารหรือดูแลสุขภาพทั้งหมด บางที ปัจจัยสำคัญที่สุดอาจจะเป็นเรื่องของ “ยีน” ของแต่ละคนที่อาจจะมีอิทธิพลมากกว่า ส่วนเรื่องของการดูแลจัดการสุขภาพอาจจะเป็นแค่ปัจจัยสนับสนุนให้ร่างกายทำหน้าที่ได้ตามปกติตามธรรมชาติของมัน

และนั่นก็คือความเชื่อของผมในตอนนี้ที่ว่า เรื่องของสุขภาพนั้น อาจจะ 80-90% ขึ้นอยู่กับการจัดการไม่กี่เรื่อง และส่วนใหญ่แล้วผมก็จะทำถ้ามันไม่ได้ “ลดความสุข” หรือทำให้ผมรู้สึกว่ามัน “ทรมาน” มากเกินไป

ข้อแรกก็คือ เรื่องของการกิน ซึ่งผมพยายามกินแบบไม่ให้อิ่มเกินไป คือพอเริ่มรู้สึกอิ่มก็จะหยุดทันที เน้นการกินอาหารที่ไม่ใช่คารโบไฮเดรทที่ให้พลังงานสูงเช่นแป้งและน้ำตาล ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นไขมันถ้าร่างกายใช้ไม่หมด ผมทำแบบนี้ก็เพื่อคุมน้ำหนักไม่ให้สูงเกินเกณฑ์มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป

แต่ผมจะไม่ “อดอาหาร” ที่เรียกว่า “Fasting” ทุกรูปแบบ เช่นเดียวกับการไม่เลี่ยงอาหารมันหรือมีคลอเรสเตอรอลสูง ผมจะกิน “ตามใจปาก” ถ้าอร่อย ผมกิน ซึ่งรวมถึงเบียร์วันละกระป๋อง ผมคิดว่าถ้าไม่กินมากเกินไป ไม่น่าจะเป็นอันตราย แม้ว่าจะมีการศึกษา “ใหม่” บอกว่าเบียร์แค่วันละกระป๋องก็อันตรายต่อสุขภาพ ไม่ควรกิน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นบอกว่าไวน์วันและแก้วเป็นผลดีต่อสุขภาพ

นอกจากอาหารแล้ว ผมกินวิตามินหลัก ๆ หลายชนิด เช่น วิตามิน C B และ D แร่ธาตุบางอย่างที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกายเช่น สังกะสี สิ่งเหล่านี้เขาบอกว่าเป็นเหมือนน้ำมันหล่อลื่นที่ช่วยให้ “เครื่องยนต์” ซึ่งก็คือร่างกาย ทำงานได้อย่างราบรื่นไม่ติดขัด

ผมตรวจสุขภาพโดยการตรวจเลือดทุก 6 เดือนเพื่อดูและควบคุมสารเคมีต่าง ๆ เช่น ระดับคลอเรสเตอรอล น้ำตาล และอื่น ๆ ซึ่งในช่วงเวลานี้ที่อายุมากขึ้นก็จำเป็นต้องคอยควบคุมไม่ให้ตัวเลขเกินเลยหรือต่ำกว่าค่าปกติ เพราะตัวเลขเหล่านี้เป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนว่าร่างกายจะเกิดปัญหาถ้าไม่จัดการ ดังนั้น ผมจึงต้องกินยาบางอย่างที่จำเป็น แต่ผมเลิกที่จะกินยาหรืออาหารเสริมประเภท กินแล้วอายุยืน กินแล้วสมองดี หรือกินแล้วหลับสบาย และอื่น ๆ ที่มีการโฆษณาแนะนำกันมากมายในสมัยนี้ รวมถึงไม่ฉีดฮอร์โมนหรือเสต็มเซลที่อาจจะกำลังฮิตกัน

ข้อสองที่ผมทำมาตลอดในการดูแลเรื่องสุขภาพก็คือ การออกกำลังกาย ซึ่งผมใช้วิธีวิ่งช้า ๆ หรือจ็อกกิ้งวันละประมาณ 3 กิโลเมตรและใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 5-6 วัน ซึ่งผมทำมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ผมคิดว่าถ้าผมยังทำเท่าเดิมได้ สุขภาพผมก็น่าจะยังดีหรือไม่ถดถอยลง เวลาวิ่ง ผมเองก็มักจะคิดไปเรื่อย ๆ ในทุกเรื่องที่ต้องการสมาธิและการตรึกตรองแบบลึกซึ้ง ผมคิดว่าไอเดียสำคัญในชีวิตผมเกิดขึ้นในขณะที่กำลังวิ่งไม่น้อยกว่า 30% บ่อยครั้งเวลาวิ่ง ผมคิดถึงชื่อของซีรี่ทีวีดังในสมัยที่เป็นหนุ่มของผมคือเรื่อง “Run For Your Life” หรือ “วิ่งเพื่อชีวิต”

ในเรื่องของการลงทุนนั้น ผมคิดว่ามีความคล้ายคลึงกับเรื่องของสุขภาพในหลาย ๆ ประเด็น เริ่มตั้งแต่การที่ผมเชื่อว่า “โชค” มีผลต่อผลตอบแทนการลงทุนของผมค่อนข้างมาก ส่วนการจัดการหรือการบริหารการลงทุนนั้น แน่นอน ก็เป็นส่วนสำคัญ แต่เป็นประเด็นว่าเราจะ “ทำผิด” ไม่ได้ ถ้าทำผิดจากที่ควรเป็น ผลตอบแทนอาจจะเลวร้ายหรือถึงหายนะได้ คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพที่ว่า ถ้าคุณสูบบุหรี่ ต่อให้คุณออกกำลังและดูแลสุขภาพแค่ไหน มันก็ไปไม่รอด

ความ “โชคดี” ของการลงทุนของผมคงอยู่ที่ว่า ผมได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังโตสุดยอดและบริษัทจดทะเบียนรุ่นใหม่ที่ขยายตัวขึ้นและเอาชนะบริษัทรุ่นเก่าที่กำลังถูกทำลาย โดยที่บริษัทผู้ชนะสามารถสร้างป้อมปราการปกป้องตนเองในระหว่างที่ธุรกิจขยายตัวขึ้นและกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” หรือหุ้นที่มีค่ามาก วัดจากค่า PE ที่สูงลิ่ว และนั่นก็คือ สถานการณ์ที่เรียกว่าเป็น “ตลาดหุ้นยุค VI” ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ผม ที่โชคดี แต่เป็นกลุ่ม “นักลงทุน VI” แทบทั้งหมด ที่ทำผลงานการลงทุนติด “ระดับโลก” ในยุคนั้น

การบริหารการลงทุนของผมเองนั้น ก็คล้าย ๆ กับเรื่องของสุขภาพ ผมไม่ได้ทำอะไรซับซ้อน พูดง่าย ๆ ไม่มีสูตรลับหรือความสามารถพิเศษ ผมแทบไม่เคยไป “พลิกหินทุกก้อน” เพื่อค้นหาหุ้นมหัศจรรย์ ผมไปเยี่ยมบริษัทน้อยมากและไม่เคยไปงาน Company Visit หรือพบผู้บริหารจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เลย ที่ทำตลอดก็คือการเดินช็อปปิ้งตามห้างและร้านค้าต่าง ๆ เหมือนกับคนทั่วไป เพียงแต่ผมจะคิดไปด้วยว่าสินค้านั้นเป็นของบริษัทจดทะเบียนไหน และมันดีแค่ไหน ราคาของหุ้นเป็นอย่างไร ผมอยากจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือไม่

ผมจะเลือกบริษัทหรือหุ้นที่ดีระดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ไม่มีใครสามารถแข่งขันได้และซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก คือค่า PE ไม่สูงเกินไปเทียบกับหุ้นทั่วไปในตลาดและในอุตสาหกรรมเดียวกัน จำนวนบริษัทที่ถือก็ประมาณ 5-6 ตัวหลัก ๆ เก็บไว้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร แต่ทุกไตรมาศก็ต้องคอยดูผลประกอบการและธุรกิจว่ายังดีขึ้นหรือดีเหมือนเดิมไหม ถ้าใช่ก็ถือต่อไป ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องเปลี่ยน แต่กรณีหลังนั้นมักจะเกิดไม่บ่อย เพราะหุ้นหรือบริษัทที่ดีจริงนั้น จะไม่แย่ลงง่าย ๆ

ผมลงทุนระยะยาวมาก แทบจะตลอดชีวิต ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลง ผมไม่ค่อยสนใจ ผมสนใจว่าหุ้นหรือพอร์ตของผมควรจะขึ้นมากกว่าลงนับเป็นรายปี ผมสนใจว่ามูลค่าปันผลแต่ละปีของผมควรจะขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกปีแบบช้า ๆ

ผมไม่สนใจที่จะเข้าไปเล่นหุ้น “เก็งกำไร” ที่มักจะขึ้นลงแรงมาก บางทีเป็นเท่า ๆ ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ผมไม่สนใจที่จะใช้มาร์จินหรือการกู้เงินมาลงทุนซื้อหุ้น ผมไม่ต้องการผลตอบแทนที่สูงมากในบางช่วงแต่ต้องเสี่ยงมากถ้าเกิดเหตุการณ์เลวร้าย

เป้าหมายการลงทุนของผมก็คือ ได้ผลตอบแทนปีละ 10% แบบทบต้นในช่วงที่เข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ แต่ในระยะหลังนี้ผมคิดว่าน่าจะลดลงเหลือ 7% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของไทยถดถอยลงมาก และบริษัทจดทะเบียนก็โตช้าลงมากหรือแทบไม่โตเลย

ว่าที่จริงผมกำลังเปลี่ยนแปลงการจัดการลงทุนของผมครั้งใหญ่คือ จะไปลงทุน “ทั่วโลก” เนื่องจากตลาดโลกของการลงทุนเปิดกว้างมา นักลงทุนแทบทุกคนก็สามารถไปลงทุนได้ บางที อีกซัก 10 ปี ผมคงมาเล่าได้ว่าผมจัดการอย่างไรและผลลัพธ์คืออะไร



5 เรื่องต้องรู้ ก่อนซื้อ RMF ลดหย่อนภาษี

5 เรื่องต้องรู้ ก่อนซื้อ RMF ลดหย่อนภาษี

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ Retirement Mutual Fund (RMF) เป็นรูปแบบการลงทุนที่คนอายุน้อยๆ มักจะมองข้าม เพราะคิดว่ากว่าจะได้ขายคืนเพื่อนำเงินออกมา ต้องรอจนถึง อายุ 55 ปีบริบูรณ์ และต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีอีกด้วย แต่จริงๆ แล้วความเข้าใจนี้อาจไม่ถูกนัก หากได้เจาะลึกลงไปที่ตัว RMF อีกสักนิด คุณอาจเปลี่ยนใจมาเริ่มต้นลงทุนใน RMF เป็นตัวเลือกแรกๆ เลยก็ได้



เริ่มซื้อ RMF ตอนไหนดี

RMF เป็นผลิตภัณฑ์การออม การลงทุน ตัวแรกๆ ที่ควรซื้อเก็บไว้ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะจะมีเวลาให้ผู้ลงทุนได้ทยอยใส่เงินเก็บไว้ใช้ยามเกษียณแบบสบายๆ และเงินที่ลงทุนไปนั้นก็จะมีเวลาสร้างดอกออกผลได้เต็มที่ รวมถึงได้ฝึกวินัยในการออมและการลงทุนตั้งแต่ยังหนุ่มสาว เพราะต้องซื้อต่อเนื่องแบบเก็บสะสมไปเรื่อยๆ อีกทั้งการเริ่มลงทุนเร็ว ยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้หลายปีด้วย



นับครบ 5 ปีลงทุนอย่างไร ไม่ผิดเงื่อนไข

ระยะเวลาถือครอง RMF มีเงื่อนไขคือ ต้องลงทุนต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีบริบูรณ์ แบบวันชนวัน ปีชนปี สามารถเว้นการลงทุนได้ไม่เกิน 1 ปีติดต่อกัน (ซื้อปีเว้นปีได้) โดยการนับอายุของ RMF จะนับจากกองทุน RMF กองแรกที่เราซื้อเข้ามาอยู่ในพอร์ต จากนั้นจะทยอยซื้อ RMF กองเดิม หรือกองใหม่ๆ เพิ่มก็ได้ ไม่แยกนับอายุรายกองทุนเหมือนการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ

หากอายุผู้ลงทุนยังไม่ครบ 55 ปีบริบูรณ์ จะไม่สามารถขายคืนได้ หรือหากอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ แต่ระยะเวลาลงทุนไม่ครบ 5 ปี ก็จะต้องถือต่อให้ครบ เช่น เริ่มซื้อ RMF เมื่อวันที่ 10 ม.ค. 2565 และมีการซื้อต่อเนื่อง ไม่ว่าจะซื้อกองเดิม หรือซื้อกองใหม่ๆ ภายหลังก็ตาม ทุกกองที่ซื้อ จะถือว่าครบกำหนดตามเงื่อนไขในวันที่ 10 ม.ค. 2570 และจะสามารถขายหน่วยลงทุนทั้งหมดโดยไม่ผิดเงื่อนไขการถือครองในวันที่ 11 ม.ค. 2570 ยกเว้นผู้ที่ไม่ได้ลงทุนต่อเนื่อง เช่น ลงทุนแบบปีเว้นปี ก็จะต้องถือครองเป็น 10 ปี เพราะการนับระยะเวลาของ RMF จะนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุนเท่านั้น



ซื้อเกินเงื่อนไขทางภาษีได้หรือไม่

เราสามารถซื้อ RMF เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินก่อนหักภาษีและค่าลดหย่อนต่างๆ และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน รวมถึงประกันแบบบำนาญ และ SSF ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

หากลงทุนเกินเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดข้างต้น จะได้รับการยกเว้นกำไรจากการขายเมื่อถือครบกำหนดเฉพาะส่วนที่นำมาลดหย่อนภาษีได้เท่านั้น กำไรส่วนที่ซื้อเกินจะไม่ได้รับสิทธิในการยกเว้นภาษี อีกทั้งยังต้องนำกำไรในส่วนที่เกินนั้นไปคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ด้วย ซึ่งจะยุ่งยากในการย้อนกลับไปดูรายละเอียดในส่วนที่เกินเงื่อนไขภาษีของแต่ละกองทุนในแต่ละปี ดังนั้นจึงไม่ควรซื้อเกินกว่าสิทธิที่กฎหมายกำหนด



ทำไมจึงควรทยอยซื้อตั้งแต่ต้นปี

การลงทุนใน RMF ก็เหมือนกับการลงทุนรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องศึกษานโยบายของกองทุนว่านำไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง มีการกระจายในหลากหลายอุตสาหกรรมมากน้อยเพียงใด มีสัดส่วนการลงทุนอย่างไร มีเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยในการทยอยเข้าซื้อ RMF แต่ละตัวในจังหวะที่เหมาะสมได้ หรือจะใช้วิธีทยอยซื้อแบบเฉลี่ยต้นทุน ด้วยการลงทุนเท่าๆ กันทุกเดือนแบบ DCA ก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการหาจังหวะลงุทน หรือทยอยซื้อแบบ DCA หรือผสมทั้งสองแบบ ก็ควรคำนวณไว้ก่อนว่า เราสามารถซื้อได้เท่าไหร่ถึงจะไม่เกินสิทธิทางภาษี ส่วนเงินลงทุนส่วนที่เกินนั้นจะได้นำไปวางแผนลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ควบคู่กันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ



ครบกำหนดขายคืน ควรขายทั้งก้อน หรือทยอยขาย

ผู้ลงทุนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และได้มีการลงทุนใน RMF ต่อเนื่องอย่างน้อย 5 ปีเต็มแล้ว แต่ยังมีรายได้ และต้องการใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีอยู่ กรณีนี้ไม่ควรรีบขายคืน เพราะหากผู้ลงทุนมีการซื้อ RMF เพิ่มเติมหลังจากได้ขาย RMF ที่ครบเงื่อนไขไปแล้ว ไม่ว่าจะขายทั้งหมด หรือบางส่วนก็ตาม การนับระยะเวลาการลงทุน RMF ทั้งหมดที่ถืออยู่ จะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด ทำให้ผู้ลงทุนต้องรออีกอย่างน้อย 5 ปีเต็ม ถึงจะขาย RMF กองที่ยังถืออยู่ได้อีกครั้งโดยไม่ผิดเงื่อนไขการนำไปลดหย่อนทางภาษี

ส่วนใครที่ไม่มีรายได้แล้ว กรณีนี้สามารถเลือกขายเพื่อนำเงินออกมาทั้งหมด หรือทยอยขายก็ได้ เพราะไม่มีเงื่อนไขทางภาษีมาเกี่ยวข้องแล้ว โดยเงินที่นำออกมานั้น ควรใช้ตามวัตถุประสงค์ของกองทุน เพื่อเป็นแหล่งรายได้เก็บไว้ใช้ในช่วงหลังเกษียณอย่างแท้จริง